ภาษาความรัก
เจอเพื่อนผมวันก่อน ก็เพื่อนคนเดิมนั่นแหละครับ
ยังไม่ทันจะทักทายกันประสาคนนานๆ เจอกันที แกก็รีบชิงพูด
“ช่วงนี้เขียนเรื่องหนักๆ ทั้งนั้นเลยนะ มีปัญหาอะไรเหรอ...” คราวนี้แกมาแปลก ผิดกับที่เคยพูดน้อย
“ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร เพียงแต่เขียนไปตามสถานการณ์การบ้านการเมือง ประสาคนห่วงใย...” ผมชี้แจง
“รู้สึกห่วงใยไปทุกเรื่องเลยนะ...คิดหรือจะช่วยอะไรได้” เพื่อนผมคนนี้เป็นคนตรง อย่างที่ผมเคยบอก
“ก็อย่างน้อยๆ ช่วยให้คนคิดอะไรได้บ้าง แต่ต่อไปจะพยายามเขียนเรื่องเบาๆ...” ผมรวบรัดสรุป รู้ดีแก่ใจว่าเพื่อนผมคนนี้ไม่ชอบพูดเรื่องใดยืดยาวเกินความจำเป็น แม้คำสองคำ
พอเริ่มจะเขียนเรื่องเบาๆ บรรยากาศของเดือนกุมภาพันธ์ก็พาใจไปหยุดอยู่ที่วันวาเลนไทน์
เพียงนึกถึงชื่อ ก็ให้รู้สึกถึงความอบอุ่น ความวาบหวาน ความสดใส ความงดงาม...และอีกหลายๆ อย่างที่ยากจะร้องเรียงออกมาเป็นคำพูดหรือคำเขียนได้
ถ้าจะถามว่า หน้าตาของความรักเป็นอย่างไร ก็คงต้องมองไปที่แววตา ใบหน้า ท่าที ของคนที่กำลังอยู่ในความรัก
ถ้าจะถามต่อว่า รักแล้วรู้สึกอย่างไร ก็คงต้องตอบด้วยคำถามว่า “เคยรักหรือเปล่า?”
เพราะมีเพียงคนที่รักเท่านั้นที่รู้ว่ารักคืออะไรและรักแล้วรู้สึกอย่างไร
บรรยายไปอย่างไรก็ไม่มีวันสื่อออกมาได้ครบ เพราะสิ่งที่สื่อออกมาเป็นแค่เสี้ยวน้อยนิดของสิ่งที่อยู่ลึกๆ ภายใน ซึ่งหลุดพ้นภาษาไปอย่างสิ้นเชิง
ภาษาต่างๆ ของมนุษย์ช่วยสื่อสิ่งที่อยู่ภายในความคิดจิตใจของมนุษย์ออกมาได้หลายอย่าง แต่มีอีกมากอย่างที่ภาษาไม่สามารถสื่อออกมาได้หมดสิ้น
ไม่น้อยครั้งหลังจากที่พูด พูด พูด แล้วก็ยังต้องยอมรับว่า ยังพูดไม่ได้หมดอยู่ดี
และนี่คือขีดจำกัดของภาษา ของคำพูดจา แม้ภาษากายก็เถอะ
น่าเสียดายที่ความก้าวหน้าด้านการสื่อสาร ทำให้คนเราหันมาให้ความสนใจกับภาษา คำ
พูดคำจา แล้วก็หยุดอยู่แค่นั้น
คุณค่าหลายอย่างที่ไม่อาจจะสื่อออกมาเป็นภาษา เป็นคำพูดคำจาหรือคำเขียน จึงถูกมอง
ข้ามไปทีละเล็กทีละน้อย
คนจึงอ่านหนังสือออกเฉพาะตามตัวอักษร แต่ไม่เคยอ่านระหว่างบรรทัดอย่างที่ฝรั่งพูดๆ กัน
เพราะลายลักษณ์อักษรสื่อความนึกคิดก็จริง แต่เบื้องหลังความนึกคิดนั้นมีความรู้สึกต่างๆ ที่พัวพันกันอยู่อย่างแยกไม่ออก
คนฟังแค่สิ่งที่พูดจาสื่อสารออกมา แต่ไม่คิดจะฟังสิ่งที่อยู่เบื้องหลังคำพูดสิ่งที่อยากจะสื่อออกมาด้วย
คำพูดสี่ห้าประโยค แต่สิ่งที่อยากสื่อออกมามีมากกว่านั้นเป็นไหนๆ
วันวาเลนไทน์ทีก็มีการพูดถึงความรักกันที
พูดเป็นวาจาถ้อยคำบ้าง เขียนพรรณาเป็นลายลักษณ์อักษรบ้าง
แล้วก็มักจะลงเอยพูดถึงความรักแต่ไม่เคยเข้าไปถึงความรักกันสักที
ตราบใดที่ไม่เลิกพูดเลิกเขียนและปล่อยให้ความรักพูดออกมาตามภาษาของมันบ้าง ก็คงเห็นแค่ตัวอักษร ได้ยินแค่คำพูด แล้วก็หยุดอยู่แค่นั้น
เฉพาะคนที่รู้จักเห็นมากกว่าที่สายตาสัมผัส ได้ยินมากกว่าที่หูแว่วเสียง เข้าใจมากกว่าสิ่งที่สื่อออกมา จึงสามารถเข้าถึงความรักได้
เพราะความรักเป็นดังสายลม รู้สึกถึงพลังได้แต่มองไม่เห็นตัว
ความรักเป็นดังกลิ่น ที่สัมผัสได้แม้ไม่เห็นตัวตน
ความรักเป็นดังแสงสว่าง ที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างแจ่มแจ้งเจิดจ้าขึ้นมา แม้จะจับต้องตัวมันไม่ได้
เพราะเหตุนี้เอง ยอห์นจึงบอกว่า “พระเจ้าคือความรัก”
ทั้งๆ ที่เรามองไม่เห็นพระองค์ เราก็สามารถสัมผัสกับฤทธิ์อำนาจและความยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้
เฉกเช่นความรักนั้นเอง.