Stimulating Thoughts|35


คบกับเพื่อนผมคนนี้แล้ว ผมรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย

ก็คบกันมานานหลายปี รู้ใจกันดี มีอะไรถึงกัน ไม่ว่าเรื่องสุขเรื่องทุกข์

ความอึดอัดใจที่ว่า ไม่ใช่เพราะนิสัยไม่ดีอย่างใดอย่างหนึ่งของเพื่อน

เพราะหากจะคบกันแล้ว เพื่อนก็ยังคงเป็นเพื่อนทั้งในนิสัยดีและนิสัยเสียอยู่นั่นแหละ

แต่อึดอัดใจเพราะนิสัยดีเกินไปของเพื่อนต่างหาก

เพื่อนผมคนนี้แกชอบให้ และมีความสุขจริงๆ กับการให้

ให้ในสิ่งที่ผมขอ และแม้ในสิ่งที่ผมไม่คิดขอหรือคิดจะได้

และหากผมปฏิเสธ แกก็จะเศร้าออกนอกหน้า ต่อว่าต่อขานอีกต่างหาก

ไอ้ผมมันเป้นคนขี้เกรงใจ พอเจออย่างนี้ก็อดจะรู้สึกอึดอัดใจลึกๆ ไม่ได้

ความอึดอัดใจผมมากกว่านั้น เมื่อเพื่อนไม่ยอมให้ผมให้อะไรบ้างเลย

เอาอะไรไปให้แต่ละครั้ง เป็นต้องถูกต่อว่าต่อขาน...เสียเงินเสียทองทำไม

ผมเข้าใจเพื่อนคนนี้ดี แกรักและห่วงใยผม ก็เลยมีความสุขกับการให้

แต่ก็อดคิดน้อยใจไม่ได้ว่า ผมเองก็รักและห่วงใยแก อยากจะมีความสุขกับการให้ด้วยเหมือนกัน


มีการพูดกันว่า รักคือการให้

แต่เมื่ออ่านความรู้สึกของผมแล้ว ผมคิดว่ารักคือการให้และการรับ

ใช่ ธรรมชาติของความรักคือการให้ ให้ได้ทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิต

แต่ถ้าสองคนที่รักใคร่กัน มีคนเดียวที่ผูกขาดการให้และมีความสุขกับการให้

อีกคนหนึ่งก็คงไม่มีโอกาสได้รัก เพราะรักต้องคอยรักอยู่ตลอดเวลา

อาจจะมีความสุขในการรับ แต่ก็ยังไม่สุขเต็มที่หากยังไม่ได้ให้บ้าง

แม้ในสังคมที่มีความเห็นแก่ตัวแบบทุกวันนี้ การรับจะดูง่ายกว่าการให้

แต่ในธรรมชาติของมนุษย์ที่เกิดมาเพื่อรัก การให้จะง่ายกว่าการรับเป็นไหนๆ

ในเมื่อการให้นำความสุขมาให้แก่ผู้ให้ ทุกคนก็พยายามจะได้มาซึ่งความสุขนี้...เป็นผู้ให้ และไม่คิดจะเป็นผู้รับบ้าง

หากความรักมุ่งถึงความสุขของคนที่รักกัน การรู้จักให้และรู้จักรับจึงเป็นการมอบความสุขให้แก่กันและกันตลอดเวลา


ในเมื่อถือว่าความรักคือการให้ หลายคนก็เลยคิดแต่ให้อย่างเดียว และไม่เคยคิดว่าควรจะให้อะไรหรือให้อย่างไร

ก็เลยคิดเองเสร็จสรรพว่าเขาน่าจะได้อย่างนั้นอย่างนี้ คงชอบนั่นชอบนี่

และไม่เคยดูความชอบและความต้องการแท้ๆ ของคนที่รับเลย

บ่อยครั้งจึงให้สิ่งที่คนรับไม่ต้องการ หรือไม่ชอบ

พ่อแม่บางคนมีความสุขในการแต่งตัวลูกด้วยเสื้อผ้าสีสันและรูปแบบที่ตนเองชอบ ทั้งๆ ที่ตัวลูกเองอาจจะไม่ชอบ

หรือพ่อแม่บางคนให้ลูกเรียนสายวิชาที่ตนเองชอบ แต่ตัวลูกไม่ชอบหรือเรียนไม่ไหว

บางคนหาซื้อของที่ตนอยากมีอยากให้แฟนใช้ ทั้งๆ ที่ไม่ตรงกับรสนิยมของแฟน

บางคนคิดหาสิ่งของเครื่องใช้และเสื้อผ้าไปแจกคนยากไร้ ทั้งๆ ที่เขาเหล่านั้นต้องการข้าว

สารกรอกหม้อกินแก้หิว ฯลฯ


ในเมื่อผูกขาดการให้และมีความสุขกับการให้ ก็เลยทำให้รักคนอื่นตามที่ตนต้องการจะรักมากกว่าจะรักอย่างที่คนอื่นต้องการให้รัก

การรักใครอย่างที่ตนเองต้องการจะรักมันง่าย แต่รักเขาอย่างที่เขาต้องการให้รักนี่สิ ยาก

ก็เลยหลายครั้งที่บอกว่ารักเขา แต่จริงๆ แล้วก็กำลังรักตัวเองอยู่นั่นแหละ

...รักเขาแล้วตัวเองมีความสุข ให้เขาแล้วตัวเองมีความสุข ช่วยเขาแล้วตัวเองมีความสุข...

คงต้องถามตนเองบ่อยๆ เสียแล้วว่า ที่ว่ารักเขาน่ะ รักเขาหรือรักตัวฉันเองแน่ๆ

หากปลายทางของความรัก ยังวกวนเข้ามาหาตัวผู้รัก ก็คงไม่อาจจะเรียกว่ารักได้ไม่เต็มปากเต็มคำนัก

แต่เมื่อใดความรักออกจากตัวผู้รัก และไปเป็นตัวเป็นตนอยู่ในคนที่เขารัก

เมื่อนั้นคือความรักที่แท้จริง

โดยไม่ต้องเอ่ยคำว่า “รัก” ด้วยซ้ำ.