ต่างมุมมอง
เดือดร้อนกันทั่วทุกหย่อมหญ้า เพราะสภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่นี้
ตั้งแต่อาหารการกิน เสื้อผ้า เครื่องใช้ไม้สอย น้ำมัน...ไปจนกระทั่งการเดินทาง
แล้วก็กลับมาสู่ “ยุครัดเข็มขัด” กันอีกครั้ง
ทว่าครั้งนี้ไม่เพียงแค่ “รัดเข็มขัด” กางเกง อย่างเดียว ยังต้อง “รัดเข็มขัด” เมื่อขับรถด้วย
เอาไปเอามาคงต้องรัดเข็มขัดแบบครบวงจรเสียแล้ว
หลายคนให้ข้อสังเกตว่า รถราที่วิ่งอยู่ตามท้องถนนบางตาไปถนัด
หรือจะเป็นมาตรการอย่างหนึ่งของการแก้ไขปัญหาจราจรของรัฐบาลชุดนี้?
ห้างร้านต่างประโคมโฆษณา ขายสินค้าราคาถูก
ซึ่งดูเหมือนจะให้ความเห็นใจผู้บริโภคเป็นอย่างมาก
แต่สินค้าที่ว่าราคาถูกตอนนี้ ก็เป็นสินค้าราคาแพงก่อนที่จะมีการขึ้นราคานั่นเอง
จะพูดกันให้ถูกแล้ว มันก็สินค้าราคาแพงเหมือนเดิม จะต่างกันก็ตรงที่ว่า แพงตอนนั้นกับแพงตอนนี้...เท่านั้นเอง
ครั้นจะหวังพึ่งรัฐบาลให้ช่วยแก้ไข ก็คงต้องร้องเพลง “รอ” ไปหลายจบ
เพราะรัฐบาลมัวแต่ใช้เวลาแก้ไขปัญหาภายในพรรคร่วมรัฐบาล... จนแทบไม่มีเวลาเหลือสำหรับชาติบ้านเมืองอยู่แล้ว
แก้ไขไปได้อย่าง ก็โล่งอก ชวนกันออกไปตีกอล์ฟ...
ยามชาติบ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ผู้บริหารยังมีกะจิตกะใจชวนกันไปตีกอล์ฟได้อย่างสบายอกสบายใจ
แทนที่จะวิ่งเต้นหาลู่ทางคลี่คลายความเดือดร้อนของประชาชนตาดำๆ
อย่างนี้พูดได้เลยว่า ไม่ “อิน” กับความทุกข์ยากของชาติบ้านเมืองเลยแม้แต่น้อยเราท่านก็คงต้องพึ่งตนเอง หาทางแก้ไขปัญหาให้รอดไปวันๆ เสียแล้ว
ในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ กระบวนการ “รีไซเคิล” คงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
เริ่มตั้งแต่เครื่องใช้ไม้สอย ไปจนถึงเครื่องแต่งกาย
ถึงเวลาที่ต้องไปดูในห้องหรือในตู้เก็บของกันให้ถี่ถ้วนเสียที
ของบางอย่างที่เคยใช้ได้ แล้วต้องเก็บทิ้งไว้เพราะมีของใหม่น่าใช้มาแทนที่
คงต้องนำกลับออกมาให้ โดยเน้นประโยชน์มากกว่าที่จะคิดแค่ความเท่ห์ความหรูเท่านั้น
เสื้อผ้าที่อยู่ด้านในของตู้ มีหลายตัวที่ยังใช้ได้ดี แต่ถูกเก็บไว้เพราะไม่ทันสมัย
สภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ใครคิดจะแต่งตัวเน้นความหรูหรา ทันแฟชั่น...คงต้องถูกมองเป็นตัวประหลาดไป
ดีไม่ดีถูกว่าลับหลังว่า ดัดจริต คิดทำลายชาติเพราะไม่รู้จักประหยัด
เชื่อเถอะ คนบุคลิกดีใส่เสื้อผ้าอะไรก็ดูดีไปหมด ในทางตรงข้ามคนไม่มีบุคลิกจะนุ่งจะแต่งเสื้อผ้าราคาแพงขนาดไหน ก็ดูไม่เข้าตาอยู่ดี
ทำนองเดียวกันกับเครื่องประดับกาย
คนบุคลิกดีแม้ใส่ของปลอมก็เหมือนของจริง ส่วนคนไม่มีบุคลิกแม้ใส่ของแท้ทั้งตัวมองอย่างไรก็เหมือนปลอมอยู่ดี
ต่อให้อมพระพูดยืนยัน ก็ยากจะเชื่อตาม
สภาพเศรษฐกิจแบบนี้ คงทำให้เราท่านต้องหันมาดูคุณค่าแท้จริงกันเสียที
ก่อนนี้ เรามัวแต่สร้างคุณค่ากันด้วยเงินทองข้าวของ...ราวกับว่า ยิ่งมีสิ่งเหล่านี้มากก็ยิ่งจะมีคุณคามาก
แต่เดี๋ยวนี้ ไม่มีเงินทองข้าวของให้สร้างคุณค่ากันแล้ว คงต้องหันมาสร้างคุณค่าในการ “เป็น” ตัวตนแท้ๆ ของเราเสียที
ต่อเมื่อเลิกใช้เมคอัพ นั่นแหละ เราจึงจะเห็นว่าใครหน้าตาสวยงามแท้จริง ฉันใด
ก็ต่อเมื่อมีเงินทองข้าวของน้อยลง เราจึงจะเห็นธาตุแท้ของคุณค่า ศักดิ์ศรี และบารมีของแต่ละคน ฉันนั้น
มองจากแง่นี้แล้ว สภาพเศรษฐกิจบ้านเราในขณะนี้ คงจะไม่เลวร้ายไปเสียทุกอย่าง.