Deep Thoughts|48

แฝดคนละฝา


อายุท่านย่างเข้าปีที่ 89 แล้ว หกสิบกว่าปีที่ใช้ชีวิตในเมืองไทยทุ่มเท เลือดเนื้อ กายใจ เรี่ยวแรง ความสามารถ... เพื่อผืนแผ่นดินที่ไม่ใช่ของท่านแต่กำเนิด จนหมดสิ้น

ทุกวันนี้ เรี่ยวแรงที่เหลือเล็กน้อยก็ใช้ไปส่วนใหญ่กับการเดินจากห้องพักไปวัด จากวัดกลับห้องพักสวดภาวนาให้ทุกคน

ก่อนนี้ความจำยังสดใส ก็จะสวดให้เป็นรายบุคคล พร้อมกับเอ่ยชื่อกำกับ เดี๋ยวนี้ความจำเสื่อมถอย ก็จะเหมาะเป็นจังหวัด...เพื่อน คนรู้จัก และคนที่ต้องการทำคำภาวนา...เริ่มจากทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือไปจบที่จังหวัดใต้สุดสยาม

บางครั้งก็ท้อแท้กับสังขาร รำคาญตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้เหมือนก่อน ให้รู้สึกว่าชีวิตไร้ค่า แล้วก็บ่นอยากจะตายให้มันรู้แล้วรู้รอด

แต่พอมีคนให้สติว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่นั้น มีค่ามหาศาล

เพราะคนเรามีค่ามากที่สุดก็ตอนสวดนี่แหละ... นอกจากคุณค่าในความสามารถที่ตนมีแล้ว ยังมีฤทธิ์ของพระเจ้าเสริมเติมให้อีก...เรียกได้ว่ามีค่าเกินตัว

ก็เกิดมีกำลังใจขึ้นอีกครั้ง

สายตาที่ฝ้าฟาง และหูที่เสื่อมต่อการรับฟัง ดูจะเป็นสองอย่างที่สร้างความทรมานให้มากกว่าหมด

ทำให้เกิดความรู้สึกว่าถูกตัดออกจากโลกมนุษย์ไปโดยปริยาย...มองแต่ไม่เห็น ฟังแต่ไม่ได้ยิน

ตาที่มองเห็นไม่เกินปลายจมูก ทำให้การเดินเหินเป็นไปด้วยความหวาดกลัว

ยิ่งหากเป็นเส้นทางใหม่ด้วยแล้ว ขาทั้งสองทำท่าจะก้าวไม่ออกเอาดื้อๆ

ฉันมองไม่เห็น...ไปไม่ได้” ท่านจะพูดเสียงหลง มือเท้าสั่นระริก “แต่ผมมองเห็นนี่นา...” ผมยืนยันให้ความมั่นใจ “เออ ใช่นะ...งั้นไปกันเถอะ” ท่านยิ้มเหมือนกับเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้

ชีวิตคนเราหากมีคำพูดทำนองนี้ให้ได้ยินกันบ้าง ก็คงไม่ลำบากจนน่ากลัวอย่างที่พบเห็นกันทุกวันนี้

มองเผินๆ คนเราดูเหมือนจะไม่ต้องการใครก็มีชีวิตอยู่ได้แต่ลึกๆแล้ว เราต้องการทุกคน ไม่มากก็น้อย ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง

เพราะชีวิตของเราจะไม่ครบสมบูรณ์ หากไม่มีคนอื่น

แม้ยามสุข มีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เรายังต้องการใครสักคนที่มารับรู้ว่าเรามีสุข แม้ยามเรามีความสามารถ จับอะไรเป็นสำเร็จไปทุกอย่าง เราก็ยังต้องการใครสักคนมารับรู้ถึงความสามารถและความสำเร็จของเรา

แม้เมื่อเราสวยงามหมดจดไปทั้งตัว เราก็ยังต้องการใครสักคนที่เชยชมชื่นชอบความงดงามนั้น

ไม่ต้องพูดถึงยามที่เราทุกข์ ยามที่เราเจ็บป่วย ยามที่เราล้มเหลว ยามที่เรามีปัญหา...เราต้องการ.. ต้องการมากกว่าใครหนึ่งคนเจ็บป่วย ท้อแท้ สิ้นหวัง... จะกลับมีความมั่นใจขึ้นมาใหม่

คุณทุกข์ แต่ฉันมีสุข ฉันร่วมทุกข์และหาทางฉุดคุณออกจากความทุกข์นั้นได้...”

คุณป่วย แต่ฉันสบายดี ฉันช่วยคุณได้...”

คุณล้มเหลว แต่ฉันทำสำเร็จ ฉันช่วยคุณให้สำเร็จได้..”

คุณท้อแท้ แต่ฉันหนักแน่น ฉันเป็นกำลังใจให้คุณได้...”

คุณมืดแปดด้าน แต่ฉันยังมีทาง คุณพึ่งฉันได้...”

คุณอ่อนแอ แต่ฉันเข้มแข็ง คุณยึดเหนี่ยวฉันได้...”

คุณด้อยโอกาส แต่ฉันมี คุณมีทางไปแน่นอน...”

คุณขาดประสบการณ์ ฉันสั่งสมมาทั้งชีวิต ไต่ถามฉันได้...”

และอื่นๆ ทำนองนี้ ถ้าคนมีสำนึกกันว่า แต่ละคนที่เกิดมาในโลกนี้ แม้ต่างพ่อต่างแม่ ต่างก็เป็นฝาแฝดของกันและกัน เพราะสิ่งที่ฉันไม่มีคุณมี สิ่งที่คุณไม่เป็นฉันเป็น

เสริมเติมแต่งกันอย่างนี้แล้ว ใครยังจะขัดสนอะไรอีก? ว่าแต่ว่าจะสำนึกกันอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่าเท่านั้นเอง.