สื่อสาร VS สื่อสัมพันธ์
วันประวัติศาสตร์สำหรับประเทศไทยที่ควรจารึกไว้อีกวันหนึ่งคือ วันที่ 18 ธันวาคม 2536...วันที่ “ไทยคม” ถูกส่งขึ้นไปโคจรบนฟากฟ้า
โลกซึ่งดูจะเล็กลงไปเพราะความก้าวหน้าด้านการสื่อสาร เล็กลงไปอีกถนัด
ประเทศไทยที่กว้างใหญ่ ถูกย่อให้เล็กลง โดยมี “ไทยคม” เป็นศูนย์รวมของการสื่อสารในรูปแบบต่างๆ เพื่อประโยชน์ของการติดต่อ ธุรกิจ การเมือง การทหาร ข่าวคราว การบันเทิง การศึกษา...
และนี่คือ ความก้าวหน้าของสื่อสารมวลชน ที่ดูจะก้าวใหญ่ๆ ไปข้างหน้าทีละก้าว ด้วยอัตราความเร็วยิ่งวันยิ่งมากขึ้น จนฉุดรั้งไว้อย่างไรก็ไม่อยู่
ความก้าวหน้าด้านการสื่อสารมวลชน ทำให้การติดต่อและการรู้ข่าวคราวความเป็นไปในส่วนต่างๆ ของโลกทันท่วงที
จนแทบจะให้รู้สึกว่าอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ ด้วยตนเอง ทั้งๆ ที่อยุ่กันคนฟากโลก
โลกจึงกลายเป็นหมู่บ้านใหญ่...ดังเช่นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีอะไร ทุกคนรับรู้หมด
คนที่อยู่ไกลกันก็ให้รู้สึกเหมือนอยู่ใกล้
ระยะทางที่ห่างไกลกันลิบลับ ก็ให้รู้สึกอยู่แค่มือเอื้อม
แต่แม้ความก้าวหน้าด้านการสื่อสารจะช่วยให้คนรู้สึกใกล้ชิดกัน ก็ใช่ว่าจะทำให้จิตใจใกล้
ชิดกันขึ้นเสมอไปก็เปล่า
สื่อสาร ก็คือสื่อข่าวคราวความเป็นไป แต่ไม่ได้สื่อสัมพันธ์ก็บ่อยไป
เพราะสารสื่อสารหยุดอยู่แค่ระดับสมอง ส่วนสื่อสัมพันธ์ลงไปสู่ใจ ใจสื่อใจ
จึงไม่แปลก ที่คนทุกวันนี้ใกล้ชิดกันแค่กาย แต่ใจอยู่ห่างไกลกันลิบลับก็มีถมไป
ความเหงา ความโดดเดี่ยว ความว้าเหว่ มันเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่เพราะกายห่างไกลกัน แต่ใจห่าง
ไกลทั้งที่ใจอยู่ชิดใกล้
ดีไม่ดี ตัวสื่อสารนี่เองที่เป็นต้นเหตุให้การสื่อสัมพันธ์ต้องขาดสิ้นไป โดยไม่รู้ตัว
ในเมื่อใช้สื่อสารมวลชนเพื่อโจมตี สาดโคลน และเหยียบย่ำกันจนไม่เหลือศักดิ์ศรีและจรรยาบรรณของนักการเมือง แทนที่จะใช้เพื่อสร้างความเข้าใจ กระชับความสามัคคีเพื่อความดีของประเทศชาติ
ในเมื่อวันหนึ่งเอาแต่ต่อโทรศัพท์ไปคุยกับคนโน้นที คนนั้นที แต่กลับคนที่อยู่ใกล้ชิดกลับไม่มีอะไรจะคุยด้วย
ในเมื่อเอาแต่สนใจติดตามรายการโทรทัศน์ตาแทบไม่กระพริบ จนแทบไม่ได้สนใจคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ลืมความเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นสามีเป็นภรรยา
ไม่แปลกใจเลยที่เด็กหญิงเล็กๆ คนหนึ่ง เมื่อครูคำสอนบอกห้แต่งบทสวดด้วยคำพูดของตน
เอง เพื่อขอพรอะไรก็ได้จากพระเจ้า เขียนอย่างซื่อๆ ว่า
“ข้าแต่พระเจ้า โปรดทำให้หนูเป็นโทรทัศน์ คุณพ่อคุณแม่จะได้มองดูหนูบ้าง...”
ในเมื่อเอาแต่อ่านหนังสือพิมพ์ วารสาร ติดตามข่าวคราวโดยไม่ยอมให้พลาดแม้ฉบับเดียว แต่ไม่เคยอ่านความรู้สึกและทีท่าของคนที่ร่วมชีวิตอยู่ด้วยเลย...
ตราบใดที่คนยังให้ความสำคัญแก่การสื่อสารมากกว่าสื่อสัมพันธ์ การติดต่อ พูดคุย แลก
เปลี่ยนความคิดเห็นกัน ก็อยู่แค่ระดับแลกเปลี่ยนข่าวสาร
แล้วก็ไม่สนใจกับการสื่อใจ สื่อความรู้สึกลึกๆ ที่มีต่อกัน สื่อคุณค่า สื่อความรักความเอาใจใส่ สื่อความห่วงใย สื่อความปรารถนาดี สื่อความเป็นมิตร...ที่นำไปสู่สื่อสัมพันธ์อันแท้จริง
การติดต่อกันจึงอยู่แค่ระดับผิวเผิน แค่ระดับสมอง แค่ระดับความรู้
แต่ไม่เคยเข้าไปถึงระดับใจต่อใจ
ความเหงา ความโดดเดี่ยว ความว้าเหว่...ก็ยังคงอยู่ต่อไป และเพิ่มความร้ายกาจมากขึ้น
เพราะหากความเหงา ความโดดเดี่ยว ความว้าเหว่ เกิดจากการที่ต้องพรากจาก ห่างไกลกันไป ก็ยังพอทน
แต่หากอยู่ใกล้ชิดกันแต่กาย นั้นห่างเหินไปไกลแสนไกล ความเหงา ความโดดเดี่ยว ความว้าเหว่กลับกลายเป็นความทรมานใจ ความปวดร้าว เหลือจะทนทานได้
ความก้าวหน้าด้านการสื่อสารยังคงก้าวรุดไปอย่างยั้งไม่อยู่
แต่จะประโยชน์อะไร ถ้าการสื่อสารดีขึ้นเรื่อยๆ แต่การสื่อสัมพันธ์กลับแย่ลงอย่างน่าเสียดาย.