ความงามที่แท้จริง
ปีนี้มีการประกาศให้เป็น “ปีสยามเมืองยิ้ม”
มีความพยายามจะรณรงค์ให้ชื่อเสียงดั้งเดิมของเมืองไทยกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง
กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มจริงใจที่เลือนลางหายไปอย่างน่าเสียดาย
รอยยิ้มที่มีให้เห็นเวลาไปไหนมาไหน ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักมักจี่กันมาก่อน
รอยยิ้มที่เป็นการทักทาย ส่งความปรารถนาดีให้กัน โดยไม่ต้องพูดจาว่าความ
รอยยิ้มที่เป็นภาษาสากล สื่อถึงกันโดยไม่ต้องเข้าถึงภาษาและวัฒนธรรม
รอยยิ้มที่เป็นของขวัญชิ้นงาม ที่มอบให้กันโดยไม่คิดสนนราคาค่างวด
มันน่าเสียดายที่รอยยิ้มค่อยๆ ตีวงแคบเข้ามา จากสากลมาเป็นแค่เฉพาะตัว
แล้วก็ยิ้มให้เฉพาะคนรู้จัก จะเที่ยวยิ้มไปทั่วแบบก่อนนี้ไม่ได้
เผลอๆ คนที่พบเห็นจะคิดว่าบ้า หรือไม่ก็ส่อเจตนาร้ายแอบแฝง
และแม้คนที่รู้จัก ใช่จะยิ้มได้เหมือนกันทุกคนก็หาไม่ ยิ้มจริงใจแค่เพื่อนซี้กันจริงๆ ไม่กี่คน นอกนั้นต้องยิ้มอย่างสงวนท่าที เพียงเพื่อไม่ให้มันน่าเกลียด
เดี๋ยวนี้นอกจากต้องฝึกยิ้มแล้ว ยังต้องฝึกหยุดยิ้มได้อย่างกระทันหันและในทันท่วงที
เดินผ่านคนที่รู้จัก ยิ้มให้แล้วต้องรีบหุบยิ้ม เดี๋ยวคนที่เดินตามมาจะเข้าใจผิด ทึกทักเอาว่ายิ้มให้
มันง่ายที่จะยิ้ม แต่ยากที่จะหุบยิ้มอย่างฉับพลัน และยากที่สุดที่จะต้องเปลี่ยนจากยิ้มเป็นหน้าบึ้งอย่างทันทีทันใด
และเนื่องจากเป็นอะไรที่ยากและต้องเมื่อยกับกล้ามเนื้อบนใบหน้าที่ต้องทำงานหนัก คนจึงเลือกตีหน้าบึ้งไว้เลย แถมปลอดภัยอีกต่างหากสำหรับสภาพสังคมปัจจุบัน
มันสื่อได้ชัดเจนเมื่อออกจากบ้านว่า โลกของใครโลกของมัน ไม่ต้องมายุ่งแหละเป็นดี
มันบอกให้รู้เป็นนัยว่า ไม่เล่นด้วยนะ อย่าคิดอะไรอื่น
มันฟ้องชัดเจนว่า ต่างคนต่างมีปัญหาต้องแก้ ภาระต้องแบก อย่ามาเพิ่มให้มากไปกว่านี้
พอกลับเข้าบ้านที ก็ให้รู้สึกเมื่อยไปทั้งหน้า เพราะต้องเกร็งต้องฝืนอยู่ตลอดเวลา
และนี่คือสาเหตุที่ “สยามเมืองยิ้ม” กลายเป็นอดีต เหลือไว้แต่ความทรงจำ เพียงมีจารึกในประวัติศาสตร์ว่า “ประเทศไทย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกขนานนามว่า สยามเมืองยิ้ม...”
ทุกคนมีความงาม และความงามบนใบหน้าคือรอยยิ้ม เฉกเช่นดอกไม้ที่เป็นความงามของต้นไม้ใบหญ้า
แม้หน้าไม่สวยดูไม่หล่อ แต่รอยยิ้มบันดาลความงามและความน่ารักขึ้นมาได้อย่างน่าทึ่ง
เวทีประกวดประชันโฉม เขาไม่เรียกว่าเวทีประกวดนางสวย แต่เรียกกันติดปากว่า เวทีประกวดนางงาม เพราะตัดสินกันไม่ใช่ด้วยใบหน้าสวย แต่รอยยิ้มงดงาม รวมทั้งอากัปกิริยาและท่วงที ไหวพริบ
แต่ละปีมีเข้าประกวดกันแน่นจนต้องคัดกันหลายรอบ และดูงามกันทุกคนจนยากแก่การตัดสิน
ก็เพราะแต่ละคนขึ้นไปเดินยิ้ม ยืนยิ้ม นั่งยิ้ม ชวนให้เจริญหูเจริญตา พาให้สดชื่นอีกต่างหาก
ใช่ว่าสาวงามเหล่านี้จะงามเลิศไปกว่าคนอื่นๆ ที่ไม่ได้ขึ้นไปปรักวดบนเวที ก็เปล่า แต่จะต่างก็อยู่ที่ยิ้มหรือไม่ยิ้มมากกว่า
บ่อยครั้งเสียอีกที่มีพูดกันให้ได้ยินว่า งามอย่างนี้ขึ้นเวทีประกวดได้สบาย
“ในบ้าน รอยยิ้มราคาถูกกว่าไฟฟ้า แต่ให้ความสว่างกว่าแสงไฟฟ้าเป็นไหนๆ” อเล็กซันโดร บลาเซตตี เขียนไว้
เพราะแม้บ้านจะสว่างไสวด้วยแสงไฟ แต่ขาดรอยยิ้ม ก็เหมือนมืดมน ชวนให้หดหู่
แม้วันจะสดใสแดดจ้า แต่คนไร้รอยยิ้ม ก็เหมือนมีเมฆหมอกปกคลุม ชวนให้เศร้าซึม
มาร่วมมือกัน คืนรอยยิ้มให้ใบหน้า คืนรอยยิ้มให้ครอบครัว คืนรอยยิ้มให้สังคม คืนรอยยิ้มให้ประเทศชาติ...สยามเมืองยิ้ม กันเถอะครับ.