คม ความ คิด
(Deep Thoughts)
…………………………….
คำนำ
ชีวิตคนเป็นหนังสือเล่นใหญ่
เขียนขึ้นมาทีละหน้า ทีละหน้า
บางหน้ามีคนช่วยแต่งช่วยเขียนให้
บางหน้าก็เป็นเจ้าตัว และคนอื่นช่วยกันลิขิต
ทว่า ส่วนใหญ่แล้ว เจ้าตัวนั่นแหละคือผู้แต่งผู้เขียน
แต่ละวัน แต่ละหน้าหนังสือ
บางวัน บางหน้า มีเรื่องราวต้องเขียน ต้องจดจำ...จนล้นหน้ากระดาษ
ในขณะที่บางวัน บางหน้า แทบจะไม่มีอะไรควรค่าแก่การบันทึกจดจำ
ทั้งนี้และทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับมุมมองชีวิตที่แต่ละคนมี
บางสิ่ง บางเหตุการณ์...ดูจะธรรมดาสำหรับหลายคน
แต่สำหรับบางคนกลับพบว่าน่าสนใจ น่าคิด น่าวิเคราะห์...น่าบันทึกจดจำ
ซึ่งบางครั้งก็ดูดีมาก...ดีเกินกว่าที่จะบันทึกเก็บไว้เพียงคนเดียว
นอกจากจะบันทึกเก็บไว้ในหนังสือแล้ว ยังอยากขีดเขียนให้เป็นลายลักษณ์อักษร...แบ่งปันกันคิด แบ่งปันกันวิเคราะห์
และจุดประกายความคิดให้เพิ่มพูนหลากหลายไม่รู้จบ
ในกรณีนี้ นับได้ว่าเป็นโอกาสที่จะเติมแต่งหน้ากระดาษหนังสือชีวิตของผู้อ่าน...ให้มีสีสันรสชาติขึ้น สักนิดหนึ่งก็ยังดี
....................................................................
ที่มาที่ไป
ไปฟิลิปปินส์ทีไร ผมต้องไปชมภาพยนตร์เรื่องสองเรื่อง
ไม่ใช่ว่าภาพยนตร์เขาดีกว่าภาพยนตร์บ้านเราครึ่งต่อครึ่ง
แต่ที่ชอบก็คือ ภาพยนตร์บ้านเขาฉายวนไปเรื่อย...ใครดูจบแล้วอยากจะดูต่ออีกกี่รอบก็ได้
อยากจะออกไปซื้อน้ำซื้อขนมก็เพียงให้เจ้าหน้าที่ปั๊มตรายางที่แขน ออกไปเข้ามาได้ตลอด
สำหรับหลายคนถือว่าเป็นกำไร ตีตั๋วครั้งเดียว
ดูได้หลายรอบ
อีกหลายคนดูซ้ำอีกรอบสองรอบจะได้เข้าใจเนื้อหาการพูดการจาได้ดีขึ้น
ไม่น้อยคนถือโอกาสนั่งผึ่งแอร์งีบเอาแรง
ส่วนผมก็เพียงแค่มีโอกาสอ่านรายชื่อยืดยาวตอนท้ายของภาพยนตร์...ชื่อผู้แสดง ผู้กำกับ ผู้จัดฉาก ตากล้อง ตัวแสดงแทน ตัวประกอบ...
ซึ่งในโรงภาพยนตร์บ้านเราไม่ค่อยจะมีโอกาสได้อ่าน
เพราะพอภาพยนตร์ใกล้จะอวสาน เจ้าหน้าที่ก็รีบเปิดประตูทางออกไว้พร้อม
คนดูส่วนหนึ่งเริ่มลุกขึ้นยืน ตรวจตราข้าวของและมุ่งไปที่ประตู
ไฟในโรงก็สว่างจนแทบจะมองไม่เห็นอะไรบนจอ...
ภายในเวลาไม่กี่นาทีโรงภาพยนตร์ก็ว่างเปล่า ร้างผู้คน
เพื่อนที่ไปด้วยบอกว่า การนั่งอ่านรายชื่อท้ายเรื่องช่วยให้ซึมซับและลิ้มรสภาพยนตร์ได้ดีขึ้น
เหมือนกับทานอาหารแล้วต้องนั่งให้ข้าวเรียงเม็ด อย่างไรก็อย่างนั้น
แต่สำหรับผมแล้ว รายชื่อตอนท้ายภาพยนตร์แต่ละเรื่องมีความสำคัญไม่น้อย สมควรจะให้เวลาอ่าน
ก็ภาพยนตร์ที่ดูกันสนุกสนานตื่นเต้นนั้น เบื้องหลังมีคนเป็นกองทัพก็ว่าได้ ที่ได้ลงทุนลงแรง ในบทบาทที่ต่างกันแต่ก็กลมกลืน จนกลายเป็นผลงานออกมาสู่สายตาผู้ชม ในภาพยนตร์แต่ละเรื่อง
พวกเขาเหล่านี้แหละที่ควรแก่การชมเชย
ทว่าส่วนมากแล้ว ผู้ชมมักจะชื่นชมในเรื่องราว สีสัน ความตื่นเต้น เร้าใจ ฉากอลังการ...และไม่เคยให้ความสนใจผู้ที่อยู่เบื้องหลัง
มันก็คงเรื่องเดียวกันกับการไปทานอาหารตามภัตตาคาร
คนสนใจในรสชาติอาหาร แต่ไม่ค่อยจะคิดถึงพ่อครัวแม่ครัวที่อยู่เบื้องหลังนัก
แล้วก็เที่ยวชมว่าร้านนั้นร้านนี้อาหารอร่อย ส่วนฝีมือคนปรุงต่างไม่เคยเอ่ยถึง
ถูกอกถูกใจที่ทิปคนเสิร์ฟมากหน่อย แต่ยังไม่เคยเห็นใครทิปคนครัวสักที
อย่างน้อยๆ ฝากคำชมผ่านทางเด็กเสิร์ฟไปให้คนครัวบ้างก็ยังดี
ซึ่งในต่างประเทศมักจะทำเป็นธรรมเนียม
มันก็คงเรื่องเดียวกันกับอาหารการกินที่บ้าน
ทานข้าวเสร็จถ้าอาหารถูกปาก อย่างมากก็บอกว่าอร่อยดี
แต่จะมีการชมคนปรุงแต่งกระเตรียม เริ่มจากตลาดไปจนถึงขึ้นโต๊ะกันบ้างหรือเปล่า?1
เฉพาะคนที่ลงมือทำครัวเองเท่านั้นที่รู้ถึงรสชาติอาหารได้ล้ำลึกกว่าใครๆ
เพราะรสชาติอาหารนั้นไม่อยู่แค่สิ่งที่สัมผัสได้ปลายลิ้นเท่านั้น แต่รวมไปถึงแรงกายแรงใจของคนที่เตรียมมันด้วย
จะว่ากันแล้ว คนทุกวันนี้สนใจก็แค่สิ่งที่สัมผัสปลายลิ้น ปลายมือชายตา... แล้วก็สนใจอยู่แค่นั้น โดยไม่คิดจะย้อนไปถึงแหล่งที่มาที่ไป
จึงไม่เคยเห็นถึงคุณค่าของแหล่งที่มาของสิ่งเหล่านี้ อย่างที่ควรจะเห็น
มองไปรอบข้างธรรมชาติที่สวยสดงดงาม ก็เห็นแค่นั้น แต่ไม่เคยเลยไปถึงที่มาของทุกสิ่งเหล่านี้
มองเข้าไปในตัวตนและเห็นถึงความมหัศจรรย์ของระบบอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย แต่ก็ทึ่งอยู่แค่นั้น
ไม่เคยเลยไปถึงพระผู้สร้าง ผู้ให้กำเนิดที่มาที่ไปของทุกสิ่งเหล่านี้
แล้วก็ชื่นชอบ เชยชมกับผลงาน แต่ไม่คิดจะเลยไปถึงเจ้าของผลงานกันบ้าง
ลงเอยก็เหมือนกันไปหมด ชอบดูภาพยนตร์ แต่ไม่ชอบอ่านรายชื่อตอนท้ายเรื่อง
....................................................................
หลักยึดเหนี่ยว
การประกาศให้ค่าของเงินบาทลอยตัว
ทำให้ต้องวิตกถึงผลที่ตามมาในทุกระดับ
ข้าวของ สิ่งใช้สอยคงต้องลอยตามค่าเงินบาท
ก็ในเมื่อสิ่งของต่าง ๆ มีราคาเป็นบาท มีหรือที่
เงินบาทลอยแล้วไม่ทำให้อื่นๆ ต้องพลอย “ลอย” ตามขึ้นไปด้วย?
หากแม้นทุกอย่างจะลอยตามไปก็คงพอทำเนา
นี่มีแค่ “ราคา” สินค้าลอย แต่เงินเดือนค่าจ้าง
ยังคงที่เหมือนเดิม...นั่นแหละความหายนะสำหรับหายคน
ก่อนนี้ แค่ร้อยบาท ก็เหลือกินเหลือใช้ มีให้เก็บ เกินครึ่ง
ซื้อข้าวซื้อของแล้วยังมีตังค์ทอนให้เก็บให้ใช้
จ่ายอย่างอื่น
แต่เดี๋ยวนี้ยังต้องควักกระเป๋าเพิ่มอีกหลายสิบ เพื่อจะซื้อสิ่งของเดียวกัน
ก่อนนี้เด็ก ๆ ไปเที่ยว ขอตังค์พ่อแม่สิบ ยี่สิบยังให้รู้สึกเกรงใจ
แต่เดี๋ยวนี้ให้ต่ำกว่าร้อย จ้างก็ไม่ยอมไปไหนทั้งสิ้น
แล้วแนวโน้มคงจะมีต่อไปอย่างนี้เรื่อยๆ...ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลเปลี่ยน
เกือบทุกอย่างมีขึ้นก็ต้องมีลง
แต่ราคาสินค้ามีแต่ขึ้น ยังไม่เคยมีการประกาศลดราคาสินค้ากันเลย
แม้ผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งประกาศ ทั้งขอร้อง ทั้งขู่...ราคาสินค้าก็ขึ้นอยู่นั่นแหละ
ก็ใครจะไปควบคุมตรวจตราห้างร้านแผงตลาดได้ทุกแห่ง...ได้ทุกวัน
ดีนะที่คนไทยลืมง่าย... โวยวายสักพัก แล้วก็ปล่อยเลยตามเลยด้วยความจำยอม
เจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็เลยรอดตัวไปทุกครั้ง ทุกครา
คงฝากความหวังไว้ไม่ได้มาก ตามที่คุยรับประกันเป็นมั่นเป็นเหมาะไว้ในช่วงการเลือกตั้ง
ยิ่งตัวเงินบาทแล้วด้วย ยิ่งจะหวังอะไรไม่ได้นาน
วันนี้ดูมั่นคง พรุ่งนี้ก็ไม่แน่เสียแล้ว
วันนี้มีอยู่ในมือ พรุ่งนี้ก็อันตรธานหายไปหมดเกลี้ยง
ตั้งใจจะฝากผีฝากไข้ไว้กับเงินก้อนนี้ แต่แล้วต้องมีอันเป็นไป
ฝากอะไรไม่ได้สักอย่าง
คงเพราะเหตุนี้เอง ในธนบัตรเหรียญสหรัฐ เคยมีการพิมพ์ข้อความเตือนใจไว้
“In God we trust”…เราไว้ใจในพระเจ้า
คล้ายจะบอกเตือนคนที่ถือธนบัตรนั้นว่า เงินมีไว้ใช้สอย แต่จะฝากความไว้ใจกับมัน ไม่ได้เด็ดขาด
หรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง ใครที่เอาใจไปไว้กับเงินทอง จะต้องเสียใจตรอมใจ...กับมันครั้งแล้วครั้งเล่า
เงินทองจึงมีไว้เพื่อใช้จ่ายปลายมือ...รับมาจ่ายไปตามความจำเป็น
แต่อย่าเผลอปล่อยให้มันเข้าไปอยู่ในใจเป็นอันขาด
เงินทองตราบใดที่อยู่ที่ปลายมือเป็นแค่ “บ่าว” คอยรับใช้คน
แต่เมื่อใดที่เข้าไปอยู่ในใจแล้ว มันจะเปลี่ยนจาก “บ่าว” เป็น “นาย” เหนือคนทันทีทันใด
และทุกคนย่อมรู้แก่ใจดีว่า เมื่อเงินเป็น “นาย” แล้วมันโหดร้ายป่าเถื่อนขนาดไหน
หลวงพ่อคูณจึงบอกว่า “กูปฏิบัติกับเงินอย่างไร้เมตตา มีเท่าไรใช้มันให้หมด...”
และเงินก็เข้ามาและผ่านท่านไปเป็นล้านๆ โดยที่ท่านไม่เคยแตะต้องมันด้วยซ้ำ
เงินบาทลอยตัวครั้งนี้ นอกจากจะต้องคิดหนักหลายเรื่องแล้ว
คงต้องมาคิดด้วยกันว่า
จริงๆ แล้ว ชีวิตคนเรามีที่ยึดเหนี่ยวที่หนักแน่นมั่นคงมากกว่าข้าวของเงินทอง
อุตส่าห์ทุ่มเทชีวิตเลือดเนื้อ แรงกายแรงใจให้กับมันอยู่ทุกวี่ทุกวัน ก็ยังพึ่งพามันไม่ได้ตลอดไป
คงต้องเจียดการทุ่มเทมาให้กับคุณค่าที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเราให้มากขึ้นเสียแล้ว
เพราะหากมัวแต่ทุ่มเทให้สิ่งไม่เที่ยงแท้ จนลืมคุณค่าที่เที่ยงแท้ถาวรไป
นอกจากจะพลาดหวังกับสิ่งไม่เที่ยงแท้แล้ว ยังต้องสุญเสียคุณค่าสูงส่งไปด้วย
อย่างนี้ไม่เพียงเงินบาทลอยตัวอย่างเดียว แต่ชีวิตทั้งชีวิตมีอันต้องล่องลอยสูญสลายไปอย่างน่าเสียดายยิ่ง
....................................................................
ตัวเลือก
ตั้งแต่ค่าของเงินบาท “ลอย” ตัว อะไรก็ดูจะเลื่อน “ลอย” ไปหมด
จะเลื่อน “ลอย” ไปหมด
แม้ “เสือเศรษฐกิจแห่งเอเชีย” ที่เคยฝันหวานและโวกันไว้ก็คงเหลือแค่เสือกระดาษ
สิ่งที่เราท่านเคยวาดโครงการเอาไว้ต้องชะงักงันหันมาแก้ลำให้รอดตัวไปวันๆ
เงินทองจะจับจ่ายใช้สอยก็ต้องคิดหน้าคิดหลังแล้วยังต้องคิดใหม่อีกตลบสองตลบ
ก่อนนี้มีตังค์สำหรับสิ่งฟุ่มเฟือยไว้ตกรางวัลให้ตนเองได้เป็นครั้งคราว
แต่ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ สิ่งจำเป็นแท้ๆ ยังต้องกลั้นใจผัดผ่อนไปก่อน หากแม้นยังพอทนไหว
จะซื้ออะไรต้องเลือกแล้วเลือกอีกจนมั่นใจว่าคุ้มค่าจริงๆ
อะไรต่อราคาว่ากันได้ก็เฝ้าต่ออยู่นั่นแหละจนเหนื่อยกันไปข้างหนึ่ง
คนค้าคนขายก็อยากให้คุ้มค่าหากำไรต่อทุน คนซื้อก็อยากให้คุ้มค่าเงินแต่ละบาท แต่ละสตางค์
กว่าจะพบกันได้ครึ่งทาง คุ้มค่าเขาคุ้มค่าเรา ก็ต้องใช้วาทศิลป์พูดจาเกลี้ยกล่อมประกอบการเรียกร้องให้เห็นอกเห็นใจกัน
ซื้อเสร็จก็แทบจะกลายเป็นญาติกันเลยก็ว่าได้
ในยุคที่รัฐบาลประกาศให้รัดเข็มขัดประชาชน แต่คนในคณะรัฐบาลกลับจัดงานเลี้ยงโต๊ะละสองแสน การเลือกใช้เลือกสอยเป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวด
เลือกอะไรให้ได้คุณค่ามากที่สุดเท่าที่จะมากได้...เลือกให้ได้ค่าเงิน เลือกให้ได้ค่าของ
ว่าที่จริงแล้ว ชีวิตของคนเราต้องมีการเลือกอย่างไรสิ้นสุด
แต่แปลก ยิ่งมีสิ่งต้องเลือกมาก การเลือกก็ยิ่งยากมากขึ้นด้วย
และเลือกแล้ว ก็มักจะไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุด
เพราะเป็นการเลือกแบบ “รักพี่เสียดายน้อง” ใจมันอยากได้ไปหมดทุกอย่าง จนขาดความเด็ดขาด
แต่พอตัวเลือกมีน้อย การเลือกมักจะไม่ยากและมักจะเลือกได้ดี
จริงๆ แล้ว มันเป็นเรื่องของคุณค่าที่ตั้งไว้สำหรับการเลือกแต่ละครั้ง ที่เป็นตัวกำหนดการเลือกแต่ละครั้ง ที่เป็นตัวกำหนดการเลือก
เมื่อไม่ได้ตั้งคุณค่าไว้ การเลือกกลายเป็นเรื่องของใจ...ใจง่ายใจโลเล หลายใจ...
แม้แต่การเลือกบริโภคสื่อมวลชนก็เถอะ
ในยุคที่สื่อมวลชนบ้านเรากำลังเฟื่องฟู มีให้เลือกซื้อเลือกหาเลือกดูได้อย่างเหลือเฟือ
แต่ผู้บริโภคส่วนใหญ่มักจะใช้ “ใจ” ในการเลือก มากกว่าใช้ “คุณค่า” เป็นตัวกำหนด
ทำให้ได้โทษมากกว่าคุณ ก่อให้เกิดการทำลายมากกว่าสร้างสรรค์นำมาซึ่งความเสื่อมมากกว่าความเจริญ...
ผู้สันทัดกรณีกล่าวว่า วันหนึ่งๆ เรารับการสื่อสารรูปแบบต่างๆ จำนวน 1,700 ถึง 2,500 สาร
เราสามารถจดจำสารต่างๆ เหล่านั้นได้ประมาณ 65
นอกนั้น เราจำสิ่งที่เราอ่านได้แค่ร้อยละ 10
เราจดจำสิ่งที่เราได้เห็นร้อยละ 30
และเราเก็บสิ่งที่เราได้เห็นและได้ยินทั้งหมดได้แค่ร้อยละ 50...
หากสิ่งที่จดจำ ได้รับการเลือกสรรทรงไว้ซึ่งคุณค่า ก็คุ้มค่า
แต่หากสิ่งที่เหลือจากการเห็น การได้ยิน การอ่าน...นอกจากหาคุณค่าไม่ได้แล้ว ยังเป็นเพียงขยะให้รกสมอง รกจิตใจ รกสังคม..มันก็น่าเสียดาย
ไม่ต่างกับการซื้อกับข้าวยุคนี้ ซื้อสามถุง นำมาปรุงเป็นอาหารแล้ว ต้องทิ้งเป็นขยะไปสองถุง
แค่มานั่งนับตัวเลขของจำนวนหนังสือที่อ่าน ละครโทรทัศน์ที่ดู
ภาพยนตร์ที่ชม...แล้วดูว่าคุณค่าที่ได้รับมีจำนวนเท่าไร...เหลือไว้ในความทรงจำอีกเท่าไร...
คงต้องติดลบอย่างไม่ต้องสงสัย หากไม่มีการเลือกอย่างถูกต้อง
มันเป็นเรื่องของการจะเอาอะไรมาเป็นตัวกำหนดการเลือก...ความถูกใจหรือคุณค่า
....................................................................
ความลงตัว
ไปร้านตัดผมแต่ละครั้ง เจอกับช่างทำผมหลากหลายประเภท
บางคนก็ก้มหน้าก้มตาตัดผม ไม่พูดไม่จา
ชวนคุยได้คำสองคำแล้วผมก็ปิดตา ทำเป็นหลับ
ไม่อึดอัดทั้งคนตัด ไม่อึดอัดทั้งคนถูกตัด
บางคนก็พูดไม่หยุด ตัดไปพูดไป แถมใส่อารมณ์เสร็จสรรพ
แค่พูดถึงฟุตบอลไทยที่แพ้อย่างไม่เป็นท่า แกเดือดดาลอย่างเห็นได้ชัด
กรรไกรที่ซอยผมอยู่เร่งจังหวะไปพร้อมกับการบรรยาย...ฉับ ฉับ ฉับ
จนผมต้องนั่งเกร็ง กลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอแสนจะฝืด ปากก็เออออทำเป็นเห็นด้วย ร่วมความเดือดดาลไปกับแก...อย่างเลี่ยงไม่ได้
ส่วนใจนั้นภาวนาขอให้แกสงบอารมณ์ลงบ้างตอนที่หยิบมีดโกน เริ่มโกนไปตามคอ ด้านหน้าแล้วก็ด้านหลัง...กกหู ใบหน้า คาง
พอแกเอาผ้าขนหนูปิดไหล่ออก ก็ให้รู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก เผลอถอนหายใจเสียงดังจนลืมมารยาท
หลังเสื้อแฉะด้วยเหงื่อ ทั้งๆ ที่นั่งห้องแอร์เย็นฉ่ำ
ไม่เคยสบายใจเมื่อต้องจ่ายเงินเท่ากับครั้งนั้นเลย
บางคนก็เฉยๆ พอชวนคุยเข้าหน่อย ถูกคอ เลยใช้เวลาตัดผมเสียนาน
ลงท้ายนวดไหล่ นวดแขน หักนิ้ว พนมมือเคาะหัวเคาะหน้าผากแถมให้อีกต่างหาก
แต่สิ่งหนึ่งที่มักจะทำเหมือนกันหมดคือ ถามความประสงค์ของลูกค้า
“ตัดทรงอะไรดีครับ?”
ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะมีทรงผมที่นิยมของตนอยู่แล้ว
ก็เลยเป็นความสบายใจสำหรับช่างผม ตัดไปตามคำสั่ง ไม่ต้องกังวลว่าจะเหมาะดีหรือไม่
แต่ก็มีลูกค้าบางคนให้ช่างช่วยคิดช่วยตัดสิน
“ตัดทรงไหนให้เข้าบุคลิกก็แล้วกัน...ให้ดูดีที่สุดเป็นใช้ได้”
ช่างดูจะพึงพอใจ เพราะนอกจากจะรู้สึกได้รับความไว้วางใจแล้ว ยังสามารถทำในสิ่งที่ดีที่สุด...สำหรับลูกค้า
ผมก็เป็นคนหนึ่งในจำนวนลูกค้าประเภทที่สองนี้
เพราะเชื่อใจว่า ช่างผมคือคนที่รู้ดีว่าตัวทรงไหนจึงจะดึงสิ่งที่ดีที่สุดของผมออกมา...ไว้บนหัวผมเอง
คนเราจริงๆ แล้ว เห็นตัวเองได้ก็เฉพาะด้านหน้าและด้านหลัง จากกระจกเงา
แต่ไม่สามารถจะเห็นภาพรวมของตัวเราได้ทุกแง่ทุกมุม...ในเวลาเดียวกัน
บางอย่างที่มองว่างดงามตามที่กระจกเงาสะท้อนให้เห็น อาจจะดูไม่เอาไหนเลยในภาพรวม
และคนเราชอบเน้นเฉพาะบางส่วนเสียด้วย
แต่งหน้าก็จะแต่งให้เลิศ โดยไม่ดูว่ารับกับทรงผม รูปร่าง...หรือไม่
ตัดผมทำผมก็เน้นแค่ทรงผมที่กำลังฮิต โดยไม่คำนึงสัดส่วนอื่นๆ ว่าเข้ากันได้หรือไม่
ทรงผมหนึ่งดูเก๋บนหัวหนึ่ง แต่อาจจะดูน่าขำบนอีกหัวหนึ่งก็ได้
แม้กระทั่งท่าทางการเดินเหินก็เป็นตัวแปรสำคัญไม่น้อยทีเดียว
บางอย่างดาราหรือนางแบบเขาแต่งเขาใส่ดูงดงามกลมกลืนแลเท่ห์มีเสน่ห์... คนอื่นก็พากันเลียนแบบมาแต่งมาใส่บ้าง คิดว่าผลจะออกมาเหมือนกัน
แต่นอกจากจะไม่งดงามไม่เท่ห์ไม่มีเสน่ห์แล้ว ยังกลายเป็นตัวตลกไปโดยไม่รู้ตัว
จนหลายคนเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะว่า (ในใจ) “ไม่เจียมตัวเสียเลย...”
เกิดมาผมสวยดกดำ ใช้ยาสระผมอะไรก็เป็นเงางามอยู่แล้ว...
ส่วนคนที่ผมไม่สวย จะใช้ยาสระผมที่นางแบบโฆษณาเขาใช้กี่ยี่ห้อ ก็คงต้องเสียเงินเปล่า แล้วยังต้องมาเสียความรู้สึกอีก
ที่จริงแล้ว พระเจ้าท่านสร้างแต่ละคนมามีความงดงามของตนเองอยู่แล้ว
เคล็ดลับอยู่ในการที่จะดึงจะเน้นความงดงามนั้นออกมาได้อย่างไร ได้มากน้อยแค่ไหน ให้ดูลงตัวที่สุด...เท่านั้นเอง
เพราะความงดงามนั้นเป็นแค่นามธรรม และไม่มีใครสามารถกำหนดมาตรฐานความงดงามสากลขึ้นมาได้
ดาราและนางแบบมีไว้ไม่ใช่เพื่อ “ลอกเลียนแบบ” แต่น่าจะเป็น “แบบอย่าง” ของการรู้จักดึงความงดงามที่มีอยู่ในแต่ละคนให้เด่นออกมา เป็นความลงตัวที่มีเสน่ห์ต่างหาก*
....................................................................
ต่างมุมมอง
เดือดร้อนกันทั่วทุกหย่อมหญ้า เพราะสภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่นี้
ตั้งแต่อาหารการกิน เสื้อผ้า เครื่องใช้ไม้สอย น้ำมัน...ไปจนกระทั่งการเดินทาง
แล้วก็กลับมาสู่ “ยุครัดเข็มขัด” กันอีกครั้ง
ทว่าครั้งนี้ไม่เพียงแค่ “รัดเข็มขัด” กางเกง อย่างเดียว ยังต้อง “รัดเข็มขัด” เมื่อขับรถด้วย
เอาไปเอามาคงต้องรัดเข็มขัดแบบครบวงจรเสียแล้ว
หลายคนให้ข้อสังเกตว่า รถราที่วิ่งอยู่ตามท้องถนนบางตาไปถนัด
หรือจะเป็นมาตรการอย่างหนึ่งของการแก้ไขปัญหาจราจรของรัฐบาลชุดนี้?
ห้างร้านต่างประโคมโฆษณา ขายสินค้าราคาถูก
ซึ่งดูเหมือนจะให้ความเห็นใจผู้บริโภคเป็นอย่างมาก
แต่สินค้าที่ว่าราคาถูกตอนนี้ ก็เป็นสินค้าราคาแพงก่อนที่จะมีการขึ้นราคานั่นเอง
จะพูดกันให้ถูกแล้ว มันก็สินค้าราคาแพงเหมือนเดิม จะต่างกันก็ตรงที่ว่า แพงตอนนั้นกับแพงตอนนี้...เท่านั้นเอง
ครั้นจะหวังพึ่งรัฐบาลให้ช่วยแก้ไข ก็คงต้องร้องเพลง “รอ” ไปหลายจบ
เพราะรัฐบาลมัวแต่ใช้เวลาแก้ไขปัญหาภายในพรรคร่วมรัฐบาล... จนแทบไม่มีเวลาเหลือสำหรับชาติบ้านเมืองอยู่แล้ว
แก้ไขไปได้อย่าง ก็โล่งอก ชวนกันออกไปตีกอล์ฟ...
ยามชาติบ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ผู้บริหารยังมีกะจิตกะใจชวนกันไปตีกอล์ฟได้อย่างสบายอกสบายใจ
แทนที่จะวิ่งเต้นหาลู่ทางคลี่คลายความเดือดร้อนของประชาชนตาดำๆ
อย่างนี้พูดได้เลยว่า ไม่ “อิน” กับความทุกข์ยากของชาติบ้านเมืองเลยแม้แต่น้อยเราท่านก็คงต้องพึ่งตนเอง หาทางแก้ไขปัญหาให้รอดไปวันๆ เสียแล้ว
ในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ กระบวนการ “รีไซเคิล” คงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
เริ่มตั้งแต่เครื่องใช้ไม้สอย ไปจนถึงเครื่องแต่งกาย
ถึงเวลาที่ต้องไปดูในห้องหรือในตู้เก็บของกันให้ถี่ถ้วนเสียที
ของบางอย่างที่เคยใช้ได้ แล้วต้องเก็บทิ้งไว้เพราะมีของใหม่น่าใช้มาแทนที่
คงต้องนำกลับออกมาให้ โดยเน้นประโยชน์มากกว่าที่จะคิดแค่ความเท่ห์ความหรูเท่านั้น
เสื้อผ้าที่อยู่ด้านในของตู้ มีหลายตัวที่ยังใช้ได้ดี แต่ถูกเก็บไว้เพราะไม่ทันสมัย
สภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ใครคิดจะแต่งตัวเน้นความหรูหรา ทันแฟชั่น...คงต้องถูกมองเป็นตัวประหลาดไป
ดีไม่ดีถูกว่าลับหลังว่า ดัดจริต คิดทำลายชาติเพราะไม่รู้จักประหยัด
เชื่อเถอะ คนบุคลิกดีใส่เสื้อผ้าอะไรก็ดูดีไปหมด ในทางตรงข้ามคนไม่มีบุคลิกจะนุ่งจะแต่งเสื้อผ้าราคาแพงขนาดไหน ก็ดูไม่เข้าตาอยู่ดี
ทำนองเดียวกันกับเครื่องประดับกาย
คนบุคลิกดีแม้ใส่ของปลอมก็เหมือนของจริง ส่วนคนไม่มีบุคลิกแม้ใส่ของแท้ทั้งตัวมองอย่างไรก็เหมือนปลอมอยู่ดี
ต่อให้อมพระพูดยืนยัน ก็ยากจะเชื่อตาม
สภาพเศรษฐกิจแบบนี้ คงทำให้เราท่านต้องหันมาดูคุณค่าแท้จริงกันเสียที
ก่อนนี้ เรามัวแต่สร้างคุณค่ากันด้วยเงินทองข้าวของ...ราวกับว่า ยิ่งมีสิ่งเหล่านี้มากก็ยิ่งจะมีคุณคามาก
แต่เดี๋ยวนี้ ไม่มีเงินทองข้าวของให้สร้างคุณค่ากันแล้ว คงต้องหันมาสร้างคุณค่าในการ “เป็น” ตัวตนแท้ๆ ของเราเสียที
ต่อเมื่อเลิกใช้เมคอัพ นั่นแหละ เราจึงจะเห็นว่าใครหน้าตาสวยงามแท้จริง ฉันใด
ก็ต่อเมื่อมีเงินทองข้าวของน้อยลง เราจึงจะเห็นธาตุแท้ของคุณค่า ศักดิ์ศรี และบารมีของแต่ละคน ฉันนั้น
มองจากแง่นี้แล้ว สภาพเศรษฐกิจบ้านเราในขณะนี้ คงจะไม่เลวร้ายไปเสียทุกอย่าง*
....................................................................
วิถีสันติภาพ
เมื่อพูดถึงวันสันติภาพสากล
ผู้คนมักจะเข้าใจกันว่า สันติภาพคือการไม่มีสงคราม
และที่ไหนไม่มีสงคราม ที่นั่นมีสันติภาพ...จริงๆ แล้ว แม้จะไม่มีการสู้รบกันด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์...แต่ก็มีรูปแบบหลากหลายของการต่อสู้ซึ่งบางชนิดร้ายแรงกว่าสงครามเป็นไหน ๆ
จริงๆ แล้ว แม้จะไม่มีการสู้รบกันด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์... แต่ก็มีรูปแบบหลากหลายของการต่อสู้ซึ่งบางชนิดร้ายแรงยิ่งกว่าสงครามเป็นไหนๆ การต่อสู้ในความคิด... หักล้างความคิดความอ่านกันรุนแรงแบบเอาเป็นเอาตาย
ภายนอกวางเฉย แต่ภายในสมองและจิตใจระอุดุเดือดหาลู่ทาง วางหมากแยบยล พบจุดอ่อนเป็นตีให้แตกดับ
ใช้คำพูดคำจา เป็นอาวุธแหลมคม เชือดเฉือนทิ่มแทงได้ล้ำลึก ไม่ทิ้งร่องรอยบาดแผลให้ปรากฏแต่อาการนั้นร้ายกาจ เจ็บปวดลึกเข้าไปถึงแก่น
สงครามนั้นยังพอให้รู้ให้เห็น หลบหลีกไปให้ไกลได้แต่การต่อสู้ในความคิดนั้น ยากจะสังเกตขนาดคนใกล้ตัวแท้ๆ ยังต่อสู้กันอย่างไม่ลดราวาศอก...ขณะที่ยิ้มแย้มเข้าหากันด้วยซ้ำไป
ยังผลให้เกิดเหตุการณ์บ้านแตกสาแหรกขาด มิตรกลายเป็นศัตรูหุ้นส่วนกลายเป็นคู่แข่ง...เสียหายมากกว่าที่สงครามไหนๆ จะก่อให้เกิดเสียอีก
การต่อสู้ในนิสัยใจคอ...ยอมไม่ได้ที่จะให้มีนิสัยไม่เหมือนตัวเองทั้ง ๆ ที่มนุษย์เกิดมาต่างจิตต่างใจ มีความเป็นตัวของตัวเองเพียงแต่ไม่เหมือน ก็กลายเป็นศัตรูที่ต้องห้ำหั่นด้วยความเกรี้ยวกราด
ความแตกต่างกลายเป็นความแตกแยก เพียงเพราะไม่ถูกสเป็กแล้วก็เที่ยวโจมตีทุกรูปแบบ พร้อมกับอ้างความรักบ้าง ความหวังดีบ้าง... ไม่ใช่ต่อใครอื่น แต่ต่อตัวเองเสียมากกว่าสงครามที่สู้รบกัน ต่างมุ่งพิชิตชัยชนะ...แล้วก็มีฝ่ายชนะฝ่ายแพ้แต่การสู้ในนิสัยใจคอ ผู้ชนะนั้นมีแต่ผู้เดียว... นิสัยฉันดีที่สุดของคนอื่นใช้ไม่ได้
มันจึงเป็นการกดขี่ที่แยบยล บีบคั้นอิสรภาพของผู้อื่น ในการเป็นตัวของตัวเอง...และไม่เคยมีหน่วยงานใดคิดจะประท้วงเรียกร้อง...
การต่อสู้ในเชิงธุรกิจ...ยอมไม่ได้ที่ใครจะประสบความสำเร็จเกินหน้าเกินตาการแข่งขันในชั้นเชิงธุรกิจ กลายเป็นการต่อสู้เชือดเฉือนด้วยเล่ห์เพทุบาย
ทั้ง ๆ ที่ธุรกิจเป็นเรื่องของการแข่งขันกับตนเอง...จากวงเงินกำไรเท่านี้ ควรทำอย่างไรจึงจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กลับมาเป็นการแข่งขันกับผู้ทำธุรกิจรายอื่นๆ
แล้วก็มักจะลงเอยว่า ถ้ารายอื่นทำกำไรได้มากกว่า กำไรของตนจะหดน้อยถอยลง...ผู้ทำธุรกิจรายอื่นจึงกลายเป็นศัตรูที่ต้องขจัดให้สิ้นซากไปโดยปริยายเพื่อธุรกิจฉันดีขึ้น
แทนที่จะทุ่มเงินเพื่อพัฒนาธุรกิจ กลับเอามาจ้างมือปืนเข่นฆ่าคู่แข่ง เสียทั้งเงินทอง เสียทั้งบุคลากรที่มีคุณภาพของประเทศชาติ
การต่อสู้ในบารมี... ใครดีใครเด่นเกินหน้าเป็นไม่ได้ทั้งๆ ที่มีพูดกันว่า แข่งอะไรก็แข่งได้ เว้นแต่แข่งบารมีแต่ก็ยังไม่วายแข่งขันประชันเด่นกันในทุกรูปแบบ แล้วก็เที่ยวเอาเม็ดเงิน เอาบ้าน เอารถ... มาเป็นดัชนีวัดบารมีกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน
หนักเข้าก็ต้องเอาวิชามารเข้าช่วย ดับบารมีอื่น เพียงเพื่อให้บารมีตนเด่น แม้ดาวแต่ละดวงในท้องฟ้ามีความสุกใสเปล่งประกายไม่เท่ากันแต่ก็ช่วยประดับตบแต่งฟากฟ้าที่มืดมิดในยามค่ำคืนให้มีความงดงามที่กลมกลืน...เฉกเช่นบารมีคนเรา
แต่ก็ไม่วาย ยังมีดาวบางดวงคิดแต่จะดับดาวอื่นๆ เพียงเพื่อตัวจะเด่นเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น
ลงเอยการแข่งขันกลายเป็นการต่อสู้ในแทบทุกเรื่องไป
คงไม่ต้องรอให้มีสงครามเพื่อทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์หรอกแค่การต่อสู้ในเรื่องต่างๆ เหล่านี้และอื่น ๆ ก็เพียงพอที่ทำให้มนุษย์สิ้นโลกอยู่แล้ว
สันติภาพแท้จริงจะมีได้ ต่อเมื่อสิ้นสุดการต่อสู้ในทุกรูปแบบ...และคนหันมามองกันเป็นพี่เป็นน้อง
มากกว่าที่จะเป็นคู่แข่ง
....................................................................
ท่าดีทีเหลว
ร้านบะหมี่หน้าบ้าน มีคนแวะเวียนมากินไม่ขาดสาย
แม้จะเป็นแค่รถเข็น แต่ฝีมือการปรุงไม่เบา
และทุกครั้งที่เข้าไปฝากท้อง ผมก็อดไม่ได้ที่จะนั่งมองดูเจ้าของร้านทำงานด้วยความเพลิด
เพลิน
ทันทีที่รับคำสั่ง มือไม้ก็เริ่มแกว่งกวัดด้วยความรวดเร็ว
มือขวาคว้าเส้นหมี่ ขณะที่มือซ้ายถือตะแกรงด้ามยาวเตรียมพร้อมอยู่เหนือหม้อน้ำซุปเดือดหอมกรุ่นด้วยน้ำต้มกระดูก
เส้นบะหมี่กำใหญ่ถูกนำมายัดใส่ตะแกรง
เห็นในตอนแรกแล้วก็อดดีใจไม่ได้ว่า เจ้าของร้านใจกว้าง ไม่หวงเส้น...
แต่ยังไม่ทันไร ก็ต้องชะงักงันเห็นเจ้าของร้านเด็ดเส้นหมี่ออกเกือบครึ่ง และนำกลับไปวางไว้ในตู้กระจก...ด้วยความเชี่ยวชาญและแม่นยำ
เส้นบะหมี่ที่ลวกพอดีพอเหมาะถูกนำมาใส่ชามกลมลึก ส่งไอร้อนพวยพุ่งขึ้นไปเป็นสาย
พลันมือทั้งสองข้างนั้นก็เริ่มหยิบเครื่องปรุงแต่ละอย่างใส่ด้วยความรวดเร็ว ราวกับจะมีสิบมือที่ประสานงานกันอย่างกลมกลืนได้จังหวะจะโคนไม่ผิดเพี้ยน
แล้วมือซ้ายก็หยิบหมูแดงชิ้นใหญ่จากที่แขวนในตู้กระจกมาวางไว้บนเขียงไม้เก่าๆ ที่บอกถึงอายุการใช้งานมาเกินคุ้ม ส่วนมือขวาก็จับมีดหั่นหมูเป็นชิ้นบางๆ เท่ากันราวกับวัดขนาดไว้แล้วเกือบสิบชิ้น
อีกครั้งที่หลงดีใจ เมื่อเห็นเจ้าของร้านรวบชิ้นหมูแดงจากเขียงมาทั้งกำเพื่อใส่ชามบะหมี่ที่เตรียมไว้ ท่าทางจะไม่หวงเนื้อหมูเอาเลย
แต่แล้วก็ต้องผิดหวังอีกครั้ง เมื่อเอาหมูแดงถูกวางเรียงลงไปในชามแค่สามชิ้นไม่ขาดไม่เกิน ในขณะที่เหลือถูกนำไปใส่ไว้ในตู้เป็นกอง
เป็นใครก็คงจะอดคิดคำนวณไม่ได้ว่าบะหมี่ชามนั้นช่างไม่สมน้ำสมเนื้อกับเงิน 20 บาท ที่ต้องจ่ายเพื่อแลกมันมาเสียเลย
แม้จะอยู่ในช่วงเศรษฐกิจแบบ ไอ. เอ็ม. เอฟ. ก็เถอะ
ความคิดเสียดายเงินมีอันต้องหยุดชะงัก เมื่อเจ้าของร้านยื่นมือเข้าไปหยิบลูกชิ้นหมูในตู้พร้อมกับกำลูกชิ้นออกมาเต็มมือ
....................................................................
การสูญเสีย..ที่น่าห่วง
แล้วเรื่องก็บานปลาย ติดร่างแหกันแทบทุกระดับ ก็กินกันมูมมาม คำโตจนล้นปากออกมารู้ถึงไหนให้รู้สึกสะอิดสะเอียน ขยะแขยง จนน่ารังเกียจ..
อดไม่ได้ที่จะต้องพูดต้องถาม “ใจพวกนี้ทำด้วยอะไรกันนี่...” ถึงได้กล้าผลาญทำลายสมบัติของชาติบ้านเมือง... ไม่คิดถึงคนรุ่นหลังกันบ้าง
ทั้ง ๆ ที่บรรพบุรุษท่านอุตส่าห์รักษาหวงแหนเผื่อรุ่นลูกรุ่นหลานรุ่นเหลนได้มีได้ใช้กันอย่างเหลือเฟือ ใช้ไปก็หามาเพิ่มเติมไป เผื่อหน้าเผื่อหลังแล้วจู่ ๆ รุ่นลูกรุ่นเดียว..รุ่นเดียวแท้ ๆ... ผลาญกินผลาญใช้อย่างเห็นแก่ตัว... จนแทบจะไม่มีเหลือหลอให้รุ่นต่อไปได้มีได้ใช้บ้าง
กระนั้นก็เถอะ ถึงจะมีเหลือให้พอจะเจียดแบ่งกันใช้อย่างกระเบียดกระเสียรก็ยังพอทนแต่นี่นอกจากกินกันมูมมามแล้ว ยังเป็นต้นเหตุให้ความกลมกลืนของระบบนิเวศน์ก็เสียไปด้วยน้ำท่วมบ้านท่วมเมือง ฝนไม่ตกตามฤดูกาล ฤดูแปรเปลี่ยนจะเหลือก็เพียงแค่สองฤดูให้เห็น... ร้อนมากกับร้อนน้อย
ก็กินไม้กันจนแทบจะไม่เหลือป่าให้เห็นอย่างนี้ อะไรๆ ก็แปรผันเปลี่ยนแปลงไปหมด
แล้วก็ส่งทอดสันดานความเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้เห็นเป็นแบบอย่างยังไม่ทันจะเสียงแตกก็หัดกินหัดโกงกันเป็นเรื่องเป็นราวแล้วทุจริตการสอบ ลอกการบ้าน โกงกีฬา ค้ายาบ้า..ตามรอยเท้าผู้ใหญ่ระดับบ้านระดับเมืองที่ทำกันให้เห็นจะจะแล้วก็แคล้วคลาดรอดตัวไปทุกครั้งทุกครา
ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แถมไม่รู้สึกผิดในจิตใจแม้แต่น้อยนิด
“ฉันตัดไม้ป่า ไม่ได้ขโมยตัดสวนบ้านใคร...”
“ไม้เต็มป่าเต็มดง ตัดไปแค่นี้ ไม่เห็นจะเป็นไร...”
“ก็มันเป็นป่า ใครมีปัญญาก็ตัดหามาใช้ ไม่เห็นมีใครเดือดร้อน...”
อีกบางคนก็คิดว่ากำลังช่วยสงเคราะห์สังคมเต็มที่
“คนมีงานทำ มีเงินใช้ จ้างก็ไม่อดตาย...”
ลองคิดกันตื้นๆ แบบนี้ ชาติบ้านเมืองก็มีแต่พังกับพัง
และน่าเสียดาย คนที่คิดแบบนี้มีไม่น้อยแม้คนที่คิดแล้วทำได้จะมีไม่มากจนเกินไป แต่คนที่คิดแต่ทำไม่ได้มีมากมายนัก
และเมื่อคิดกันอยู่แบบนี้ ทันทีที่มีช่องทางมีโอกาส ก็มักจะฉกฉวยทำกันแบบไม่คิดตลบสอง
“ก็โกงกินกันทั้งนั้นแหละ ฉันไม่กินคนอื่นก็กิน...อาจจะกินมากกว่าฉันด้วยซ้ำ...”
เหมือนจะบอกว่า การโกงกินเป็นเรื่องธรรมดา มีกันทุกแห่ง ทุกระดับว่าแล้วก็รุมทึ้งกันอย่างเมามัน
ศีลธรรมก็วัดกันแค่นี้...ในเมื่อใครๆ ก็ทำกันทั้งนั้น ฉันทำบ้างจะเป็นไรไป
ไม่ได้ฉุกคิดกันสักนิดว่า ในเมื่อมีการโกงการกิน ฉันไม่เอาด้วยอย่างน้อยความเสียหายก็น้อยลงหนึ่งส่วนแล้ว
ความผิดก็คงเป็นความผิดอยู่นั่นแหละ แม้จะทำกันหมดทุกคน
“อยู่อย่างนี้มันต้องกินต้องโกงเหมือนคนอื่นๆ... ไม่เช่นนั้นก็อยู่ลำบาก” หรือจะพูดกันอีกนัยหนึ่งว่ากินตามน้ำ...
ถือว่าส่วนตัวแล้วไม่คิดจะทำ แต่ถูกบังคับให้ทำอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้วก็โกงกินอย่างมีระบบ เป็นล่ำเป็นสัน... โยนความรู้สึกผิดพ้นตัวไป
บ้านเมืองเราจึงมีการทุจริตคดโกง...อย่างชอบธรรม ด้วยเหตุผลเข้าข้างตัวร้อยแปดพันเก้า
จนไม่มีความรู้สึกว่าผิด...หากไม่ถูกจับได้ เรื่องแดงขึ้นมา
เข้าทำนองเดียวกันกับคนที่ไม่กล้าทำผิด ไม่ใช่เพราะมันไม่ดีไม่ถูกต้อง แต่เพราะกลัวจะถูกจับได้ ต้องอับอายขายหน้า...
จริงๆ แล้ว แค่คิดชั่วถูกจับได้แล้ว...ตนเองนั้นแหละรู้ตนเองนั่นแหละจับได้
น่าจะละอายขายหน้าตนเองกว่าใครอื่นใด
แต่ในเรื่องนี้ คนแทบจะไม่ให้ความสนใจตนเอง กลับไปสนใจท่าทีคนอื่นมากกว่า
อย่างนี้ อย่าว่าแต่ป่าเลย สิ่งดี มีคุณค่าอื่นๆ ก็คงมีอันต้องสูญสิ้นไปอย่างแน่นอน
....................................................................
ความดีที่ต้องพิสูจน์
ผมดูรายการโทรทัศน์ค่ำนั้นแล้วอดรู้สึกหดหู่ใจไม่ได้
แม้จะดึกหน่อย แต่ก็ต้องดูจนจบรายการ
หญิงสาวคนหนึ่งออกรายการให้สัมภาษณ์...ทุกอย่างจากชีวิตจริงที่เจ็บปวด
เธอใส่หมวกปิดหน้า นั่งอยู่ในเงามืดขณะที่พรั่งพรูเนื่องราวของเธอออกมา ทีละตอน
น้ำเสียงหนักแน่น แม้จะแทรกด้วยเสียงสะอื้นเป็นครั้งคราวเพียงสั้นๆ
มันเป็นเรื่องของคำว่า “รัก” ที่ไม่ได้มีความหมายอย่างที่ควรเป็น
เพราะมันถูกใช้เพียงเพื่อหลอกล่อให้ตายใจ ก่อนจะกอบโกยผลประโยชน์
ชายที่เธอรักและฝากชีวิตไว้ กลับคิดไม่ซื่อกับเธอ
พาเพื่อนชายห้าคนมาข่มขืนเธอ ในห้อง ในบ้าน...โดยที่เขารับรู้เป็นใจ
แล้วหวนไปเก็บเงิน เหมือนเธอเป็นสินค้าชิ้นหนึ่ง...จะซื้อจะขายตามใจชอบ
แถมยังบอกเธอหน้าตาเฉยว่า “ต่อไปนี้ ให้เป็นแค่เป็นเพื่อน...”
ราวกับว่า “เพื่อน” กับ “คนรัก” ไม่แตกต่างกันเลย
ซึ่งหากเธอรู้ว่าจะต้องลงเอยอย่างนี้ เธอคงไม่คิดจะมากินอยู่ร่วมชีวิตกับเขา เธอคงไม่ไว้ใจเขาถึงขนาดนี้ เธอคงไม่หลงเชื่อเขา ถึงขนาดพูดเข้าข้างเขาทุกอย่าง แก้ตัวแทนเขาตลอด
และนั่นคือหน้าหนึ่งของหนังสือที่ชื่อ “ความรัก”...ซึ่งแปดเปื้อน แสนสกปรก
มันเป็นประวัติศาสตร์ที่ซ้ำรอยครั้งแล้วครั้งเล่า
หากมันเป็นการกระทำของใครบางคนที่ไม่เคยรู้จักมักจี่
หรือแม้คนรู้จัก
มันก็ยังไม่เจ็บปวดรวดร้าวนัก...
แต่นี่ คนที่รักกัน... ย่อมจะ เจ็บปวดสาหัสทั้งกาย ทั้งจิตใจ
กับคนที่รัก ใครบ้างจะระวังตัว
กับคนที่รัก ใครบ้างจะต้องคอยคิดป้องกันตน
กับคนที่รัก ใครบ้างจะสงสัยเคลือบแคลง
กับคนที่รัก ใครบ้างจะต้องคิดหน้าคิดหลัง
กับคนที่รัก ใครบ้างจะกล้าโต้ตอบ
คนเราจะอ่อนแอที่สุด ก็กับคนที่เรารักนั่นแหละ
เมื่อรัก กลไกแห่งการป้องกันทุกอย่างถูกทิ้งไปจนหมดสิ้น
ไร้แม้กระทั่งแรงจะต้านทาน ขัดขืน
ดังนั้น หากคิดจะรัก ต้องรักจริงกันทั้งสองฝ่าย... เพราะหากรักเพียงฝ่ายเดียว ฝ่ายที่รักนั่นแหละเปราะบาง เจ็บปวดได้ทุกเมื่อ
ยิ่งเดี๋ยวนี้ที่คนมักจะแยกสิ่งที่เคยรวมกันโดยธรรมชาติด้วยแล้ว
แยกมนุษย์จากพระ
แยกร่างกายจากจิตใจ
แยกศักดิ์ศรีจากการเป็นมนุษย์
แยกจรรยาบรรณจากอาชีพการงาน
แยกความผิด-ถูกจากจริยธรรม
แยกความถูกต้องจากความดี
แยกความรักจากการแต่งงาน
แยกการเกิดจากความเป็นพ่อเป็นแม่
แยกเพศจากความรัก
แยกความสนุกจากความรับผิดชอบ...
แล้วคนรุ่นหลังจะถืออะไรเป็นเกณฑ์มาตรฐาน... เพื่อตัดสิน เพื่อแยกแยะ เพื่อเลือก เพื่อปฏิบัติ เพื่อเป็นแนวทาง...ได้อีกเล่า?
และสังคมยังจะต้องคอยรับรู้เรื่องราวที่น่ารันทดใจเหล่านี้ต่อไปอีกนานแค่ไหน?
คิดแล้ว อดลำบากใจแทนคนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่ได้
เพียรพร่ำสินลูกอย่าง คนรอบข้างสอนอีกอย่าง...จนเด็กต้องสับสน
คนดีในสังคมคงจะปล่อยเลยตามเลยไม่ได้เสียแล้ว
หากคิดว่าเป็นคนดีจริง นี่คือการท้าทายให้พิสูจน์ความดี...อย่างเลี่ยงไม่ได้*
....................................................................
เวลาน้อยลง?
วันหนึ่งก็จบสิ้นลงแล้ว ด้วยความรวดเร็ว
มีอะไรมากมายที่ต้องทำ แต่ยังทำไม่ได้หมด
แต่ละวันดูจะสั้นลงไปเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับสิ่งที่อยากทำมีมากขึ้นทุกวัน
ยี่สิบสี่ชั่วโมงดูจะน้อยไป หากมีมากกว่านั้นในแต่ละวันก็คงจะดี
แล้วก็อดถามไม่ได้ว่า เวลาน้อยลงหรือมีอะไรทำมากขึ้น?
คำตอบก็คงหาได้ไม่ยาก...
สิ่งที่เป็นหน้าที่ประจำ ที่สอดแทรกเข้ามาตามสถานการณ์ ที่เสนอตัวเข้ามา...เหล่านี้แหละตัวปริมาณของงานที่ทะลักเข้ามา จนอยากจะมีสักสิบมือ
ในเมื่อเวลาดูจะน้อย และสิ่งที่ต้องทำมีมาก ก็คงต้องทำให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้...ในแต่ละวัน
วันไหนทำได้มาก ก็รู้สึกว่าวันนั้นคุ้มค่า
วันไหนทำได้น้อย ก็อดหดหู้ใจไม่ได้
ก็เลยเกิดความกดดัน
หนักเข้าก็กลายเป็นความเครียดลึก
แล้วก็พาลรู้สึกไม่พอใจตัวเองเอาดื้อๆ
ที่สุดก็ต้องสรุปเอาง่ายๆ ว่า แม้จะมีสิ่งที่ต้องทำหลายอย่าง
แต่บางอย่างสำคัญมากกว่าอย่างอื่นๆ
บางอย่างก็เป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ทำไม่ได้
อีกหลายๆ อย่างก็เป็นสิ่งที่ทำได้ก็ดีไม่ทำก็ไม่เป็นไร
จะพูดให้ง่ายขึ้น แต่ละวันมีสิ่งที่ “ต้อง” ทำ และมีสิ่งที่ “น่า” ทำ
และสิ่งที่น่าทำดูจะมากมายก่ายกอง
เพราะเหตุนี้เอง แต่ละวันจึงดูสั้นเกินไป สำหรับทำสิ่งที่ต้องทำและสิ่งที่น่าทำ
แถมสิ่งที่ “น่า” ทำ ดูจะน่าสนใจมากกว่าสิ่งที่ “ต้อง” ทำเสียอีก
จนบ่อยครั้ง มัวแต่เพลินกับสิ่งที่ “น่า” ทำ จนแทบไม่ได้ทำสิ่งที่ “ต้อง” ทำ
หรือใช้เวลามากกับสิ่งที่น่าทำ จนสิ่งที่ต้องทำพลอยทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร
ที่ร้ายไปกว่านั้น เอาแต่ทำสิ่งที่น่าทำ แล้วก็ทิ้งสิ่งที่ต้องทำไปอย่างไร้ซึ่งความรับผิดชอบ
จริงๆ แล้ว ยี่สิบสี่ชั่วโมงในแต่ละวันเหลือจะเพียงพอสำหรับสิ่งที่ต้องทำ
มีเพียงพอแม้สำหรับบางสิ่งที่ “น่า” ทำด้วย
มันจึงเป็นเรื่องของการเลือกลำดับความสำคัญของแต่ละอย่าง
ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็จะเป็นการทำทุกอย่างที่ขวางหน้า...เห็นอะไรเป็นต้องทำหมด
ต่อเมื่อมีการเลือกที่ถูกต้อง ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี...แม้จะทำได้ไม่หมดทุกอย่าง
มีเวลาสำหรับพระ เพื่อสรรเสริญเทิดเกียรติพระองค์
มีเวลาสำหรับพ่อแม่ เพื่อจะพูดคุยดูแลอยู่เป็นเพื่อน
มีเวลาสำหรับลูก เพื่ออยู่ใกล้ชิดให้ความอบอุ่นและรับฟังปะญหาเล็กใหญ่
มีเวลาสำหรับคู่ชีวิต เพื่อแบ่งเบาภาระและมอบความรักให้กันและกัน
มีเวลาสำหรับพี่น้อง เพื่อเล่นหัวกระเซ้าเย้าแหย่ประสาพี่ประสาน้อง
มีเวลาสำหรับเพื่อน เพื่อร่วมทุกข์ร่วมสุขและแบ่งปันประสบการณ์
มีเวลาสำหรับตนเอง เพื่อทักทายถามทุกข์ถามสุขในส่วนลึกของความเป็นตนเอง
มีเวลาแม้สำหรับธรรมชาติ เพื่อสร้างความกลมกลืนกับธรรมชาติ และคืนความธรรมชาติให้แก่ตนเอง
การบริหารเวลาจึงไม่ใช่เรื่องของการแบ่งสรรเวลาให้สิ่งต่างๆ เท่านั้น
แต่เป็นเรื่องการแยกแยะระหว่างสิ่งที่ “ต้องทำ” กับสิ่งที่ “น่าทำ” ด้วย*
....................................................................
มาสร้างคนกันเถอะ
ที่สุดคนก็ยังรับคนด้วยกันไม่ได้
ตั้งแต่แรก พระเจ้าทรงสร้างคนมาดีพร้อม
แต่เพราะความผิดพลาดครั้งนั้น ความดีพร้อมต้องมัวหมองไป
ที่เคยอยู่ด้วยกันอย่างราบรื่น จริงใจต่อกัน ก็มีอันต้องเคลือบแคลงระแวงสงสัย
จนยากจะหยั่งใจรู้แจ้งได้หมด
คิดอย่างพูดอย่าง
คิดอย่างทำอย่าง
รู้สึกอย่าง แสดงออกอย่าง
พูดอย่าง หมายถึงอย่าง
จนต้องเหนื่อยใจกับการชั่งคำพูด ตีความหมายท่าที หยั่งชั้นเชิง
แล้วยังต้องเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะความที่คิดซื่อไป...นึกว่าจะจริงใจ แต่ก็หาไม่...
เมื่อต้องขยาดกับสิ่งไม่ดีไม่งามที่ต้องพบพาอยู่เรื่อยๆ คนก็ต้องสร้างภูมิขึ้นมาเพื่อป้องกันตัว
ความสงสัย ความระแวง...กลายเป็นธรรมชาติที่สองของมนุษย์
ทั้งในเชิงรับและเชิงรุก
ทางเชิงรับ ก็ต้องคอยสอดส่องตรวจตราระแวดระวัง อย่าให้เผลอไผลเชื่อใจใครง่ายๆ
แม้คนใกล้ตัวก็เถอะ
ทางเชิงรุก ก็ต้องชิงทำเสียก่อนที่จะถูกกระทำ
หลอกเขาเสียก่อนที่จะถูกหลอก
โกงเขาเสียก่อนที่จะถูกเขาโกง
เอาเปรียบเขาเสียก่อนที่ต้องถูกเขาเอารัดเอาเปรียบ
พร้อมกับคิดเข้าข้างตัวเองง่ายๆ ว่า ทุกคนเป็นกันทั้งนั้น
แล้วก็หันไปคบสัตว์เลี้ยงต่างๆ ชนิด
แม้จะติดต่อพูดจาสื่อสารกันไม่ได้มาก แต่อย่างน้อยมันยังดูจริงใจกว่าคน
จากสรรพนาม “มัน” ที่พึงใช้กับสัตว์เดรัจฉาน ก็ใช้ “เขา”แทนทุกคำ
จากกิริยา “กิน” ที่น่าจะใช้กับสัตว์ ก็ใช้คำ “รับประทาน” แทนไม่ต้องพูดถึงความรักความเอ็นดู ความเอาใจใส่ที่ให้กับสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ที่คนเองยังต้องอดอิจฉาสัตว์ไม่ได้ ถึงกระนั้นก็เถอะ คนยังรู้สึกลึกๆ ว่า แม้สัตว์เลี้ยงจะดีจะงามแต่คนยังต้องคบกับคนอยู่ดี เพราะนั่นคือธรรมชาติมนุษย์
เวลาเดียวกันก็อดขยาดกับความไม่จริงใจของมนุษย์ไม่ได้ก็เลยใฝ่ฝันจะคบหากับคนที่มีความจริงใจเสมอต้นเสมอปลายและถ้าจะสามารถควบคุมท่าทีความรู้สึก และการแสดงออกได้ด้วย
น่าจะเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ดี...หลังจากที่ต้องเจอะเจออะไรต่อมิอะไรมาจนเข็ดหลาบแล้วมนุษย์จึงคิดสร้างมนุษย์ขึ้นมาตามที่ตนเองใฝ่ฝันให้เป็น
ที่สามารถรู้ใจอ่านใจได้ ที่สามารถควบคุมความคิดความอ่านและความรู้สึกได้ เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่คล้ายคน แต่สามารถควบคุมได้เพื่อที่จะไม่ต้องฝืนใจ ไม่ต้องเกร็ง ไม่ต้องระแวง
ความสบายใจ คือเคล็ดลับของความสัมพันธ์ที่ดี
แต่จะมีสักกี่คนที่เราท่านสามารถคบหาได้ด้วย “ความสบายใจ”? ในเมื่อต่างก็อยากจะคบหาผู้คนด้วยความสบายใจ ทำไมเราท่านจึงไม่คิดจะสร้างความสบายใจนี้ขึ้นมาเล่า?
เริ่มจากตัวเราก่อนอื่น... ด้วยการทำตัวให้คนที่คบหาเกิดความสบายใจ
แล้วสร้างคนที่มีตัวมีตนอยู่ให้เป็นคนจริงใจเสียที
....................................................................
แค่อุบัติเหตุ
แล้วก็อดเหนื่อยหน่ายไม่ได้ เมื่อต้องเจอกับข่าวร้ายกันทุกวัน ทำให้รู้สึกว่าชีวิตคนเรามีแต่เรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดี
ทั้ง ๆ ที่ใจลึก ๆ ของทุกคนเสาะหาตามล่าความดี...ทุกเวลา ทุกที่ ทุกวิธี เพราะในธรรมชาติของมนุษย์แล้ว ความดีคือธาตุแท้
แต่แล้ว ทำไมคนเราจึงให้ความสนใจแต่เรื่องร้ายๆ อุบัติเหตุ อุทกภัย ความหายนะ ความเจ็บ ความตาย... เกิดขึ้นเมื่อใดต้องเป็นข่าว สร้างความฮือฮา
กลายเป็นความมักรู้มักเห็น ต้องรู้ ต้องเห็นให้ได้ รับรู้ดูเห็นแล้วใช่ว่าจะเจริญหูเจริญตา...แต่ก็ไม่วาย แล้วก็รู้สึกสะใจลึกๆ คละกับความสยดสยอง สะอิดสะเอียนสะเทือนใจ...
แต่พอเกิดเรื่องเกิดราว ก็อดไม่ได้ที่จะไปดูรับรู้รับเห็น...เรื่องเดียวกัน
จะว่าดูไปเพื่อความรู้สึกว่าเดชะบุญที่เป็นคนอื่น...หรือเปล่าหรือเพื่อความรู้สึกว่าตนเองโชคดี คลาดแคล้วไปได้..หรือเปล่าหรือเพื่อความรู้สึกว่าตนเองเป็นปกติ เมื่อเทียบกับความผิดปกติของคนอื่น...หรือเปล่า
และแม้จะไม่ได้ดูได้เห็น แต่ก็สนใจรับรู้รายละเอียดจากสื่อต่างๆ ที่ป้อนให้แต่ละวัน
จนรู้สึกว่าขาดอะไรก็ขาดได้ แต่ขาดข่าวสารรายวันไม่ได้และวันไหนข่าวร้ายไม่ค่อยจะมี ก็รู้สึกว่าสื่อวันนั้นขาดรสชาติไปโดยปริยาย
ใจจึงรู้สึกโหยหาข่าวร้าย...ของคนอื่น...อยู่ร่ำไป
เมื่อซึมซับแต่เรื่องร้ายๆ จิตใจก็พลอยกระด้าง โอนเอนไปทางนั้นโดยไม่รู้ตัว
คิดก็คิดถึงคนอื่นในแง่ร้ายไปหมด จนแทบมองไม่เห็นแง่ดี มองก็มองเห็นแต่แง่ร้ายในคนอื่น ทั้งๆ ที่แง่ดีมีมากมาย
ตัดสินก็ตัดสินคนอื่นเป็นร้ายไปหมด จนเลวบริสุทธิ์แล้วเที่ยวมุ่งร้าย ให้ร้าย ทำร้าย ทุกคนที่ขวางหน้า...แม้แต่คนที่บอกเองว่ารัก
บางคนถึงขนาดมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น อย่างไร้มนุษยธรรมแต่บางคนเห็นคนอื่นมีความสุขไม่ได้
จนทำให้เกิดความรู้สึกว่า สิ่งชั่วร้ายเป็นเรื่องปกติ และสิ่งดีเป็นเรื่องผิดธรรมดาไปเหล่านี้ มีที่มาที่ไปในข่าวร้ายที่ซึมซับกันเข้าไปทุกเมื่อเชื่อวันคงต้องเป็นความสำนึกของคนสื่อข่าว ที่จะเปลี่ยนจุดขายเสียใหม่ให้ข่าวแต่ละอย่างที่เสนอไปนั้นบ่งชี้ชัดเจนว่า ความดีคือธรรมชาติมนุษย์
ส่วนข่าวร้ายเป็นแค่ผลข้างเคียงของความดีที่ยังไม่ดีครบบริโภคข่าวสารแต่ละวันแล้ว ทำให้เกิดความรู้สึกในคุณค่าของความดีมากขึ้น
เหมือนความร้อนที่เน้นความเย็นให้ชื่นฉ่ำมากขึ้น
เหมือนความหิวเน้นความอิ่มเอมให้เต็มเปี่ยม
เหมือนความสกปรกเน้นความสะอาดให้สะอ้านขึ้น
เหมือนกลิ่นเหม็นเน้นกลิ่นหอมให้อบอวลขึ้น
เหมือนความขี้เหร่เน้นความงามให้เจริญตาเจริญใจมากขึ้น
เหมือนความมืดเน้นความสว่างให้เจิดจ้าขึ้น
ฉันใดก็ฉันนั้น ข่าวร้ายน่าจะมีบทบาทคล้ายกัน..เน้นความดีให้เด่นชัด เน้นความดีให้เป็นคุณค่าพึงปรารถนา
ทุกครั้งที่มีข่าวร้าย คนดีน่าจะทบทวนและบอกตนเองได้อย่างเดียว
ความดีที่ว่าดีนี้ดีพอหรือยัง...เหตุใดยังมีผลข้างเคียงขึ้นมาอีก
คำตอบต้องนำไปสู่การพัฒนาความดีให้สมบูรณ์ ครบถ้วนมากขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งผลข้างเคียงหมดสิ้นไป
เพราะจริงๆ แล้ว ความชั่วเป็นแค่อุบัติเหตุของความดี...เท่านั้นเอง
สื่อมวลชนทุกแขนง น่าจะตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งสัจธรรมนี้
เมื่อนั้นแหละ สื่อมวลชนจะได้เป็นสื่อสมชื่อ
....................................................................
ไปให้ถึงแก่น
ทุกวันนี้ จิตใจคนเปราะบาง
เพียงอะไรเล็กน้อย ก็สามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรง
แล้วก็ทำอะไรต่อมิอะไรไปอย่างขาดความยั้งคิด
สิ่งที่ไม่เคยคิดจะทำ ก็ทำไปอย่างง่ายดาย
โดยเฉพาะในยุคเศรษฐกิจตกต่ำจนไร้ความหวังอย่างนี้
ที่เคยมีคนมั่นใจ ก็หายวับไปกับตาจนตั้งตัวไม่ติด
ก็ใครจะคิดบ้างว่า เงินที่เคยสามารถซื้อได้ทุกอย่าง กลับซื้อราคาค่างวดที่มันเคยมีคืนมาไม่ได้
สำหรับหลายคน เมื่อต้องสูญเสียตรงจุดนี้ ก็ถือว่าหมดสิ้นแล้วทุกสิ่ง
บางคนจึงไม่ลังเลใจที่จะทำลายแม้กระทั่งชีวิตตนเอง
อีกหลายคนยอมเสียศักดิ์ศรีที่สร้างขึ้นมาเป็นชั่วอายุคน กระทำไปอย่างหมาจนตรอก
แล้วก็พูดว่า “ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว”...
และนี่คือที่มาของความชั่วทุกชนิด
ในเมื่อคนเรามาถึงจุดที่ว่า “ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว” ก็กล้าทำได้ทุกอย่าง
คนประเภทนี้จึงเป็นคนอันตรายอย่างยิ่ง
ต่อเมื่อคนเรายังมีอะไรที่ยังจะเสียได้...ก็จะมีความยับยั้งชั่งใจ มีสติ
...ยังมีคนที่รักอยู่
...ยังมีครอบครัวที่ต้องให้ความเอาใจใส่ดูแล
...ยังมีหลักศีลธรรมประจำใจที่ต้องยึดถือ
...ยังมีศักดิ์ศรีที่ต้องรักษาไว้ ไม่ให้มัวหมอง
...ยังมีความรู้ที่เล่าเรียนมา
...ยังมีแซ่มีนามสกุลที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ
...ยังมีจิตวิญญาณที่ทำให้เป็นสัตว์ประเสริฐ
...ยังมีพระที่ให้การกราบไหว้เคารพนับถือ
ซึ่งถ้าดูให้ดีแล้ว ยังมีอะไรที่ยังต้องรักษาไว้ไม่ให้เสียอีกมากมาย
จะปล่อยเนื้อปล่อยตัวทำอะไรโดยไม่ยั้งคิดไม่ได้
เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่สิ่งนอกกาย ที่วันนี้มีพรุ่งนี้สูญ เฉกเช่นเงินทองข้าวของ เป็นต้น
มันจึงเป็นเรื่องของการเข้าสู่แก่นสารของชีวิต
และรู้แน่ชัดอะไรที่เป็นแก่นสาร ที่ต้องมี อะไรที่ไม่เป็นแก่นสาร ไม่มีก็ได้
เมื่อนั้นแนวทางการดำเนินชีวิตก็จะมีความหนักแน่น โดยไม่นำพาทุกอย่าง
แม้สภาพเศรษฐกิจทุกวันนี้ดูแล้วชวนให้สิ้นหวัง
แต่ผู้ที่เข้าถึงแก่นสารของชีวิตก็รู้ดีว่า อย่างไรเสียความหวังยังคงอยู่
เพราะความหวังไม่อยู่ที่ว่าเมื่อไรเศรษฐกิจจะดีขึ้น เมื่อไรราคาสิ่งของเครื่องใช้จะถูกลง เมื่อ
ไรจะมีเงินใช้ได้สะพัดเหมือนก่อน...
ทว่า ความหวังนั้นอยู่ในสิ่งที่ก่อให้เกิดความหวัง
...ชีวิตที่ยังมีอยู่
...สุขภาพที่แข็งแรง
...ครอบครัวที่อบอุ่น
...สติปัญญาที่แจ่มใสปราดเปรียว
...โอกาสที่ยังมีอยู่
...ความมุมานะที่ไม่ถดถอย
...ความพยายามที่ไม่มีวันเลิกรา
...เป้าหมายชีวิตที่ยังคงเด่นชัด
...พระเจ้าผู้ทรงเมตตา สอดส่องดูแล เอาใจใส่ลูกๆ ของพระองค์แม้กระทั่งจำนวนเส้นผม
คนสิ้นหวังคือคนที่มองข้ามที่มาของความหวัง
คิดเพียงแค่จะเห็นความหวังอันลมๆ แล้งๆ... ซึ่งก็อันตรธานหายไปเหมือนลมนั่นแหละ
คงต้องหันมามองอะไรกันให้ชัดเจนเสียแล้ว
โดยเฉพาะในสภาพชีวิตที่สับสนอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้*
....................................................................
รากเหง้า
ชีวิตมนุษย์แม้จะเป็นช่วงเป็นตอน แต่เบื้องหน้าเบื้องหลังสานต่อกันเป็นประวัติศาสตร์
แต่ละช่วงเวลามีความหมาย ไม่ใช่ในตัวมันเองหาก แต่เป็นความต่อเนื่องที่ส่งความหมายให้กันและกัน ดุจหน้าหนังสือแต่ละหน้า ที่ให้ใจความเป็นเรื่องราวต่อเนื่อง แม้จะแยกกันเป็นหน้ากระดาษแต่ละหน้า
ช่วงเวลานี้มีความหมายหากโยงใยไปถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาและช่วงเวลาที่จะมาถึง
เพราะชีวิตมนุษย์คือประวัติศาสตร์
คนที่อ่านประวัติศาสตร์เป็น จะไม่จดจ่ออยู่แค่เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น
เมื่อนั้นจะสามารถเข้าใจเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ได้อย่างถ่องแท้
เพียงแค่หยิบยกการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาดู ก็จะเห็นได้เป็นประจักษ์ว่า การกระทำดังกล่าวเป็นผลต่อเนื่องมาจากการกระทำครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา และเป็นเหตุของการกระทำที่จะทำต่อไป
ความดีที่ทำ หาใช่เป็นการกระทำเวลานี้ไม่ หากแต่เป็นผลจากการฝึกฝนอบรมความดีที่ได้รับมา และการมองถึงผลดีที่จะตามมาในอนาคต...ในเวลาเดียวกัน
เช่นเดียวกัน ความใจดีที่แสดงออก เป็นผลต่อเนื่องมาจากความหมั่นเพียรสร้างนิสัยมาด้วยความสม่ำเสมอ และการเห็นประโยชน์แห่งความดีที่จะเกิดขึ้น
ความรักที่เกิดขึ้น เป็นผลมาจากความชื่นชอบมานมนาน และความปรารถนาดีต่อคนที่รักอย่างไม่มีวันจืดจาง
หากชีวิตมนุษย์คือประวัติศาสตร์ แต่ช่วงเวลาของมนุษย์ต้องมีที่มาที่ไป
เมื่อนั้นการกระทำทุกอย่างของมนุษย์จะมีเหตุมีผล
และทุกอย่างที่ทำไปด้วยเหตุด้วยผล ย่อมเป็นกิจการดีงาม
วัยรุ่นคนหนึ่งจะปล่อยเนื้อปล่อยตัวทำตัวเลอะเทอะไม่ได้ หากคิดว่าตนมาจากครอบครัวมีชื่อเสียงดีงาม และต้องสานต่อไม่ให้ด่างพร้อยเจิมเป็นลูกพระและต้องไปอยู่กับพระองค์สักวันหนึ่ง
สามีจะปล่อยตัวไปตามการเรียกร้องของตัณหาไม่ได้ หากคิดว่าตนเคยปฏิญาณกับภรรยาที่จะรักและสัตย์ซื่อต่อเธอ และจะต้องคงไว้อย่างไม่เปลี่ยนแปลง....
อื่นๆ เหล่านี้ คือการดำเนินชีวิตอย่างมีสติ รู้ที่มา รู้ที่ไป
ซึ่งจะยังให้ทุกท่าที การกระทำ ความคิดอ่าน...อยู่แต่ในความดีงาม ความถูกต้อง ความชอบธรรม
แต่หากเมื่อใดที่คนเราสนใจแค่เดี๋ยวนี้ ชั่วโมงนี้ เวลานี้...เพียงอย่างเดียว ทุกอย่างก็เป็นไปได้หมด
สิ่งเลวร้ายที่ทำๆ กัน ก็มักจะมาจากสาเหตุนี้
อยากจะได้ของคนอื่นเขา ก็ขโมยเสียเลย
คิดโกรธเกลียดใคร ก็แสดงออกมาในทีท่า คำพูด และการกระทำ
มีกำหนัด ก็ปลดปล่อยมันเดี๋ยวนั้น
มีปัญหาเฉพาะหน้า ก็แก้ปัญหามันตรงนั้น
โมโห ก็ลงไม้ลงมือเดี๋ยวนั้น...
เหล่านี้คือการกระทำที่ไม่มีที่มา ที่ไป
ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับคนที่พูดว่า “ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว”
เพราะคนคนนี้สามารถทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเลวร้ายแค่ไหน
แต่จริงๆ แล้ว ทุกคนยังมีอะไรจะเสีย..มีอดีต ปัจจุบันและอนาคต ที่ต้องรักษาไว้ด้วยความหวงแหน
เพราะมนุษย์เราคือ ประวัติศาสตร์ มีที่ไป...แน่นอน.
....................................................................
หนี้ใจ
โบราณท่านว่า “ความกตัญญู นอกจากจะเป็นฤทธิ์กุศลยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ยังเป็นญาติของฤทธิ์กุศลทั้งหลาย”
เพราะฤทธิ์กุศลทั้งหลายนั้น มักจะมีความกตัญญูเป็นองค์ประกอบด้วยเสมอ
แต่ทุกวันนี้มีการพูดถึงความกตัญญูน้อยลงไปเรื่อยๆ
เพราะมีแต่เน้นแค่สิทธิของฉัน ห้าที่ของคุณ...
ฉันเป็นลูก มีสิทธิในทุกอย่างที่หน้าที่ของพ่อแม่ชี้บอก
ฉันเป็นน้อง มีสิทธิในหน้าที่ของพี่ๆ
ฉันเป็นภรรยา มีสิทธิตามหน้าที่ของคุณผู้เป็นสามี
ฉันเป็นสามี มีสิทธิจะได้ทุกอย่างที่หน้าที่ของภรรยาที่ดีควรทำให้
ฉันเป็นพลเมือง มีสิทธิในทุกอย่างที่ประเทศชาติต้องให้ตามหน้าที่
ฉันจ่ายเงินแล้ว มีสิทธิจะได้สิ่งที่พึงได้รับ
ฉันเป็นมนุษย์ มีสิทธิจะได้ทุกอย่างที่พระเจ้าน่าจะประทานให้...
ในเมื่อคนเราเน้นแค่สิทธิและหน้าที่ จึงมองข้ามคำว่า “น้ำใจ” ไปโดยสิ้นเชิง
เฉพาะคนที่รู้ความหมายของคำว่า “น้ำใจ” จึงเป็นคนที่เข้าถึงความกตัญญูได้อย่างแท้จริง
เพราะคนเรามีอะไรต่อกันมากกว่าคำว่า “สิทธิ” และ “หน้าที่”
“สิทธิ” และ “หน้าที่” ชดใช้กันได้หมดสิ้น แต่ “น้ำใจ” ไม่มีวันชดใช้กันได้เพียงพอ
เพราะ “ใจ” นั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจะวัดตวง กำหนดมาตรฐานได้
“สิทธิ” และ “หน้าที่” มีวันและเวลาจบสิ้นลง แต่ “ใจ” นั้นคงอยู่ชั่วฟ้าดินสลาย
มันน่าเสียดายที่คนเราทุกวันนี้เงินเป็นตัวแทนได้ในทุกสิ่ง...แทนได้แม้กระทั่ง “น้ำใจ” และ “บุญคุณ”
เลยถือว่า จ่ายเงินแล้วก็แล้วกันไป...ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ไม่ว่าในเรื่องใด
อย่างเช่นชายคนที่กำลังจมน้ำตายในสายน้ำที่ไหลเชี่ยว
ชายอีกคนหนึ่งยืนอยู่บนระเบียงชั้นสองของบ้านที่น้ำท่วมนองล่างหนึ่งเห็นเข้า ก็รีบผูกเชือกกับโต๊ะไม้และโยนลงไปให้เขาเกาะไว้
หลังจากที่ชายผู้เคราะห์ร้ายได้รับการช่วยเหลือและปลอดภัยแล้ว สิ่งแรกที่เขาพูดคือ
“ขอบคุณมากเสียสละโต๊ะไม้ตัวงามนี้เพื่อช่วยชีวิตผม ผมจะรีบจัดการซื้อโต๊ะคืนให้ทันทีที่มีโอกาส”
และนี่คือหนึ่งในหลายตัวอย่าง ที่คนเรามักปฏิบัติต่อกัน
อยู่กันเพียงแค่ระดับเม็ดเงิน สิ่งของ...แค่นั้นจริงๆ
ความกตัญญูจึงหายไปจากสังคมทุกวันนี้ ทีละเล็กทีละน้อย
คนที่เลือกดำรงชีวิตตามแนว “ชีวจิต” ถือว่าทุกคนมีบุญคุณต่อตน
ชีวิตในแต่ละวันดำเนินไปได้ ก็เพราะการกระทำของคนจำนวนมาก
เริ่มตั้งแต่ตื่นนอน ไปจนถึงเข้านอน...ทุกคนมีบุญคุณหมด
เมื่อสำนึกว่าทุกคนเป็นผู้มีพระคุณ ท่าทีและการแสดงออกต่อผู้อื่นย่อมเต็มด้วยความกตัญญู เคารพรัก เอื้ออาทร มีน้ำใจ...
จิตใจจึงงดงามในร่างกายที่แขข็งแรง...อย่างกลมกลืนและครบวงจร
แต่คนที่มองเพียงแค่ “สิทธิ” และ “หน้าที่” ก็ย่อมจะมีทีท่าแห่งการเรียกร้อง ไม่พอใจ บ่นว่า...เอาแต่ใจ
คนประเภทนี้ ไปไหนก็มีแต่จะหว่านความเห็นแก่ตัว ความมักได้ ความเอารัดเอาเปรียบ...
คนประเภทนี้ไม่มีเยื่อใยกับใคร...เสร็จธุระแล้วจบสิ้นต่อกัน
คนประเภทนี้ไม่เห็นแก่หน้าใคร...หมดผลประโยชน์แล้วก็เลิกรากันไป
คนประเภทนี้ไม่มีภูมิหลังครอบครัว... จะเกี่ยวดองกันก็แค่สายสะดือที่ตัดขาดไปตั้งแต่แรกเกิด
คนประเภทนี้ไม่มีความทรงจำใดๆ...อยู่ไปแค่ช่วงเวลาแห่งสิทธิและหน้าที่
อย่างนี้แล้วยังจะเหลือความเป็นคนอยู่อีกหรือ
เพราะเหตุนี้เอง คนทุกวันนี้จึงมีความเป็นคนน้อยลงทุกวัน...อย่างน่าเสียดายยิ่ง*
....................................................................
หิ่งห้อย
ระเบียงตึกในยามดึกคืนนั้นสงบเงียบออกจะวังเวง
เสียงแมลงเล็กใหญ่กรีดเสียงทำลายความเงียบ
นานๆ จะมีเสียงร้องหยาบของนกราตรีที่ออกล่าเหยื่อ
ฉันยืนอยู่ในความมืด เพลินไปกับเสียงธรรมชาติรอบข้าง
ที่ฉันไม่ค่อยจะได้สัมผัส ได้ยิน มาช้านานแล้ว
ขณะที่สายลมแผ่วเบา ช่วยให้รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก
ทันใด แสงไฟดวงน้อย กระพริบปิด-เปิดอยู่ปลายระเบียง
ตัดกับฉากแห่งความมืดมิดสนิทให้ยามท้องฟ้าปราศจากดาวเฉกเช่นคืนนี้
แสงไฟดวงน้อย ล่องลอยมาตามความยาวของระเบียง
กระพริบปิด-เปิด แสงเรื่อเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ตรงมาทางที่ฉันยืนอยู่
ฉันจดจ้องมองตามแสงน้อย สว่างขึ้นที่นั่นที แล้วก็ดับกลืนไปกับความมืด แล้วก็ไปสว่างขึ้นอีกทีหนึ่ง แล้วก็หายไป
เดี๋ยวสว่าง เดี๋ยวมืด เดี๋ยวสว่าง เดี๋ยวมืด
เด็กน้อยในตัวฉันเริงร่างยินดี อย่างที่เคยเป็นเมื่อหลายสิบปีให้หลัง
ยามที่มือหนึ่งถือถุงพลาสติกใส วิ่งตามแสงน้อยๆ เหล่านี้ อีกมือไขว่คว้าจับเจ้าแมลงมีแสงตัวน้อยๆ นี้มารวมกันไว้ในถุงดูสว่าง ด้วยไฟกระพริบนับสิบ
ความคิดฉันที่กำลังล่องลอยย้อนเวลากลับหาอดีตต้องสะดุดกึก
เมื่อเจ้าหิ่งห้อยตัวน้อย บินขึ้นชนเพดานของระเบียง
ชนที ก็ถลาลงมาที แล้วก็บินขึ้นไปอีก แล้วก็ถลาลงมาอีก
ในขณะที่ แสงที่ด้านท้ายลำตัวของมันยังกระพริบเป็นจังหวะเสมอต้นเสมอปลาย
บางครั้ง มันก็พยายามบินไปทางกำแพงห้องบ้าง
แต่ก็ต้องชนกับกำแพง และถลาออกมา ครั้งแล้วครั้งเล่า
ความมืดในขณะนั้นคงทำให้มันมองไม่ออกว่าด้านบน และด้านข้างของระเบียงนั้นมีกำแพงหนาทึบขวางกั้นอยู่
ขวางกั้นระหว่าง มันกับท้องฟ้าเวิ้งว้างกว้างใหญ่
และในขณะที่มันคิด กำลังบินอวดแสงตะเกียงน้อยๆ ของมันอยู่บนฟากฟ้ามืดมิด มันก็ต้องบินชนกำแพงปูนและถลาลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า
จนฉันทนดูอยู่ต่อไปไม่ไหว ต้องหาทางช่วย
ฉันยืนมองแสงไฟกระพริบน้อยๆ ที่บินพ้นระเบียงออกไปในความมืด จนกระทั่งแสงกระพริบหายไปจากสายตา
ฉันยังคงยืนอยู่ที่นั่น คิดถึงหิ่งห้อยตัวน้อย
อดฉงนไม่ได้ว่า ธรรมชาติให้มันมีแสงในตัว แต่ทำไมแสงกลับไปอยู่ด้านท้ายลำตัว
แทนที่จะอยู่ด้านหน้า เพื่อส่องสว่างชี้ทาง
มันคงจะไม่ต้องบินชนกำแพงและเพดานระเบียง หากมีแสงส่องให้เห็นข้างหน้า
แล้วความคิดของฉันก็ผละจากหิ่งห้อยตัวน้อย ไปยังคนเรา
คิดถึงแสงอย่างหนึ่งที่มีอยู่ในตัวเราแต่ละคน
แสงแห่งเหตุผล ที่คอยชี้นำและให้ความสว่างแก่ชีวิตและการกระทำ
คนขึ้นชื่อว่าคน ต่อเมื่อดำเนินชีวิตและการกระทำไปภายใต้การบอกนำของเหตุผล
และยามใดที่เรายอมให้ สัญชาตญาณมาอยู่เหนือเหตุผล ยามนั้นก็คงจะเหลือแต่ความเป็นสัตว์ เฉกเช่นสัตว์ทั้งหลายที่มีชีวิตอยู่ด้วยสัญชาตญาณ
. . . . . ใครแข็งแรงกว่า อยู่รอด
. . . . . ใครดุร้ายกว่า มีอำนาจ
. . . . . ใครมือยาว สาวได้สาวเอา
. . . . . ใครเล่ห์เหลี่ยมมากกว่า ชนะ
มันน่าเสียดายที่หลายคน แม้จะมีแสงสว่างแห่งเหตุผล
แต่แสงนั้นมักไปอยู่เสียข้างหลัง
ดุจเช่นแสงน้อยของหิ่งห้อย
เหตุผลจึงไม่ได้ช่วยชี้นำ ความประพฤติและการกระทำ
เลยเกิดการชน การกระทบกระทั่ง การปะทะ การทะเลาะวิวาท...การหักล้าง เข่นฆ่า ทำลาย
เพราะอารมณ์มันไปเร็วกว่าเหตุผล
และกว่าเหตุผลจะไปทัน มันก็สายเกินแก้เสียแล้วทุกครั้งไป*
....................................................................
รสชาติชีวิต
ก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารโปรดปรานอย่างหนึ่งของหลายคน
หาทานง่าน อร่อย และราคาพอสู้ได้
ก่อนนี้ผมเคยคิดว่ามีที่มาจากเมืองจีน พอไปที่นั่นก็เที่ยวถามหา
อยากรู้ว่าต้นตำรับจะอร่อยกว่าบ้านเราแค่ไหน แต่ก็ต้องผิดหวัง
มาสมหวังก็ตอนไปเวียดนาม มีร้านก๊วยเตี๋ยวขายเต็มไปหมด
แม้รสชาติการปรุงจะไม่เด็ดเหมือนบ้านเรา แต่ก็ไม่ผิดหวัง
โดยเฉพาะ ผัดสดหลายหลากชนิดที่นำมาให้บริการคู่ไปกับก๋วยเตี๋ยว
คงเพราะเหตุนี้เอง คนเวียดนามจึงหุ่นดีกันเป็นส่วนมาก
ก๋วยเตี๋ยวบ้านเขาชามเดียวก็อยู่ท้องแล้ว แถมได้ธาตุอาหารครบถ้วน
จะว่ากันแล้ว ก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารชนิดเดียวที่คนกินต้องยุ่งกับการปรุงแต่งเติมรสชาติให้อร่อย
อาหารอย่างอื่นๆ มักจะมีการปรุงมาเสร็จสรรพ จะเติมนิดเติมหน่อยก็น้ำปลาน้ำซอสให้ได้รสถูกปาก
ทานก๋วยเตี๋ยวจึงเป็นทั้งการบริโภคและการปรุงอาหารไปในเวลาเดียวกัน
เพื่อนผมคนนี้เขาจริงจังมากกับเรื่องนี้
ไปไหนด้วยกัน ถ้าสั่งอาหารอย่างอื่นทาน เขาจะไม่มากเรื่อง
“สั่งมาเถอะ ทานได้ทั้งนั้น…” เขามักจะพูดตัดบททุกครั้งที่มีการปรึกษารายการอาหาร
แต่ครั้งใดที่มีการทานก๋วยเตี๋ยวด้วยกัน คนอื่นต้องเงียบหมด
หลังจากแย่งกันสั่งเส้นเล็กเส้นใหญ่ งอกไม่งอกแล้ว เพื่อนผมคนนี้จะเริ่มสำรวจเครื่องปรุงทันที
“น้อง ช่วยเติมเครื่องปรุงหน่อย” คำพูดที่มักจะตามมาเป็นปกติวิสัย หลังจากตรวจตราความสะอาดของภาชนะที่ใส่ และเครื่องปรุงแล้ว
เมื่อชามก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ ถูกลำเลียงมาวางข้างหน้าทุกคนแล้ว เพื่อนผมใช้ช้อนตักน้ำซุปขึ้นมาชิมเป็นอย่างแรก แล้วทำตาลอยลิ้มรสมันอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่พักใหญ่
ภายในช่วงเวลาแค่นั้น เพื่อนผมเขาสามารถแยกแยะสิ่งที่เป็นองค์ประกอบของน้ำซุปได้อย่างละเอียดลออ ไม่ต่างกับนักเคมีปฏิบัติการในห้องแล็ป
แล้วนั้นก็เป็นการเข้าสู่กระบวนการปรุงที่เต็มด้วยขั้นตอน...น้ำปลา น้ำตาล พริก น้ำส้ม...แต่ละอย่างถูกใส่เข้าไปตามจำนวนช้อนด้วยท่าทีมั่นใจและรู้ดี ชนิดไม่ต้องใส่ไปชิมไปให้มากเรื่อง
น้ำซุปใสๆ ชามนั้น เปลี่ยนเป็นมีสีสันชวนทานในชั่วเวลาอันสั้น
“ใครอยากรู้ว่าก๋วยเตี๋ยวรสชาติควรเป็นอย่างไร ให้ลองตักชิมได้นะ...” เพื่อนผมพูด หลังจากใช้ตะเกียบคีบเส้นเข้าปาก ตามด้วยน้ำซุปสองช้อน สีหน้าบอกความสะใจ สมหวัง...อย่างเห็นได้ชัด
“เอาอีกแล้ว นี่ใจคอจะกินเส้นก๋วยเตี๋ยวกับน้ำต้มหรือไง...” เพื่อหันมาพูดกับผม เมื่อเห็นชามก๋วยเตี๋ยวของผมสีสันยังเหมือนกับตอนถูกยกมา
“ก็รสชาติเขาปรุงมาดีแล้วนี่นา ชอบกินอย่างนี้แหละ” ผมแก้ตัวให้ดูดีขึ้น ทั้งๆ ที่รู้แก่ใจว่าผมปรุงรสชาติไม่เก่ง
เคยใส่น้ำปลาจนเค็ม ต้องแก้ด้วยน้ำตาลจนหวาน แล้วก็ต้องแก้ด้วยน้ำส้มไม่ให้เลี่ยน แถมพริกเข้าไปอีกหน่อยให้ชวนกิน...ลงเอยก๋วยเตี๋ยวชามนั้นของผมสีสันน่ากิน แต่กินต่อไปไม่ไหว
ต้องสั่งชามใหม่ และทานอย่างที่มันอย่างนั้น ก่อนที่จะหิวตาลาย
ตั้งแต่นั้นมา ทุกครั้งที่ทานก๋วยเตี๋ยวกับเพื่อนคนนี้ผมต้องวานให้เขาปรุงรสชาติให้เป็นประจำ
และไม่เคยผิดหวังแม้แต่ครั้งเดียว
แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า ชีวิตคนเราในแง่หนึ่งไม่ต่างไปจากก๋วยเตี๋ยว
ทุกคนได้มาเหมือนกัน แต่บางคนทานได้เอร็ดอร่อย ได้รสได้ชาติ ในขณะที่หลายๆ คนทานเพียงแค่ไม่ให้หิว
ทุกชีวิตพระเจ้าประทานมาคล้ายคลึงกันหมด
แต่ไม่ใช่ทุกคนรู้จักใช้เวลา สิ่งของเงินทอง โอกาส...เพื่อปรุงแต่งให้ชีวิตมีความสุข มีรสชาติ มีน่าอยู่
ทั้งๆ ที่ทุกคนมีเวลา มีสิ่งของเงินทอง มีโอกาส มากบ้าง น้อยบ้าง
ขนาดก๋วยเตี๋ยวชามละสิบบาทยี่สิบบาท ยังสามารถปรุงแต่งให้เอร็ดอร่อย จนสุขใจกับการกินมันแต่ละครั้ง ได้ถึงขนาดนี้
สาอะไรกับชีวิตที่มีคุณค่าจนไม่อาจจะประเมินได้ของเราแต่ละคน?*
....................................................................
สูตรสำเร็จ
ยุคนี้จะเรียกว่า “ยุคสำเร็จรูป” ก็คงจะไม่ผิดนัก
ทุกอย่างมีสูตรสำเร็จ ที่ประกันการยอมรับ ทั้งในด้านมาตรฐานและความสำเร็จ
และใครก็ตามที่ทำตามสูตรนี้ครบ ก็ถือได้ว่าเป็นบุคคลน่ายกย่องในทุกระดับ
นักธุรกิจถือได้ว่ามีความสำเร็จหากมีเงินล้านฝากในธนาคาร มีบ้านหรู มีรถเบนซ์หรือเทียบเท่าทั้งในคุณภาพและสนนราคา เข้าออกสนามกอล์ฟได้อย่างไม่เคอะเขิน มีเรือยอร์ชไว้พักผ่อนวันสุดสัปดาห์...
นักการเมืองถือว่าได้ระดับหากได้รับเลือก เข้าร่วมรัฐบา เป็นรัฐมนตรี จัดมวยชิงแชมป์บ่อยๆ ให้สัมภาษณ์ออกโทรทัศน์ได้ทุกเรื่อง...
นักศึกษาถือว่าบรรลุเป้าหมายหากจบจากโรงเรียนมีชื่อเสียง สอบเข้ามหาวิทยาลัยรัฐได้ ต่อด้วยปริญญาโท เอก จากต่างประเทศ...
เมื่อมีสูตรสำเร็จเป็นตัวกำหนด การที่ยังได้มาซึ่งทุกอย่างเหล่านี้ ก็ถือกันว่ายังไม่ได้รับความสำเร็จ... หนักเข้าเลยเหมาว่าเป็นความล้มเหลวไปก็มากต่อมาก
ทั้งๆ ที่ชีวิตเท่าที่เป็นอยู่ก็มีครบในปัจจัยเพื่ออยู่ได้อย่างเป็นสุข
ความทุกข์ก็เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะขาดปัจจุย แต่ยังมีไม่พอตามสูตรที่ตั้งเป้าไว้
แล้วลงเอยเป็นตนเองที่สร้างความทุกข์ขึ้นมา ทั้งๆ ที่ความสุขรายเรียงอยู่รอบข้าง
เมื่อมีสูตรสำเร็จเป็นตัวกำหนด การที่จะได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ ก็พร้อมที่จะใช้ทุกวิธีการ ทั้งเทพทั้งมาร ไม่คำนึงความผิดความถูก ความยุติธรรม สิทธิ หน้าที่...
พอได้มาครบทุกอย่าง ก็ใช่ว่าจะมีความสุขสมหวัง กลับต้องระแวดระวัง หวาดผวาลูกปืน ไปไหนมาไหนก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ มีคนล้อมหน้าล้อมหลังเป็นเกราะมนุษย์ราวกับนักโทษประหาร
ต่อเมื่อคนเราแต่ละคนกล้าที่จะกำหนดสูตรสำเร็จเองนั่นแหละ ความสเร็จสมหวังก็ดูไม่เกินเอื้อม
ก็คนเราจะมีมาตรฐานของความอิ่มเหมือนกันทุกคนได้เมื่อไร
เพราะความอิ่มนั้นขึ้นอยู่กับโครงสร้างของกระเพาะของแต่ละคน
การจะกำหนดว่าเพื่อจะอิ่มท้องทุกคนต้องกินอาหารชนิดนั้นชนิดนี้ จำนวนเท่านั้นเท่านี้ ย่อมจะเป็นเรื่องฝืนธรรมชาติ และดูน่าขัน
อย่างมากก็แค่สามารถกำหนดประเภทของสารอาหารที่ต้องกินเพื่อให้มีสุขภาพดี
จริงๆ แล้ว คนต่างจังหวัดทะลักเข้ามาในกรุงเทพฯ ไม่ใช่เพราะขัดสน...ไม่มีอะไรจะกิน หรือไม่มีบ้านพักอาศัย
แต่อพยพกันเข้ามาไม่หยุดจนจำนวนคนต่างจังหวัดจะมากกว่าคนกรุงเทพฯ อยู่แล้ว ก็เพราะสูตรสำเร็จนี่แหละ ที่โพทนากันทางโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ ปากต่อปาก...จนกระทั่งว่าบ้านที่เคยอยู่สุขสบายกลับร้อนขึ้นมาเฉยๆ ข้าวที่เคยกินอร่อยกลับรสชาดกร่อยไปถนัด เครื่องใช้ไม้สอยที่เคยใช้คล่องมือกลับไร้ประสิทธิภาพทันตาเห็น
ยามกายหิว อะไรอย่างสองอย่างก็ทำให้มันอิ่มได้ แต่ยามใจหิวนี่สิเท่าไรๆ ก็ไม่มีวันพอ ไม่ต่างกับตะกร้าไม่มีก้น
มีคนพูดว่า นักธุรกิจคือคนต่างจังหวัดที่เข้ามาดิ้นรนบากบั่นในกรุงเพื่อจะได้มีเงินสำหรับออกไปพักผ่อนต่างจังหวัด
นั่นก็เป็นสูตรสำเร็จอีกอย่าง ที่กำหนดกันขึ้นมา
คนเรานี่ก็แปลก ปากก็บอกว่ารักตัว แต่ก็หาเรื่องมาเกลียดชังตัวไม่ได้หยุด
อยากให้ตนมีสุข แต่ก็หาความทุกข์มาใส่ตนทั้งกายทั้งใจ
อยากให้ตนมีสุขภาพดี แต่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวกินเหล้าเมายา ฆ่าผ่อนส่งตัวเองไปวันแล้ววันเล่า...ด้วยความรู้ตัวเต็มใจ
อยากให้ตนสบาย แต่ก็เที่ยวสรรหาเสื้อผ้ารัดรูปรัดทรงมาใส่ให้เดินเหินลุกนั่งต้องลำบากลำบน แทบจะพิกลพิการก็ยอมเพื่อความเท่
รักหน้ารักตา แต่เฝ้าทรมานใบหน้าได้ทุกวัน ตั้งแต่ละเลงเครื่องสำอางค์ไปถึงวาดหน้าเขียนคิ้ว จนแทบจะไม่เหลือร่องรอยใบหน้าเก่าให้จำได้
อยากได้ความสบายใจ แต่ก็เต็มใจทำบาปทำกรรมให้จิตใจมัวหมอง ไม่เว้นแม้แต่อบายมุขข้อเล็กข้อน้อย
อยากได้ความสุข แต่เที่ยวไล่ล่าตามสูตรสำเร็จ ลำบากตรากตรำ พอมีครบทุกอย่างก็หมดเรี่ยวแรงหรือร่างกายเจ็บป่วยเกินกว่าจะเสวยความสุขได้แล้ว
คิดให้ลึกซึ้งสักนิด ก็คงจะอดปลงไม่ได้...มนุษย์หนอมนุษย์*
....................................................................
การบ้านการเมือง
ที่สุดก็สะใจกันทั้งประเทศ เมื่อมีการประกาศยุบสภา
ก็ “เล่น” การเมืองกันเละเทะ... จนไม่เหลืออะไรนอกจากกองขยะมูลฝอยสกปรกน่าสะอิดสะเอียน
ขุดคุ้ยขึ้นมา ยำกันจนเละ แล้วก็ทิ้งไว้เรี่ยราดเต็มบ้านเต็มเมือง ให้เปื้อนหมองอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย
แล้วแทนที่จะหาทางช่วยกันขจัดความสกปรกเน่าเหม็น ต่างกับวิ่งร่านเข้าหาพรรคสังกัด...พร้อมจะเปิดหนังสือประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งที่ยังขาวสะอาด เพื่อละเลงให้มันสกปรกมากขึ้นกว่าหน้าก่อน
เกมส์เก้าอี้ดนตรี เด็กๆ เขาเลิกฮิตกันมานานแล้ว แต่นักการเมืองบ้านเรายังนิยมเล่นกันมาก...เล่นกันแบบเอาเป็นเอาตาย
ธรรมดาเวลาเล่นเกมส์นี้ ผู้เล่นจะรอจังหวะดนตรีหยุด แล้วใช้ความรวดเร็วบวกไหวพริบแย่งนั่งเก้าอี้ที่มีจำนวนน้อยกว่าจำนวนผู้เล่นอยู่หนึ่ง
ใครช้า นั่งเก้าอี้ไม่ทัน ก็ต้องออกจากเกมส์ไป
แต่เกมส์เก้าอี้ดนตรีที่นักการเมืองเล่นมีการประยุกต์ให้แตกต่างไปจากที่เล่นๆ กัน
นอกจากจะใช้ความเร็ว ไหวพริบ เล่ห์เลี่ยม เพื่อแย่งเก้าอี้นั่งแล้ว ยังมีการแย่งเก้าอี้ที่มีคนนั่งแล้วอีกด้วย
กลยุทธการแย่งและการทำให้คนตกเก้าอี้มีทั้งชนิดชั้นเชิงแยบยลเหนือเซียน มีทั้งเล่ห์กลมนต์คาถาเพทุบาย เชือดเฉือนได้อย่างโหดเหี้ยมเลือดเย็น ทำกันทั้งในและนอกรัฐสภาอันทรงเกียรติ
ต่างๆ เหล่านี้ เพียงเพราะเหตุเดียวคือ การบ้านการเมืองยังแยกกันไม่ออก
ในอารยประเทศ นักการเมืองคือผู้อุทิศตนเพื่อแผ่นดิน หลังจากที่จัดแจงกับการบ้านเรียบร้อยเป็นฝั่งเป็นฝามั่นคงแล้ว
อุดมการณ์ของเขาเหล่านี้คือ การคืนผลประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ แก่ผืนแผ่นดินที่ได้รองรับและให้ทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับชีวิตเขาแล้ว
การบ้านกับการเมืองจึงแยกกันอย่างเห็นได้ชัด
วันหนึ่งๆ จึงได้แต่คิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ประเทศชาติพัฒนา ประชาราษฎร์อยู่ดีมีสุข พรั่งพร้อมด้วยสวัสดิการชีวิต...
แต่สำหรับนักการเมืองบ้านเรา การบ้านการเมืองเป็นเรื่องเดียวกัน แยกกันอย่างไรก็ไม่ออก
เล่นการเมืองเพื่อการพัฒนาของการบ้าน เอาการบ้านเป็นตัวแปรชี้บอกแนวทางในการเล่นการเมือง
ผลประโยชน์ของชาติจึงเคียงไหล่ไปกับผลประโยชน์นักการเมือง หรือบ่อยครั้ง มาหลัง
ผลประโยชน์นักการเมืองเสียอีก
นอกจากการบ้านจะพัวพันกับการเมืองแล้ว หลังบ้านยังเป็นตัวควบคุมนโยบายใกล้ชิด จนดูไม่ออกว่าใครเป็นคนเล่นการเมือง หน้าบ้านหรือหลังบ้าน
ที่จริงแล้ว การบ้านการเมืองคงจะไม่ใช่เรื่องของนักการเมืองเท่านั้น
แต่มันเป็นเรื่องของเราท่านทุกคนด้วยเหมือนกัน
เมื่อการบ้านเรียบร้อย การเมืองก็พลอยดีไปด้วย
แต่เมื่อไรการบ้านไม่ดี การเมืองก็พลอยเสียหายอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อฉันมีสันติกับตนเอง ฉันก็อยู่ร่วมกับคนอื่นด้วยความกลมเกลียวราบรื่น
เมื่อในครอบครัวมีความรักใคร่ ความมีมิตรไมตรีกับคนอื่นๆ รอบข้างก็ตามมา
เมื่อในครอบครัวพ่อแม่มีความซื่อสัตย์ต่อกัน ลูกๆ ก็รู้จักรักเดียวใจเดียวยามแยกออกมาตั้งครอบครัวใหม่
เมื่อในครอบครัวมีมารยาทดีงาม การปฏิบัติต่อผู้อื่นก็พลอยงดงามน่ารักมีสกุล
เมื่อในครอบครัวมีบรรยากาศแห่งความศรัทธาเลื่อมใสในศาสนา การติดต่อกับผู้อื่นก็จะมีมิติศาสนาไปปรุงแต่งให้ดีงามสูงส่ง
เมื่อในครอบครัวมีการอบรมบ่มนิสัย ลูกๆ ก็เป็นพลเมืองดี สร้างประโยชน์ให้แก่ชาติบ้านเมือง
เมื่อในครอบครัวมีการปลูกฝังความซื่อสัตย์สุจริต คนคดโกงกินบ้านกินเมืองก็จะน้อยลง
มองกันแง่นี้แล้ว ก็น่าจะทุ่มเททำการบ้านให้ดีก่อนแล้วจึงค่อยเล่นการเมือง
ไม่ว่าระดับใด*
....................................................................
อำนาจอะไรกันแน่
ติดตามข่าวสารบ้านเมืองแล้วอดปวดหัวไม่ได้
กับคำพูดของนักการเมือง วันนี้พูดอย่างหนึ่ง พรุ่งนี้ก็พูดอีกอย่างหนึ่งแต่ละอย่างที่พูดมีเหตุผลสนับสนุนหนักแน่นจริงจังเด็ดขาด จนไม่รู้ว่าจะเชื่อประเด็นไหนดี
ลื่นไหลไปได้เรื่อยๆ ปรับตัวเปลี่ยนสีไปตามสถานการณ์เพื่อความอยู่รอดหาเสียงทีแทนที่จะชูธงรบตอกย้ำความตั้งใจจริงจะเข้ามาทำงานเพื่อชาติและประชาชน กลับหาเรื่องป้ายร้ายป้ายสีกัน
คล้ายกับชี้บอกเป็นนัยว่า ประชาชนต้องตัดสินเอาเองว่าจะเอาคนชั่วน้อยกว่าหรือชั่วมากกว่าเข้ามาบริหารบ้านเมือง
แล้วก็สร้างภาพลักษณ์ให้คนรุ่นใหม่เห็นว่า การเมืองเป็นเรื่องของการเชือดเฉือนกันด้วยการป้ายร้ายป้ายสี ด้วยการโกหกมดเท็จ ด้วยไหวพริบฉลาดแกมโกง...
แถมยังมี “เงิน” เป็นตัวแปรสำคัญที่จะตัดสินว่าใครได้เข้ามาบริหารบ้านเมืองอีก การเมืองจึงเป็นเรื่องของคนมีเงินมากกว่าจะมีอุดมการณ์ มีเงินมากกว่ามีความสามารถ มีเงินมากกว่ามีความรักชาติบ้านเมือง...
แต่ละคนที่เข้ามาบริหารบ้านเมืองจึงเข้ามาได้เพราะเงิน อยู่ไปวัน ๆ เพื่อเงิน ทำอะไรทีก็ต้องมีเงินเข้ามาเป็นตัวตัดสิน...จะได้ค่าคอมมิสชั่นมากหรือน้อยอันที่จริงจะว่านักการเมืองอย่างเดียวก็ไม่ถูก เพราะระบบเงินซึ่งเป็นตัวแปรนี้เริ่มมาจากระดับประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง
ในเมื่อการไปใช้สิทธิ์ไม่ได้กระทำไปเพราะความสำนึกในหน้าที่พลเมือง ที่จะไปสรรหาคนมีอุดมการณ์ มีความสามารถเข้าไปช่วยบริหารบ้านเมือง แต่กลับไปขายสิทธิ์อันสูงส่งด้วยเงินไม่กี่ร้อยบาท
และไม่เคยคิดกันบ้างว่า การไม่ยอมเอาเงินสามร้อยสี่ร้อยตอนนี้แล้วเลือกคนดีเข้าไปบริหารบ้านเมือง ผลตอบแทนระยะยาวจะมากกว่าเงินจำนวนนี้เป็นไหนๆ
ส่วนมากมักจะถือกันอย่างที่ฝรั่งพูดว่า “นกหนึ่งตัวในกำมือ ย่อมดีกว่านกเป็นร้อยเป็นพันในพุ่มไม้”
แล้วก็ตัดสินกันว่าสามร้อยสี่ร้อยตอนนี้ดีกว่าไปหวังลม ๆ แล้งๆ ในภายหน้าบ้านเมืองซึ่งบรรพบุรุษรักษาเรามาด้วยความหวงแหน ด้วยชีวิตเลือดเนื้อ
พอมีปัญหาเรื่องปากเรื่องท้อง เรื่องที่เรื่องทาง ก็ต้องเสียทั้งเวลาเสียทั้งเงินทองเพื่อเดินทางเข้าไปร้องเรียนเรียกร้องกันหน้าทำเนียบ เหน็ดเหนื่อยทั้งกายทั้งใจ
ก็เพราะ “นกหนึ่งตัวในกำมือ” นี่แหละ
คนที่มีสำนึกมีอยู่ไม่น้อย แต่ก็ต้องท้อแท้ แล้วก็ได้แต่ปลงว่าอย่างไรเสียการเลือกตั้งต้องสกปรกอยู่แล้วเพราะไม่มีทางสกัดกั้นอำนาจเงินได้
ก็เลยต้องปล่อยไหลไปตามน้ำ... ไหนๆ เขาอุตส่าห์มาแจก ก็รับ ๆ ไป แถมยังพูดยืนยันจุดยืนว่า รับเงินแต่จะเลือกใครนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง
แต่แล้วก็ไม่วาย เกิดความรู้สึกในพันธะทางใจ ก็ต้องไปลงคะแนนให้เจ้าของเงินจนได้
และถึงแม้จะยืนหยัดไม่ไปลงคะแนนให้ การรับเงินก็เป็นการส่งเสริมวิธีการสกปรกในการเมืองอยู่ดี ถ้าจะพูดกันจริงๆ แล้วปัญหาไม่อยู่ที่อำนาจเงิน แต่อยู่ที่อำนาจกิเลสตัณหามากกว่า
หากสกัดกั้นอำนาจกิเลสตัณหาได้แล้ว การจะสกัดกั้นอำนาจอย่างอื่นนั้นไม่ยากแม้ว่านักการเมืองจะเอาเงินฟ่อนมาไล่แจกไล่แถม แต่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งยืนหยัดอยู่ในความชอบธรรม ไม่ปล่อยให้กิเลสตัณหาครอบงำเงินก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้
การเลือกตั้งแต่ละครั้งจึงเป็นการพิสูจน์ใจคน ทั้งผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งและผู้สมัครรับเลือกตั้ง
....................................................................
ขอแค่ครึ่งหนึ่ง...
กว่าบทความนี้จะมาถึงท่านผู้อ่าน การหาเสียงของผู้สมัครเป็น ส.ส. คงจบสิ้นลงแล้ว
ตลอดเดือนกว่าที่ผ่านมามีการพูดจาปราศัยเรียกร้องคะแนนเห็นใจและสนใจกันทุกรูปแบบ
ตั้งแต่การบอกถึงความมุ่งมั่นจะทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ ความผาสุกของประชาชน ตลอดจนการให้สัญญาประชาคมว่าจะพัฒนาให้คนไทยก้าวไปสู่ความเป็นเลิศทุกด้าน พร้อมกับแจกแจงแถลงนโยบายเป็นมั่นเหมาะ
พูดแล้ว แถลงแล้ว ดูเหมือนจะยังไม่มั่นใจว่า ที่พูดๆ ไปมันน่าเชื่อถือขนาดไหน ก็เลยต้องหันไปสาดโคลนคู่แข่ง ขุดคุ้ยป้ายร้ายป้ายสีให้ประชาชนเห็นว่า ฝ่ายตรงข้ามไม่เคยรักชาติจริง
ฟังแล้วก็อดกังขาไม่ได้ว่า ที่พูดๆ มานั้น ต้องการจะสร้างความมั่นใจให้แก่ตัวผู้พูด หรือตัวผู้ฟังกันแน่
วิสัยของคนไม่มีความมั่นใจในตนเอง มักจะหวาดกลัวคู่แข่ง แม้ไม่มีใครคิดจะแข่งด้วย
แล้วคิดแต่จะหาทางหักล้างทำลายคู่แข่ง...ไม่ใช่เพื่อจะมีความมั่นใจขึ้น หากเพียงเพื่อจะมีความรู้สึกไม่มั่นใจในตนเองน้อยลง
เพราะคนที่ไม่เห็นค่าของตนเอง ก็ไม่พร้อมจะยอมรับค่าคนอื่น
หากจะรวบรวมคำมั่นสัญญา นโยบาย โครงการ...แต่ละอย่างที่ผู้สมัครเป็น ส.ส. แต่ละคนได้พูดไว้อย่างสวยหรูในช่วงการหาเสียงที่ผ่านมานี้แล้ว ก็คงจะอดภาคภูมิใจและชื่นชมยินดีแทนคนไทยไม่ได้ว่า อนาคตของประเทศชาติจะต้องพัฒนาไปได้สวย
ประเทศไทยไม่เพียงแต่จะเป็นเต็งหนึ่งในภาคพื้นเอเซียเท่านั้น แม้แต่มหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาก็คงต้องเกรงอกเกรงใจครั่นคร้าม
เพราะสิ่งที่ผู้หาเสียงบ้านเราพูดๆ กันไว้ ฟังดูจะยิ่งใหญ่มากกว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาพูดจาหาเสียงเสียอีก...
เสียดายที่มันเป็นเพียงแค่คำพูด คำพูด คำพูด...คลื่นเสียงที่หายไปในบรรยากาศ
แล้วทุกอย่างก็เหมือนเดิม ไม่ต่างอะไรกับป้ายหาเสียงที่ติดกันแน่นขนัดตามถนนถูกเก็บถูกรื้อถอนจนไม่เหลือร่องรอยหลังจากเลือกตั้งสิ้นสุดลงแล้ว
คนไทยก็คงต้องกินแห้วเป็นอาหารประจำชาติกันต่อไป
หากชีวิตคนเรา ทำได้เพียงแค่ครึ่งหนึ่งของสิ่งที่พูดไว้ ก็ถือได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงแล้ว
หรือจะทำได้แค่ครึ่งหนึ่งของคำสัญญาที่ลั่นวาจาไว้ คนคงจะไม่ต้องผิดหวังกันมากอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้
หรือเพียงแต่ได้สักหนึ่งส่วนสิบของพรที่ให้กันไว้ในโอกาสต่างๆ คนก็คงจะมีความสุขกันหมดทั้งโลก
เสียดายอีกเหมือนกัน ที่มันเป็นเพียงแค่คำพูด คำพูด คำพูด...เป็นคลื่นเสียงที่หายไปในบรรยากาศ
แล้วก็เหลือเพียงแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ ความผิดหวัง ความเจ็บปวด...
แต่งงานกันแล้วฉันจะให้ความสุขคุณทุกอย่าง
ฉันรับคุณทั้งในยามสุขและยามทุกข์...ตราบจนความตายจะแยกเราจากกัน
ได้ดีแล้วผมจะไม่ลืมเพื่อเด็ดขาด
ขอให้อายุยืนหมื่นปี สุขีสุขาไร้โรคาพยาธิ
ขอยืมเงินไปลงทุนตั้งตัวก่อน แล้วจะรีบคืนให้เร็วที่สุด
ต่อไปนี้ฉันจะไม่โมโหเกรี้ยวกราด ทำร้ายเธออีกแล้ว
ขอให้มีความสุข ความสมหวัง คิดเงินได้เงิน คิดทองได้ทอง
สบายเมื่อไรแล้วจะทุ่มเทเวลาให้พระให้ศาสนาเต็มที่
ถึงคุณจะผิดพลาดล้มเหลว แต่ฉันจะไม่มีวันทิ้งคุณไป
คิดถึงคุณทุกลมหายใจ...แล้วจะเขียนจดหมายมาคุยบ่อยๆ
ฉันจะรักเดียวใจเดียว ซื่อสัตย์ต่อคุณเสมอไป
ไว้ใจฉันได้ รับรองจะไม่ทำให้คุณต้องผิดหวัง...
เหล่านี้ และอื่นๆ คือคำพูดที่ได้ยินกันบ่อยๆ ซึ่งฟังแล้วทำให้เต็มตื้นด้วยความสุข ความหวัง ความอบอุ่น ความมั่นใจ...ยากจะบรรยาย
ชีวิตนี้คงจะไม่โหดร้ายเกินไป หากคำพูดเหล่านี้จะเป็นความจริง...แม้ไม่ทั้งหมดทุกคำ
เพราะเพียงแค่ได้ยินพูด ก็ให้รู้สึกหวานชื่นสุขสมยินดีฤดีหรรษาพาให้รื่นรมย์แล้ว
สาอะไรถ้ามันเป็นจริงอย่างพูด*
....................................................................
ลืมลืมจำจำ
รัฐบาลชุดใหม่ทำท่าจะไปได้ดี มีวิสัยทัศน์ค่อนข้างชัดเจนและให้ความหวัง
แม้ปัญหาส่งทอดมาจากรัฐบาลชุดก่อนให้หาทางแก้ไข แต่ก็หวังว่าไม่สนใจจดจ่อเอาแต่แก้ปัญหาอย่างเดียว
เพราะการบริหารชาติบ้านเมืองหมายถึงการพัฒนาด้วย
คงจะต้องแก้ปัญหาไปพัฒนาไป
เพราะหากคิดจะแก้ปัญหาอย่างเดียว หมดอายุรัฐบาลแล้วก็ยังคงแก้ไม่หมด
แค่ดูการแก้ปัญหาจราจร ทำกันมาหลายรัฐบาลแล้ว ก็ยังแก้กันไม่สำเร็จ
ก็คงต้องนั่งฟังวิทยุ จ.ส. 100 ต่อไปเพื่อจะได้รู้ว่าที่ไหนรถติดน้อยที่สุด จะได้หาทางเลี่ยงเส้นทางที่ติดมาก
จะว่าช่วยได้มากก็ไม่เชิง เพราะทุกคนได้ยินว่าเส้นทางใดรถติดน้อย ก็พากันไป
จนเส้นทางนั้นติดหนับไม่แพ้เส้นทางอื่นๆ
อย่างนี้จะเรียกว่ารายการวิทยุจราจรทำให้รถติดในที่ไม่ควรจะติดได้หรือเปล่า
อย่างไรก็ตาม ผมยังชอบเปิดคลื่นนี้ฟังทุกครั้งที่ขับรถไปมา
นอกจากรายงานการจราจรแล้ว ยังมีการพูดถึงจำนวนอุบัติเหตุ รถเสีย รถพยาบาล คนหาย คนป่วย ของลืม...
เรียกว่าให้บริการแทบทุกเรื่อง ว่างั้นเถอะ
แต่สิ่งที่ทำให้ผมอดขำไม่ได้คือ การลืมสิ่งของไว้บนรถแท็กซี่...กระเป๋า สิ่งของ โทรศัพท์
มือถือ...
พอรู้ตัวว่าลืมก็รีบโทรศัพท์เข้ารายการขอให้ช่วยประชาสัมพันธ์ให้ พร้อมกับบรรยายถึงยี่ห้อและสีของรถ ตลอดจนเส้นทางที่ใช้เดินทาง
หลายคนจดจำหมายเลขทะเบียนรถได้แม่นยำ
แปลกแต่จริง อุตส่าห์จำหมายเลขทะเบียนรถแต่กลับลืมสิ่งของ... จำของคนอื่นแม่นยำ แต่กลับจำของของตนเองไม่ได้
เหมือนกับความผิดพลาดของคนอื่นนั้นจำได้แม่น ไม่มีวันลืม แต่ความผิดของตนเองกลับจำไม่ได้ หรือไม่อยากจำ อย่างไรอย่างนั้น
อาจจะเป็นความรอบคอบที่ทำจนเป็นนิสัย พอขึ้นนั่งรถแท็กซี่ก็รีบท่องหมายเลขทะเบียนไว้ เผื่อเกิดอะไรขึ้นมา
หรือพอเห็นหน้าคนขับแท็กซี่ ก็ลนลานท่องหมายเลขทะเบียน จนลืมหมดทุกอย่าง
นั่งไปก็มองหาทางออกในการแก้สถานการณ์ไป
พอถึงที่หมายก็รีบจ่ายเงิน ผลีผลามลงจากรถด้วยความโล่งอก ลืมอย่างอื่นเสียสนิท
จะเพราะเหตุใดก็สุดแล้วแต่ ที่แน่ๆ คือมีการลืมของมีค่าไว้บนรถแท็กซี่วันละหลายๆ ราย
ในชีวิตคนเรามีอะไรทำนองนี้หลายอย่าง
เรามักจะให้ความสนใจและจดจำสิ่งเล็กสิ่งน้อย แต่กลับลืมสิ่งที่สำคัญไป
วันหนึ่งๆ จึงให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ แต่กลับมองข้ามสิ่งที่ทรงไว้ซึ่งคุณค่า
ให้ความสำคัญแก่การปรนเปรอร่างกาย รูปร่างหน้าตา แต่กลับลืมว่ามีจิตวิญญาณที่ต้องตกแต่งดูแลพัฒนา
ให้คุณค่าแก่สิ่งอนิจจัง จนแทบไม่มีเวลาสำหรับสิ่งเที่ยงแท้ถาวร
ทุ่มเวลาให้แก่การทำมาหากิน จนลืมบทบาทหน้าที่พ่อแม่ที่พึงมีต่อลูก
สนใจแต่เรื่องเสื้อผ้าเครื่องประดับ จนลืมไปว่าคนเรางดงามแท้ที่ใจ
เที่ยวติดตามเรื่องราวชาวบ้าน จนละเลยบกพร่องในหน้าที่การงาน
อิจฉาตาร้อนที่คนอื่นได้ดีมีสุขเพียบพร้อมไปหมดทุกอย่าง จนไม่คิดจะออกแรงร่วมพลังสร้างสรรค์ชีวิตตนเอง
เอาแต่เพ้อฝันกับโชคชะตาที่ฝากไว้กับสลากกินแบ่งเดือนละสองครั้ง จนลืมที่จะสร้างชะตาตนเองขึ้นมาด้วยมือสองข้างขยันขันแข็ง...
และเป็นอย่างนี้ไปเกือบทุกอย่าง
กว่าจะมารู้ตัวว่าลืมสิ่งมีค่าไป ก็แทบจะสายไปเสียแล้ว
ลงเอยก็คงเป็นเหมือนกับเพลงที่เคยร้องกันมานานแล้ว
“คนเรานี้คิดให้ดีก็น่าขำ อยากจำกลับลืม อยากลืมกลับจำ”
ลืมสิ่งของมีค่าไว้บนรถแท็กซี่ยังมีโอกาสพึ่งรายการวิทยุช่วยประชาสัมพันธ์ให้
แต่ลืมสิ่งมีค่ามากกว่านั้น จะพึ่งใครช่วยประชาสัมพันธ์ให้ได้บ้าง?!*
....................................................................
ไม่เลวร้ายเกินไปหาก...
ขับรถไปตามถนนแต่ละครั้งมีอะไรใหม่ ๆ ให้เห็นเป็นประจำ ไม่นับป้ายจราจรที่บอกการเปลี่ยนแปลงเส้นทางเดินรถ ทำให้ต้องชะงักและผวาอยู่บ่อยๆ
ดูคล้ายจะจงใจทำให้การขับรถราไม่จำเจ ซ้ำซาก น่าเบื่อหน่าย
ตาจะจดจ้องแค่เส้นแบ่งถนนหรือรถคันหน้าคันหลังไม่เพียงพอเสียแล้วเพื่อจะขับรถอย่างปลอดภัยแต่ต้องส่ายหาป้ายเล็กป้ายน้อย อ่านและตีความให้แตก ด้วยความรวดเร็วอีกด้วย
การขับรถจึงเหนื่อยล้ามากกว่าที่ควรจะเป็นมิน่าเล่า ถึงมีรายงานอุบัติเหตุวันละเป็นร้อยแต่ที่แน่ๆ มีข้อความแปลกใหม่ท้ายรถให้อ่านอยู่เรื่อยๆวันนั้น รถคันหน้าค่อนข้างจะเก่า สีกะเทาะเป็นจุดๆ คล้ายเปลือกต้นไม้แก่
อายุการทำงานคงเกินคุ้มราคามานานแล้ว เฉกเช่นรถที่ใช้กันในบ้านเรา...ประมาณเศษเหล็กวิ่งได้เจ้าของคงมีความผูกพันกับมันจนไม่คิดจะทิ้งขว้าง ประสาคนรักรถ แบบลูกเมียจะเป็นไรก็ช่าง แต่อย่าให้รถลอกหรือบุบบี้
และคงจะไม่ใช่ความผูกพันอย่างเดียว แต่ท่าทีจะมีความภูมิใจกับมันจนเห็นได้ชัด แม้จะช้าและออกจะอุ้ยอ้าย แต่ก็วิ่งในช่องทางรถเร็วตลอดเส้นทาง ไม่สนใจใยดีรถหรูราคาเกินล้านที่แซงไปคันแล้วคันเล่าท้ายรถมีคำชี้แจง เขียนด้วยลายมือคนที่เชื่อมั่นว่าเรียนแค่ ป.4 ป. 5 ก็เกินพอแล้วสำหรับชีวิตนี้
“โทษที เต่ามาเอง”
อ่านแล้ว ถ้าไม่นึกหมั่นไส้ ก็คงเกิดความเห็นใจ วิ่งตามไปเรื่อยๆ หรือไม่ก็หาโอกาสแซงเสียให้พ้นๆ
ประโยคที่สองต่ำลงมาเล็กน้อย ตัวอักษรค่อนข้างใหญ่ เห็นได้ชัดเจนกว่าประโยคแรก
“บินได้ คงบินไปนานแล้ว”
อ่านแล้วทำให้เปลี่ยนจากเห็นใจเป็นความเข้าใจ... ถึงแม้รถจะช้าเพราะสังขาร แต่ใจคนขับอยากจะไปให้เร็วกว่านี้ จะได้ไม่เกะกะขวางเส้นทางใครผมว่า ประโยคนี้สะท้อนชีวิตคนเราได้ดี
ทุกวัน คนเราสั่งสมความเครียด ความหงุดหงิดไว้มาก ดูอะไรก็ขวางหูขวางตา ไม่ได้ดังใจ
ทำไมเขาพูดไม่เคยเข้าหูเลย ต่อคำไม่เป็นประโยค แถมออกเสียงไม่ชัดอีกต่างหากทำไมเขาต้องมาสายเป็นประจำ บ้านก็อยู่แค่นี้ แล้วยังมีหน้ามาขอขึ้นเงินเดือนอีก
ทำไมคนข้างบ้านจึงมักง่าย มีอะไรก็ทิ้งขว้างออกมาให้สกปรกเลอะเทอะ ข้าวของวางระเกะระกะ แล้วยังชอบซื้อชอบหามาไม่เว้นวัน
ทำไมคนอยู่ชั้นบนต้องพูดคุยเฮฮากันดังจนดึกดื่น แถมเสียงเพลงก็ดังยังกับหูหนวกกันทั้งบ้าน ไม่รู้จักเกรงใจกันบ้างเลย
ทำไมวัยรุ่นเดี๋ยวนี้พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง บอกอย่างทำอย่าง บอกสองอย่างเถียงกลับสี่อย่าง แค่เรื่องพื้นๆ ทำไมไม่ยอมเข้าใจกันสักที
ทำไมคนเห็นแก่ตัวกันมากขนาดนี้ เอาแต่ได้ ไม่รู้จักให้ ไม่รู้จักเสียสละกันบ้างเลย
ทำไมนักการเมืองจึงเรื่องมาก ไม่รู้จักเอาเวลาไปพัฒนาบ้านเมืองเอาแต่ทะเลาะกล่าวหากันได้ทุกวัน
ทำไมต้องระกำลำบากทั้งปีทั้งชาติ ไม่เคยได้สบายกับเขาสักทีไหนจะเรื่องปากท้อง ไหนจะเรื่องหนี้สิน
ทำไมคนไม่ค่อยเข้าวัดถือศีลถือธรรม จนจิตใจตกต่ำ มัวเมาแต่วัตถุเงินทองสิ่งของ
แล้วก็เที่ยวโทษนั่นที โทษนี่ที จนหมดสิ้นความเพียร ปล่อยให้อารมณ์พาไปจนกู่ไม่กลับ
ทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งไปกว่าเดิม
“บินได้ บินไปนานแล้ว” ประโยคจากท้ายรถคันนั้นคงต้องเอามาเขียนเตือนความทรงจำ ในสถานการณ์เหล่านี้เสียแล้ว
ก็ใครบ้างอยากจะให้อะไรต่อมิอะไรเลวร้ายอย่างที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้?
ทำได้ ก็คงจะทำให้ทุกอย่างมันดีเลิศไปนานแล้ว
หากแต่ทำยังไม่ได้ ก็คงต้องเข้าใจกันบ้าง เห็นใจกันบ้าง ให้อภัยกันบ้าง อดทนกันบ้าง ยอมๆ กันบ้าง ชีวิตก็คงจะไม่เลวร้ายอย่างที่เห็นทุกวันนี้เป็นแน่
....................................................................
ดูจะเล็กน้อย
สุขภาพคนไทยเรานับวันยิ่งจะแย่ลงเห็นได้จากโรงพยาบาลและคลินิกที่เปิดใหม่ทั่วไปหมด
คลินิกหลายแห่งเต็มด้วยคนไข้ จนรักษาไม่ทันโดยเฉพาะหมอเด็ก เห็นแล้วอดคิดไม่ได้ว่า ความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์น่าจะทำให้คนเจ็บป่วยน้อยลง
อาหารเสริมที่ผลิตขึ้นมาจำหน่ายแต่ละอย่างประกันการเติบโตพร้อมกับสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงอย่าว่าแต่เฉพาะวัยเด็กเลย แม้แต่เลยวัยกลางคนไปแล้วยังมีหยูกยาอาหารเสริมไว้ซะลอความแก่ได้ทุกระดับอายุ
แต่ทำไมสุขภาพของคนเรากลับเปราะบางลงทุกวัน ผิดกับคนสมัยก่อน แม้จะขาดอาหารเสริมและหยูกยาทันสมัยแต่ก็สุขภาพดี แข็งแรง
สาเหตุนั้นคงจะมีด้วยกันหลายอย่าง แล้วแต่จะมองกันอย่างไร
แต่วิเคราะห์กันให้ดีแล้ว สาเหตุใหญ่น่าจะมาจากสภาพแวดล้อมเป็นพิษ...อากาศ อาหาร น้ำ เครื่องใช้ไม้สอย...
คนสมัยก่อน เมื่อล้มป่วยและได้รับการบำบัดแล้ว ก็มีอากาศบริสุทธิ์ อาหารน้ำดื่มสะอาด...ทำให้ฟื้นและหายเร็วขึ้น
แต่เดี๋ยวนี้ พอได้รับการเยียวยาแล้ว ต้องเจอกับอากาศเป็นพิษอาหารการกินที่สกปรก แทนที่จะพักฟื้นหายเป็นปกติ ก็มีแต่อ่อนแอลง เจอเชื้อโรคเข้าหน่อย ก็ป่วยไข้ได้ง่าย
แม้อาหารเสริมก็ช่วยไม่ได้มาก เพราะแทนที่จะเป็น อาหารเสริมสุขภาพที่ดีแล้วให้ดียิ่งขึ้น กลายเป็น อาหารบำบัด เพื่อให้สุขภาพกลับไปเป็นปกติเสียมากกว่า
ไม่ต้องพูดถึงสุขภาพจิตที่ต้องเจอกับความเครียดที่สั่งสมเข้าไปทุกวันทุกขณะ
แล้วส่งผลกระทบสุขภาพกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงขนาดนายแพทย์ท่านหนึ่งยืนยันไว้ว่า การเจ็บไข้ได้ป่วยของคนเราทุกวันนี้ 60 % มีสาเหตุมาจากจิตใจที่เครียดและเก็บกด แล้วก็เสนอทางออกให้ฝึกการหายใจเข้าออก
จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนหายใจเข้าออกอย่างถูกต้อง
ส่วนใหญ่จะหายใจเข้าออกแบบตื้น ๆ อากาศบริสุทธิ์จึงเข้าไม่ถึงท้องและปอดอย่างเต็มที่ส่งผลเสียกับการทำงานของหัวใจ ปอด และสมอง...แล้วก็อวัยวะส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
ผมคงไม่ขยายความให้มากไปกว่านี้ว่ารูปแบบการหายใจถูกต้องควรเป็นอย่างไรแต่อยากจะคุยว่า จริงๆ แล้วสุขภาพด้านจิตใจนั้นต้องย่ำแย่อ่อนแอเพราะสาเหตุคล้ายกัน
ความรู้ การเข้าถึงและการปฏิบัติแบบตื้น ๆ ผิวเผิน ส่งผลกระทบ ให้ชีวิตศาสนิกชน ชีวิตศีลธรรม และชีวิตสังคมต้องมีอันเจ็บป่วยอย่างที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้
สังคมเราทุกวันนี้เป็นสังคมป่วย...หลายคนยืนยันเช่นนี้ ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าเพียงผิวเผิน กลายเป็นแค่ข้อมูลผิดๆ ถูก ๆ ที่ไม่เคยส่งผลเข้าไปถึงจิตใจ
กี่คนที่ความรู้เรื่องพระธรรมคำสอนจบอยู่แค่ชั้นสุดท้ายของมัธยมปลาย แล้วก็ไม่มีการเรียนรู้เพิ่มเติมให้ลึกซึ้งอีกเลยทั้งชีวิต ชีวิตด้านศาสนาจึงอ่อนแอ ไร้เรี่ยวแรงและศักยภาพ ไม่ผิดกับผู้ใหญ่ที่กินอาหารเด็ก
ศาสนกิจกระทำไปเพียงแค่ผิวเผินกับการปฏิบัติภายนอก ไม่มีอะไรลึกซึ้ง การติดต่อกับพระเจ้าจึงอยู่แค่การสวด การไปวัด แต่ไม่เคยเข้าถึงพระองค์ จนถึงขั้นถูกหล่อหลอมเปลี่ยนแปลงจากพระองค์
เรี่ยวแรงจึงแทบจะไม่พอสำหรับตัวเอง ความคิดที่จะแพร่ธรรมให้คนอื่นตัดไปได้เลยชีวิตศีลธรรมมีแค่เปลือกนอก ไม่หยั่งรากลึกลงไปภายในจิตใจ การทำดีหนีชั่วก็มักจะทำไปเพราะกลัวเสียหน้าหรือกลัวถูกจับได้หรือไม่ก็เป็นความดีเสมอตัว ไม่มีพลังเผยแพร่ความดีไปรอบข้างความรักและมิตรภาพที่ผิวเผินฉาบฉวยก็เป็นอีกอาการหนึ่งของสังคมป่วย
ในเมื่อไม่มีความลึกซึ้งจึงหยุดอยู่ที่ความชอบ รูปร่าง หน้าตา พอขัดหูขัดตาขัดใจ ความรักก็มีอันต้องสลายกลายเป็นความเกลียดได้เพียงแค่ข้ามวันข้ามคืน...
เพื่อสุขภาพกายดีมีความสมบูรณ์ ต้องฝึกการหายใจให้ลึก...ถึงท้องถึงปอด
เพื่อสุขภาพจิตใจคงต้องฝึกฝนความลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นในด้านใด
....................................................................
เขาชื่อเจเจ
ครั้งแรกที่ผมพบ เจเจ ก็มีนามบัตรแนะนำตัวเสร็จสรรพ
เกิดวันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน 2539 เวลา 13.34 น. ความยาว 52 เซนติเมตร น้ำหนัก 3.820 กรัม
แค่ดูนามบัตร ผมก็อยากทำความรู้จักเจเจเสียแล้ว
เจเจหน้าตามีแววหล่อเหลา ประสาคนตาชั้นเดียว ผมดกดำ ขาน้อยๆ เรียวยาว ส่อแววร่างสูง นิ้วมือยาวเรียวเป็นพิเศษ
ผมว่าเจเจน่าสนใจมาก แต่เจเจไม่ได้แสดงว่าจะสนใจผมแม้แต่น้อยนิด นอนแผ่กางมือกางขา ตาปิด นานๆ จะลืมตาน้อยๆ ขึ้นมามองแวบหนึ่ง แล้วก็หลับต่อทำปากจู๋ดูน่ารัก
ราวกับว่า การจะเกิดมาดูแสงแดดแสงตะวันมันช่างเห็ดเหนื่อยเสียเหลือเกิน เลยได้แต่นอนเอาแรงตั้งแต่เช้ายันค่ำ ค่ำยันสว่าง
จะพักการนอนก็ตอนกินนม หรือไม่ก็ตอนร้องไห้รำคาญผ้าอ้อมเปียกเฉอะแฉะ
“กินนมเก่ง ถ้าดูดไม่ทันใจจะร้องไห้เสียอารมณ์” แม่เจเจฟ้อง
“ร้องไห้นะดีแล้ว ปอดจะได้แข็งแรง” ยายเจเจเสริม
“ผมว่าจะให้เจเจเค้าเติบโตที่นี่แหละ สิ่งแวดล้อมดีกว่าที่ผมอยู่ทำงานแยะ” พ่อเจเจวาดโครงการให้ลูกชาย
“เติบโตในสังคมคนใต้อาจจะทำให้เจเจเป็นคนกระด้าง” แม่เจเจเสริม
“จะให้ไปโตในรุงเทพฯ ก็คงจะแย่ สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ สังคมเห็นแก่ตัว แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น จะทำให้เจเจนิสัยกร้าวไปด้วย” พ่อเจเจตอกย้ำความตั้งใจเดิม
“เติบโตที่นี่นะดีแล้ว ใกล้วัดใกล้วา เจเจจะได้ซึมซับความเชื่อความศรัทธาในพระเจ้า” ยายเจเจยืนยัน
เสียงพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันดังลั่นห้อง แต่เจเจคงนอนหลับเฉย ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่กังวลไม่ห่วงกับใคร คล้ายจะบอกในทีว่า “รู้หน้าที่กันดีแล้วใช่ไหม ต้องทะไรก็ทำไป”
มันอาจจะเป็นสัญชาตญาณแห่งความมั่นใจในความรักที่เจเจสัมผัสได้จากบุคคลรอบข้าง ที่ทำให้เจเจไม่ต้องห่วงอะไรทั้งสิ้น
ทุกคนจะดูแลเจเจให้ดีที่สุดที่จะดีได้ จนกว่าเจเจพร้อมที่จะรับความรับผิดชอบดูแลตนเองในสักวันหนึ่งข้างหน้า
ผมบีบเท้าน้อยๆ ของเจเจ เป็นการบอกลา เนื่องจากมือเจเจสวมถุงมืออยู่ อดดีใจกับเจเจไม่ได้ที่เกิดมาพรักพร้อมด้วยความรัก
แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า ไม่ใช่เด็กทุกคนเกิดมาโชคดีแบบเจเจ
บางคนเกิดมาพบกับความเกลียดชัง ไม่พึงปรารถนาแม้แต่จากแม่ผู้ให้กำเนิด...ฉันให้แกเกิดมานับว่าดีแค่ไหนแล้ว...
บางคนเกิดมาไม่มีใครคิดวางโครงการให้ ได้แค่เลี้ยงดูให้รอดตายไปวันหนึ่งๆ ก็บุญแล้ว
บางคนเกิดมาในสภาพแวดล้อมใดก็ต้องถูกหลอมไปตามสภาพนั้น... คนอื่นๆ เขาเติบโตขึ้นมาได้ ทำไมจะต้องวุ่นวายคิดให้เปลืองสมอง
บางคนเกิดมาอย่างไรก็ปล่อยไปอย่างนั้น แล้วแต่ดวงชะตาหรือวาสนาฟ้าจะลิขิตให้ แถมพูดกันว่าคนเรามันฝืนอะไรก็ฝืนได้ แต่ฝืนโชคชะตาอย่าได้คิด
บางคนเกิดมาไม่มีใครสนใจความยาวหรือน้ำหนักด้วยซ้ำ มองแค่ผลประโยชน์ หรือตัวเลขเงินบาทที่น่าจะได้อย่างเดียวในอนาคตอันใกล้
ดูแล้วมันน่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่นี่คือดัชนีชี้บอกประเภทคนที่อยู่กันในสังคมเราทุกวันนี้
ทุกประเภทเริ่มต้นจากีวิตน้อยๆ ที่ถือกำเนิดมา และท่าทีของคนแวดล้อม
ในเมื่อทุกชีวิตมาจากพระเจ้า ก็ย่อมจะมีความดีติดตัวออกมา
แต่อะไรล่ะที่เป็นตัวทำให้เกิดการหักเห ทำให้มีคนเลวคนชั่วคนไร้ค่า... ที่เห็นตำตาอยู่ทุกวันนี้ในสังคมเรา
มันคงจะใช่เพราะโชคชะตาฟ้าลิขิต แต่คนแวดล้อม...พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย พี่ป้าน้าอา...นั่นแหละที่ช่วยกันลิขิต
เห็นทีผมจะต้องไปพบเจเจอีกที เสนอให้ทำนามบัตรใบใหม่ไว้ล่วงหน้าได้แล้ว*
....................................................................
แล้วแต่จะมอง
ยุคเรานี้มีการพูดถึง “การล่มสลาย” ของหลายอย่าง
หนึ่งในหลายอย่างนี้คือการลมสลายของครอบครัวไทย
มีทั้งล่มสลายตามความหมายของคำ และล่มสลายในพฤตินัย
คำว่า “ล่ม” หมายถึงการทรงตัวไม่อยู่ เอียงจนตะแคงหรือคว่ำ เช่น เรือล่ม หรือหมายถึงทำอะไรไม่สำเร็จ ไม่รอดฝั่ง
คำว่า “สลาย” หมายถึงแตกพัง ทลาย ทะลาย
ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางภาษาไทย ก็ได้แต่คิดตามประสาของผมว่า เมื่อพูดถึงคำว่า “ล่มสลาย” น่าจะหมายถึงอาการของสองคำนี้รวมกัน
ดังนั้น เมื่อพูดถึงการล่มสลายของชีวิตครอบครัวตามนัยแห่งคำแล้ว ก็หมายถึงครอบครัวที่ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ ไปด้วยกันไม่สำเร็จ แล้วก็แตกแยกพังทลายไม่เหลือหรอ
พ่อไปทาง แม่ไปทาง ลูกไปทาง... หมดสิ้นคำว่าครอบครัว
นอกนั้นก็มีการล่มสลายในพฤตินัยของชีวิตครอบครัว
แม้ยังจะอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว แต่ความรักต่อกันนั้นล่มสลายไปแล้ว
ทนอยู่ด้วยกันไปเพราะพันธะบางอย่าง เพราะฐานะด้านสังคม เพราะแรงกดดันจากผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ...
ทั้งๆ ที่ความรักที่มีต่อกันพยุงไว้ไม่อยู่และพังทลายไปนานแล้ว
เมื่อเห็นแนวโน้มของการล่มสลายของชีวิตครอบครัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มมีการศึกษาหาสาเหตุที่มาที่ไปเป็นการใหญ่โต
แล้วก็แจงรายการที่น่าจะเป็นตัวการก่อให้เกิดการล่มสลายเป็นบัญชียาวยืด
พร้อมกันนั้นก็เสนอรูปแบบกรแก้ปัญหาต่างๆ นานา แล้วแต่จะมองสาเหตุจากมุมมองใด
ผมมองของผมว่าในเมื่อคนเราแต่งงานและสร้างครอบครัวขึ้นมาเพราะความรักที่มีต่อกัน ก็น่าจะจากมุมมองความรักนี่แหละ
ผมคงไม่พูดถึงการแต่งงานที่ทำไปเพราะเหตุผลอื่น เพราะการแต่งงานประเภทนี้น่าจะเรียกว่าแต่งกับผลประโยชน์มากกว่าจะแต่งกับคน
ในเมื่อการแต่งงานเริ่มต้นเพราะความรัก ดำเนินไปเพื่อรัก มุ่งไปสู่ความรัก การล่มสลายของชีวิตแต่งงานก็เกิดจากการล่มสลายของความรักนั่นเอง
มักจะมีการพูดกันเสมอว่า เมื่อความรักของทั้งสองสุกหง่อมแล้วก็แต่งงานอยู่กินด้วยกัน
ทำให้เกิดความเข้าใจว่า การแต่งงานเป็นผลพวงจากความรักที่เต็มเปี่ยมสมบูรณ์แล้ว และไม่เคยฉุกคิดกันบ้างว่า ความรักเป็นผลพวงจากการแต่งงานด้วย
ราวกับจะบอกเป็นนัยว่า ทะเบียนสมรสเป็นปริญญาบัตรของความรัก
ปริญญาบัตรเป็นใบประกาศว่าบุคคลที่รับได้จบหลักสูตรการเรียนการศึกษาสาขาวิชานั้นๆ แล้วโดยสมบูรณ์
ทะเบียนสมรสเลยเป็นใบประกาศว่าบุคคลทั้งสองจบหลักสูตรความรักแล้วโดยสมบูรณ์
แล้วก็ลงเอยเหมือนผลไม้ที่สุกหง่อมที่คนจ้องแต่จะเด็ดมากินหรือไม่ก็ปล่อยให้ล่วงหล่นลงมาโคนต้น
แต่งงานกันไปแล้วก็มุ่งกอบโกยความสุข กินผลไม้ความรักที่สุกหง่อมกันอย่างตะกละตะกราม พอเอียนก็ปล่อยให้ร่วงหล่นเรี่ยราดอย่างไม่ใยดี
ถ้าไม่ได้กินตามคาดหวังก็มีการเรียกร้องสิทธิ ต่อรอง ข่มขู่ ประท้วง ประชด...หนักเข้าก็ลงไม้ลงมือ
แต่ของเอร็ดอร่อยขนาดไหนกินบ่อยๆ ซ้ำซาก ไม่ช้าก็เอียน
ความล่มสลายของชีวิตการแต่งงานก็ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะตั้งหลักกันว่าการแต่งงานเป็นผลพวงจากความรักแต่อย่างเดียว
ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ความรักเป็นผลพวงของการแต่งงานด้วย
ต้นดอกรักที่ลงเมล็ด เฝ้าเอาใจใส่รดน้ำพรวนดินในช่วงคบหากันเป็นแฟน จนแตกกอเป็นลำต้นเมื่อตกลงยินยอมแต่งงานร่วมีวิตกันแล้ว ยังต้องดูแลรดน้ำพรวนดินด้วยความหวงแหนอาใจใส่ต่อไปและยิ่งวันยิ่งมากขึ้น จนแตกดอกออกผลในชีวิตน้อยๆ ที่ลืมตาขึ้นมาเป็นสมาชิกในครอบครัวแห่งความรัก
ในช่วงคบหาเป็นแฟนกัน ความรักที่มีต่อกันและกันเป็นแค่ “การเลือก” ...รักก็ได้ ไม่รักก็ได้ รักมากรักน้อย หรือแม้จะเลิกรักก็เป็นเรื่องของความพอใจ
แต่เมื่อแต่งงานแล้ว ความรักที่มีต่อกันกลับเป็น “พันธะ”... ต้องรักอย่างเดียว และรักสุดหัวใจ เสมอไป
และนี่คือความรักที่เป็นผลพวงจากการแต่งงาน
อยากให้คุณใคร่ครวญดูว่าคุณควรจะเป็นแบบใด
....................................................................
มัจจุราช (ที่รัก?) 1
ตั้งแต่มีรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยคนใหม่ ปัญหายาเสพติดดูจะได้รับการพูดถึงกันมาก
แถมมีผลงานจับผู้ผลิตและผู้จำหน่ายให้เห็นแทบทุกวัน
แต่ก็แปลกแม้จะมีการเพิ่มโทษและระดมการกวาดล้างผู้ผลิตและผู้จำหน่ายดูจะไม่หวาดหวั่น
ก็เพราะผลตอบแทนนั้นมันคุ้มค่าต่อการเสี่ยงหลายสิบหลายร้อยเท่า
เงินมหาศาลที่ได้มาเป็นกอบเป็นกำ มีมากเกินพอไว้ประกันตัวหากเพี่ยงพล้ำถูกจับ
แถมยังมีเหลือเฟือไว้ซื้อตัวปิดปากเจ้าหน้าที่ปราบปรามได้อย่างฉมัง
ที่สุดแล้ว การปราบปรามยาเสพติดก็ทำไปทำนองปราบหญ้าแห้วหมู
เด็ดใบหญ้าทิ้ง แต่ไม่เคยไปแตะต้องรากเหง้าชนิดถอนรากถอนโคน
ไม่แปลกใจที่หญ้าแห้วหมูยังขึ้นรกเต็มสวน
ระบาดไปทั่วหัวระแหง ติดกันงอมแงมตั้งแต่คนใหญ่ไล่ลงมาวัยรุ่นวัยเด็ก
มีจำหน่ายทุกแห่ง ไม่เว้นแม้กระทั่งในสถานการศึกษา
ก็พ่อพิมพ์แม่พิมพ์ของชาติหันมารวยลัดกับการบ่อนทำลายอนาคตของชาติเสียเอง เด็กที่ไหนจะพ้นเงื้อมือมัจจุราชในรูปแบบยาเม็ดเล็ก ดูไร้พิษสง เหล่านี้ได้?
ที่มีเงินน้อยร้อยกว่าบาท ก็ต้องพอใจกับแค่ยาบ้าราคาซื้อหาพอดีกัน
ที่มาจากครอบครัวมีอันจะกินหน่อย ก็เที่ยวซื้อหายา Ecstacy เม็ดละ 800-1,000 บาท
เพียงเพื่อแลกเปลี่ยนกับ “การหลุดพ้น” ชั่วระยะหนึ่ง
หลุดพ้นจากตนเอง หลุดพ้นจากปัญหา หลุดพ้นจากความจำเจซ้ำซาก หลุดพ้นจากสถานภาพ หลุดพ้นจากกรอบสังคม หลุดพ้นจากความกังวลถึงอนาคต หลุดพ้นจากกาลเวลา...
สรรพคุณนั้นทันตาเห็น เปลี่ยนได้แม้กระทั่งบุคลิก
จากขี้ขลาดขี้อาย กลายเป็นกล้าจนบ้าบิ่น จากพูดน้อย เป็นคนต่อยหอยไม่รู้จบ
สิ่งที่เคยควบคุมตนเองไว้ หายสิ้นไปในพริบตา เหลือแต่สนุกสนานกับการเต้นได้ทุกจังหวะทุกบทเพลง
เพลินแม้กระทั่งกับการนั่งมองแสงไฟและวัตถุสะท้อนแสง...
จนกว่ามันจะหมดฤทธิ์นั่นแหละ อาการหวนกลับจึงเริ่มส่งผล
หมดเรี่ยวแรง นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร ไร้ซึ่งชีวิตชีวา อารมณ์หวั่นไหว... จนอดรนทนไม่ได้ ต้องหาทาง “หลุดพ้น” อีกครั้ง อีกครั้ง อีกครั้งหนึ่ง
นั่นคือยาเสพติด มัจจุราชที่คอยฉุดกระชากลากออกจากโลกแห่งความเป็นจริง ไปสู่โลกแห่งความเลื่อนลอย ไร้ตัวตน
ทุกครั้งที่คร่าเหยื่อได้แล้ว ทันจะกัดไม่ปล่อย ฝังเขี้ยวเล็บคมกริบสองอันลึกเข้าไปถึงไขกระดูก
เขี้ยวแรก เมื่อเสพแล้ว ก็จะ “ติด” จนไม่อาจจะเลิกได้
มันกลายเป็นวัฏจักรแห่งความต้องการที่นำไปสู่ความต้องการ อย่างไม่รู้จบ
เขี้ยวสอง เสพแล้วทำให้ “หลุด” ไปจากโลกแห่งควงามเป็นจริง
จากโลกแห่งความเจ็บปวดไปสู่โลกที่ไร้ความสำนึกใดๆ
จากโลกแห่งปัญญา ไปสู่โลกที่ลืมได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็กปัญหาใหญ่
จากโลกแห่งความทุกข์ ไปสู่โลกไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ จนให้รู้สึกเบาหวิว
จากความทรงจำ ไปสู่โลกที่ไม่มีอดีต ไม่มีแม้กระทั่งปัจจุบัน
จากกาลเวลาไปสู่ช่วงเวลาไร้วันไร้คืนไร้เดือนไร้ปี
ว่ากันแล้ว ยาเสพติดคงไม่ใช่แค่สองอย่างที่พากันหวาดหวั่นวิตกอยู่ในขณะนี้เท่านั้น
หากคือทุกสิ่ง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร ที่ก่อให้เกิดสองอย่างนี้ขึ้นมา กล่าวคือ การติดและการหลุดพ้น พ้นไปจากความเป็นจริง พ้นไปจากการครองตน...
ถึงแม้จะไม่มีการตรากฎหมาย ขึ้นทะเบียนเป็นยาเสพติดต้องโทษ แต่สมรรถนะการทำลายไม่แพ้กัน
ท่านผู้อ่านลองคิดดูสิครับ อะไรบ้างที่ทำให้ “ติด” และ “หลุดพ้น” ที่น่าจะจัดเข้าเป็นยาเสพติดประเภทหลังนี้บ้าง
ฉบับหน้าผมจะมาคุยให้ฟัง*
....................................................................
มัจจุราช (ที่รัก?) 2
ก่อนอื่น ต้องยอมรับว่าสังคมทุกวันนี้ เส้นแบ่งแยกที่ชัดเจนแทบจะไม่มีหลงเหลือแล้ว
จะว่าสังคมทุกวันนี้เป็นสังคมผสมผสานและออมชอมก็ไม่ผิดนัก
แม้บุคคลในสังคมก็เถอะ จะหาไทยแท้ จีนทั้งแท่ง หรือฝรั่งจ๋ายากขึ้นทุกที
ส่วนมากก็จะเป็นลูกครึ่งให้เห็นเต็มบ้านเต็มเมือง
คนดี คนชั่ว ก็ยากจะแยกแยะให้เห็ดชัดเจนเป็นสัดเป็นส่วน
มองดูน่าจะเป็นคนดีมีศีลธรรมกลับกลายเป็นคนชั่ว หรือเห็นท่าทีน่าจะเป็นคนเลวกลับเป็นคนดีมีน้ำใจ
เส้นแบ่งวัยวุฒิ ก็มีให้ใช้วัดเป็นหลักเกณฑ์เป็นมาตรฐานอีกแล้ว
ดูวัยน่าจะเป็นเด็กแต่พฤติกรรมที่แสดงออกมาผู้ใหญ่ยังต้องอับอายแทน หรือท่าทางเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแต่กลับเป็นแค่เด็กชิงสุกก่อนห่าม
แม้แต่เพศชายเพศหญิง ก็ยังยากจะสังเกต
ดูน่าจะเป็นกุลสตรีเต็มตัว แต่พฤติกรรมการแสดงออกนั้นแม้ผู้ชายอกสามศอกยังต้องชิดซ้าย หรือเห็นรูปร่างน่าจะเป็นแมนเต็มร้อย กลับกระตุ้งกระติ้งคะขาไม่หยุดปาก
ไม่ต้องพูดถึงการไว้ผมยาวผมสั้น ไม่มีการผูกขาดเพศใดโดยเฉพาะ
ที่สุด ความผิดปกติก็อยู่ปนเนผสมผสานกับความปกติจนดูไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร
จนหลายอย่างที่น่าจะจัดเข้าข่ายเป็นยาเสพติด กลับถูกมองข้ามเห็นเป็นของธรรมดาไป
แล้วก็ไปเพ่งเล็งอยู่แค่อย่างสองอย่าง ในขณะที่คนติดยาเสพติดประเภทอื่นๆ กันงอมแงม
เสพติด “เงิน” กันจนแทบจะลืมได้หมดทุกอย่าง
ยิ่งมียิ่งอยากได้มากขึ้นอย่างไม่รู้จักเพียงพอ
พอได้มันมาก็ “หลุด” ไปจากความเป็นจริง
ให้คุณค่าบูชาเงินตรามากกว่าความรัก มิตรภาพ ครอบครัว แม้กระทั่งพระเจ้า
แล้วก็พร้อมจะทำได้ทุกอย่างเพื่อได้มันมาอีก และได้กระทั่งศักดิ์ศรีความเป็นคน ความถูก ความผิด ประเทศชาติ อุดมการณ์...
เสพติด “อำนาจ” จนกลายเป็นความกระสันฝันใฝ่ให้บาตรใหญ่คับฟ้า
พอได้มาก็ “หลุด” ไปจากความเป็นจริงจนลืมแม้กระทั่งกำพืด ไม่เห็นหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนอีกแล้ว
และเพื่อจะได้มันมาก็พร้อมจะทุ่มเททุกอย่าง...เงินทองข้าวของ เกียรติยศชื่อเสียง
สังเวยได้แม้กระทั่งชีวิตตั้งแต่คนใกล้ชิดที่เคยจมหัวล่มท้ายมาด้วยกันไปจนกระทั่งชีวิตคนไร้มลทินไม่รู้อิโหน่อิเหน่
แล้วก็เกิดอาการ “บ้าอำนาจ”...ร้ายแรงไปกว่าบ้ายาม้ายาอีเสียอีก
เสพติด “กามรส” จนวันๆ ความคิดจิตใจเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับมัน ตะกละตะกรามไม่เลือก
หลงระเริงจน “หลุด” เลยไปจากความพอเหมาะพอสมและความถูกต้อง
แม้แต่สัญชาตญาณที่ควบคุมราคะสัตว์อื่นๆ ไว้ได้ ก็ไม่สามารถจะควบคุม “สัตว์ประเสริฐ” นี้อยู่
กระทั่งก่อให้เกิดกระบวนการซื้อขาย การพราก การหลอกลวง การขู่เข็ญบังคับ ข่มขืน เข่นฆ่า...ให้ต้องหวั่นวิตกไปทั้งสังคม
เสพติด “วัตถุ” เมามัวยึดติดกับมันจนขาดไม่ได้
คลุกคลีอยู่กับมันจน “หลุด” ไปให้เสียศูนย์
เห็นวัตถุสิ่งของสำคัญมากกว่าจิตใจและคุณธรรม
แม้แต่ศักดิ์ศรีมนุษย์ก็เอาไปตั้งอยู่บน “การมี” มากกว่า “การเป็น”
ถึงไม่จำเป็นต้องใช้สอย แต่ขอให้มีไว้ในครอบครองก็ให้รู้สึกเป็นสุขแล้ว
วันไหนไม่ได้ “ช้อปปิ้ง” ให้รู้สึกดั่งอดอยากปากแห้งใจโหวงเหวง ทั้งๆ ที่ของล้นตู้ไม่มีที่เก็บ
อย่างที่บอกแล้ว ในเมื่อสังคมผสมผสานและออมชอมจนยากจะแยกแยะอะไรเป็นอะไรได้ชัดเจน การจะมองเห็นโทษเห็นผิดของหลายอย่างที่เป็นดุจ “มัจจุราช” คร่าทำลายชีวิตและจิตใจของคนทุกวันนี้ก็เลือนลางไปทุกที
จะเห็นชัด จะเน้น จะพูด ก็เพียงไม่กี่อย่าง
อีกหลายอย่างทั้งที่รู้ว่าเป็น “มัจจุราช” แต่ก็ดูน่ารักน่าพิศมัย จนอดเติมคำว่า “ที่รัก” เข้าไปด้วยไม่ได้*
....................................................................
เชือดนิ่ม
ทุกวันนี้มีข่าวความโหดร้ายทารุณกรรมให้เห็นให้อ่าน ในรูปแบบต่างๆ
จนเกิดความรู้สึกว่าความรุนแรงยังไม่จบสิ้นไปในสังคมของเรา แม้จะศีวิไลส์ขนาดนี้แล้ว
จะเปลี่ยนแค่รูปแบบของความรุนแรงเท่านั้นเอง
ซึ่งบางครั้งมองเผินๆ แล้ว หาใช่ความรุนแรงอย่างที่เข้าใจกันไม่
ใครจะคิดบ้างว่าการโฆษณาสินค้าจะเป็นความรุนแรง ที่คนเราโดนกระหน่ำอยู่ทุกวี่ทุกวัน?
เพราะการโฆษณาทุกวันนี้ไม่ใช่การ “เชื้อเชิญ” ให้ซื้อหาหรือบริโภคสินค้า แต่กลายเป็นการบีบบังคับ ที่ “ต้อง” มีให้ได้
หากคุณต้องการทันสมัย คุณต้องมี
หากคุณอยากมีเพื่อนมาก คุณต้องดื่ม
และนั่นคือการกำหนดมาตรฐานชีวิตสังคม ซึ่งใครก็ต้องกลัวที่จะต้องถูกตัดขาดออกไป
ที่ใดมีการกำหนดกฎเกณฑ์จนก่อให้เกิดความกลัว ที่นั่นมีความรุนแรง...จะยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ตาม
ใครบ้างจะคิดว่าแฟชั่นจะเป็นความรุนแรง ที่หลายคนต้องหวั่นวิตก?
หากต้องการจะไปไหนมาไหนไม่ให้รู้สึกเคอะเขิน คุณต้องใส่อย่างที่เขากำลังนิยมกัน
หากไม่อยากให้ถูกเรียกว่าสาวทึนทึก ก็ต้องซื้อหามาใช้มาใส่ให้ได้
และนั่นคือ “คำสั่ง” ที่ไม่มีคนสั่ง มีแต่คนต้องทำตาม
ทั้งๆ ที่ฝืนกับความรู้สึกลึกๆ ของความเรียบง่ายและความเรียบร้อยที่ได้รับการปลูกฝังมา
สิ่งใดที่ฝืนความรู้สึกพร้อมทั้งก่อให้เกิดความกลัวแง่ใดแง่หนึ่ง นั่นคือความรุนแรง
ใครจะคิดบ้างว่าความรักเป็นความรุนแรงอย่างหนึ่ง เมื่อรักอย่างมีเงื่อนไข?
ฉันจะรักคุณหากคุณตามใจฉันในทุกอย่าง
พ่อแม่จะรักลูกหากลูกเรียนเก่งๆ ไม่ซุกซน ไม่ดื้อ
และนั่นคือการต่อรองที่บีบบังคับในตัว ซึ่งก่อให้เกิดความหวาดกลัวและความไม่มั่นใจหากฉันไม่ตามใจ คุณยังจะรักฉันอยู่หรือเปล่า?
คุณรักฉันเพราะเป็นฉันหรือรักฉันเพราะฉันตามใจคุณ?
ถ้าฉันเรียนได้คะแนนไม่ดี พ่อแม่ยังจะรักฉันหรือเปล่า?
พ่อแม่รักคะแนนหรือรักตัวฉันกันแน่?
สิ่งใดก็ตามที่บีบบังคับ ก่อให้เกิดความหวั่นวิตก นั่นคือความรุนแรง
และถ้าจะพูดกันแล้ว เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรักถือได้ว่าเป็นความรุนแรงที่เหี้ยมโหดที่สุด
เพราะกระทบกับแก่นชีวิตของมนุษย์เอง
จะอย่างไรเสีย ขอแต่ให้ได้รักและมีคนที่รักก็พอแล้ว
ใครจะคิดบ้างว่าความหวังดีของพ่อแม่เป็นความรุนแรงชนิดหนึ่ง?
อนาคตของลูกพ่อแม่วางแผนและเตรียมไว้เสร็จสรรพแล้ว
จะเรียนต่ออะไร สาขาไหน พ่อแม่กำหนดไว้ให้แล้ว
นั่นคือการผูกขาดขีดเส้นกำหนดชะตากรรม ซึ่งลูกที่ดีต้องรู้สึกถึงกดดันและกลัวที่จะทำให้พ่อแม่ต้องผิดหวัง
สิ่งใดที่ก่อให้เกิดความกดดันและความกลัว สิ่งนั้นคือความรุนแรง
จะเห็นได้ว่าความรุนแรงยังไม่ได้หมดสิ้นไปจากสังคม หากเป็นแค่เปลี่ยนรูปแบบ
ก่อนนี้ความรุนแรงมุ่งเป้าหมายไปที่ร่างกาย...ทำร้ายจิตใจ ย่ำยีศักดิ์ศรี ทำลายชื่อเสียง
ก่อนนี้ใช้อาวุธ เครื่องไม้เครื่องมือ...ปืน มีด ดาบ
เดี๋ยวนี้เลือกใช้สิ่งซึ่งดูธรรมดาไม่มีพิษมีภัย...สายตา ท่าที คำพูด ความเฉยเมย ความไม่สนใจ ความเย็นชา
ซึ่งล้วนมีประสิทธิผลในการทำลายทำร้ายให้เจ็บปวดได้ลึกและนาน
อย่างที่มักพูดๆ กันว่า “เชือดนิ่ม” อย่างไรอย่างนั้น
เรามักจะประนามความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคม และที่ปรากฎเป็นข่าวคราวให้พบเห็น
แต่จะมีสักกี่คนที่ประนามความรุนแรงด้านจิตใจ ที่กำลัง “เชือดนิ่ม” อยู่ในสังคม ในครอบครัว ในแวดวงเพื่อนฝูงบ้าง?
ดีไม่ดี ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่านั่นคือความรุนแรงอีกรูปแบบหนึ่ง*
....................................................................
ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก
คนเราบางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะหวนกลับไปรำลึกถึงอดีต ในความทรงจำบางอย่างที่เคยพบเห็นมา
พร้อมกับรอยยิ้มแห่งความขบขันบ้าง หากเป็นอะไรที่ดีๆ สนุกสนาน
หรือไม่ก็ความรู้สึกเศร้าขึ้นมาเฉยๆ หากเป็นสิ่งที่เคยทำให้ต้องเสียใจ
ถึงอย่างไรเสีย คนเราไม่อาจจะตัดขาดจากอดีตได้เด็ดขาด
แม้จะพูดๆ กันว่า ใครเริ่มคิดเริ่มพูดถึงอดีต ก็ให้รู้ตัวไว้เลยว่าเริ่มแก่ตัวแล้ว
แต่ทุกคนยังอดไม่ได้ที่จะแอบแว้บกลับไปในอดีต แม้เพียงชั่วเวลาสั้นๆ
ผมจำได้ว่า เราเด็กๆ มีเรื่องทะเลาะขัดใจกันทีไรเป็นต้องโกรธ...ชูนิ้วหัวแม่มือตรงไปที่คู่
กรณี...
และเป็นที่รู้กันว่า สัมพันธภาพมีอันต้องขาดสะบั้นลง เดี๋ยวนั้น ตรงนั้น...อย่างไร้ซึ่งเยื่อใยใดๆ
และเพื่อตอกย้ำให้ชัดเจนขึ้น ต้องพูดสูตรที่รู้กันดี
“โกรธร้อยปี อย่ามาดีร้อยชาติ...”
เดี๋ยวนั้น เวลานั้น ไม่คิดอะไรทั้งนั้น ความโกรธอยากให้เขาหายไปจากชีวิต...ตลอดไป
ดีที่ “ร้อยปี ร้อยชาติ” เป็นเพียงแค่คำพูด และไม่ได้หมายถึงจำนวนจริงๆ
เพียงข้ามคืนข้ามวันก็มาดีกันใหม่แล้ว...เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เพราะอย่างไรเสีย คำว่า “เด็ก” กับ “เพื่อน” มันแยกกันไม่ออก
สมัยนั้น เพื่อนก็คือทุกสิ่งทุกอย่าง
สมัยนั้น เพื่อนก็คือ “คน” ที่มีอะไรๆ ด้วยกัน
ไม่มีเหมือนสมัยนี้ “เพื่อน” อาจจะหมายถึง โทรทัศน์ สัตว์เลี้ยง วีดีโอเกมส์ เครื่องเล่น เครื่องคอมพิวเตอร์ ฯลฯ
ตัวเลือกจึงมีมากกว่า “เพื่อน” ในสมัยนั้น
คนทุกวันนี้จึงไม่ค่อยแคร์คำว่า “เพื่อน” ในความหมายดั้งเดิมอีกต่อไปแล้ว
ในเมื่อมีตัวเลือกมาก “เพื่อน” จึงมีความหมายน้อยลง
การจะทะนุถนอม “เพื่อน” ก็แทบจะไม่เหลือ...ไม่พอใจก็เลิกกันไป ขัดใจก็ตัดขาดไปอย่างไม่นึกเสียดาย
มีเรื่องบาดหมางก็ไม่คิดจะให้อภัย
ถึงจะไม่พูด “โกรธร้อยปี อย่ามาดีร้อยชาติ” แต่หมายอย่างนั้นจริงจัง
จะพูดกันแล้ว การให้อภัยในสมัยนี้มีน้อยลงไปทุกวัน
จะเรื่องราวทะเลาะผิดใจกัน แค่ “ไม่เอาเรื่อง” ก็นับว่ามากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการให้อภัย
ขอเพียงอย่างเดียว ต่อไปนี้อย่ามายุ่งกับชีวิตฉันอีก
พูดง่ายๆ หายไปจากชีวิตฉันเลย...อย่าให้เห็นหน้าอีกนะ อย่ามาข้องแวะด้วยเด็ดขาด
หนักหน่อยก็จะพูดแบบฝรั่ง “Evaporate!”...ระเหยหายไปต่อหนน้าต่อตาซะเลย
บางคนอาจจะยังมีจิตใจ กล้ำกลืนความรู้สึกที่เกิดขึ้นและพูดออกมาได้ว่า “โอ เค ฉันให้อภัย” แต่... “แต่ฉันจะไม่มีวันลืมเด็ดขาด”
พร้อมกับแอบชื่นชอบจิตใจอันสูงส่งงดงามของตนเอง
แต่หารู้ไม่ว่ากำลังพูดสิ่งที่ขัดแย้งกันในตัว...ให้อภัยแต่ก็ไม่ให้อภัย
เพราะการให้อภัยแต่ไม่ลืมก็เหมือนกับไม่ได้ให้อภัยนั่นแหละ
คล้ายจะบอกว่า “ฉันให้ของชิ้นนี้แก่คุณ...แต่เก็บมันไว้ที่ฉันนะ”
แต่ใครจะลืมลง ยิ่งเจ็บปวดมากยิ่งจำไปนานเท่านาน? หลายคนคงจะแย้ง
ก็อย่างที่บอกในตอนต้นว่า คนเราจะตัดขาดจากอดีตไม่ได้ ก็จริง แต่เราเลือกอดีตได้
เรา “ลืม” อดีตไม่ได้ แต่เรา “เลือกจำ” อดีตได้
การให้อภัยจึงไม่ใช่การ “ลืม” สิ่งที่เกิดขึ้น แต่เป็นการเลือกจะ “ไม่จดจำ” มัน
ในเมื่อเรามีอิสระที่เลือกความทรงจำในอดีตมาคิดมาทบทวนตามที่เราต้องการได้ เราก็มีสิทธิ์จะไม่เลือกสิ่งที่เราไม่อยากจะจดจำได้เช่นกัน
นั่นคือการลืม
ความทรงจำที่เจ็บปวดจะวกเวียนกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เราไม่ปล่อยใจให้คิดตาม...ไม่ช้ามันก็จะเลือนลางไปในที่สุด
ตราบใดที่ยังเก็บความทรงจำความผิดที่เกิดขึ้นไว้ ถึงจะรักกันปานจะกินจะกลืน ก็คงไม่สนิทใจได้เหมือนเดิม
เพราะมันจะเฝ้าหลอกหลอนความสัมพันธ์ทุกอย่างที่มีต่อกัน แม้แต่ที่ลึกซึ้งที่สุด
ไม่ต่างกับกินอาหารที่แสนจะเอร็ดอร่อยขณะปวดฟันอยู่ อย่างไรอย่างนั้น*
....................................................................
รักถึงที่สุด
เรียบร้อยไปด้วยดี ฉลอง 50 ปี แห่งชีวิตสมรส
เป็นผู้ใหญ่ที่ผมให้ความเคารพนับถือมาก จนผมอดรู้สึกผิดไม่ได้ที่ไม่อาจจะไปร่วมงานวันนั้น
อย่างไรก็ตาม ผมร่วมยินดีและชื่นชอบมาโดยตลอด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อท่านทั้งสองมาถึงขวบ 50 ปี ของการใช้ชีวิตคู่
ความเคารพและความชื่นชอบเปลี่ยนเป็นความพิศวง เมื่อท่านบอกเคล็ดลับเบื้องหลังความสำเร็จอันงดงาม
“คนมักจะถามว่า อยู่ด้วยกันนานไม่ทะเลาะกันบ้างหรือไง?” ท่านพูดไปหัวเราะไป ประสาคนอารมณ์ดี
“อยู่ด้วยกันนานๆ ก็ต้องทะเลาะกันบ้าง ไหนจะความคิดต่างกัน ไหนจะต่างในนิสัยใจคอ...แต่ผมไม่กล้าทะเลาะ” ท่านพูดไปตามความจริง ประสาคนเท้าติดดิน
“เคยคิดจะทะเลาะอยู่บ่อยๆ แต่พอคิดขึ้นมาว่า หากทะเลาะกันแล้ว ตอนเย็นจะสวดภาวนาก่อนนอนด้วยกันไม่ได้...” ท่านพูดต่อ เสียงเรียบๆ แต่จริงใจ
“ตัวผมเองนี่นะ ไม่สวดก่อนนอนไม่ได้เสียด้วย...เลยต้องอดกลั้นอารมณ์ไว้ตลอดมา” พูดแล้วก็หัวเราะเล็กน้อย สีหน้าออกเขินเล็กน้อย
“พระเยซูเจ้าก็ทรงสอนไว้อย่างนั้น...บอกว่าถ้าจะไปถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า ต้องคืนดีกับเพื่อนมนุษย์เสียก่อน... นอกจากจะปฏิบัติเองแล้ว ยังสอนลูกสอนหลานไว้ด้วย มันได้ผลดีจริงๆ...” ท่านยืนยันอย่างเห็นจริงเห็นจัง
“ส่วนเรื่องความซื่อสัตย์ต่อกันนั้น ผมก็มีวิธีเหมือนกัน...” ท่านพูดต่อ แววตาเป็นประกายชวนให้อยากรู้อยากเห็น
“ผมให้เขาใส่กรอบรูปแม่บ้าน ติดไว้ที่ผนังห้องด้านปลายเตียง... เดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่ ก่อนจะหลับตานอนก็มองเห็น ตื่นนอนก็มองเห็น เรียกว่าอยู่ต่อหน้าต่อตาเสมอนั่นแหละ...” ท่านเผยเคล็ดลับประการสองต่อ น้ำเสียงยังคงเรียบเสมอต้นเสมอปลาย
“เรียกได้ว่ามีเค้าอยู่ต่อหน้าต่อตาตลอดเวลา...เลยไม่คิดจะมองใครอื่นเป็นพิเศษ ก็อยู่กันมาด้วยความรักความเห็นอกเห็นใจตลอด...” พูดเสร็จก็ยิ้มกว้าง จนเห็นฟันปลอมเรียงรายอย่างมีระเบียบ
ได้ยินแล้ว ทำให้ผมหวนไปคิดถึงภาพยนตร์ที่ได้ไปชม
“The Jungle 2” เป็นภาพยนตร์ตลก แต่ก็สอดแทรกสิ่งชวนคิดหลายอย่าง
ผมคงไม่เล่าเรื่องราวเพราะผู้อ่านหลายท่านคงได้ไปชมกันมา
หลังจากที่พลัดพรากจากกันเพราะหน้าที่การงาน จนดูเหมือนความรักที่เคยมีจืดจางลงไปแล้ว สามีก็เดินทางไปพบภรรยาเพื่อขอหย่า โดยไม่รู้ว่ามีลูกชายด้วยกัน
ในช่วงการพูดคุยกันตามลำพังสองพ่อลูก ลูกชายก็ถามพ่อว่ายังรักแม่อยู่หรือไม่ และในช่วงที่ห่างเหินกันอยู่นี้มีความคิดจะรักสาวอื่นๆ บ้างหรือเปล่า
“คนเราเมื่อรักใครคนหนึ่ง” พ่อตอบ “เราจะมีรูปของคนนั้นอยู่ต่อหน้าต่อตา และรูปนั้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ใหญ่จนบดบังทำให้มองไม่เห็นคนอื่นอีกเลย”
คงต้องยอมรับว่าทุกวันนี้สถาบันครอบครัวเปราะบาง...จะแตกจะหักได้แทบทุกเวลา
แบบอย่างของผู้ที่ร่วมชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างคงเส้นคงวา... จนกว่าความตายจะพรากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปนั้น ย่อมจะโดดเด่นและสร้างความพิศวงให้แก่ผู้ที่ได้พบได้เห็น
เวลาเดียวกันก็เป็นการบ่งบอกที่ชัดเจนว่า มันเป็นไปได้
เพราะไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้สำหรับความรัก
ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า ที่พูดๆ กันว่ารักนั้น เป็นรักแท้จริง หรือเพียงแค่ชื่อ*
....................................................................
แล้วแต่ใคร?
ใครก็ต้องสลดใจ เมื่ออ่านพบข่าวประเภทนี้ในหน้าหนังสือพิมพ์
“กลุ่มนักเรียนชาย ป. 1 รุมข่มขืนเพื่อนหญิงร่วมชั้น”
คนที่เป็นพ่อเป็นแม่คงต้องผวาอีกแล้ว เพราะแม้ยังอยู่ในวัยขนาดนี้ลูกก็ไม่ปลอดภัยเสียแล้ว
ก่อนนี้มีข่าวคราวผู้ใหญ่ใจชั่วข่มขืนเด็ก
มันน่าหวาดกลัว แต่ก็ยังดูไกลตัว หากเตือนลูกให้ระวังคนแปลกหน้า
แต่เดี๋ยวนี้ แม้แต่เพื่อนวัยเดียวกัน เรียนอยู่ด้วยกันแท้ๆ ก็ยังต้องกลัวไว้ก่อน
อย่าว่าแต่สมาธิในการเรียนรู้ต้องมีอันลดน้อยถอยลง เพราะต้องหวาดวิตก คอยระแวงกันแล้ว
การเติบโตพัฒนาของเด็กเองก็พลอยต้องได้รับผลกระทบไปด้วย
เพราะวัยนี้น่าจะเป็นวัยที่ไร้กังวล มีแต่ความสดชื่นหรรษาสนุกสนาน
ก่อนนี้ส่งลูกถึงโรงเรียนได้ พ่อแม่ผู้ปกครองก็โล่งอก
ภายในรั้วโรงเรียน ภายใต้การสอดส่องของยามหน้าประตู เด็กๆ มีความปลอดภัย
แต่เดี๋ยวนี้ในรั้วโรงเรียนนั่นเองแหละ อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้
...การข่มขืน การล่วงเกินทางเพศ การเบี่ยงเบน ยาเสพติด อบายมุข...
เกิดเรื่องเป็นข่าวที ก็ลนลานวิเคราะห็หาสาเหตุที
พูดกันได้วันสองวัน แล้วปล่อยให้เงียบหายไป ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
รู้ว่าเด็กใจแตกเพราะสื่อลามกแพร่ระบาด แต่ก็ไม่กล้าแตะต้องตัวที่มาของปัญหาให้จริงจังเด็ดขาดสักที
รู้ว่าเด็กติดยากันงอมแงมเพราะซื้อหาได้ง่ายเหมือนซื้อลูกอม แต่ก็ไม่เคยจัดการกับแหล่งผลิตให้สิ้นซากสักที
แล้วทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับยถากรรม...เหมือนเดิม
ทั้งๆ ที่สื่อลามกมีกันมากมายก่ายกองแล้ว แต่รายการโทรทัศน์บ้านเราดูเหมือนจะเห็นว่ายังไม่เพียงพอ
ละครโทรทัศน์แทบทุกเรื่อง จึงมาเน้นจุดขายที่ “เลิฟซีน”
เนื้อเรื่องก็เดิมๆ เปลี่ยนดาราตัวแสดงไปมาก็เท่านั้น เลยต้องมาขายเรื่องพรรค์นี้
แสดงกันให้เห็นจะจะ ยืดเวลาได้นานๆ... โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของผู้ชมเลยแม้แต่น้อยนิด
แถมยังมีการโฆษณาในหนังสือพิมพ์ตามหน้าบันเทิง
...นางเอกใจถึง ตีบทเลิฟซีนแตกกระจาย...
...นางเอกเกรง กว่าจะถ่ายทำเลิฟซีนได้ต้องหมดไปหลายเทค...
...นางเอกบอกไม่หนักใจเลิฟซีน พระเอกสอนให้หมด...
ซึ่งแต่ละอย่าง ก็มุ่งเพียงให้ผู้ชมมักรู้มักเห็น ให้การติดตาม...ตามครรลองแบบธุรกิจมาก่อน
ทั้งๆ ที่ในวัฒนธรรมไทย แม้จะรักจะชื่นชอบกัน แต่การแสดงออกนั้นมีความพอ
เหมาะพองาม ไม่ให้ประเจิดประเจ้อ ไม่ให้เป็นที่รู้เห็นแก่คนอื่น
ทั้งนี้ เพราะความรักและความชื่นชอบนั้นบริสุทธิ์ ลึกซึ้ง และเต็มตื้นอยู่ในหัวใจ
จนกระทั่งว่า ท่าทางเพียงเล็กน้อย สายตาที่เหลือบมอง คำพูดคำจาที่นิ่มนวล...ก็ดูจะมากเกินพอที่จะสื่อความในใจให้แก่กันและกันแล้ว
จะแสดงความรักลึกซึ้งกันทีก็กระทำกันเป็นส่วนตัวสองต่อสอง มิดชิด บ่งบอกเป็นนัยถึงความรักผูกขาดที่มีต่อกันและกัน ซึ่งไม่ควรที่จะมีใครอื่นแทรกแซงหรือแม้จะมาเห็นมารู้ด้วยซ้ำ
เมื่อต้องมาพบเห็นสิ่งเหล่านี้ในจอโทรทัศน์ คงต้องรู้สึกอึดอัดรันทดใจไปตามๆ กัน
เพราะมันเป็นการนำสิ่งที่งดงาม สูงส่ง มาประจานให้แปดเปื้อนมัวหมองอย่างไม่มียางอาย
พร้อมกันนั้นก็กระพือตัณหาให้พวกจิตใจต่ำ ชี้ทางให้ผู้ไร้เดียงสา... จนเกิดเหตุการณ์ไม่ดีงามขึ้นมาในสังคม ให้ต้องหวาดวิตกกันทุกวี่ทุกวัน
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราท่านจะเปลี่ยนจากผู้บริโภคสื่อแบบ “แล้วแตเขา” มาเป็นผู้บริโภคสื่อแบบ “แล้วแต่เรา” กันเสียที ?*
....................................................................
มากกว่าที่คิด
“คำว่า “เพื่อน” นั้นยากที่จะบรรยาย...” อาจารย์วัยแห่งความสุขุมปรชา ใบหน้าสงบแฝงไว้ซึ่งความลึกซึ้ง พูดเสียงเรียบๆ เมื่อผมถามความเห็นเกี่ยวกับความหมายของคำว่าเพื่อน
“จะพูดไปแล้ว มันยากพอๆ กับการพูดถึงความรัก...เพราะเพื่อนก็คือความรักที่เป็นตัวเป็นตน เป็นเลือดเป็นเนื้อ...นั่นเอง
ใครต้องการจะเห็นโฉมของความรัก ก็จงมองใบหน้าของเพื่อน...มองลึกเข้าไปในดวงตาทั้งสองข้าง
ใครต้องการจะจับต้องสัมผัสไออุ่นแห่งความรัก ก็จงยื่นมือออกไปจับมือเพื่อนกุมไว้...ด้วยความอ่อนละไมและทะนุถนอม เพราะหากจับแรงเกินไปก็ให้รู้สึกเจ็บปวดได้...ทั้งสองคนนั่นแหละ แต่หากจับต้องเพียงแค่ผิวเผิน ก็จะสัมผัสได้เพียงแค่การกระทบของผิวหนัง รังแต่ให้รู้สึกเย็นชืด ชวนให้รำคาญระคายผิว
ความรักเป็นดุจไฟ หากอยู่ใกล้มากจนเกินไปก็รุ่มร้อนแผดเผา หากไกลไปก็แทบจะรู้สึกถึงความอบอุ่น ชวนให้หนาวเหน็บ
เฉพาะผู้ที่รู้จักอยู่ในระยะพอดีพองาม จะรู้สึกถึงความรักอย่างเต็มเปี่ยม ล้นจิตใจ
เฉพาะผู้ที่รู้จักอยู่ในระยะพอดีพอควร จะสามารถเข้าถึงความอ่อนหวานและความเข้มแข็งของเพื่อน...ในเวลาเดียวกัน
เพราะในความรักและในมิตรภาพนั้น ต้องมีทั้งความอ่อนหวานอ่อนโยนและความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว
ความอ่อนหวานทำให้ความเข้มแข็งไม่กระด้าง และความเข้มแข็งทำให้ความอ่อนหวานไม่อ่อนแอ...” อาจารย์ผมพูดเสียงนิ่มนวล ตาหลับพริ้มราวกับจะอ่านสิ่งที่เห็นภายใต้เปลืกตาปิดสนิทมืดมิดในขณะนั้น
“ไม่น้อยครั้ง” อาจารย์พูดต่อ หลังจากเงียบอยู่ครู่ใหญ่
“พูดถึงเพื่อนอาจจะยากมากกว่าพูดถึงความรักเสียอีก
ความรักจะพูดสาธยายอย่งไรก็ได้ เพราะเป็นแค่ความจริงใจในนามธรรม
แต่เพื่อนนั้นต้องพูดไปตามเนื้อผ้า เป็นรูปธรรมที่ไม่อาจจะบิดเบือนเป็นอย่างอื่น
เพราะเหตุนี้เอง รักษาความรักไว้จึงไม่ยาก แต่ทะนุถนอมเพื่อนไว้นั้น ยากพอๆ กับรักษาชีวิตตนไว้นั่นแหละ
มันเป็นเรื่องของการหมั่นดูแล บำรุงรักษา ให้เติบโต พัฒนา อย่างไม่หยุดหย่อน เฉกเช่นการดูแลชีวิต
ชีวิตหยุดชะงักลงเมื่อไร หมายถึงความพิการหรือความตาย ฉันใด
ความเป็นเพื่อนหยุดอยู่กับที่เมื่อไร หมายถึงปัญหาหรือไม่ก็การสิ้นสุดของมิตรภาพ ฉันนั้น
ใครมีเพื่อนก็เหมือนต้องเอาใจใส่เลี้ยงดูคนสองคนในเวลาเดียวกัน...ตัวเองและเพื่อน
ฉันอิ่ม เพื่อนหิวไม่ได้ เพราะมันคือส่วนหนึ่งของตัวฉันที่กำลังหิวโซอยู่
ฉันหลับ เพื่อนตื่นไม่ได้ เพราะมันเหมือนกับฉันยังไม่ได้นอนอยู่ดี
ฉันสนุก เพื่อนว้าเหว่ไม่ได้ เพราะใจฉันมันเหงาจนหมดสนุก
ฉันหัวเราะ เพื่อนร้องไห้ไม่ได้ เพราะมันจะเหมือนตาข้างหนึ่งเริงร่าในขณะที่อีกข้างกำลังฉ่ำด้วยน้ำตา
ฉันสบาย เพื่อนป่วยไม่ได้ เพราะมันเหมือนกับทั้งร่างกายสบายดีแต่ปวดฟันจนเหลือทน
ฉันมี เพื่อนขาดไม่ได้ เพราะสิ่งที่มีก็เหมือนกับไม่มีอยู่ดี
ฉันอบอุ่น เพื่อนหนาวไม่ได้ เพราะมันเหมือนกับใส่เสื้อกันหนาวแต่มือเย็นเฉียบจนแทบจะกระดุกกระดิกนิ้วไม่ได้...”
อาจารย์เงียบอยู่นาน ตาเหม่อลอยไปข้างหน้า
“มันยากนะ...” อาจารย์หันมามองผม หลังจากถอนหายใจยาว
“มันคงยากจะเข้าใจคำว่า “เพื่อน” ได้อย่างแท้จริง ยิ่งสมัยนี้ด้วยแล้ว
เพราะความหมายของมันผิดเพี้ยน บิดเบือนไป จนกลายเป็นคำพูดที่กลวง ไร้ซึ่งแก่นสารแท้จริง...
ช่างไม่ต่างกับคำว่า “รัก”...อย่างไรอย่างนั้น
ไม่แปลก คนทำไมจึงรู้สึกเหงาลึกๆ...ไม่ผิดกับตัวคนเดียวในโลกอันกว้างใหญ่”
เสียงของอาจารย์ค่อยๆ เบาลง ขณะที่ผมยังคงนั่งอยู่ที่นั่น...จมอยู่ในความคิด*
....................................................................
ยากที่จะพบเห็น
รถแท็กซี่ป้ายดำจากเมืองเชียงใหม่วิ่งผ่านชุมชน “แม่แตง” ได้สักพักใหญ่ก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปตามถนนแคบๆ
น้ำอ้อยสีน้ำตาลดำจากโรงงานน้ำตาลที่ถูกนำมาลาดกันฝุ่นยังไม่เป็นแห้งสนิท ส่งกลิ่นหวานหอมสองฟากฝั่งถนนต้นไม้น้อยใหญ่ปลูกเรียงรายไปตามความคดเคี้ยวของถนน
บ้านเรือนไม้สองชั้นสร้างเพียงเพื่ออาศัยอยู่ตั้งห่างกันเป็นระยะ ตามกรรมสิทธิ์ที่ดิน จับจองครอบครองกันมาช้านาน
แม้กาลเวลาจะผ่านไปนานแสนนาน แต่สำหรับบางคนที่นั่งมาในรถ ถนนสายนี้เต็มไปด้วยอดีตแห่งวัยเด็กที่ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ
โค้งทุกโค้ง ต้นไม้ทุกต้น กลิ่นอายธรรมชาติ มีเสี้ยวประวัติศาสตร์ส่วนตัวที่น่าจดจำความสนุกสนาน ความลำบาก ความตื่นเต้น ความกลัว...ยังคงสิงสถิตอยู่บนทางสายนี้ รอคอยให้คนที่เติบโตมาจากที่นี่ กลับมารื้อฟื้นมันครั้งแล้วครั้งเล่าตัวด้วยรอยยิ้ม ด้วยเสียงหัวเราะ ด้วยการพูดคุยเล่าขาน
รถมาจอดสนิทอยู่หน้าบ้านไม้สองชั้นกลางสวนใหญ่เพียงแค่ก้าวออกจากรถ ก็สามารถสัมผัสถึงเสียงเพลงของธรรมชาติ แสนจะบริสุทธิ์ อบอุ่นเสนาะหู..
ธรรมชาติคงโกรธไม่น้อย เมื่อเสียงเครื่องยนต์มือสองของแท็กซี่ป้ายดำแผดคำรามทำปู้ยี่ปู้ยำมาตลอดเส้นทางที่เลี้ยวจากถนนใหญ่เข้ามา
พอเสียงแปลกปลอมดับลง ธรรมชาติก็เริ่มขับขานประสานเสียงกล่อมจนต้องตกในภวังค์ เสียงใบไม้ไหวไปตามสายลมแผ่ว เสียดสีกันเป็นเสียงดนตรีประกอบ ขณะที่เสียงนกนานาชนิดร้องขานกันเจื้อยแจ้ว สลับกับเสียงแมลงน้อยใหญ่ ไม่ต่างจากเสียงนักร้องนำในวงประสานเสียงที่ดูจะไม่มีวันเลิกรา..
“อุ๊ยเข้ามาบุกเบิกที่นี่นานมาแล้ว...” คุณตาเจ้าของบ้านวัยเกือบเก้าสิบพูดภาษาไทยปนสำเนียงเหนือ พลางยกมือขวาลูบศรีษะที่ตัดเกรียน ท่าทางเขินซื่อๆ ประสาชาวบ้าน
“ตั้งแต่สมัยเดินชี้อาณาเขตกันเอาเองเลยแหละ แล้วก็ถางป่าถางดงปลูกพืชปลูกไร่...” คุณตาพูดต่อ กวาดตาไปรอบๆ เนื้อที่คล้ายจะชี้ให้ดูผลงานจากหยาดเหงื่อแรงใจของตายาย
โคนต้นไม้ใหญ่ที่ถูกขุดขึ้นมาปักดินรากชี้ฟ้าเรียงรายไปตามสวนชี้บอกให้รู้ว่า ส่วนหนึ่งของชีวิตตายายถูกใช้ไปเพื่อแลกมาซึ่งที่ทำกินเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานจนได้ดิบได้ดีกันไปทุกคน
“อุ้ย ไม่เคยกลัว เรามีพระอยู่กับเรา... คนอื่นเห็นเป็นคนดีเขาก็ไม่คิดร้าย...” คุณตาพูดถึงหลักยึดเหนี่ยวจิตใจที่ยึดถือมาอย่างคงเส้นคงวา ถ่ายทอดไปยังชั่วลูกชั่วหลานด้วยความเคร่งครัด
“ลูกเขยคนหนึ่งเป็นครูมาจากอีสาน มารักมาชอบลูกสาวอุ้ย...” คุณตาคุยถึงความเชื่อในพระเจ้าที่ท่านหวงแหน “อุ้ยจับเรียนคำสอน 3 ปี จนแน่ใจนั่นแหละ จึงยอมยกลูกสาวให้...”
คุณตาเป็นหมอยาสมุนไพรชื่อดัง ผิวพรรณของคุณตาคุณยายแม้ในวัยนี้ ยังดูดีผิดหูผิดตา “ก็สมุนไพรนั้นแหละ...” คุณตาชี้แจง “เจ็บป่วยก็ใช้มันรักษาไม่ต้องไปหามดหาหมอให้เปลืองสตางค์...ชาวบ้านก็มาหาขอให้ช่วยรักษา บางทีมาตามค่ำคืนดึกดื่นก็ต้องไป ต่างจังหวัดก็มาตามให้ไปรักษา...ถือว่าช่วยเหลือกันไป... มาตอนนี้ต่างจังหวัดอุ๊ยไปไม่ไหวแล้ว…”คุณตาเล่าซื่อๆ สลับกับเสียงหัวเราะประสาคนอารมณ์ดี
“พระเจ้าสร้างต้นไม้ต่างๆ มา ล้วนดีมีประโยชน์ทั้งนั้น...” คุณตาบอกถึงที่มาของความเชี่ยวชาญด้านสมุนไพร “ต้นไม้ต้นหญ้าทุกชนิดเป็นยาทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ต้องหาวิธีใช้ให้เป็นประโยชน์...ไม่ใช่ทิ้งข้างทำลาย...น่าเสียดาย” คุณตาพูดแล้วก็ถอนหายใจยาว
นั่นคือหนังสือพระคัมภีร์ที่คุณตาอ่านทุกวัน...ต้นไม้ สายน้ำธรรมชาติ นั่นแหละคือตัวอักษรที่คุณตาอ่านแล้วเห็นความยิ่งใหญ่และความรักของพระเจ้า
ธารน้ำน้อยๆ ไหลผ่านที่ดินของคุณตา เพิ่มความชุ่มฉ่ำให้แก่ดินและแมกไม้ ส่วนหนึ่งของน้ำ ถูกทดมาเข้าบ่อเลี้ยงปลาสามบ่อที่หลานตาคนหนึ่งนำปลามาปล่อยไว้
ปลารุ่น ๆ โผล่ขึ้นมากินรำที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ทำให้รู้ถึงจำนวนปลาที่มีอยู่ในแต่ละบ่อ “ปลามันต้องอยู่ในน้ำจึงจะมีชีวิตอยู่ได้ แถมชุ่มฉ่ำ เย็นสบาย...”คุณตาพูดเปรยๆ ขณะเฝ้ามองดูปลาว่ายเวียนไปมาในบ่อ
“คนก็ต้องอยู่ในน้ำเหมือนกัน...” คุณตาพูดต่อ สายตายังอยู่ที่ปลา “น้ำจิตน้ำใจ น้ำใสใจจริง...จึงจะอยู่ด้วยกันอย่างมีสุข...”
แท็กซี่ป้ายดำแผดเสียงผ่าน “แม่แตง” เมื่อไรผมไม่ได้สังเกต ด้วยซ้ำ ผมได้หลายอย่างจากคุณตามาคิด จนไม่อยากจะสนใจอะไรอื่นอีกแล้ว ในตอนนั้น
....................................................................
เสียดาย
วันเวลาช่างผ่านไปรวดเร็ว จนแทบจะทำงานทำการกันไม่ทัน
ไม่ใช่เป็นเพราะเวลาสั้นลง หากแต่สิ่งที่ต้องทำมีมากขึ้น...มากกว่าสมัยก่อน
การเดินทางก็ต้องใช้เวลามากกว่าแต่ก่อน ทั้งๆ ที่ยานพาหนะทันสมัยกว่าเป็นไหนๆ
แม้แต่การจะออกจากบ้าน ก็ยังต้องใช้เวลามากกว่า ไหนจะต้องแต้มแต่งใบหน้า ไหนจะต้องพิถีพิถันเรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย...
กรทานข้าวในบ้านนอกบ้านก็เช่นกัน ต้องใช้เวลามากขึ้น เพราะไม่เน้นแค่กินให้อิ่ม แต่กินให้อร่อย มีรสชาติ มีบรรยากาศ
ในเมื่อเวลามีเท่าเดิม แต่กิจกรรมต่างๆ เพิ่มขึ้น เลยให้ความรู้สึกว่าเวลาสั้นลง
และเมื่อกิจกรรมมีมากขึ้นทุกที จึงไม่อาจจะทำทุกอย่างที่ควรจะทำในวันหนึ่งๆ ได้หมด...บางอย่างจึงต้องข้ามไป ทั้งๆ ที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าอย่างอื่นๆ
เวลาสำหรับหลับนอนพักผ่อน ถูกเจียดไปทำอย่างอื่น
เวลาสำหรับภาวนาคิดถึงพระ ถูกเบียดไปเพื่อทำอย่างอื่น
เวลาที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันฉันพ่อแม่ลูก ก็ต้องสละเพื่ออย่างอื่น
เวลาสำหรับจะอยู่กับตนเอง ก็ยิ่งไม่เหลือให้พบหน้าพบตาตนเองในส่วนลึกๆ...ความรู้สึก แรงจูงใจ เป้าหมาย...
เฉพาะคนที่รู้จักจัดลับคุณค่าของกิจกรรมที่ต้องทำ ทั้งในความสำคัญและแก่นสาร จึงจะสามารถสร้างคุณภาพให้แก่ชีวิตแต่ละวันได้
ไม่เช่นนั้น แต่ละวันที่จบสิ้นลงไป จะนำมาซึ่งความรู้สึกเสียดาย...สิ่งที่น่าจะทำไม่ได้ทำ กลับไปทำสิ่งไร้สาระหาคุณค่าไม่ได้
เหมือนกับสูญเสียวันนั้นไป อย่างไรอย่างนั้น
แล้วก็ลงเอยเหมือนวิกฤติด้านเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญกันอยู่ทุกวันนี้
เบื้องหลังของความรู้สึกหลากหลายนั้น มีความรู้สึกอันหนึ่งเหมือนกัน นั่นคือ เสียดายที่ไม่ได้ให้คุณค่าแก่สิ่งที่กำลังสูญเสียไป
ก่อนหน้านี้ เงินทองใช้จ่ายกันไม่อั้น เพียงเพราะมีจึงต้องใช้... ใช้ไปกับสิ่งที่ไม่มีคุณค่าหาประโยชน์ไม่ได้ เพียงแค่ให้ได้สะใจ
เวลานี้ที่ต้องขาดมือลง จึงเริ่มเห็นคุณค่า...ถึงขนาด “คนเคยรวย” ต้องนำสมบัติอันฟุ่มเฟือยมาเร่ขาย
ก่อนนี้สิ่งของ ทรัพยากรธรรมชาติ มีมากมายก่ายกองจนพูดกันติดปาก “ทรัพย์สินในน้ำ”...ก็เลยใช้กันแบบทิ้งๆ ขว้างๆ นำมาผลาญ ไม่เห็นไม่คำนึงคุณค่า
เวลานี้ดินก็แทบจะหาไม่ได้ น้ำก็แห้งขอดไปทั่วหัวระแหง... เดือดร้อนแม้ที่อยู่อาศัยและสิ่งจำเป็นพื้นฐาน
ยิ่งเมื่อมีวิสัยทัศน์ที่แคบ ก็ย่อมจะมองได้ไกลไม่เกินปลายจมูก
มีกินมีใช้เดี๋ยวนี้ ก็กินก็ใช้อย่างไม่บันยะบันยัง ไม่คิดจะเผื่อชนรุ่นลูกรุ่นหลาน
บวกกับปรัชญาชีวิตที่ว่า “วันนี้อยู่ พรุ่งนี้ไม่แน่นอน” เลยต้องรีบกอบโกยความสุข ความสนุกสนานให้สุดเหวี่ยง...วันนี้มีกินมันให้เต็มที่ พรุ่งนี้ไม่มีค่อยอด...
ชีวิตความเป็นอยู่ของหลายๆ คน ก็อิ่มหมีพีมันต้นเดือน แล้วก็อดอยากปากแห้งไปจนชนปลายเดือน...อย่างนี้ทุกเดือนๆ
ไม่ต้องพูดถึงบางคน ทำงานตัวเป็นเกลียวมาทั้งเดือน ปลายเดือนก็ได้ชื่นชมกับเงินค่าจ้าง จากน้ำพักน้ำแรงเพียงแค่ปะเดี๋ยวประด๋าว ก่อนที่เงินจะเปลี่ยนมือไปให้เจ้าหนี้
เหน็ดเหนื่อย สูญเสียพลังไป เพียงเพื่อรับเงินและส่งต่อไปให้คนอื่นใช้
มาถึงปลายปีแต่ละปี คงต้องมานั่งบวกลบคุณหารกันให้ถี่ถ้วน
หนึ่งปีที่ผ่านไป ได้หรือสูญเสียอะไรไปบ้าง
วันเวลาที่ผ่านไป ใช้ทำกิจกรรมที่ทรงไว้ซึ่งคุณค่า หรือผลาญไปอย่างไร้ประโยชน์
สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ ทุกคนคงจะพูดเหมือนๆ กันว่า “หากจะย้อนเวลากลับไปได้ ฉันคงไม่เสียเวลากับเรื่องเหล่านี้อย่างแน่นอน ฉันน่าจะใช้เวลาเพื่อทำสิ่งนั้นสิ่งนี้...”
คำตัดพ้อเหล่านี้พูดไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะอดีตคืออดีต
แต่หากนำมาเป็นข้อตั้งใจและใช้ทำแผนการดำเนินชีวิตในปีใหม่... อย่างน้อยๆ ก็จะช่วยกู้ความสูญเสียที่ผ่านมาได้ไม่น้อย*
....................................................................
สุขแท้สุขเทียม
เมื่อนึกถึงคำอวยพรที่มอบให้แก่ผู้อื่น
คนมักจะนิยมอวยพรให้มีลาภยศ ร่ำรวย มั่งมี
ศรีสุข ไร้ทุกข์เยี่ยมกราย ฯลฯ
แต่สำหรับผมเพียงขอพรพระเจ้าให้ท่านผู้อ่านมีความสุข...อย่างเดียวก็เกินพอแล้ว
เงินทอง ลาภยศ สุขภาพดี...ไม่ใช่ทุกคนจะมีได้เสมอไป
แต่ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีความสุข และสามารถมีได้...ในทุกสภาพ ในทุกกรณี
เสียดายที่คำว่า “ความสุข” ถูกนำไปใช้พร่ำเพรื่อ จนแทบจะสูญเสียความหมายแท้จริงไป
ก็เลยทำให้มองดูว่า ความสุขเป็นสิ่งที่ต้องดิ้นรนหา และเฉพาะคนที่ทำได้สำเร็จจึงมีความสุข
ดีไม่ดี ความสุขก็ออกมาอยู่ในสิ่งนอกใจ...ร่างกาย สิ่งของ สถานที่ ฯลฯ
ทั้งๆ ที่ความสุขต้องเกิดจากภายในใจ แล้วแผ่ซ่านออกมาทางกาย ทางสิ่งภายนอก ทางสถานที่อยู่อาศัย...
เฉกเช่นความร้อน ที่เกิดจากกองไฟแล้วแผ่ความร้อนออกไป ทำให้สิ่งใกล้เคียงอบอุ่นและร้อนแรงไปด้วย
แล้วนั้นสิ่งใดที่เข้ามาในกองไฟ ก็จะได้รับความร้อนและกลับกลายเป็นไฟให้ความร้อนต่อไปอย่างไม่มีสิ้นสุด
แต่หากไร้ซึ่งไฟแล้ว แม้จะเอาไม้ เอากระดาษ เอาผ้า...มาสุมกันกองโต ก็หาเกิดไฟเกิดความร้อนไม่
ในเมื่อตีความหมายของความสุขผิดไป กระบวนการที่จะได้มาซึ่งความสุขจึงกลับตาลปัตร
หันมาใช้ร่างกาย เงินทองข้าวของ บ้านช่องที่อยู่ เครื่องใช้เครื่องประดับ ลาภยศ...มาเป็นตัวสร้างความสุข
เปลี่ยน “ความรู้สึกพึงพอใจ” ด้านประสาทสัมผัสในส่วนต่างๆของร่างกายเป็น “ความสุข”
เปลี่ยนการ “มี” สิ่งของเป็น “ความสุข”
เปลี่ยนการ “จับจ่าย” เงินทองเป็น “ความสุข”
เปลี่ยน “ความอร่อย” ในรสชาติอาหารเป็น “ความสุข”
เปลี่ยน “การครอบครอง” บ้านช่อง ที่ดิน เรือกสวนไร่นาเป็น “ความสุข”
เปลี่ยน “ความงาม” ในการสวมใส่เสื้อผ้าเป็น “ความสุข”
เปลี่ยน “ความเพลิดเพลิน” ในการเที่ยวเป็น “ความสุข”
เปลี่ยน “ความสนุก” ในการละเล่นเป็น “ความสุข”
และแม้แต่สิ่งที่ในตัวมันเองตรงกันข้ามกับความสุข ก็ถูกมองเป็นความสุขไปด้วย
เรียก “ความมึนเมา” เป็น “ความสุข”
เรียก “การผลาญเวลา” ให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์เป็น “ความสุข”
เรียก “การเที่ยวเตร่หัวราน้ำจนไม่ได้หลับได้นอน” เป็น “ความสุข”
เรียก “การสูบควันเข้าไปเผาปอด” เป็น “ความสุข”
เรียก “ผีพนัน” ต่างๆ เป็น “ความสุข”
เรียก “การผิดผัวผิดเมีย” เป็น “ความสุข”
เรียก “การโกงกิน” เป็น “ความสุข”...
แล้วก็เที่ยวไปเสาะหา กอบโกย ดิ้นรน...ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา
โดยเข้าใจว่านั่นคือการได้มาซึ่งความสุข
จนหลายครั้ง ยอมแลกแม้กระทั่งกับความสุขใจอันแท้จริงไป...อย่างน่าเสียดาย
จึงไม่แปลกใจที่ได้มาแล้ว ยังต้องดิ้นรนให้ได้มามากขึ้นอย่างไม่มีวันเพียงพอ
ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เพราะมีแต่เอาสิ่งของมาสุม แต่ไม่มี “ไฟ” ที่ทำให้เกิดการเผาผลาญกลายเป็นความร้อนนั่นเอง
ใจไม่เป็นสุข แม้จะมีทุกสิ่งทุกอย่าง ก็หาความสุขไม่ได้อยู่ดี
แต่หากใจเป็นสุขแล้ว อะไรๆ ก็ดูจะเอื้อให้สุขได้หมด แม้แต่สิ่งเล็กน้อย
เพราะเหตุนี้เอง ผมจึงขอพรให้ท่านผู้อ่านมีสุขตลอดปีใหม่
โดยเข้าถึงความหมายแท้จริงของ “ความสุข” กันเสียที*
....................................................................
อะไรใหม่?
มีคนอยู่ไม่น้อย
ที่ให้ความสำคัญกับวันปีใหม่เพียงแค่วันที่ 1 มกราคม...เท่านั้น จริงๆ แล้ว ปีเก่าปีใหม่ เป็นแค่เรื่องของการกำหนดเวลาไปตาปฏิทิน
เลยทำให้รู้สึกว่าเป็นอะไรเก่าอะไรใหม่ เพราะถึงวันเวลาจะผ่านไปเป็นนาที ชั่วโมง วัน สัปดาห์ เดือน ปี... แต่ตัวเราก็ยังเป็นตัวเราเหมือนเดิมนั่นแหละ
หากว่าเราไม่สร้างความใหม่ให้แก่ตัวเราแล้วไซร้ แม้วันเดือนปีจะใหม่ ก็คงดูเหมือนเก่าอยู่ดี
ที่จริงแล้ว ชีวิตของเราแต่ละช่วงเวลามีความใหม่ในแง่ของการไม่เหมือนเดิม
ความใหม่ จึงไม่ใช่อะไรที่ใหม่ ๆ เพิ่มเติมมา หากแต่อยู่ที่ความ “ไม่เหมือนเดิม” ต่างหาก
วินาทีนี้ ไม่เหมือนวินาทีก่อน นาทีนี้ไม่เหมือนนาทีก่อน ชั่วโมงนี้ไม่เหมือนชั่วโมงที่แล้ว วันนี้ไม่เหมือนเมื่อวานนี้
แม้ในส่วนของชีวิตฝ่ายกาย ก็มีอะไรไม่เหมือนเดิมอยู่ตลอดเวลา
และเพราะความไม่เหมือนเดิมนี้ จึงก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวมีชีวิต
ทันทีที่หยุดการเคลื่อนไหว ก็จะเกิดความผิดปกติ ความพิการ ความตาย คนมักจะพูดกันว่า ปีใหม่ชีวิตใหม่...แล้วก็มักจะคิดว่าดำเนินชีวิตให้มีอะไรใหม่ๆ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว แค่ดำเนินชีวิตไม่เหมือนเดิม ก็คือชีวิตใหม่นั่นเอง
ภาษาไทยในบางบริบทให้ความหมายเป็นรูปธรรมได้ชัดเจน
เราใช้คำว่า “ใหม่” เพื่อบ่งบอกถึงการกระทำซ้ำ แต่ให้ดี ให้ถูกต้อง ให้ครบถ้วน.. กว่าการกระทำครั้งก่อน
เรามักจะพูดว่า “ทำใหม่ซิ” มากกว่าจะพูดว่า “ทำอีกครั้ง”...เพื่อบ่องบอกว่า การกระทำครั้งนี้ต้องไม่เหมือนเดิม ทำให้ดีกว่า ทำให้ถูกต้องมากกว่า...
เรามักจะพูดว่า “มองใหม่ซิ” มากกว่าจะพูดว่า “มองอีกครั้ง” เพื่อกำชับให้มองดีกว่า มองถี่ถ้วนกว่าครั้งก่อน เรามักจะพูดว่า “พูดใหม่ซิ” มากกว่าจะพูดว่า “พูดอีกครั้ง” เพื่อขอร้องให้พูดชัดถ้อยชัดคำเสียงดังฟังได้ศัพท์กว่าเดิม
แม้กระทั่งพูดแบบภาษาวัยรุ่น “พูดผิดพูดใหม่ได้นะ... “ก็ต้องการจะหมายความว่า ถ้าที่พูดมานั้นผิดความจริง ยังเปิดโอกาสให้พูดอย่างถูกต้องอีกครั้ง...
มองจากแง่มุมนี้ คนไทยเรามีอะไรใหม่ ๆ ให้สนใจมากกว่าชาติอื่นใดเพราะแม้กระทั่งการพูดการจาก็ยังมีคำว่า “ใหม่” ให้ได้ยินอยู่ไม่ได้ขาด
ปีใหม่คงเป็นการตอกย้ำสำนึกมากกว่าชี้บอกความใหม่
เตือนความจำว่า ชีวิตคนมีความใหม่อยู่ในตัวเอง และไม่ต้องเที่ยวหาความใหม่มาใส่ตัวให้เปลืองพลัง
เพียงแค่พยายามอย่าให้เหมือนเดิม ก็เป็นความใหม่แล้ว
งานคงเป็นงานเดิม แต่ “ทำใหม่”
ความสัมพันธ์กับคนเดิม แต่ “ทำตัวใหม่”
วีถีชีวิตคงเดิม แต่ “เริ่มใหม่”
บริบทเหมือนเดิม แต่ “ท่าทีใหม่”
ความเชื่อคงเดิม แต่ “ปฏิบัติใหม่”
เสื้อผ้า เครื่องใช้ไม้สอยเก่าๆ แต่ “ใช้ใหม่ ใส่ใหม่”...
ถ้าทำได้เช่นนี้ ก็คงไม่ต้องรอปีใหม่เพื่อจะมีอะไรใหม่หรอก
เพราะชีวิตในทุกวันก็มีอะไรใหม่ให้ตื่นเต้น ท้าทาย และสนุกสนานกับมันอยู่แล้ว
....................................................................
ลำดับคุณค่า
“เดี๋ยวนี้หากินลำบากครับ...”
คนขับแท็กซี่ชวนคุย หลังจากที่มีการชี้แจงที่หมายและเส้นทางที่น่าจะใช้
ขับรถแท็กซี่เดี๋ยวนี้ บอกแค่ปลายทางอย่างเดียวไม่ได้แล้ว ต้องบอกเส้นทางที่จะไป...ทางที่สั้นและใช้เวลาน้อยที่สุด
เรื่องของเวลาที่ต้องใช้เพื่อไปไหนมาไหน ก็ยังพอจะทำใจได้
สภาพการจราจรอย่างที่พบเห็นกันอยู่ทุกวัน สอนคนให้ใจเย็นลงเยอะ
แต่เมื่อเวลาไปเกี่ยวกับเงินที่ต้องจ่าย...ต้องเขียมใช้ให้ประหยัดสุดๆ
“เวลาเป็นเงินเป็นทอง” ที่มักจะพูดกันนั้น เห็นเป็นรูปธรรมกันชัดเจนก็ตอนต้องใช้บริการแท็กซี่มิเตอร์นี่แหละ
“คนขับแท็กซี่สู้ค่าเช่าไม่ไหว เลยกลับไปต่างจังหวัดกันหมด...รถจอดกันเต็มอู่...”
มันก็คงต้องเป็นเช่นนั้น แม้ค่าเช่ารถยังคงเดิม แต่ค่าน้ำมันขึ้นราคาแทบทุกวัน
และที่สำคัญ ผู้คนไม่ค่อยกล้าจะเรียกนั่งเหมือนเมื่อครั้งเศรษฐกิจเฟื่องฟู
“แต่ผมก็ต้องทนทำไป...เพื่อลูกสามคน...วัยกิน วัยนอน วัยเรียน...”
ความรักและความรับผิดชอบของคนเป็นพ่อ คงไม่ยอมให้ท้อแท้ง่ายๆ
ตัวคนเดียว ไม่มีก็พอจะอดอยากปากแห้ง หวังพึ่งเอามื้อหน้าได้...อย่างไรเสียก็เดือดร้อนต้องท้องแห้งแค่ตัวคนเดียว
แต่คนที่มีพันธะ เมื่อไรไม่มีก็เป็นเรื่อง...ไม่ท้องแห้งจนหน้ามืดอย่างเดียว ยังต้องปวดร้าวดวงใจอย่างเหลือทน เมื่อคนที่รักไม่มีอะไรยาไส้...
“เช้าผมจะรีบไปส่งลูกเข้าโรงเรียน แล้ววิ่งตะลอนรับผู้โดยสาร...เหนื่อยล้าขนาดไหนก็ไม่กล้าหยุด ทำเวลาหาเงินให้ลูก...พอใกล้เลิกเรียน ผมก็จะรีบไปรับลูกกลับบ้าน ดูแลให้ลูกกินข้าวกินปลา ฝากให้อยู่กับย่า แล้วก็ออกไปหาผู้โดยสารต่อ...
ผมถือเป็นหน้าที่ที่จะไปรับลูกด้วยตนเอง เพราะไม่อยากปล่อยให้ไปกับเพื่อนๆ...หนึ่งชั่วโมงที่ให้กับลูก ผมว่าคุ้มกว่าเงินสองร้อยสามร้อยที่อาจจะได้ในช่วงนั้น...เพราะหากลูกคบเพื่อนไม่ดีและเสียผู้เสียคนไป เงินทองเท่าไรก็ไม่สามารถจะซื้อลูกคืนมาได้...
เงินที่น่าจะได้ในหนึ่งชั่วโมงที่ไปรับลูก ผมถือว่าซื้อความรักความอบอุ่นให้ลูกๆ ดีกว่า...เพราะผมถือว่า หากจัดปัญหาจิตใจให้เรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างก็จะเรียบร้อยไปด้วย...”
คาดคะเนด้วยสายตา เขาคงอายุไม่มาก แต่ความคิดความอ่านนั้นมีความเป็นผู้ใหญ่อย่างเห็นได้ชัด
“ตั้งแต่หย่าขาดกับภรรยาแล้ว ผมเลยทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อเป็นทั้งแม่ ให้ความรักความอบอุ่นแก่ลูกเต็มความสามารถ...ทุกค่ำกลับบ้าน ลูกๆ แย่งกันมานอนกับผม จนผมต้องจัดเวรให้ (หัวเราะ)...เพราะลูกนี่แหละที่ทำให้ผมตั้งปณิธานจะไม่ยอมยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดและผู้หญิงเด็ดขาด ผมถือว่าถ้าลูกเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ดีมีความอบอุ่น ก็จะไม่ไปก่อปัญหาปวดหัวให้แก่สังคมในภายหน้า...จึงต้องให้เวลาและความสนใจลูก ไม่เช่นนั้นลูกจะไปหาเอาจากที่อื่น ไปหาเพื่อน ไปเที่ยวเตร่...”
วันนั้น ระยะทางจากที่ทำงานไปสนามบินดอนเมืองดูสั้นเป็นพิเศษ
แม้รถจะติดยาวเหยียด ในช่วงลงจากโทลเวย์ไปถึงทางขึ้นอาคารผู้โดยสารขาออกต่าง
ประเทศ แต่ผมกลับไม่รู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด
ในใจลึกๆ ก็ยังอยากให้รถติดมากกว่านี้อีกหน่อย เพื่อจะได้มีเวลาฟังเรื่องราวจากคนขับแท็กซี่พ่อลูกอ่อนคนนี้ต่ออีกหน่อย
ถึงแม้จะเป็นการสนทนาที่แทบจะไม่ได้มองหน้ากัน แต่ก็สื่อเรื่องราวได้น่าสนใจยิ่ง
ในยุคแห่งความสับสนด้านคุณค่า การได้พบเห็นบุคคลที่ยังคงยืนหยัดในลำดับคุณค่าอันแท้จริงของชีวิต ถือว่าเป็นลาภอันประเสริฐ
ถ้ามองลึกเข้าไปในปัญหาต่างๆ ที่พบเห็นในสังคมทุกวันนี้ จะพบว่าสาเหตุใหญ่มาจากการให้ความสำคัญแก่คุณค่าต่างๆ ผิดไป
สิ่งที่มีคุณค่าเพียงเล็กน้อย หรือแค่ผิวเผิน ได้รับความสนใจทุ่มเทแรงกายแรงใจให้
ในขณะที่คุณค่าแท้จริงและสูงส่ง กลับถูกมองข้ามหรือทิ้งขว้างไปอย่างน่าเสียดาย
กว่าจะรู้ว่ากำลังสูญเสียคุณค่าเหล่านี้ไป ก็สายเกินแก้เสียแล้ว
และนี่คือตัวปัญหาแท้จริง...ของสังคมปัจจุบัน
....................................................................
กว่าจะรู้ซึ้ง
ตลอดหลายสิบปี มันทำงานของมันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
ทำไปอย่างเงียบๆ จนผมแทบไม่ได้ให้ความสนใจเอาเลย
ทั้งๆ ที่งานที่มันทำสำคัญอย่างยิ่งยวด ขนาดเรื่องเป็นเรื่องตายก็ว่าได้
มันทำงานไม่เคยบกพร่องมาโดยตลอด
เลยไม่ได้อยู่ในสายตา หรือความนึกคิดของผมด้วยซ้ำ
มันทำงานตลอด ไม่มีวันหยุด ไม่มีพักร้อน ไม่มีเวลาหย่อนใจใดๆ
และแม้แต่เวลาที่คนอื่นหลับนอน มันยังคงก้มหน้าก้มตาทำตามหน้าที่ต่อไป
ไม่เคยบ่น ไม่เคยต่อว่า ไม่เคยเรียกร้องสักคำ
จนผมถือเป็นเรื่องธรรมดา และไม่เคยคิดจะพูดแม้ “ขอบใจ”
ที่สำคัญ มันทำเพื่อผม เพื่อผมโดยเฉพาะ
ติดตามผมไปทุกแห่ง อยู่กับผมในทุกสถานการณ์
และแม้เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องจะไปจะมา มันคงยืนหยัดอยู่เคียงข้างผม
ยิ่งกว่าเงาตามตัวเสียอีก
เพราะเงายังหายไปยามไม่มีแสงแดดหรือแสงไฟ
แต่มันอยู่กับผมตลอด ทั้งในเวลากลางวัน ทั้งในเวลากลางคืน
อย่างนั้นก็เถอะ ยามอยู่คนเดียว ผมกลับคิดถึงคนนั้นคนนี้ คิดถึงทุกคน...เว้นแต่มัน
จนกระทั่งวันนั้น วันตรวจสุขภาพประจำปี แพทย์หันมามองผมด้วยสีหน้ากังวล
“...มันเต้นไม่เป็นจังหวะ ควรจะไปเดินสายพานตรวจหัวใจโดยด่วน...”
เวลานั้นเอง ผมจึงเริ่มหันมาสนใจมัน ลุกลี้ลุกลนไปโรงพยาบาลตามหมอสั่ง
จะกินจะดื่มอะไร ต้องปรึกษา “หัวใจ” ว่าจะมีผลกระทบต่อการทำงานของมันหรือไม่
ของมัน ของเมา เครื่องใน สัตว์ปีก แม้กระทั่งน้ำชากาแฟ ก็ยอมงดให้ด้วยความเต็มใจ
พร้อมกับจัดเวลาเพื่อออกกำลังกายให้เป็นประจำ เพื่อให้มันแข็งแรง
ซึ่งก่อนหน้านี้ มักจะว่ากันตามรายสะดวกและตามรายอารมณ์
ก่อนจะหลับจะนอน ก็ยังอุตส่าห์ฟังเสียงมันเต้น พร้อมกับให้กำลังใจแกมวิงวอน ขอให้มันเต้นไปได้ตลอดคืน
ตื่นขึ้นมา ก็อดไม่ได้ที่ยื่นมือไปสัมผัสแรงเต้นของมันด้วยความยินดีและรู้คุณ
แม้กระทั่งจะหงุดหงิดฉุนเฉียว ดีใจเสียใจ ก็ต้องคอยยับยั้งชั่งใจ ไม่ให้เกินเถิด จะพลอยทำให้มันเต้นแรงผิดปกติ
ใครแนะใครบอกว่ามียาดีช่วยบำรุงหัวใจ เป็นต้องสนใจ หามาใช้หามากินให้ได้... ตามอัตภาพ
จริงๆ แล้ว ในชีวิตคนเรา มีหัวใจหลายดวง ที่ทำหน้าที่ด้วยความสม่ำเสมอ ไม่มีหยุดหย่อน อยู่เคียงข้าง เอาใจใส่ดูแล และคอยทำให้ชีวิตเราราบรื่น มีสุข...
แต่เรากลับไม่เห็นคุณค่า ไม่ได้ใส่ใจ ไม่รู้บุญคุณ ไม่อยู่ในความคิด
หัวใจดวงนั้นอาจเป็นพระเจ้า...ผู้ทรงรักและเมตตา คอยให้การดูแลเอาใจใส่ พร้อมจะให้อภัยและให้โอกาสเราใหม่ได้ทุกเวลา
หัวใจดวงนั้นอาจเป็นคุณพ่อคุณแม่...ผู้ทุ่มเทชีวิตกายใจ ทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกมีความสุข มีอนาคตมั่นคง
หัวใจดวงนั้นอาจเป็นสามี...ผู้อุทิศตนเพื่อความผาสุกของครอบครัว
หัวใจดวงนั้นอาจเป็นภรรยา...ผู้ทำงานไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย เพื่อให้บ้านเรือนสะอาด น่าอยู่ น่าอาศัย อาหารการกินมีรสชาดถูกหลักอนามัย
หัวใจดวงนั้นอาจเป็นเพื่อน...ผู้ยืนหยัดอยู่เคียงข้างร่วมทุกข์ร่วมสุข คอยให้กำลังใจยามเพื่อนท้อแท้ หมดสิ้นเรี่ยวแรง
หัวใจดวงนั้นอาจเป็นลูก...ผู้เปี่ยมด้วยกตัญญู เลี้ยงดูพ่อแม่ จนลืมได้แม้กระทั่งชีวิตตนเอง
หัวใจดวงนั้นอาจเป็นครู...ผู้เพียรประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ ส่งศิษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่าไปสู่อนาคตอันเจิดจรัส...
จนกระทั่งวันนั้น ที่หัวใจเหล่านี้เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะนั่นแหละ จึงเริ่มเห็นคุณค่า มาให้ความสนใจ...และน่าเสียดาย หลายครั้งก็ช้าเกินแก้เสียแล้ว
วันวาเลนไทน์ เพิ่งจะผ่านพ้นไป พร้อมกับกลิ่นอายแห่งความรัก...
คงยังไม่สายเกินไปที่จะมอบความรักแก่ “หัวใจ” เหล่านี้...ให้มากเป็นพิเศษสักครั้ง*
....................................................................
ยังไม่รักจริง
คนเราคิดว่ารักตัวเอง... วันหนึ่ง ๆ ก็เที่ยวหาความสุขสนุกสนานมาให้ตนแต่แล้วก็ไม่ได้รักจริง อย่างที่คิด
เพราะในขณะที่ปรนเปรอความสุขให้กับตนเองก็ใช่ว่าจะเป็นความสุขแท้เสมอไปก็หาไม่บ่อยครั้งเสียอีก ที่เป็นเพียงเปลือกนอกของความทุกข์ที่ถูกเคลือบไว้ เฉกเช่นน้ำตาลหวานเคลือบยาขม หลอกให้กินยา...แค่นั้นเอง
แล้วในขณะที่มั่นใจว่ากำลังรักตัวเอง กลับทำร้ายตาอย่างโหดร้าย...ด้วยความเต็มใจ
บางครั้ง ก็ให้ความสุขแก่ร่างกาย แต่เพียงไม่นานกายก็ต้องลำบากทุกข์ร้อนเจ็บปวด
อย่างเช่นนักดื่มที่มักจะคิดเพียงแค่ทำให้สบายกายหายปวดเมื่อย แต่หลังจากนั้นก็เกิดอาการ...ปวดหัว วิงเวียน หมดเรี่ยวแรง... และกว่าจะกลับสู่สภาพปกติได้ ก็ต้องใช้เวลา ต้องทรมานสังขาร...อย่างเหลือทน จนอยากจะเลิก อยากจะทิ้ง อยากจะสาปแช่ง...ซะเดี๋ยวนั้นเลยไม่ต้องพูดถึงผลเสียระยะยาวที่เกิดขึ้นกับตับ หัวใจ กระเพาะ...
คิดดูแล้ว คนเราต้องเจ็บป่วย ล้มตาย เพราะฝีมือของตนเองแท้ๆ
แต่ละปีมีการทำสถิติคนตาย คนได้รับบาดเจ็บ เพราะอุบัติเหตุบนท้องถนนไว้เป็นอันดับแรก แต่ไม่เคยมีการระบุว่าจริงๆ แล้ว สาเหตุที่ทำให้มนุษย์ต้องบาดเจ็บป่วยไข้ และล้มตายมากกว่าก็คือ คนนั่นแหละที่ทำตนเอง
ในบางครั้งก็ให้ความสนุกสนานแก่ตน แต่แล้วก็ต้องมาทุกข์ใจกลัดกลุ่ม วิตกกังวล...จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ทำร้ายตนเองทั้งกายทั้งใจ...อย่างน่าอนาถ ทั้งๆ ที่ใจพร่ำยืนยันว่าทำไปเพราะรัก
เฉพาะคนที่รู้จักรักตนเองอย่างแท้จริงเท่านั้นที่รู้ว่า รักตนต้องรักให้ครบวงจร และทุกครั้งที่ไม่ได้เป็นรักแท้ ก็เท่ากับเป็นศัตรูกับตนเองนั่นเอง
แล้วก็ให้อภัยคนอื่นง่ายกว่าให้อภัยตนเอง
แล้วก็ลืมความผิดของคนอื่นง่ายกว่าลืมความผิดของตนเอง
แล้วก็โทษผู้อื่นน้อยกว่าโทษตนเอง
แล้วก็เจ็บใจคนอื่นน้อยกว่าเจ็บใจตนเอง
แล้วก็เกลียดคนอื่นน้อยกว่าเกลียดตนเอง...
และแม้อยากจะทำร้าย ทำโทษ แก้แค้นตนเอง แต่ก็ไม่กล้าก็เลยไปลงที่คนอื่น...ในความรู้สึก ท่าที คำพูด การกระทำ...
ความเป็นอริกับตนเองยังแสดงออกมาในความรู้สึกไม่พอใจในสิ่งที่ตนเป็น ก็เลยเที่ยวมองรอบข้าง แล้วก็อยากจะเป็นคนอื่นมากกว่าเป็นตนเอง
ในขณะที่ผู้ที่คนอื่นมองแล้วอยากจะเป็น กลับอยากจะเป็นคนอื่นมากกว่าเป็นตนเอง...อย่างนั้นไปอีก เพียงแค่เรื่องหน้าตาก็น่าปวดเศียรเวียนเกล้าแล้ว คนหน้าธรรมดา พื้นๆ ก็อยากจะหน้าหล่อหน้าสวย แล้วก็เที่ยวโกรธแค้นตัวเอง หาทาผ่าตัดเสริมแต่งวาดทาแต้มโปะ..ทำลายหลักฐานสุทธิที่ได้ติดตัวมาจากท้องแม่จนแทบจะไม่เหลือร่องรอยให้จำได้
จะว่าเป็นการล้างโคตรล้างตระกูลก็ไม่ผิดนัก ส่วนคนหน้าตาดี ก็อยากจะมีหน้าตาพื้น ๆ เพราะรู้รสชาติของการต้องตกเป็นเป้าสายตา (อิจฉา – ลามก) จนแทบไม่เหลือสิทธิส่วนบุคคลให้ใช้อีกเลย
ไม่ต้องพูดถึงความหวาดผวากับพวกมากตัณหาที่คอยจ้องพิชิตความสวยความงามตาเป็นมัน ถึงขนาดยอมทุ่มได้ทุกอย่าง...ความรุนแรงขู่เข็ญบังคับ เงิน รถยนต์ บ้าน...
ครั้นจะเปลี่ยนแปลงหน้าตาให้ดูธรรมชาติไม่ได้ ก็เลยหันไปเปลี่ยนพฤติกรรมแทน..จนบางครั้งก็ดูจะต่ำกว่าสามัญธรรมดา ปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้เละเทะ มั่วสุมยาเสพติด ทำตัวเป็นอันธพาล ไม่เกรงกลัวขื่นแปบ้านเมือง... เพียงเพื่อรู้สึกเหมือนคนอื่น ๆ
ต่อเมื่อรักจริง จึงเกิดการยอมรับตนเอง... รักตัวเองอย่างที่เป็น..พอใจกับสิ่งที่ตนเป็น...สุขกับการเป็นตัวตนของตัวเอง...
เพียงแค่ขอรักให้จริง แล้วทุกอย่างจะดีไปเอง...ทั้งกายทั้งใจ
....................................................................
กว่าจะรู้ตัว
คนเรามักจะเห็นคุณค่าสิ่งใด ก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นกำลังจะสูญสิ้นไป
สภาพเศรษฐกิจทุกวันนี้ กำลังยืนยันในสัจธรรมข้อนี้ได้ดี
ก่อนนี้มีใช้มีจ่าย ก็เพลิดเพลินทั้งใช้ทั้งจ่าย...แทบจะไม่เห็นคุณค่า
สังคมใดที่ใช้จ่ายเพื่อความฟุ่มเฟือยมากกว่าเพื่อความจำเป็น สังคมนั้นกำลังฆ่าตนเอง...อย่างผ่อนส่ง
สิ่งที่นำมาใช้นำมาบริโภค ก็เพียงเพื่อสนองความยาก มากกว่าความจำเป็น
ใช้กันไปอย่างสุรุ่ยสุร่าย จนลืมคิดไปว่า ทุกสิ่งย่อมมีอันหมดสิ้นได้
แม้จะมีเงินซื้อหาก็เถอะ หากสิ่งต้องการซื้อหานั้นร่อยหรอลงไปแล้ว ก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน
แล้วที่สุด เงินก็มีค่าเพียงแค่เศษกระดาษ...แทบจะใช้ทำอะไรไม่ได้
แม้จะชั่งกิโลขายก็ยังไม่ได้เลย เพราะเงินจะซื้อเงินไม่ได้อยู่แล้ว
อย่างมากก็ได้แค่เงินแลกเงินต่างสกุลเท่านั้นเอง
แล้วก็ต้องหันไปหาแหล่งทรัพยากรจากที่อื่น
โครงการจะส่งมนุษย์ไปสร้างนิคมบนดวงจันทร์ ก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจกันมาก
เบื้องหลังนั้นจะมีเหตุผลอะไรบ้างก็แล้วแต่
ส่วนตัวผมแล้วอดเป็นห่วงแทนดวงจันทร์ไม่ได้
สัญชาติดิบอย่างหนึ่งของมนุษย์คือการทำลาย
ไม่ว่าจะทำอะไร ก็มักจะมีการทำลายเป็นองค์ประกอบด้วยไม่มากก็น้อย
สงครามโลกสองครั้ง อีกทั้งสงครามระหว่างประเทศในประเทศ...ชี้บอกชัดเจนว่ามนุษย์มีแนวโน้มแห่งการทำลายมากกว่าการสร้าง
และแม้แต่จะสร้างอะไร ก็ต้องทำลายบางอย่างเพื่อสร้าง...แทบทุกครั้งไป
หลังจากช่วยกันถลุงทรัพยากรของโลกใบนี้อย่างมันมือ แถมทำให้ระบบต่างๆ เสียความสมดุลย์แล้ว ก็พากันมองหาดาวดวงอื่น...เพื่อเป็นทางออก สนองตัณหาต่อไป
จิตใจคนเรานี่แปลก หากจะมีน้อยแล้วค่อยมีมากขึ้นก็พอทำได้ แต่หากมีมากแล้วต้องมีน้อยลงมักจะทำกันไม่ได้
ก็อย่างที่พูดๆ กัน “จมไม่ลง...”
ช่วงเศรษฐกิจไทยทรุด พิสูจน์ความจริงนี้ได้ชัดเจน
กว่าจะมารู้มาเห็นคุณค่าของสิ่งที่มี ก็มักเกือบสายไปเสมอ
แล้วก็ตาลีตาลานหาทางรักษาสิ่งที่เหลืออยู่...จนเลยควาพอดีไปก็มากต่อมาก
สัตว์บางชนิดกำลังสูญพันธุ์ ก็มีการรณรงค์อนุรักษ์ไว้ทุกวิถีทาง
ถึงขนาดทุ่มทุนเลี้ยงดูเอาใจใส่มัน ยิ่งกว่าแม่สัตว์เสียอีก
จนบางครั้งทำให้อดเปรียบเทียบไม่ได้
ทีสัตว์ใกล้จะสูญพันธ์ คนก็พากันให้ความทะนุถนอม แถมประชาสัมพันธ์กันเป็นข่าวเป็นคราวเสียใหญ่โต
แต่เด็กที่กำลังอดตาย ขาดความรัก ขาดความอบอุ่น ถูกทิ้งขว้าง...กลับไม่มีใครใยดี หรือประโคมข่าวให้รู้ ให้เห็น ให้ช่วย
ทีมีการกักขังสัตว์ป่าสัตว์สงวน ก็มีการจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับปรับโทษสถานหนัก
แต่เด็กที่ถูกกักขังใช้แรงงานเยี่ยงทาส...กลับไม่ค่อยได้สนใจ
ทีสัตว์ป่าถูกไล่ที่ไร้แหล่งอาศัยต้องเร่ร่อนหนีตาย คนก็พากันตั้งกองทุนจัดที่อยู่ให้พร้อมมาตรการดูแลรักษาเสร็จสรรพ
แต่เด็กเล็กเด็กโตที่ต้องหนีออกจากบ้าน เตร่เร่ร่อนอยู่ตามถนน...กลับไม่เห็นเป็นปัญหาต้องลงทุนลงแรงกันเลย
แม้จำนวนเด็กจะไม่ลดน้อยถอยลง แต่ความเป็นเด็กกำลังจะสูญพันธ์ไปต่อหน้าต่อตา...อย่างน่าเป็นห่วง
หากรู้จักเห็นคุณค่าสิ่งของ จะใช้จะสอย จู้จักใช้เผื่อเหลือเผื่อเกิน ก่อนที่มันจะหมดสิ้นไป ก็คงไม่ต้องมาเสียดาย มาทุกข์มาลำบากกันอย่างเดี๋ยวนี้
หากรู้จักเห็นคุณค่าของคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งของเด็กๆ รู้จักรักทะนุถนอมดูแลเอาใจใส่ให้มากกว่านี้ ก็คงไม่ต้องมากลัดกลุ้มปวดหัวกับปัญหาคนปัญหาเยาวชนอย่างที่เกิดขึ้นทุกวันนี้
มาเห็นคุณค่ากันเถอะครับ ก่อนที่จะไม่มีเหลือให้เห็น*
....................................................................
เด็กน้อยตัวโต
เด็กวัย 11 และ 13 ขวบก่อคดีอุกอาจสยองขวัญ
ตั้งป้อมยิงเพื่อนนักเรียนร่วมชั้นอย่างเลือดเย็น...เจาะจงเลือกเด็กหญิงทีละคน
ไม่ต่างกับการยิงฝูงสัตว์ที่กำลังแตกตื่น...จากจุดยิงที่ได้เปรียบทุกประตู
เด็กหญิง 4 คน และครูหญิงอีกคนหนึ่งตายเป็นเหยื่อสังหารโหดโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่
ที่บาดเจ็บนับได้เป็นสิบ
สาเหตุที่อยู่เบื้องหลังการกระทำครั้งนี้ แม้แต่คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว ยังไม่กล้าจะคิดด้วยซ้ำ
เพียงแค่ถูกเพื่อนหญิงตีตัวออกห่าง...จนทนไม่ได้
ทั้งๆ ที่เพื่อนพากันให้สติว่า เด็กผู้หญิงอื่นยังมีให้เลือกคบเลือกหากันอีกมาก
ที่จริงแล้ว ความรักความชอบวัยนี้ น่าจะเป็นแค่ความรู้สึกประดาเด็กๆ...ทำไปตามแฟชั่น เลียนแบบการกระทำของผู้ใหญ่เสียมากกว่า
ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงจัง ขนาดถึงเป็นถึงตายกันอย่างนี้
แต่สำหรับเด็กวัย 13 คนนี้ มันไม่เป็นเช่นนั้น
แกกลับจริงจังกับเรื่องอย่างนี้ ถึงขนาดทำใจไม่ได้...
แล้วก็ลงเอยทำเหมือนผู้ใหญ่ ด้วยความคิดแบบเด็กๆ
และนี่คือสิ่งที่น่ากลัวในตัวเด็กในตัวเยาวชนแห่งยุคของเรานี้
ลอกเลียนแบบการกระทำของผู้ใหญ่ ในขณะที่ยังนึกคิดตามประสาเด็ก
พฤติกรรมที่ออกมาจึงมักจะทำลายมากกว่าสร้างสรรค์
...เที่ยวเตร่เหมือนผู้ใหญ่ แต่ยังไม่สามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้วยตัวเอง
...ใช้จ่ายเหมือนผู้ใหญ่ แต่ยังไม่มีรายได้ ต้องแบมือขอตลอด
...คบหาแฟนเหมือนผู้ใหญ่ทำทุกอย่าง แต่ยังไม่คิดเลยไปถึงความรับผิดชอบ
...รักชอบกันเหมือนผู้ใหญ่ทำ แต่ยังไม่พ้นระดับความรู้สึก ไปถึงเหตุถึงผล
...มีเพศสัมพันธ์กันเหมือนผู้ใหญ่ แต่ยังไม่รู้ถึงศักดิ์ศรีและบทบาทอื่นๆ ของเพศมนุษย์อย่างแท้จริง
...เสพสารเสพติดทุกอย่างที่ผู้ใหญ่เสพ แต่ไม่คิดไกลไปกว่าความเพลิดเพลินเดี๋ยวนั้น เท่านั้น
...ใช้ความรุนแรงอย่างที่ผู้ใหญ่ทำ แต่ไม่ได้คิดถึงผลที่จะตามมา
หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งว่า ทำ ทุกอย่าง ที่ผู้ใหญ่ทำ แต่ไม่ได้ทำ อย่างที่ผู้ใหญ่ทำ...นั่นเอง
เด็กทุกวันนี้พัฒนาขึ้นมาก ทั้งด้านสรีระและด้านสติปัญญา
อาหารเสริมช่วยทำให้ร่างกายเติบโตเร็ว...จนเกินวัย
ร่างกายจึงเป็นผู้ใหญ่ ทั้งๆ ที่วัยวุฒิยังคงเป็นเด็ก
ในขณะที่สัญชาตญาณแห่งกายเรียกร้องไปตามธรรมชาติของมัน จิตใจกลับยังไม่พร้อม
เลยเกิดความขัดแย้งขึ้นภายใน...ค่อนข้างจะรุนแรง
จึงเกิดการสะดุดในขั้นตอนของการเติบโต ที่ส่งผลไปถึงพฤติกรรมแทบทุกอย่าง
สื่อสารมวลชนทำให้สติปัญญาของเด็กรับรู้ข้อมูลมากมาย... แม้แต่สิ่งที่วัยของเขายังไม่ควรจะรู้
ทั้งนี้และทั้งนั้น เนื่องจากทุกวันนี้แหล่งความรู้นั้นมีมากมายหลายรูปแบบ
สิ่งซึ่งสมัยก่อนต้องมีการเรียนรู้ สมัยนี้มีแต่คอยรับรู้อย่างเดียว...
การเรียนรู้คือกระบวนการของการสอน-การเรียน การให้-การรับ การฝึกฝน-การปฏิบัติ
มันจึงเป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไป...ตามความพร้อม ตามความเหมาะสม
เน้นทั้งความรู้ เน้นทั้งคนที่จะรู้...ควบคู่กันไป
ต่างกับการรับรู้ ที่เน้นให้ความรู้อย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงคนรู้...พร้อมหรือไม่พร้อม เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม
เด็กจึงต้องรับรู้หลายอย่าง โดยไม่มีการเรียนรู้
แล้วที่สุด แทนที่เรียนแล้วจึงรู้ เด็กมักจะรู้แล้วจึงค่อยเรียน...ทำก่อนแล้วค่อยมาเรียนรู้ว่าผิดหรือถูก ควรหรือไม่ควร ทำได้หรือทำไม่ได้...
บทเรียนที่ได้นั้น มักจะขมขื่น เจ็บปวดรวดร้าว สายเกินแก้ หมดอนาคต...
ก่อนนี้ ผู้ใหญ่มักจะปรารภกับเด็กบ่อยๆ ว่า “นี่ เมื่อไรจะโตสักที...”
เดี๋ยวนี้คงต้องพูดขอร้องว่า “โตช้ากว่านี้สักหน่อยได้ไหม?”...เสียแล้วแหละ*
....................................................................
แบบไทย ๆ
ทุกครั้งที่ทำอะไรแปลกๆ หรือผิดกฎผิดเกณฑ์กันไปบ้าง ก็มักจะพูดกันว่า “ทำแบบไทยๆ”
เป็นที่รู้กันว่า อย่าถือให้เป็นเรื่องเป็นราว หรือเอาผิดเอาถูกกันนัก เพราะนิสัยคนไทย อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ รู้จักรอมชอม อะลุ่มอล่วยกันได้
มันก็ดีในแง่หนึ่ง เพราะทำให้อยู่ด้วยกันไม่มากเรื่องแต่ก็เสียในแง่ของมาตรฐานความถูกผิด...ไม่เห็นชัดเจน อะไรที่ว่าถูก อะไรที่ว่าผิด
แค่ดูการโฆษณาเบียร์ยี่ห้อหนึ่ง...พูดถึงการดื่มเบียร์ชนิดนี้ของคนระดับต่างๆ ฟังแล้ว คนที่ยังไม่เคยดื่ม ก็อยากจะลองบ้างส่วนคนที่ดื่มอยู่แล้วก็รู้สึกมีระดับขึ้นมา
เพราะนี่คือกลยุทธ์ของการโฆษณา... ซึ่งทำให้เกิดความอยากจะมี อยากจะใช้ อยากจะบริโภค
และหากมี หากใช้ หากบริโภคอยู่แล้ว ก็ทำให้เกิดความมั่นใจ...อย่างน้อยๆ ก็มั่นใจได้ว่าไม่น้อยหน้าใคร
คนไทยเป็นกันอย่างนี้เสียด้วย ถือกันว่าของโฆษณาคือของดี ของมีคุณภาพ ของมีระดับ
ใครใช้ ใครใส่ ใครกินของที่กำลังโฆษณาอยู่ถือว่า ยอด..แล้วก็เที่ยวแข่งขันกันว่า ใครจะใช้ ใครจะใส่ ใครจะกินของที่เพิ่งจะโฆษณาได้ก่อนเพื่อน เป็นกันตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงผู้ใหญ่ ก็เลยดูหรือฟังการโฆษณาแต่ละครั้งแล้ว ให้รู้สึกว่าล้าหลัง ไม่ทันสมัย ไม่มีระดับ หลุดโลก...ไปโดยปริยาย
พูดถึงการโฆษณาเบียร์ดังกล่าวแล้ว ผมยังอดสะดุดใจไม่ได้ พูดชักชวนให้ดื่มเบียร์จนเห็นดีเห็นชอบแล้ว ก็มีคำเตือนนิ่มๆ ทำนองว่า แอลกอฮอล์ไม่ดีสำหรับการขับขี่พาหนะ แถมท้ายเพียงเพื่อไม่ให้ผิดกฎ
แต่คำชักชวนกับคำเตือนช่างต่างกันเหลือเกิน ทำนองเดียวกันกับการโฆษณาเครื่องดื่มมึนเมาชนิดอื่นๆ แล้วอย่างนี้ คำเตือนจะมีผลได้อย่างไร เพราะแม้ว่าจะเขียนเตือนกันจะจะข้างซองบุหรี่ แต่คนก็ยังสูบกันราวกับเป็นสิ่งให้คุณมากกว่าโทษ
นับประสาอะไรกับคำเตือนเบา ๆ ไม่เต็มปากเต็มคำ พอเป็นพิธีแบบนี้...
ก็เลยทำกันแบบไทยๆ อีกนั่นแหละ
และนี่คือวิถีแห่งความนึกคิดในการปฏิบัติตนโดยทั่วไปขับรถเร็วมันสะใจดี จะบาดเจ็บหัวร้างข้างแตกหรือตาย ค่อยคิดทีหลัง
คดโกงทำให้ได้เงินใช้ทันใจดี จะผิดแค่ไหนอย่างไร ค่อยว่ากันทีหลัง กินเหล้าให้เมามายหายอยาก จะเสียผู้เสียคนอย่างไร ค่อยว่ากันทีหลัง
เที่ยวกันให้หัวราน้ำก่อน จะเสียงานเสียการหรือไม่ ค่อยมาว่ากันทีหลัง มีเงินใช้ให้มันมือ จะมีเหลือมีเก็บมีออมหรือไม่ ค่อยว่ากันทีหลัง สนุกกันไว้ก่อน อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ค่อยว่ากันทีหลัง ผลาญให้เต็มที่ ขาดเหลืออย่างไร ค่อยว่ากันทีหลัง ทำไปก่อน ผิดถูกค่อยว่ากันทีหลัง...พอทำไปแล้ว ถ้าดี ถ้าถูก ถ้าไม่เสียหาย..ก็ถือว่าเรียบร้อยไปแต่ถ้าทำแล้วไม่ถูกต้อง ส่งผลเสีย..ก็ถือว่าโชคร้ายไป แล้วก็จะพูดเหมือนๆ กันว่า “ทำยังไงได้ ทำไปแล้ว…”
ทำนองว่า แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ก็คงต้องปล่อยเลยตามเลยคราวหน้าค่อยว่ากันใหม่...
“ว่ากันใหม่” ในที่นี้หมายถึงทำเหมือนเดิมนั่นแหละ ก็เลยพูดแบบไทย ๆ...อย่างที่ทำแบบไทยๆ นั่นเองเป็นไทยนะดี แต่พูดแบบไทย ๆ ทำแบบไทย ๆ...คงจะไม่ดีเป็นแน่
....................................................................
เด็กเอ๋ยเด็กน้อย
เริ่มปีการศึกษาทีก็วุ่นวายแทบทุกระดับ ผู้ปกครองต้องหนักใจจัดหาทุกอย่างที่จำเป็นให้ลูกให้หลาน หนักเข้าชักหน้าไม่ถึงหลังก็ต้องหันเข้าพึ่งโรงจำนำ...อย่างที่เป็นข่าว
ที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้วก็ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่...จนเหลือทน แต่ผู้ที่วุ่นวายกว่าใครก็คือตัวนักเรียนเอง สำหรับนักเรียนที่ไปโรงเรียนเป็นครั้งแรก การต้องจากบ้าน จากพ่อแม่...เป็นเรื่องของการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่
ต้องจากบ้านอันอบอุ่นและคุ้นเคย ไปในที่ใหม่แม้จะใหญ่โต เต็มไปด้วยเนื้อที่... แต่น่ากลัว ต้องจากแวดวงของคนรู้จักมักคุ้นไม่กี่คน ไปเจอกับคนมากหน้าหลายตา...ชวนให้หงอยเหงา
ต้องจากครรลองชีวิตที่อิสระ จะทำอะไร เมื่อไรก็ได้ตามใจชอบไปพบกับตารางเวลา กิจกรรมที่ไม่ชอบ โดยมีเสียงระฆังคอยควบคุมเฉียบขาด พร้อมกับเสียงครูดังโหวกเหวกสั่งโน่น กำชับนี่...ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะร้องไห้ประท้วง
สำหรับนักเรียนคุ้นเคยกับโรงเรียนเป็นอย่างดี ก็ยังไม่วายจะเกิดความขัดแย้งลึก ๆ ระหว่างช่วงเวลาปิดเรียน ที่มากด้วยความสนุกสนามเพลิดเพลิน กับการเรียนที่น่าเบื่อหน่าย จำเจ
กระนั้นก็เถอะ แม้จะวุ่นวายไม่น้อย แต่ผู้ปกครองหลายท่านถอยหายใจด้วยความโล่งอก
ไม่ต้องมานั่งเป็นห่วงดูแลลูกหลานให้เหน็ดเหนื่อย โดยเฉพาะผู้ปกครองที่ต้องทำงาน... ลูกหลานหยุดเรียน แต่ตนไม่หยุดงาน
แล้วใครจะคอยดูแล...ลูกหลานจะทำอะไรทั้งวัน...ไปไหนมาไหนกันบ้าง... ยิ่งในสังคมเมืองด้วยแล้ว ค่อยหายใจโล่งขึ้นเป็นกอง หลานให้โรงเรียนรับไปเสร็จสรรพ
โรงเรียนแทนที่จะมีแค่บทบาทเสริม กลับกลายเป็นหลักแทนบทบาทของพ่อแม่โดยสิ้นเชิง
ลูกหลานไม่ดีก็เที่ยวโทษโรงเรียน โทษครูบาอาจารย์ ไม่ยอมเข้าใจว่า ลูกหลานจะดีหรือเลว ขึ้นอยู่กับท่าทีของผู้ปกครองเป็นสำคัญ
นับตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิในครรภ์แม่ ไปจนถึงวัยเข้าเรียนนั้นเป็นช่วงเวลายาวเกินพอที่จะชี้ขาดนิสัยใจคอของคนแต่ละคน
เด็กสามารถรับรู้อะไรต่อมิอะไร ได้ก่อนที่จะถือกำเนิดมาด้วยซ้ำ เด็กรับรู้แม้กระทั่งว่า แม่รักหรือเกลียดแก แม่อยากได้แกหรือไม่อยากได้ แม่อยากจะทำลายแก หรือจะให้เกิด... ถ้าจะรอถึงวัยเข้าเรียน ก็แทบจะสายเกินแก้เสียแล้ว
สายการบินแห่งหนึ่ง โฆษณาบริการของบริษัทโดยใช้ประโยคสั้น ๆ ว่า “เป็นธรรมชาติของเด็กๆ ที่จะเดินไปโรงเรียน แต่วิ่งกลับบ้าน”
พร้อมกับรูปเด็กในชุดนักเรียนสะพายเป้หนังสือกำลังวิ่งกลับบ้าน
และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
เด็กเลือกอยู่บ้านมากกว่าอยู่โรงเรียน
เด็กชอบอยู่กับพี่ ๆ น้อง ๆ มากกว่าอยู่กับเพื่อนๆ
เด็กอยากอยู่ในครอบครัวมากกว่าในสถาบัน
เพราะนั่นคือธรรมชาติแห่งวัย
แต่คงจะเป็นอะไรที่ผิดปกติ ถ้าเด็กเดินไปโรงเรียน และเดินกลับบ้าน
ไม่อยากอยู่บ้าน ไม่อยากอยู่โรงเรียน... อย่างที่พบเห็นกันมากขึ้นทุกวันนี้
และปัญหาอื่น ๆ ที่ตามมา ก็มักจะเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ จุดนี้
....................................................................
ฝันร้ายที่เป็นจริง
ทุกวันนี้มีข่าวเด็กถูกกระทำย่ำยีโดยคนใกล้ชิดอยู่บ่อยครั้ง
ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าอ่านน่าติดตาม ทว่าเป็นน่าสงสาร น่าเป็นห่วง น่าวิตก น่ากังวล
มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่ไร้จิตสำนึก หาทางออกกับเด็กๆ ที่ไร้เดียงสา
แล้วหาความสุขความสนุกกับความทุกข์ทรมานของเด็ก อย่างไร้ความอาย อย่างไร้จิตใจ
ทั้งๆ ที่เพียงแค่ความเป็นผู้ใหญ่ ก็น่าจะให้ความรักความเอ็นดูต่อเด็ก
และยิ่งมีความเป็นพ่อเป็นน้าเป็นอา ก็น่าจะดูแลปกป้องทะนุถนอมเด็กสุดชีวิต
แต่นี่กลับใช้ความเป็นผู้ใหญ่ ใช้ความเป็นพ่อเป็นน้าเป็นอา เพื่อย่ำยี ทำลาย เด็กอย่างไร้มนุษยธรรม
ยิ่งกว่าสัญชาตญาณแห่งความเป็นสัตว์เดรัจฉานเสียอีก
มันเป็นอะไรที่ชี้บอกเหตุร้ายที่เป็นผลพวงของสังคมทุกวันนี้
มีบางอย่างของความเป็นมนุษย์กำลังจะสูญสิ้นไป
ก่อนนี้ความเกี่ยวดองในครอบครัวเป็นคุณค่าพึงยกย่องส่งเสริมเสมอ
สายเลือดเดียวกันนั้นเข้มข้น เหนียวแน่น จนยากจะจืดจาง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
แม้แต่ใครบางคนในสายเลือดที่มีความเป็น “แกะดำ” ผิดเหล่าผิดกอ แต่ไม่มีการตัดขาด ตัดเยื่อใย
ตรงข้าม กลับได้รับความสนใจ ความเอาใจใส่ การประคบประหงม...ไว้ด้วยความหวงแหน และทุกวิธีการ
หากแม้นจะหมดความพากเพียร ความพยายาม และต้องปล่อยไป
แต่ยังคงยึดมั่นในสายเลือดไว้อย่างคงเส้นคงวา และเฝ้าคอยด้วยความหวัง
แม้จะขาดการไปหามาสู่ แต่ก็ติดตามขาวสารความเป็นไปไม่ได้ขาด
แม้จะขาดการติดต่อสื่อสารด้วยคำพูดคำจา แต่ใจนั้นสื่อหาไม่รู้จบ
เพียงแค่รู้ว่าตกระกำลำบาก ก็จะรีบเข้าอุ้มชู
เพียงแค่รู้ว่าถูกสายเลือดอื่นทำร้ายรังแก ก็จะรีบเข้าปกป้องร่วมต่อสู้
ใครจะไปรู้ สักวันอาจจะสำนึกผิด รู้อะไรเป็นอะไร...แล้วคงจะคืนกลับมาร่วมสายเลือดอันเข้มข้นต่อ...เหมือนเดิม
เพราะลูกก็คือลูก หลานก็คือหลาน ญาติก็คือญาติ
แต่แล้วทุกวันนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไป
มีแต่เลือด แต่ไม่มีสาย มีแต่ลูก แต่ไม่มีความเป็นลูก มีแต่ญาติ แต่ไม่มีความเป็นญาติ
พ่อแม่หลายคน มีความเป็นพ่อแม่ในแง่ให้กำเนิดลูก แต่ไม่มีความเป็นพ่อเป็นแม่สำหรับลูก
พี่ป้าน้าอาหลายคน มีแค่ความเป็นดอง แต่ไม่มีความเป็นพี่เป็นป้าเป็นน้าเป็นอา
และถ้าปฏิบัติต่อลูกหลานเหมือนปฏิบัติต่อเด็กอื่นๆ ก็ยังดี
แต่นี่ถือว่าเป็นลูกเป็นหลาน เลยทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องคิดมาก
ราวกับว่าเป็นสมบัติส่วนตัว มีสิทธิจะใช้ทำอะไรก็ไม่ผิด
ในความเป็นจริงแล้ว เด็กน่าจะรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเมื่อมีพ่อแม่พี่ป้าน้าอาอยู่ข้างกาย
แต่สำหรับเด็กหลายคน กลับเป็นฝันร้าย ที่เป็นจริง ให้ต้องหวาดกลัว หวั่นวิตก...เจ็บปวดรวดร้าว
จนกระทั่งหากเลือกเกิดใหม่ได้ คงจะไม่อยากจะมีพ่อมีแม่มีพี่มีป้ามีน้ามีอา... เสียเลยจะดี
กว่า
เราท่านคงจะต้องตอบคำถามนี้ด้วยกันเสียแล้วล่ะ
“มันเกิดอะไรขึ้น สังคมจึงได้เป็นกันอย่างนี้?”
“จะต้องมีเด็กไร้เดียงสาอีกกี่คน ที่จะต้องถูกสังเวยสำหรับสิ่งที่กำลังเกิดอยู่นี้?”
“จะอยู่กันเฉยๆ แค่ติดตามอ่านข่าวเรื่องราวบัดสีที่เกิดขึ้นในแต่ละวันต่อไปอย่างนี้หรือ?”
คนดีแท้ในสังคม คงจะปล่อยเลยตามเลยไม่ได้เด็ดขาด*
....................................................................
ตั้งใจ
“กว่าจะได้ลูกชายคนแรก...เราพยายามกันทุกอย่าง”
ประโยคแรกที่คุณแม่พูดถึงลูกชายวัยกำลังน่ารัก สีหน้าอิ่มเอิบด้วยความสุขสมหวัง ความภาคภูมิใจ
ในเมื่อตั้งใจกับสามีตั้งแต่แรกแต่งงานว่าจะมีลูก
แต่แล้วดูเหมือนสวรรค์จะไม่เป็นใจ วันเวลาผ่านไป ความหวังก็เลือนลางลงไปทุกขณะ
“เราได้แต่อธิษฐาน หากเด็กคนใดที่ร่วมบุญกันมา ก็ขอให้เขามาเกิด...เรายินดีให้การเลี้ยงดูให้ดีที่สุด...”แม่เล่าถึงความปรารถนาที่กลับกลายเป็นคำอธิษฐานในที่ศักดิ์สิทธิ์ทุกแห่งที่ไป
ตอนแรกก็รอให้ทุกอย่างดำเนินไปตามครรลองของธรรมชาติ
แต่ด้วยความอยากที่มีลูก จึงต้องไปปรึกษาแพทย์
“ที่สุด ความฝันของเราก็เป็นความจริง... เราได้ลูกชายน่าตาน่ารัก... ใครๆ ก็เห่ออย่างออกหน้าออกตา” แม่บรรยายถึงความสุขยามแรกเห็นหน้าตาลูกน้อย
เฉพาะคนที่มีความเป็นพ่อเป็นแม่เท่านั้นที่รู้และเข้าใจความรู้สึกดังกล่าว
“เนื่องจากเรามีความตั้งใจกันเหลือเกินที่จะมีลูกคนนี้ เราจึงตั้งชื่อเล่นเขาว่า “ตั้งใจ”...อยากจะบอกเขาว่า เราตั้งใจให้เขาเกิดมา ตั้งใจมีเขเป็นลูก ตั้งใจจะให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่เขา...” แม่ชี้แจงถึงที่มาของชื่อลูกชายคนแรก
“ส่วนลูกชายคนที่สองนี่ เขามาค่อนข้างง่าย แต่เราเต็มใจที่เขามา...เลยตั้งชื่อเล่นลูกคนที่สองว่า “เต็มใจ”...อยากจะย้ำบอกเขาว่า เราเต็มใจที่เขาเกิดมาเป็นลูกเรา เต็มใจให้การเลี้ยงดู เต็มใจจะให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่เขา...” แม่อธิบายอย่างมีเหตุมีผล แฝงไว้ซึ่งความตั้งใจเด็ดเดี่ยว
ใครฟังเรื่องราวของเด็กน้อยผู้โชคดีทั้งสองแล้ว คงอดชื่นชอบไม่ได้
แล้วก็คงจะพูดว่าเป็นวาสนาของเด็ก
แต่ผมว่าเป(นความตั้งใจและเต็มใจของพ่อแม่มากกว่า
แล้วก็อดคิดถึงเด็กอีกหลายคนไม่ได้
ที่เกิดมาเพราะความผิดพลาดเพลี่ยงพล้ำของพ่อแม่
ที่เกิดมาเพราะความบังเอิญ
ที่เกิดมาเพราะความมึนเมาของพ่อ ความใจง่ายของแม่
ที่เกิดมาเพราะตัณหาของพ่อแม่เพียงแค่ชั่วแล่น
ที่เกิดมาเพระความกักขฬะของผู้ชายบางคนที่เอาได้แต่ ข่มเหงน้ำใจและย่ำยีศักดิ์ศรีของผู้หญิงอย่างไม่ใยดี
ที่เกิดมาเพราะสถานการณ์บีบบังคับ...
ในเมื่อไม่ “ตั้งใจ” จะให้เกิดมา ก็ไม่ “เต็มใจ” จะเลี้ยงดู ให้ความรักความเอาใจใส่
ให้ลูกได้ทุกอย่าง เว้นแต่ความรักและความอบอุ่น
ลูกร้องขออะไรให้ได้หมด เว้นแต่เวลาที่จะอยู่ใกล้ชิด
ให้การศึกษาได้ทุกระดับ ยกเว้นการสั่งสอนอบรมจิตใจ
ให้การเลี้ยงดูให้ร่างกายสมบูรณ์พูนสุข แต่ไม่คิดจะคำนึงถึงความเหงาและความว้าเหว่ที่ลูกต้องเติบโตมากับมือคนใช้
ให้ที่อยู่ที่พักอาศัยใหญ่โตหรูหรา แต่ไม่ยอมให้ลูกอยู่พักในดวงใจบ้างเลย
หรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง ให้ได้ทุกอย่าง ยกเว้นให้ความสำคัญแก่ลูก
สังคมจึงเต็มด้วยเด็กและวัยรุ่นที่ดูเหมือนจะมีทุกสิ่งทุกอย่างแต่ยังขาดอะไรบางอย่างอยู่
พฤติกรรมที่แสดงออกแต่ละอย่างเป็นตัวชี้บอกในเรื่องนี้ได้ดี
การต้องออกจากบ้านทุกครั้งที่มีโอกาส
การต้องไปมั่วสุมกับเพื่อนทั้งวันทั้งคืน
การหมกมุ่นกับเรื่องเพศ เรื่องยาเสพติด อบายมุข
การเที่ยวเตร่อย่างไร้จุดหมาย
การใช้ความรุนแรงเกินเหตุ...
ในเมื่อมาจากครอบครัวที่พ่อแม่ไม่ตั้งใจและเต็มใจให้การเลี้ยงดูเอาใจใส่ ให้ความรัก ความอบอุ่น
ต่อไปพวกเขาก็จะสร้างครอบครัวที่ไม่ตั้งใจและไม่เต็มใจเหมือนกัน
สถาบันครอบครัวก็คงเปราะบางมากขึ้น อย่างเลี่ยงไม่ได้*
....................................................................
น้ำหวาน
คนพูดกันว่า สุนัขเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ของมนุษย์
ไว้เป็นเพื่อนยามเหงา ไว้เฝ้าบ้าน ไว้หาทาง ไว้ต้อนฝูงสัตว์ ไว้ป้องกันตัว...
ยิ่งในบริบทของสังคมทุกวันนี้แล้ว สุนัขกลายเป็นแทบทุกอย่าง
ถึงขนาดหลายคนพูดคุยกับมันเหมือนรู้เรื่อง อีกหลายคนก็เรียกลูกทุกคำ
ถึงไม่เรียก ส่วนใหญ่ก็ให้ความเอ็นดู
ไม่ต้องพูดถึงคนที่เลือกเลี้ยงสุนัขบางพันธุ์ ซึ่งต้องให้การดูแลเลี้ยงดูอย่างดี...ดีกว่าเลี้ยงดูคนเสียอีก
ไม่ว่าที่พัก อาหาร การดูแลความสะอาด...
เพียงแค่เดินเล่นในห้างสรรพสินค้า ก็จะเห็นแผนกอาหารสุนัข อาหารแมว...ยาวเหยียดไม่แพ้อาหารคน
พร้อมอุปกรณ์ตบแต่ง เลี้ยงดู ร้อยแปด...จนอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้
ต่างกับที่บ้านน้องสาวผม
รักเอ็นดูใช่ แต่เลี้ยงแบบติดดิน
ฝึกให้กินอาหารที่เหลือ...เศษเนื้อ เศษกระดูก
แถมก่อนจะได้กิน ยังต้องนั่งทับหาง ยกขาหน้าทำท่าทักทายคนเลี้ยง จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของพีธีการเลี้ยงแต่ละมื้อ
จนกระทั่งวันนั้น สุนัขตัวน้อย สีน้ำตาลไหม้ ที่เพื่อนแบ่งให้เลี้ยงเข้ามาในบ้าน
ระบบการเลี้ยงดูต้องเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
แม้จะตัวเล็กน่ารักน่าชัง แต่หน่วยก้านกำยำ บอกถึงเผ่าพันธุ์ที่มา
และที่สำคัญ ใบหน้าที่ย่นตั้งแต่หัวลงมาถึงปากประกาศศักดาว่าดุแน่นอน
มองด้านไหนก็ไม่ชวนให้เจริญตาเสียเลย เพราะท่าทีไม่รับแขกหน้าไหนทั้งนั้น
บางคนชอบเลี้ยงสุนัขดุ แต่บ้านนี้ไม่ เพราะแขกเหรื่อไปมาแทบหัวกระไดไม่แห้ง
ไหนจะญาติพี่น้อง ไหนจะเพื่อนลูกเพื่อนพ่อเพื่อนแม่ ไหนจะคนรู้จัก...
ที่สุด ก็ลงมติเป็นเอกฉันท์...ถ้าพันธุ์มันดุ ก็ตั้งชื่อมันให้ดูเชื่อง
มันเป็นเคล็ดที่คนโบราณท่านถือกันมา
“น้ำหวาน” คือชื่อที่ดูดีที่สุด หลังจากปรึกษาหารือกันเป็นนาน
แม้ชื่อจะขัดกับใบหน้าของมันอย่างน่าเกลียด แต่ก็ดูได้ผล
มันคงจะไม่เข้าใจความหมายของชื่อ แต่อย่างน้อยสุ้มเสียงคนที่เรียกนิ่มนวล ส่อความเป็นมิตร
แค่นั้นทั้งโคนหางเล็กน้อยที่เหลือกับก้นของมันก็กระดิกไม่หยุดแล้ว
ถึงแม้ใบหน้าของมันจะไม่มีทีท่าเป็นมิตร แต่ทั้งเนื้อตัวออกอาหารอย่างเห็นได้ชัด
บางคนที่พบเห็นมันถึงกับพูดเป็นเชิงต่อว่า “อย่างนี้ก็เสียหมาหมด…”
แต่ก็ดีกว่าเสียคน
โดยเฉพาะคนที่มีชื่อและนามสกุลออกดี แต่พฤติกรรมนั้นตรงกันข้ามอย่างน่าเกลียด
อย่างที่เป็นข่าวให้สยดสยองเมื่อไม่กี่ปีมานี้
เด็กหนุ่มสามคน ข่มขืนและฆ่าสาวใหญ่...การกระทำที่ขัดกับชื่อนามสกุลโดยสิ้นเชิง
นายสมชาย ใจดี นายสมเกียรติ อ่อนน้อม และนายสุทิน ใจเย็น...
อย่าว่าแต่ชื่อและนามสกุลเลย แม้แต่คำว่า “คน” หรือ “มนุษย์” ก็น่าจะบ่งบอกอะไรที่แตกต่างจากสัตว์เดรัจฉานแล้ว
น่าเสียดายหลาย “คน” แทบจะไม่มีอะไรเหลือ นอกจากชื่อ
จนคนที่พบเห็นพฤติกรรมต้องเปลี่ยนไปเรียกเป็น “สัตว์” แทน
ไม่ว่าจะเป็น เสือ สิงห์ กระทิง แรด หรืออื่นๆ มากชนิด อย่างได้ยินได้ฟังกันบ่อยๆ
อดถามไม่ได้ว่า ขนาดเจ้า “น้ำหวาน” ยังมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปตามชื่อที่ตั้งให้
แต่ทำไมคนหลายคนกลับไม่เป็นเช่นนั้นบ้าง?*
....................................................................
แฝดคนละฝา
อายุท่านย่างเข้าปีที่ 89 แล้ว หกสิบกว่าปีที่ใช้ชีวิตในเมืองไทยทุ่มเท เลือดเนื้อ กายใจ เรี่ยวแรง ความสามารถ... เพื่อผืนแผ่นดินที่ไม่ใช่ของท่านแต่กำเนิด จนหมดสิ้น
ทุกวันนี้ เรี่ยวแรงที่เหลือเล็กน้อยก็ใช้ไปส่วนใหญ่กับการเดินจากห้องพักไปวัด จากวัดกลับห้องพักสวดภาวนาให้ทุกคน
ก่อนนี้ความจำยังสดใส ก็จะสวดให้เป็นรายบุคคล พร้อมกับเอ่ยชื่อกำกับ เดี๋ยวนี้ความจำเสื่อมถอย ก็จะเหมาะเป็นจังหวัด...เพื่อน คนรู้จัก และคนที่ต้องการทำคำภาวนา...เริ่มจากทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือไปจบที่จังหวัดใต้สุดสยาม
บางครั้งก็ท้อแท้กับสังขาร รำคาญตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้เหมือนก่อน ให้รู้สึกว่าชีวิตไร้ค่า แล้วก็บ่นอยากจะตายให้มันรู้แล้วรู้รอด
แต่พอมีคนให้สติว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่นั้น มีค่ามหาศาล
เพราะคนเรามีค่ามากที่สุดก็ตอนสวดนี่แหละ... นอกจากคุณค่าในความสามารถที่ตนมีแล้ว ยังมีฤทธิ์ของพระเจ้าเสริมเติมให้อีก...เรียกได้ว่ามีค่าเกินตัว
ก็เกิดมีกำลังใจขึ้นอีกครั้ง
สายตาที่ฝ้าฟาง และหูที่เสื่อมต่อการรับฟัง ดูจะเป็นสองอย่างที่สร้างความทรมานให้มากกว่าหมด
ทำให้เกิดความรู้สึกว่าถูกตัดออกจากโลกมนุษย์ไปโดยปริยาย...มองแต่ไม่เห็น ฟังแต่ไม่ได้ยิน
ตาที่มองเห็นไม่เกินปลายจมูก ทำให้การเดินเหินเป็นไปด้วยความหวาดกลัว
ยิ่งหากเป็นเส้นทางใหม่ด้วยแล้ว ขาทั้งสองทำท่าจะก้าวไม่ออกเอาดื้อๆ
“ฉันมองไม่เห็น...ไปไม่ได้” ท่านจะพูดเสียงหลง มือเท้าสั่นระริก “แต่ผมมองเห็นนี่นา...” ผมยืนยันให้ความมั่นใจ “เออ ใช่นะ...งั้นไปกันเถอะ” ท่านยิ้มเหมือนกับเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้
ชีวิตคนเราหากมีคำพูดทำนองนี้ให้ได้ยินกันบ้าง ก็คงไม่ลำบากจนน่ากลัวอย่างที่พบเห็นกันทุกวันนี้
มองเผินๆ คนเราดูเหมือนจะไม่ต้องการใครก็มีชีวิตอยู่ได้แต่ลึกๆแล้ว เราต้องการทุกคน ไม่มากก็น้อย ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง
เพราะชีวิตของเราจะไม่ครบสมบูรณ์ หากไม่มีคนอื่น
แม้ยามสุข มีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เรายังต้องการใครสักคนที่มารับรู้ว่าเรามีสุข แม้ยามเรามีความสามารถ จับอะไรเป็นสำเร็จไปทุกอย่าง เราก็ยังต้องการใครสักคนมารับรู้ถึงความสามารถและความสำเร็จของเรา
แม้เมื่อเราสวยงามหมดจดไปทั้งตัว เราก็ยังต้องการใครสักคนที่เชยชมชื่นชอบความงดงามนั้น
ไม่ต้องพูดถึงยามที่เราทุกข์ ยามที่เราเจ็บป่วย ยามที่เราล้มเหลว ยามที่เรามีปัญหา...เราต้องการ.. ต้องการมากกว่าใครหนึ่งคนเจ็บป่วย ท้อแท้ สิ้นหวัง... จะกลับมีความมั่นใจขึ้นมาใหม่
“คุณทุกข์ แต่ฉันมีสุข ฉันร่วมทุกข์และหาทางฉุดคุณออกจากความทุกข์นั้นได้...”
“คุณป่วย แต่ฉันสบายดี ฉันช่วยคุณได้...”
“คุณล้มเหลว แต่ฉันทำสำเร็จ ฉันช่วยคุณให้สำเร็จได้..”
“คุณท้อแท้ แต่ฉันหนักแน่น ฉันเป็นกำลังใจให้คุณได้...”
“คุณมืดแปดด้าน แต่ฉันยังมีทาง คุณพึ่งฉันได้...”
“คุณอ่อนแอ แต่ฉันเข้มแข็ง คุณยึดเหนี่ยวฉันได้...”
“คุณด้อยโอกาส แต่ฉันมี คุณมีทางไปแน่นอน...”
“คุณขาดประสบการณ์ ฉันสั่งสมมาทั้งชีวิต ไต่ถามฉันได้...”
และอื่นๆ ทำนองนี้ ถ้าคนมีสำนึกกันว่า แต่ละคนที่เกิดมาในโลกนี้ แม้ต่างพ่อต่างแม่ ต่างก็เป็นฝาแฝดของกันและกัน เพราะสิ่งที่ฉันไม่มีคุณมี สิ่งที่คุณไม่เป็นฉันเป็น
เสริมเติมแต่งกันอย่างนี้แล้ว ใครยังจะขัดสนอะไรอีก? ว่าแต่ว่าจะสำนึกกันอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่าเท่านั้นเอง
ฆ่าพระเจ้า?
ทุกวันนี้ แม้มนุษย์จะพัฒนาตนเองจนเลิศในทุกด้าน แต่ก็ดูจะมีความหวาดกลัวอยู่ลึก ๆ กลัวจะมีคู่แข่ง ซึ่งจะมาทำให้มนุษย์ต้องด้อยไป... ด้อยกว่าที่คาดคิดไว้
ทุกอย่างที่ดูเหมือนจะข่มขู่คุกคามความยิ่งใหญ่ของมนุษย์ เขาจะถือว่าเป็นศัตรูร้ายที่ต้องขจัดให้สิ้นซาก เพื่อคงไว้ซึ่งความยิ่งใหญ่ต่อไปอย่างมั่นใจ
และหากทำลายให้สูญสิ้นไปไม่ได้ มนุษย์ก็ทำเหมือนกับสิ่งนั้นไม่มีตัวตนอยู่
ปฏิเสธไม่ได้ ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่สนใจ... คนขี้เหร่ ก็ทำเหมือนกับคนสวนคนหล่อไม่มีในสังคม
คนโง่ ก็ทำเหมือนกับว่าในโลกนี้ไม่มีคนฉลาด คนอ่อนแอ ก็ทำเป็นไม่สนใจว่ามีคนแข็งแรงกว่าอยู่รอบข้างคนจน ก็ทำเหมือนกับว่าไม่มีใครรวยกว่าใคร
ทำกับคนด้วยกันยังไม่พอ ทำแม้กระทั่งกับพระเจ้าด้วยถึงขนาดออกมาประกาศกันเป็นเรื่องเป็นราวว่าพระเจ้าตายไปแล้ว
ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า พระเจ้าทรงตายไม่ได้ แต่ก็ประกาศให้ตัวเองรับรู้ว่าพระเจ้าทรงตายไปแล้วสำหรับตนเอง
เพื่อจะทรงไว้ซึ่งความยิ่งใหญ่ของตน และทำอะไรตามใจชอบโดยไม่ต้องเกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น
สำหรับหลายคน การยอมรับว่ามีพระเจ้าจึงเป็นความอึดอัด เหมือนคนชั่วหากยอมรับในความดี ก็ต้องรู้สึกถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในใจ.. ระหว่างความดีและความชั่ว ความถูกต้องและความผิดเพราะเหตุนี้เอง หลายคนจึงไม่สนใจศาสนาและไม่คิดจะสนใจ...เพียงเพื่อความสบายใจไม่ต้องอึดอัด
นอกจากนี้แล้ว ยังมีคนที่สนใจศาสนา นับถือกราบไหว้พระเจ้ายอมรับว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริง..
แต่กระทำไปในระดับของผลประโยชน์
ความเลื่อมใสศรัทธาในพระเจ้าก็มีอยู่เพียงแค่ในความรู้สึกอบอุ่น มั่นใจ ปลอดภัย ไร้กังวล
เพราะแน่ใจว่ามีพระเจ้าเป็นผู้ทรงช่วยสนองความต้องการต่างๆให้
การปฏิบัติศาสนกิจจึงอยู่แค่ความพยายามเอาอกเอาใจพระเจ้าเพื่อจะได้รับพระคุณต่างๆ ที่ต้องการเป็นการตอบแทน
ความสัมพันธ์กับพระเจ้าจึงอยู่แค่นั้นจริงๆ
ยามอยู่ดีมีสุข ก็ไม่คิดถึงพระเจ้า
แต่พอตกทุกข์มีเรื่องเดือดร้อน ก็จะหมั่นเพียรไปวัดไปวา เรียกหาพระเจ้าอย่างไม่หยุดหย่อนทำได้ทุกอย่าง ตั้งแต่จุดธูปเทียน ถวายดอกไม้ ทำนพวารหลายรอบหลายตลบ ไปจนถึงการบนบานจาริกแสวงบุญ
เพียงเพื่อดึงพระเจ้ามาทรงช่วยขจัดปัดเป่าความทุกข์ความเดือดร้อนให้หมดสิ้นไป
คนพรรค์นี้จึงไม่ลังเลที่จะบนบานศาลกล่าวขอพรพระเจ้าให้ทำกิจการชั่ว งานทุจริตบางอย่างสำเร็จ
เอาผลประโยชน์จากพระเจ้ายังไม่พอ ยังดึงพระองค์ลงมาให้มัวหมองอีกต่างหาก
พอได้รับพระคุณแล้วก็ลืมพระเจ้า จนกว่าจะมีความต้องการใหม่
ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว การนับถือพระเจ้าคือกราบไหว้พระองค์ในความดีและความถูกต้อง เพื่อให้จิตใจผู้กราบไหว้ได้ซึมซับความดีและความถูกต้องของพระองค์
จนกระทั่งว่าชีวิตเขาดำเนินไปด้วยความดีและความถูกต้องของพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา และความไม่ดีไม่ถูกต้องในตัวค่อย ๆ หมดสิ้นไป
ตราบใดที่คนมองดูพระเจ้าเป็นคู่แข่ง หรือเป็นแค่ผลประโยชน์พระเจ้าก็คงต้องตายไปจริงๆ
พวกแรกพระองค์ตายเพราะพวกเขาไม่ยอมให้ตนเองมีชีวิตตามแบบอย่างของพระเจ้า
ทั้ง ๆ ที่พระเจ้าไม่มีวันตาย นอกจากคนจะพยายามฆ่าพระองค์...ในตัวเขาเอง
....................................................................
เหยื่อปลอม
นานแล้วที่ผมไม่ได้จับคันเบ็ด แม้จะชอบเป็นชีวิตจิตใจ แต่ไม่ค่อยจะมีโอกาสได้ไปตกปลาตามใจปรารถนา
สำหรับผม มันเป็นช่วงเวลาผ่อนคลายมากกว่าจะเป็นการเอาเป็นเอาตาย ต่างกับที่เพื่อนๆ ผมเขาทำกัน จะเป็นการเอาเป็นเอาตาย ต่างกับที่เพื่อน ๆ ผมเขาทำกัน จะไปตกปลาในแต่ละที ก็ต้องจับปลามาให้ได้
ตั้งเป้าไว้เป็นมั่นเหมาะตั้งแต่เตรียมคันเบ็ดเตรียมเบ็ด เตรียมเหยื่อ... พอเริ่มตกปลา ก็เริ่มเครียด... จะมีปลาหรือไม่มี ปลาจะกินเหยื่อหรือไม่กิน จะได้หรือไม่ได้ แล้วก็เริ่มหงุดหงิดเมื่อทุกอย่างเงียบเชียบลนลานย้ายที่ไปเรื่อย ๆ ปากก็บ่นว่าปลาบ้างดินฟ้าอากาศบ้าง โชคชะตาบ้าง...
แล้วก็เปลี่ยนเหยื่อปลอมหลากชนิด ตั้งเป้าหมาย... จะเอาปลามาให้ได้ด้วยทุกวิธีการ ถ้าได้ก็ถือเป็นชัยชนะ ถ้าอดก็เป็นความผิดหวัง ความล้มเหลว...และแล้ว แทนที่จะเป็นการไปพักผ่อน กลับต้องเครียดกลับมา
ความสุขของผมนั้น เริ่มตั้งแต่เอาเหยื่อใส่เบ็ด... ไส้เดือนถ้าขุดได้ หรือไม่ก็เศษเนื้อหมูเฉือนเป็นชิ้นเล็กๆ มีตังค์หน่อยก็กุ้งฝอย
แล้วก็หย่อนเบ็ดลงน้ำ นั่งมองดูทุ่นที่ลอยเอื่อยเฉื่อยอยู่บนผิวน้ำที่สงบนิ่ง มันให้ความรู้สึกเหมือนกับได้สัมผัสกับความสดชื่นของสายน้ำโดยมีสายเบ็ดเป็นตัวเชื่อมโยง
จิตใจเริ่มสงบนิ่ง ในขณะที่ความนึกคิดล่องลอยไปอย่างไร้พรมแดน จะหยุดชะงักครู่เมื่อทุ่นเริ่มขยับเขยื้อน มีการกระตุกจากใต้คันเบ็ดรวดเร็วและเด็ดเดี่ยว
ความเริงร่าแฝงออกมาทางรอยยิ้มกริ่ม ขณะที่ปลาพยายามแหวกว่ายหนีด้วยความตกใจ ลากสายเบ็ดให้ไกลออกไป
เย่อกันไปเย่อกันมา ระหว่างพรานเบ็ดสมัครเล่นกับเหยื่อวารีตัวน้อยแล้วทุกอย่างก็สงบเงียบอีกครั้ง เมื่อผมหย่อนเบ็ดพร้อมเหยื่อลงไปใหม่ แล้วก็ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไป ไปตามกระแสน้ำอ้อยอิ่ง
มันเป็นช่วงเวลาที่ความคิดเป็นอิสระ ไม่ถูกกำหนด ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีการชี้บอก... เป็นการพักผ่อนความคิด ที่หาได้ยากยิ่ง อันที่จริงแล้ว คนเรามักให้ความสำคัญแก่การพักผ่อนร่างกายด้วยการหยุดการกระทำ และการเคลื่อนไหวต่างๆ แต่ไม่ค่อยคำนึงถึงการพักผ่อนความนึกคิดบ้าง
สมองจึงต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา ขณะที่ร่างกายหยุดพักผ่อน...นั่งดูโทรทัศน์ แต่ต้องคิดไปตามเรื่องราวที่สายตารับรู้ ...อ่านหนังสือ ความคิดต้องทำงานไปตามเรื่องราวที่ผูกร้อยขึ้นมาด้วยตัวอักษร
...นั่งคุยกัน ความคิดต้องโลดแล่นไปตามเนื้อหาที่ได้ฟังได้ยิน แล้วก็นึกว่าได้พักผ่อนหย่อนใจแล้ว ทั้ง ๆ ที่สมองยังต้องทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา
คิดเพลินไปเรื่อยๆ ไม่เห็นทุ่นเคลื่อนไหวนาน ก็จะดึงเบ็ดขึ้นมาดูที ถ้าเหลือแต่เบ็ด เหยื่อหายไปก็ถือว่าเป็นการเลี้ยงปลา...กินบ้าง ถูกกินบ้าง ดูแฟร์ดี
ถ้าเหยื่อยังอยู่ ก็แสดงว่าจืดชืดไร้กลิ่นคาวไปแล้ว ต้องเปลี่ยนเหยื่อใหม่ ถือว่าจะได้ปลามาทั้งทีต้องลงทุนให้เหยื่อสดดูน่ากินบ้าง
ผมจึงไม่ชอบการใช้เหยื่อปลอม เพราะมันบ่งบอกถึงการคิดจะได้อย่างเดียว นอกจากจะเป็นการหลอกแล้ว ยังไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายหนึ่งได้อะไรบ้าเลย...
จริง ๆ แล้ว ถ้าคิดกันอีกที เหยื่อปลอมไม่ใช้กันเฉพาะตกเบ็ดอย่างเดียว แต่ใช้กันแทบทุกเรื่อง ตั้งแต่ธุรกิจ การเมือง ไปจนถึงการมีปฏิสัมพันธ์กันในทุกระดับ
อย่างที่พูด ๆ กันว่า เอาแต่ได้ ไม่คิดจะลงทุนบ้างหรือไง ประเภทดูมีน้ำใจ ท่าทีเอื้อเฟื้อ มีมิตรไมตรี หวังดี ดูเป็นห่วงเป็นใย เอาอกเอาใจ... แต่ก็เป็นแค่เหยื่อปลอม ล่อให้ตายใจ แล้วก็ฉกฉวยผลประโยชน์ไปอย่างไร้เยื่อใย
ต้องเสียทั้งตัว เสียทั้งข้าวของเงินทอง ชื่อเสียงเกียรติยศศักดิ์ศรี...โดยไม่ได้อะไรเลยแม้แต่น้อยนิด
ถ้าเป็นปลาที่หลงเหยื่อปลอมก็พอทำเนา แต่คนยอมให้เหยื่อปลอมหลอกได้ นี่สิน่าคิด
....................................................................
ความสุข
คริสต์มาสและปีใหม่เป็นเทศกาลแห่งความสุขสันต์หรรษา มีการมอบความสุขให้แก่กันและกันหลากหลายรูปแบบ
....อวยพรให้มีความสุขบ้าง
....มอบความสุขให้บ้าง
....แบ่งปันความสุขบ้าง
อย่างหนึ่งมีหนึ่งช่วงเวลาในรอบปี ที่คนหันมามองรอบตัวและสนใจความสุขของคนรอบข้างอย่างจริงจัง
และในขณะที่ให้ความสุขแก่ผู้อื่น ตนเองก็พลอยได้รับความสุขด้วย
อย่างที่มีคนพูดไว้ว่า การให้ความสุขนั้นเหมือนกับการพรมน้ำหอมให้ผู้อื่น ในขณะที่คน
อื่นได้รับกลิ่นหอมชื่นของมัน คนที่พรมให้ก็พลอยได้รับหยาดน้ำหอมที่กระเซ็นมาโดนตัวด้วย
เพราะธรรมชาติของความสุขนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ใครจะครอบครองไว้ได้คนเดียว ทุกครั้งที่มีความสุขเกิดขึ้น จะต้องมีมากกว่าหนึ่งคนที่ได้รับความสุขนั้น ๆ
เพราะคนที่ให้ความสุขกลายเป็นผู้รับความสุข และผู้รับความสุขกลายเป็นผู้ให้ความสุขในเวลาเดียวกัน
จึงไม่มีใครมีความสุขแท้จริงคนเดียวได้
อย่างน้อย ๆ ยามมีความสุข คนเราก็อดไม่ได้ที่จะให้ใครบางคนรับรู้รับฟัง ยิ่งมีคนรับรู้มาก ก็ดูเหมือนว่าความสุขนั้น ๆ ยิ่งใหญ่ขึ้น และนั่นคือวงจรของความสุข เกิดขึ้นมาแล้วต้องแผ่ขยายออกไปกระทบคนรอบข้างแล้วสะท้อนกลับมายังจุดเริ่มต้น
ความสุข กับ การให้ จึงเป็นสิ่งคู่กันอย่างแยกไม่ออก การที่คิดจะเก็บความสุขไว้เพียงคนเดียว ก็เป็นการทำลายความสุขนั้นไป
เพียงแค่คิดไม่อยากให้ใครมีความสุขเช่นตน ก็เกิดความทุกข์ขึ้นมาแล้ว...ทุกข์ที่กลัวคนอื่นจะได้รับความสุขนั้น ๆ
ไม่ต้องพูดถึงความพยายามที่กีดกัน กลั่นแกล้งไม่ให้คนอื่นมีความสุข เพียงแค่คิดจิตใจก็หมดความสุขไปแล้ว
แล้วก็กลายเป็นความทุกข์มหันต์ หากคนที่ตนพยายามกีดกั้นมีความสุขขึ้นมา
จริง ๆ แล้ว คนเราเพียงแค่ไม่มีความทุกข์ก็เป็นสุขได้แล้ว
หากแต่ว่า คนมักจะคิดว่าความสุขคือการได้มาซึ่งสิ่งที่อยากได้จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ เลยรู้สึกว่าไม่มีความสุขยามที่ไม่ได้อะไรสักอย่าง ทั้งๆ ที่สามารถเป็นสุขได้แม้ไม่มีอะไร
หรือแม้ในความทุกข์ก็มีความสุขได้ เพราะสุขและทุกข์นั้นไม่มีเส้นแบ่งกั้น เหมือนกับไม่มีเส้นแบ่งแยกระหว่างการให้และการรับ
ในขณะที่มีความสุขก็มีความทุกข์ได้ และขณะที่มีความทุกข์ก็สามารถมีความสุขได้เช่นกัน
ไม่จริงหรือที่ว่า ยามคนเรามีความสุขก็ร้องไห้ และยามเรามีความทุกข์ก็ร้องไห้
มีคนพูดไว้อย่างน่าคิดว่า ความสุขนั้นเหมือนผีเสื้อ
ยิ่งเราพยายามวิ่งตามไล่ล่า มันก็ยิ่งบินหนีไปไกล
แต่ลองนั่งอยู่เฉย ๆ มันจะบินวนเวียนมาเกาะไหล่เกาะหัวเราเอง
จริงๆ แล้ว ความสุขอยู่ในตัวเรานั่นแหละ เพียงแต่คิดของเราไปเองว่า ความสุขอยู่ที่นั่น ความสุขอยู่ในสิ่งของชิ้นน้า
พอได้มาแล้ว ดูจะเป็นสุขเพิ่มพูนขึ้นมาเหลือประมาณ ทั้งๆ ที่ความรู้สึกเป็นสุขนั้นอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว
สิ่งภายนอกเพียงแค่สะกิดให้ความรู้สึกเป็นสุขมันหลุดลอยออกมาจากภายในตัวเรา จนเรารู้สึกอิ่มเอมหรรษา
พอเบื่อหน่ายจำเจกันสิ่งนั้น ความรู้สึกเป็นสุขก็พลอยจืดจางไปด้วย แล้วกระบวนการไล่ล่าหาความสุขก็เริ่มต้นขึ้นใหม่ ครั้งแล้วครั้งเล่า...จากคนนี้ไปคนนั้น จากสิ่งนี้ไปสิ่งโน้น...
ต่อเมื่อคนเรารู้จักเข้าไปสัมผัสกับความรู้สึกเป็นสุขที่อยู่ลึกเข้าไปภายในตัวตนนั่นแหละ สิ่งของภายนอกจึงจะดูหมดความหมายไป
เพราะสิ่งของทุกอย่างมีไว้เพียงเพื่อประโยชน์ใช้สอย ไม่ใช่เพื่อบันดาลความสุข
เหตุว่าความสุขนั้นบริสุทธิ์ผุดผ่องและยิ่งใหญ่เกินกว่าจะคลุกคลีเกาะติดกับสิ่งของใดๆ
จึงไม่มีสิ่งใดในตัวมันเองสามารถให้ความสุขแท้จริงได้เลย คนเรามักจะอวยพรกันให้มีความสุข ขอให้อวยพรกันให้สุขจริงเสียทีเถอะนะ
....................................................................