ปัญหาอยู่ที่เลือก
สมัยนี้มีปัญหาหลายอย่างที่ต้องปวดหัวคิดแก้ไข นอกจากปัญหาเรื่องทำมหากิน ที่อยู่อาศัย สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ฯลฯ ที่ต้องมานั่งถกนั่งแก้ไขแล้วยังต้องมีปัญหาเรื่องความอ้วนให้หนักใจอีก
มันเป็นปัญหาที่ตามสังคมบริโภคนิยมมาติดๆ แทบจะเป็นเงาตามตัวในเมื่อการกินการดื่มอุดมสมบูรณ์และกลับกลายเป็นคุณค่าอย่างหนึ่ง การอยู่ดีมีสุข ปัญหาน้ำหนักตัวเกินพอดี ทรวดทรงใหญ่เกินขนาด ไขมันในเส้นเลือดมีเกินปริมาณ เส้นเลือดอุดตัน... ก็ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
ยิ่งในสังคมไทยที่ความสะดวกด้านการบริโภคเป็นใจให้ด้วยแล้ว ใครๆ ก็มีสิทธิมีปัญหานี้ได้ทั้งนั้นประเทศไทยแม้ยังติดอยู่ในรายชื่อประเทศที่กำลังพัฒนา แต่เรื่องอาหารการกินนั้นล้ำหน้าประเทศที่พัฒนาแล้วแทบทุกประเทศก็ว่าได้
คนไทยกินได้ตั้งแต่ดินไปจนถึงอาหารจานละแสนไม่รวมถึงการกินป่า กินภูเขา กินเกาะ กินถนน กินงบ กินสนามบิน ฯลฯ ที่เป็นอาหารจานโปรดของนักการเมืองโดยเฉพาะ
นอกจากอาหารไทยแล้ว ยังมีอาหารต่างชาติไว้ให้ลิ้มชิมลองได้เอร็ดอร่อยโดยไม่ต้องเดินทางออกนอกประเทศแถมมีอาหารต่างชาติที่ซื้อหาบริโภคในประเทศต้นสังกัดไม่ได้อาทิ ขนมจีน ลอดช่องสิงคโปร์ เป็นต้นส่วนเรื่องเวลานั้นไม่ต้องห่วง มีอาหารจำหน่ายตลอด 24 ชั่วโมง อยากเมื่อไหร่มีให้กินเมื่อนั้น
ร้านอาหารปิด มีอาหารโต้รุ่ง ร้านโต้รุ่งปิด มีรถเข็นขาย รถเข็นเลิก ร้านอาหารเปิด... อย่างนี้ตลอดวันตลอดคืน
คนไทยจึงกินอาหารไม่เพราะ “หิว” แต่กินเพราะ “อยาก” หนักเข้าก็เริ่มจะแยกแยะไม่ออกว่าตอนไหน “หิว” ตอนไหน “อยาก”
“หิว” กับ “อยาก” จึงกลายเป็นเรื่องเดียวกันเมื่อกินเพราะ “อยาก” ปริมาณอาหารที่กินเข้าไปจึงเกินความต้องการของร่างกาย
และนั่นคือที่มาของปัญหา จนต้องมีศูนย์ลดความอ้วนเปิดให้บริการเป็นดอกเห็ด เชือดเฉือนกันด้วยโฆษณาเด็ดๆ “ลดทันตาเห็น 5 กิโล ภายใน 2 อาทิตย์”เสียเงินกินแล้วยังต้องเสียเงินให้ผอมอีก เพราะคำว่า “อยาก” คำเดียวแท้ๆ
จริงๆ แล้ว การแก้ปัญหาต้องเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจคำพูดก่อนอื่นหมดในการบริโภคมีคำที่ใช้อยู่ 4 คำ ที่มักจะไปเป็นคู่ กล่าวคือ “หิว” คู่กับ “อิ่ม” และ “อยาก” คู่กับ “อร่อย”เมื่อ “หิว” ก็กินให้ “อิ่ม” แล้วก็พอแค่นั้น
แต่เมื่อ “อยาก” ก็จะกินให้ “อร่อย” ก็ยิ่ง “อยาก” กิน ไม่มีสิ้นสุด “หิว” กับ “อิ่ม” จึงเป็นเรื่องของท้อง ในขณะที่ “อยาก” กับ “อร่อย” เป็นเรื่องของปาก
การแก้ปัญหาจึงอยู่ที่การ “เลือก” จะใช้สองคำไหนเมื่อกิน...กินแล้วพอดีพอควร กินแล้วสุขภาพดีแข็งแรงสมบูรณ์
คุยเรื่องกินเรื่องปากเรื่องท้องแล้วก็อดจะคุยเรื่องถือศีลอดอาหารในเทศกาลมหาพรตไม่ได้ถ้าจะดูกันให้ถึงแก่นแล้ว เทศกาลมหาพรตก็เป็นเรื่องของการ “เลือก” เหมือนกันมันเป็นการเลือกระหว่าง “แนวทางพระเจ้า” และ “วิถีชีวิตของเรา”
ประวัติศาสตร์ส่วนตัวของเราแต่ละคนชี้บอกว่า บ่อยครั้งวิถีชีวิตเราไม่ตรงตามแนวทางพระเจ้า บางครั้งก็ขัดแย้งกันอย่างน่าเกลียด
มหาพรตจึงเป็นช่วงเวลาการเลือกที่เด็ดขาด และเบื้องหลังการเลือกแต่ละอย่างมี “การสละ” ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้และการ “สละ” คือการตายอย่างหนึ่ง
ถ้าฉันเลือกแนวทางพระเจ้า ฉันต้องสละแนวทางฉัน หันมาดำเนินชีวิตตามแนวทางที่พระองค์ทรงชี้บอกและสั่งสอนไว้
เพราะเหตุนี้เอง ตั้งแต่เริ่มต้นเทศกาลมหาพรต พระศาสนจักรจัดให้มีพิธีโรยเถ้าพร้อมกับเตือนว่า “จงกลับใจและเชื่อพระวรสาร”หรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง เลิกแนวทางของเราเสีย และหันไปยึดแนวทางที่พระเจ้าชี้บอกไว้ในพระวรสาร นั่นเอง
“ขี้เถ้า” นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์แห่งการใช้โทษบาปแล้วน่าจะบ่งบอกถึงเศษร่างกายที่เหลือจากความตายด้วย... ตายจากทุกสิ่งที่ไม่ใช่แนวทางพระเจ้าในตัวเรา
ถ้าอยากจะหุ่นดีด้วย อร่อยปากด้วย ปัญหาก็ยังคาราคาซังศูนย์ลดความอ้วนก็ช่วยไม่ได้
ถ้าอยากดำเนินชีวิตตามแนวพระเจ้าด้วย ตามแนวของตนเองด้วย ปัญหาก็ยังคงยืดเยื้อไม่รู้จบ เทศกาลมหาพรตก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน.