เส้นทางที่สั้นกว่าหมดในการเข้าถึงความจริงคืออุปมา
นี่คือเส้นทางที่พระเยซูเจ้าทรงใช้เพื่อสอนประชาชน “พระองค์ตรัสเป็นอุปมาเช่นนี้อีกมาก ตามที่เขาเหล่านั้นฟังเข้าใจได้ พระองค์มิได้ตรัสกับเขาโดยไม่ใช้อุปมา” (มก 4, 33-34)
ถ้าจะพิจารณาเนื้อหาคำสอนของพระเยซูเจ้า จะได้เห็นว่าสิ่งที่พระองค์ทรงสอนนั้นล้วนเป็นเรื่องลึกซึ้ง ยากสำหรับคนฟังจะเข้าใจได้ กระนั้นก็ดีพระองค์ทรงสามารถถ่ายทอดความจริงอันยิ่งใหญ่ด้วยภาษาเรียบง่ายและเห็นได้จากประสบการณ์แห่งชีวิตประจำวันของผู้ฟัง
เพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรม พระองค์จึงมักจะใช้อุปมาประกอบการสอนของพระองค์
องค์ประกอบอุปมาแต่ละเรื่องนั้น ก่อนอื่นหมด เป็นสิ่งที่เห็นได้ในชีวิตและสิ่งรอบข้างตัว อาทิ ความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันสภาพแวดล้อม ธรรมชาติ การเกษตร เป็นต้น ตัวอย่างเช่น เมื่อต้องการจะสอนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า พระองค์ทางใช้อุปมาของกิ่งองุ่นที่ยึดติดกับลำต้น หรือเมื่อต้องการจะสอนถึงความรักและความเอาใจใส่ของพระเจ้าต่อลูกๆ ของพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงใช้อุปมาเกี่ยวกับนกกระจอกและดอกไม้ในท้องทุ่ง ซึ่งแม้จะดูไร้ค่าและอนิจจัง แต่พระบิดาก็ทรงให้การสอดส่องดูแล สาอะไรกับลูกแต่ละคนของพระองค์…
กระนั้นก็ดี อุปมาแต่ละเรื่องของพระเยซูเจ้าแตกต่างไปจากอุปมาอื่นๆ เพราะมักจะลงท้ายแบบไม่คาดฝันและมีการเรียกร้องจนต้องอึดอัด พระองค์ทรงเล่าอุปมาแล้วก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนฟังที่จะต้องหาข้อสรุป หรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง พระองค์ทรงให้การบ้านผู้ฟังไปทำทุกครั้งไป
ผู้สันทัดกรณีเห็นพ้องต้องกันว่า อุปมาที่พระเยซูเจ้าทรงเล่านั้นมีจำนวน 41 เรื่อง ในจำนวนนี้มี 6 เรื่องที่ปรากฏอยู่ในพระวรสารโดยนักบุญมาร์โก, 10 เรื่องมีการบันทึกไว้ทั้งในพระวรสาร โดยนักบุญมัทธิวและนักบุญลูกา, 10 เรื่องมีบันทึกเฉพาะในพระวรสารโดยนักบุญมัทธิว และ 15 เรื่องมีบันทึกอยู่ในพระวรสารโดยนักบุญลูกาเท่านั้น1
อุปมาเรื่องลูกล้างผลาญเป็นอุปมาที่ยาวที่สุด ในบรรดาอุปมาที่พระเยซูเจ้าทรงเล่าและถือได้ว่าเป็นอุปมาที่งดงามกว่าหมด
เมื่ออ่านเนื้อหาอุปมาเรื่อง “ลูกล้างผลาญ” แล้ว น่าจะเปลี่ยนชื่อเป็นเรื่อง “พ่อผู้น่ารัก” มากกว่า เพราะมีการบรรยายความรักอันยิ่งใหญ่และไร้เงื่อนไขของบิดาได้อย่างดียิ่ง จนแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นจริงได้ นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงต้องการจะบอกให้รู้ว่าตราบใด ที่ยังมีภาพลักษณ์ของพระเจ้าที่ติดอยู่กับประสบการณ์มนุษย์ เราก็ยังไม่อาจจะเข้าถึงความรักของพระบิดาเจ้าได้อย่างแท้จริง
อุปมาเรื่องนี้มีจุดเด่นอยู่สองจุด กล่าวคือ การต้อนรับลูกล้างผลาญกลับมาบ้าน และปฏิกิริยาของลูกชายคนโต เมื่อมองภาพรวมของสองจุดเด่นนี้ เราสามารถสรุปได้ว่าพระเยซูเจ้าทรงต้องการเน้นให้เห็นพระเมตตาของพระเจ้าที่แสดงออกมาในการให้อภัย ในเวลาเดียวกันพระองค์ก็ทรงถามเป็นเชิงให้การบ้านเราทำว่า “ถ้าพระเจ้าทรงต้อนรับคนที่หลงผิดไปเช่นนี้ เรามนุษย์จะผลักใสไล่ส่งคนที่ทำผิดไปได้อย่างไร?”
ในเวลาเดียวกัน พระเยซูเจ้าทรงบรรยายให้เห็นถึงความเลวร้ายของบาปและผลเสียที่ตามมาอย่างเป็นรูปธรรม ถึงกระนั้นก็ตาม พระเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ยังคงยิ่งใหญ่กว่าความชั่วร้ายของบาป ความขัดแย้งระหว่างความรักของพระเจ้าและความชั่วร้ายของบาปจึงเป็นการเน้นแต่ละอย่างให้เด่นชัดและลึกซึ้งยิ่งขึ้นกล่าวคือ ความรักและความเมตตาของพระเจ้าทำให้บาปเป็นสิ่งที่ชั่วร้าย เพราะบาปคือการทำให้พระเจ้าผู้ทรงความดีและความน่ารักต้องเสียใจ ในทำทองเดียวกันความเลวร้ายของบาปทำให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่แห่งความรักและความเมตตาของพระเจ้า เพราะ ถึงแม้บาปจะเลวร้ายอย่างที่สุด แต่ความรักและพระเมตตาของพระเจ้ายังพร้อมจะให้อภัยลูกที่ทำบาป .
1 Cfr. Alfons Kemmer, Le parabole di Gesu’,p. 19