แล้วแต่จะมอง (1)
ยุคเรานี้มีการพูดถึง “การล่มสลาย” ของหลายอย่าง
หนึ่งในหลายอย่างนี้คือการลมสลายของครอบครัวไทย
มีทั้งล่มสลายตามความหมายของคำ และล่มสลายในพฤตินัย
คำว่า “ล่ม” หมายถึงการทรงตัวไม่อยู่ เอียงจนตะแคงหรือคว่ำ เช่น เรือล่ม หรือหมายถึงทำอะไรไม่สำเร็จ ไม่รอดฝั่ง
คำว่า “สลาย” หมายถึงแตกพัง ทลาย ทะลาย
ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางภาษาไทย ก็ได้แต่คิดตามประสาของผมว่า เมื่อพูดถึงคำว่า “ล่มสลาย” น่าจะหมายถึงอาการของสองคำนี้รวมกัน
ดังนั้น เมื่อพูดถึงการล่มสลายของชีวิตครอบครัวตามนัยแห่งคำแล้ว ก็หมายถึงครอบครัวที่ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ ไปด้วยกันไม่สำเร็จ แล้วก็แตกแยกพังทลายไม่เหลือหรอ
พ่อไปทาง แม่ไปทาง ลูกไปทาง... หมดสิ้นคำว่าครอบครัว
นอกนั้นก็มีการล่มสลายในพฤตินัยของชีวิตครอบครัว
แม้ยังจะอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว แต่ความรักต่อกันนั้นล่มสลายไปแล้ว
ทนอยู่ด้วยกันไปเพราะพันธะบางอย่าง เพราะฐานะด้านสังคม เพราะแรงกดดันจากผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ...
ทั้งๆ ที่ความรักที่มีต่อกันพยุงไว้ไม่อยู่และพังทลายไปนานแล้ว
เมื่อเห็นแนวโน้มของการล่มสลายของชีวิตครอบครัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มมีการศึกษาหาสาเหตุที่มาที่ไปเป็นการใหญ่โต
แล้วก็แจงรายการที่น่าจะเป็นตัวการก่อให้เกิดการล่มสลายเป็นบัญชียาวยืด
พร้อมกันนั้นก็เสนอรูปแบบกรแก้ปัญหาต่างๆ นานา แล้วแต่จะมองสาเหตุจากมุมมองใด
ผมมองของผมว่าในเมื่อคนเราแต่งงานและสร้างครอบครัวขึ้นมาเพราะความรักที่มีต่อกัน ก็น่าจะจากมุมมองความรักนี่แหละ
ผมคงไม่พูดถึงการแต่งงานที่ทำไปเพราะเหตุผลอื่น เพราะการแต่งงานประเภทนี้น่าจะเรียกว่าแต่งกับผลประโยชน์มากกว่าจะแต่งกับคน
ในเมื่อการแต่งงานเริ่มต้นเพราะความรัก ดำเนินไปเพื่อรัก มุ่งไปสู่ความรัก การล่มสลายของชีวิตแต่งงานก็เกิดจากการล่มสลายของความรักนั่นเอง
มักจะมีการพูดกันเสมอว่า เมื่อความรักของทั้งสองสุกหง่อมแล้วก็แต่งงานอยู่กินด้วยกัน
ทำให้เกิดความเข้าใจว่า การแต่งงานเป็นผลพวงจากความรักที่เต็มเปี่ยมสมบูรณ์แล้ว และไม่เคยฉุกคิดกันบ้างว่า ความรักเป็นผลพวงจากการแต่งงานด้วย
ราวกับจะบอกเป็นนัยว่า ทะเบียนสมรสเป็นปริญญาบัตรของความรัก
ปริญญาบัตรเป็นใบประกาศว่าบุคคลที่รับได้จบหลักสูตรการเรียนการศึกษาสาขาวิชานั้นๆ แล้วโดยสมบูรณ์
ทะเบียนสมรสเลยเป็นใบประกาศว่าบุคคลทั้งสองจบหลักสูตรความรักแล้วโดยสมบูรณ์
แล้วก็ลงเอยเหมือนผลไม้ที่สุกหง่อมที่คนจ้องแต่จะเด็ดมากินหรือไม่ก็ปล่อยให้ล่วงหล่นลงมาโคนต้น
แต่งงานกันไปแล้วก็มุ่งกอบโกยความสุข กินผลไม้ความรักที่สุกหง่อมกันอย่างตะกละตะกราม พอเอียนก็ปล่อยให้ร่วงหล่นเรี่ยราดอย่างไม่ใยดี
ถ้าไม่ได้กินตามคาดหวังก็มีการเรียกร้องสิทธิ ต่อรอง ข่มขู่ ประท้วง ประชด...หนักเข้าก็ลงไม้ลงมือ
แต่ของเอร็ดอร่อยขนาดไหนกินบ่อยๆ ซ้ำซาก ไม่ช้าก็เอียน
ความล่มสลายของชีวิตการแต่งงานก็ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะตั้งหลักกันว่าการแต่งงานเป็นผลพวงจากความรักแต่อย่างเดียว
ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ความรักเป็นผลพวงของการแต่งงานด้วย
ต้นดอกรักที่ลงเมล็ด เฝ้าเอาใจใส่รดน้ำพรวนดินในช่วงคบหากันเป็นแฟน จนแตกกอเป็นลำต้นเมื่อตกลงยินยอมแต่งงานร่วมมีชีวิตกันแล้ว ยังต้องดูแลรดน้ำพรวนดินด้วยความหวงแหนอาใจใส่ต่อไปและยิ่งวันยิ่งมากขึ้น จนแตกดอกออกผลในชีวิตน้อยๆ ที่ลืมตาขึ้นมาเป็นสมาชิกในครอบครัวแห่งความรัก
ในช่วงคบหาเป็นแฟนกัน ความรักที่มีต่อกันและกันเป็นแค่ “การเลือก” ...รักก็ได้ ไม่รักก็ได้ รักมากรักน้อย หรือแม้จะเลิกรักก็เป็นเรื่องของความพอใจ
แต่เมื่อแต่งงานแล้ว ความรักที่มีต่อกันกลับเป็น “พันธะ”... ต้องรักอย่างเดียว และรักสุดหัวใจ เสมอไป
และนี่คือความรักที่เป็นผลพวงจากการแต่งงาน
อยากให้คุณใคร่ครวญดูว่าคุณควรจะเป็นแบบใด.