ครบรอบวันเกิด
ผมเคยตื่นเต้น ทุกครั้งที่ครบรอบวันเกิด
ตอนหลังๆ นี้ ผมกลับเฉยๆ
บางครั้งก็ไม่อยากจะคิดถึง แม้ในใจอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ทำไมเดี๋ยวนี้ปีหนึ่งๆ มันผ่านไปเร็วเสียเหลือเกิน
ยิ่งเพื่อนๆ ทายทัก “นี่แก่ลงไปอีกปีหนึ่งแล้วนะ รู้ตัวหรือเปล่า?” ก็อดใจหายไม่ได้
บางคนอุตส่าห์ให้กำลังใจ “อะไรกันนี่ หน้าตาดูอ่อนกว่าอายุเป็นสิบเลยนะ” ซึ่งแทนที่จะดีใจกับคำชม ลึกๆ กลับเป็นการตอกย้ำความจริงว่า “แม้หน้าตาจะดูอ่อน แต่จริงๆ แก่แล้วนะ หรอกใครได้แต่หลอกตัวเองไม่ได้หรอก”
เพื่อนผมคนนั้น คนที่ชอบประหยัดคำพูด ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ “อีกห้าสิบกว่าปีก็จะครบร้อยปีแล้วนะสังวรณ์ไว้บ้าง” ทำให้ต้องรีบหันมามองสังขาร เพราะมันให้รู้สึกว่าแก่ตัวลงไปถนัด เรี่ยวแรงพลอยลดน้อยถอยลงอย่างทันปากพูด
ชีวิตคนเราเป็นดังบันไดสองอันที่ตั้งพิงหัวชนกัน ข้างหนึ่งขึ้น ข้างหนึ่งลง
ตอนกำลังขึ้น วันครบรอบวันเกิดดูจะมาช้าแต่คุ้มค่าการรอคอย
แต่ละครั้งที่ฉลองครบรอบวันเกิด ก็เป็นขั้นตอนอีกขั้นหนึ่งที่ก้าวขึ้นไปสู่ปลายบันได
“กำลังจะเป็นวัยรุ่นแล้วนะ ทำอะไรได้เองแล้ว”
“กำลังจะเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วนะ มีเหย้ามีเรือนได้แล้ว”
“กำลังจะเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ รับผิดชอบตนเองและคนอื่นได้แล้ว”
แต่ตอนกำลังลง วันครบรอบวันเกิดดูจะรีบเร่งมาจนแทบจะตั้งตัวไม่ติด
กำลังจะสมหวังและประสบความสำเร็จ หลังจากต้องฟันฝ่าพิชิตมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย วันเวลาก็มาเตือนว่า เวลาสำหรับจะเกาะติดและครอบครองทุกสิ่งเหล่านี้เริ่มนับถอยหลังแล้ว
“แก่ตัวแล้วนะ โหมเรี่ยวโหมแรงเหมือนก่อนนี้ไม่ได้แล้ว”
“มีอายุแล้วนะ จะเตร่หัวราน้ำ ข้ามวันข้ามคืนแบบก่อนไม่ได้แล้ว”
“วัยปูนนี้แล้ว น่าจะหันหน้าเข้าวัดได้แล้วนะ”
นั่นเป็นครรลองชีวิต ที่มีเริ่มต้น ก้าวไปสูงไกล แล้วก็ล่วงหล่นลงมายังจุดเริ่มต้นเพื่อจะกลับไปสู่ที่มา
เหมือนก้อนหินที่ปาสูงขึ้นไปในอากาศ หมดแรงดันแล้วก็เริ่มตกลงมา
บางชีวิตขึ้นสูงไปนานสองนานกว่าจะเริ่มตกลงมา อีกบางชีวิตขึ้นไปได้ไม่เท่าไรก็ตกลงมา
แล้ว หลายชีวิตแค่พ้นมือไปนิดเดียวก็ตกลงมาแล้ว
แต่ใช่ว่าทุกคนจะมองดูครรลองของชีวิตในแง่ที่กล่าวมาก็หาไม่ กลับมองบันไดขึ้นกับบันไดลงไปอีกอย่างหนึ่ง
ตอนกำลังขึ้น วันครบรอบวันเกิดแต่ละปีเป็นวันแห่งการปลดปล่อยจากกรอบต่างๆ
“กำลังจะเป็นวัยรุ่นแล้วนะ ทำอะไรที่ผู้ใหญ่เขาทำได้ทุกอย่างแล้ว”
“กำลังจะเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วนะ ดื่มเหล้าสูบบุหรี่และเที่ยวหัวราน้ำได้เต็มที่แล้ว”
“กำลังจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว อยากจะทำอะไรก็ทำได้เต็มที่แล้วนะ”
ตอนกำลังลง วันครบรอบวันเกิดแต่ละครั้งคอยเตือนความทรงจำ
“แก่ตัวลงไปเรื่อยๆ แล้วนะ ตราบใดที่ยังมีเรี่ยวมีแรง ต้องรีบกอบโกยความสุขให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้”
“มีอายุมากแล้ว จะมัวกลัวติดโรคติดเชื้อไปทำไมอีก”
“วัยปูนนี้แล้ว เวลาเหลือน้อยเต็มที มัวแต่หันหน้าเข้าวัด ก็ไม่มีเวลาสนุกแล้วซี”
นานาจิตตัง นานาความคิด นานาทัศนะ
แต่จะมีกี่คนที่คิดบ้างว่า เมื่อเข้ามามีชีวิตในโลก เราเข้ามาตัวเปล่าและกลับออกไปตัวเปล่า
ทุกอย่างที่มีที่ใช้ ล้วนแต่ต้องเช่ามาทั้งนั้น
เช่าแผ่นดินที่อยู่อาศัย เช่าอากาศหายใจ เช่าธรรมชาติ เช่าที่ดินทำมาหากิน...
มองจากแง่นี้ วันครบรอบวันเกิดแต่ละปี คอยแต่ย้ำบอกว่า ค่าเช่าทบขึ้นมาอีกปีหนึ่งแล้วนะ
และค่าเช่าชีวิต ต้องจ่ายด้วยชีวิต...ชีวิตที่มีคุณค่า ชีวิตที่เปลี่ยนเป็นรัก รักเปลี่ยนเป็นการรับใช้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
หากชีวิตคุณช่วยสร้างคุณค่าให้แก่คนอื่น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ชีวิตคุณมีคุณค่า
ถือได้ว่าคุณจ่ายค่าเช่าแล้วล่ะ.