ที่สนามบินวันนั้น
เป็นธรรมดาของการเดินทาง ที่จะต้องเหน็ดเหนื่อยและกังวลจะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับการเดินทางแต่ละอย่างและระยะทางใกล้ไกล
แต่ครั้งนี้ ผมยอมรับว่ารู้สึกเหน็ดเหนื่อยและกังวลเอามากๆ อุตส่าห์รีบร้อนออกจากที่พัก ให้ไปถึงสนามบินก่อนเครื่องบินจะออกสองชั่วโมง เผื่อเวลาสำหรับการตรวจตั๋ว สำรองที่นั่ง จัดแจงเอกสาร ฯลฯ
คนเดินทางเดินกันพลุกพล่านบริเวณห้องขาออก หิ้ว ลาก จูง สัมภาระชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ให้ลายตาไปหมด สัจธรรมที่ว่า ชีวิตคือการเดินทาง เห็นได้เป็นรูปธรรมกันที่สนามบิน สถานีรถไฟ สถานีขนส่งช่วยเพิ่มความตระหนักให้ทุกครั้งคนละทิศคนละทาง คนละจุดหมาย แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ความมุ่งมั่นจะเดินทาง แม้จะลำบาก ออกจะทุลักทุเลสำหรับหลายคน
แต่ละการเดินทางคือการพรากจาก เพื่อพบปะ ก่อนที่จะพรากจากกันไปอีกคนไปรับ คนไปส่ง แม้ดูจะต่างพวกกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วก็พวกเดียวกันนั่นแหละขณะที่ไปรับใจก็เตรียมสำหรับการพรากจากครั้งต่อไป และขณะที่ไปส่งใจก็ยังหวังสำหรับการพบครั้งหน้าเพราะชีวิตนอกจากเป็นการเดินทางแล้ว ยังเป็นการพบการพราก การพรากการพบ
การร้องไห้และการหัวเราะจึงเป็นรสชาติของชีวิตที่ทำให้มันไม่จืดชืด
ผมรู้สึกเหนื่อยและกังวลขึ้นมาทันทีทันใดเมื่อเหลือบไปเห็นแผ่นป้ายบอกว่า สายเครื่องบินที่จะเดินทางมีการล่าช้ามาจากต้นทาง ทำให้ต้องเลื่อนเวลาออกไปอีก 5 ชั่วโมงครึ่งเหนื่อยใจที่ต้องรอกังวลเกี่ยวกับคนที่จะต้องไปรับที่ปลายทางแม้จะเดินทางหลายครั้งหลายครา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นห้องพักผู้โดยสารละเอียดทุกซอกทุกมุมนั่งเมื่อยก็ลุกเดินดูโน่นดูนี่ แล้วก็ดูนี่ดูโน่นวนเข้าออกร้านปลอดภาษีทุกร้านที่มี จนแทบจะจำราคาสิ่งของที่วางขายกันเกลื่อนกลาดได้หมด
แล้วก็มานั่งดูเครื่องบินที่ขึ้นลง ที่จอดรับผู้โดยสารและสัมภาระ ลำแล้วลำเล่าอดฉงนไม่ได้ว่า เครื่องบินลำออกใหญ่โต ทำไมจึงบินร่อนขึ้นลงยังกับเครื่องบินกระดาษที่เคยพับเล่นในวัยเด็ก
ทั้งๆ ที่ตัวเครื่องเองก็หนักเป็นตันๆ แถมผู้โดยสารเป็นร้อยๆ แล้วก็สัมภาระ อาหารเครื่องดื่มฯลฯ ต่อเมื่อมองตามเครื่องบินที่โผขึ้นไปในอากาศ จึงเห็นในสัจธรรม
เครื่องบินเมื่อจอดที่ลานบิน ดูใหญ่โตมโหฬาร แต่พอบินขึ้นท้องฟ้ากลับดูเล็กไปถนัด เทียบกับท้องฟ้ากว้างใหญ่สุดหูสุดตา
ยิ่งบินสูงขึ้นเท่าไร ยิ่งเห็นเล็กลงไป จนหายไปจากสายตาในที่สุดไม่ผิดอะไรกับมนุษย์ ที่มองตนเองยิ่งใหญ่บารมีล้นพ้น จนอดไม่ได้ที่จะยกย่องว่ายิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดกระทั่งลืมตน เที่ยวอวดอ้างศักดา ท้าทายไม่เว้นหน้าอินทร์หน้าพรหม แต่พอมองไปรอบตัว มองขึ้นเบื้องบน ก็จะเห็นว่ามนุษย์เป็นแค่สิ่งน้อยนิดในจักรวาล
มันน่าเสียดายที่หลายคนไม่รู้จักมองอะไรอื่น นอกจากมองแค่ตนเองแล้วก็คิดว่าทำได้ทุกอย่าง สามารถบันดาลได้ทุกสิ่ง ไม่ต้องพึ่งไม่ต้องง้อใครหน้าไหนทั้งนั้น
ช่างมองอะไรแคบๆ และลืมไปว่า ที่ทำได้หลายต่อหลายอย่างนั้น มีผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าตนช่วยเหลือค้ำจุนอยู่ตลอดเวลาดุจเครื่องบินลำใหญ่ที่เต็มด้วยพลังไอพ่น คงไม่มีวันสามารถโผบินขึ้นฟ้าได้ หากไม่มีท้องฟ้ากว้างใหญ่รองรับ ประคับประคองค้ำจุนให้ลอยตัวอยู่
คนประเภทนี้น่าจะจับมานั่งรอที่สนามบินดูเครื่องบินขึ้นลงสักครึ่งวันจะได้เห็นสัจธรรมอย่างที่ผมเห็นในวันนั้นบ้าง
บางครั้ง การนั่งรอก็มีประโยชน์เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคแห่งการรีบเร่งของเรานี้.