น่าจะคิดให้หนัก
“รักแท้แพ้ใกล้ชิด”
ตอนแรกที่ได้ยิน ผมก็ไม่ได้สนใจเชื่อ
ใช่ ฟังดูดี คล้องจอง แต่ก็เท่านั้น
จนกระทั่งไปอ่านเรื่องนี้เข้า จึงเห็นจริงเห็นจัง
แฟนหนุ่มจำต้องจากแฟนสาว ด้นดั้นไปขุดทองต่างประเทศ
กะว่าทำงานหาเงินได้สักก้อนแล้วจะรีบกลับมาสู่ขอ เพื่อร่วมหอลงโรงกันให้สมกับที่รักกันมานาน
ความรักน่ะสุกหง่อมแล้ว ยังขาดก็แต่ปัจจัยที่จะช่วยสร้างความมั่นคงให้แก่ครอบครัวน้อยๆ ที่จะแจ้งเกิดในไม่ช้า
จากไปก็แต่กาย แต่ใจนั้นใกล้ชิด ยืนหยัดสัตย์ซื่อรักเดียวใจเดียว
จนกระทั่งหนึ่งปีผ่านไป หญิงสาวก็แต่งงาน...กับบุรุษไปรษณีย์หนุ่มที่มาส่งจดหมายให้ทุกวัน
วิถีชีวิตในสังคมทุกวันนี้ มีหลายอย่างต้องทำให้รักแท้ต้องพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า
เนื่องจากเป็นวิถีชีวิตที่รีบเร่ง แข่งกับเวลา แทบในทุกเรื่อง ความรักที่แสดงต่อกันจึงพลอยต้องเข้าไปสู่ในกระแสน้ำเชี่ยวนี้ด้วย
ความรักที่เคยลึกซึ้ง มีเวลาเป็นใจให้อย่างเหลือเฟือ เริ่มผิวเผิน ฉาบฉวย
เวลาที่จะอยู่ด้วยกันนั้นน้อยลงไปทุกทีๆ
และแม้จะมีเวลาอยู่ด้วยกัน ก็มักจะอยู่ในลักษณะจำยอม อึดอัด เครียด กังวล
อย่างนั่งรถไปมาด้วยกันตามท้องถนนที่รถติดหนึบด้วยการจราจรแบบบ้านเรา เป็นต้น
สำหรับผู้ใหญ่ที่ใช้เหตุใช้ผลมาเสริมเติมแต่งความรักที่มีต่อกัน ก็สามารถครองรักกันได้แม้สถานการณ์จะไม่เป็นใจนัก
แต่สำหรับเด็กๆ นี่สิ ความรักอยู่ในสิ่งที่เห็นและสัมผัสได้ มากกว่าเหตุและผล
คำพูดร้อยคำหมื่นคำที่พร่ำรัก ไร้ค่าหาความหมายไม่ได้ หากไม่เคยมีเวลาใกล้ชิด รับฟังสารทุกข์สุขดิบ อีกความสุขความสมหวัง หรือแม้เรื่องไร้สาระประสาเด็ก
ข้ออ้างร้อยแปดว่ารักแท้รักจริง แถมของเล่นราคาแพงที่ซื้อหามาประเคนให้ไม่ขาดระยะ ก็ไม่มีวันทำให้เชื่อใจสนิท หากเห็นหน้าเพียงแค่แว้บไปแว้บมาจนแทบจะจำไม่ได้
รักกันแต่นานๆ เห็นหน้าที ราวกับผีที่โผล่มาหลอกเป็นครั้งเป็นคราว ชวนให้ไม่แน่ใจและทำให้หวาดกลัวไม่แพ้โดนผีหลอก
จะต่างก็ตรงที่ว่าโดนผีหลอกยังน่ากลัวน้อยกว่าโดนรักหลอกเป็นไหนๆ
มันน่าเศร้า เมื่ออ่านหนังสือพิมพ์พบจดหมายของเด็กหญิงอายุแค่ 13 เขียนถามเกี่ยวกับเรื่องเพศเสียละเอียดยิบ
คำถามที่ละเอียดอ่อนประเภทนี้ก่อนนี้เคยมีพ่อแม่คอยตอบคอยให้ความกระจ่าง เดี๋ยวนี้ต้องพึ่งคนแปลกหน้า
มีปัญหาก่อนนี้พ่อแม่มีเวลาฟังมีเวลาแก้ไขให้ เดี๋ยวนี้ต้องพึ่งเพื่อน
เพราะเพื่อนและคนแปลกหน้ามีเวลาให้และพร้อมรับรู้รับฟังเสมอ ในขณะที่พ่อแม่ไม่มีให้
ปัญหาเล็กน้อย ดูไร้สาระในสายตาพ่อแม่ กลายเป็นปัญหาใหญ่เกินแก้ไขสำหรับเด็กที่ไร้ประสบการณ์ชีวิต
จนต้องตัดช่องน้อยแต่พอตัว เพียงเพื่อให้พ้นปัญหา พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ต่างก็รีบโยนความผิดให้กันและกัน ไม่ต่างกับปัดสวะให้พ้นตัว
...พ่อแม่ไม่สนใจลูกบ้าง ครูสร้างแรงกดดันให้เด็กบ้าง...
ปิดเทอมที เด็กยินดี แต่พ่อแม่หลายคนฝันร้าย
ลูกไม่ต้องไปเรียน แต่ตัวพ่อแม่ต้องไปทำงาน
ช่วงปิดเทอมยังพึ่งโรงเรียนได้ แต่เดี๋ยวนี้จะไปพึ่งใครดี
การเรียนพิเศษหน้าร้อน การไปเรียนภาษาต่างประเทศ การเข้าค่าย ฯลฯ กลายเป็นทางออกที่ได้ผลประโยชน์ทั้งสำหรับโรงเรียน ครู และพ่อแม่ แต่เด็กเป็นผู้เสียผลประโยชน์อย่างไม่มีทางเลือก
เรียนมาทั้งปีแล้ว ปิดเทอมก็ยังหอบสังขารหิ้วหนังสือมาเรียนอีก
แทบไม่มีเวลาพบปะหน้าตาพ่อแม่มาทั้งปีแล้ว ยังต้องมาพลัดพรากยามว่างเว้นจากการเรียนอีก
อย่างนี้แล้ว รักของพ่อแม่จะแท้แค่ไหน ก็ยังแพ้ใกล้ชิดอยู่ดี.