มากกว่าที่คิด
“คำว่า “เพื่อน” นั้นยากที่จะบรรยาย...” อาจารย์วัยแห่งความสุขุมปรชา ใบหน้าสงบแฝงไว้ซึ่งความลึกซึ้ง พูดเสียงเรียบๆ เมื่อผมถามความเห็นเกี่ยวกับความหมายของคำว่าเพื่อน
“จะพูดไปแล้ว มันยากพอๆ กับการพูดถึงความรัก...เพราะเพื่อนก็คือความรักที่เป็นตัวเป็นตน เป็นเลือดเป็นเนื้อ...นั่นเอง
ใครต้องการจะเห็นโฉมของความรัก ก็จงมองใบหน้าของเพื่อน...มองลึกเข้าไปในดวงตาทั้งสองข้าง
ใครต้องการจะจับต้องสัมผัสไออุ่นแห่งความรัก ก็จงยื่นมือออกไปจับมือเพื่อนกุมไว้...ด้วยความอ่อนละไมและทะนุถนอม เพราะหากจับแรงเกินไปก็ให้รู้สึกเจ็บปวดได้...ทั้งสองคนนั่นแหละ แต่หากจับต้องเพียงแค่ผิวเผิน ก็จะสัมผัสได้เพียงแค่การกระทบของผิวหนัง รังแต่ให้รู้สึกเย็นชืด ชวนให้รำคาญระคายผิว
ความรักเป็นดุจไฟ หากอยู่ใกล้มากจนเกินไปก็รุ่มร้อนแผดเผา หากไกลไปก็แทบจะรู้สึกถึงความอบอุ่น ชวนให้หนาวเหน็บ
เฉพาะผู้ที่รู้จักอยู่ในระยะพอดีพองาม จะรู้สึกถึงความรักอย่างเต็มเปี่ยม ล้นจิตใจ
เฉพาะผู้ที่รู้จักอยู่ในระยะพอดีพอควร จะสามารถเข้าถึงความอ่อนหวานและความเข้มแข็งของเพื่อน...ในเวลาเดียวกัน
เพราะในความรักและในมิตรภาพนั้น ต้องมีทั้งความอ่อนหวานอ่อนโยนและความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว
ความอ่อนหวานทำให้ความเข้มแข็งไม่กระด้าง และความเข้มแข็งทำให้ความอ่อนหวานไม่อ่อนแอ...” อาจารย์ผมพูดเสียงนิ่มนวล ตาหลับพริ้มราวกับจะอ่านสิ่งที่เห็นภายใต้เปลืกตาปิดสนิทมืดมิดในขณะนั้น
“ไม่น้อยครั้ง” อาจารย์พูดต่อ หลังจากเงียบอยู่ครู่ใหญ่
“พูดถึงเพื่อนอาจจะยากมากกว่าพูดถึงความรักเสียอีก
ความรักจะพูดสาธยายอย่งไรก็ได้ เพราะเป็นแค่ความจริงใจในนามธรรม
แต่เพื่อนนั้นต้องพูดไปตามเนื้อผ้า เป็นรูปธรรมที่ไม่อาจจะบิดเบือนเป็นอย่างอื่น
เพราะเหตุนี้เอง รักษาความรักไว้จึงไม่ยาก แต่ทะนุถนอมเพื่อนไว้นั้น ยากพอๆ กับรักษาชีวิตตนไว้นั่นแหละ
มันเป็นเรื่องของการหมั่นดูแล บำรุงรักษา ให้เติบโต พัฒนา อย่างไม่หยุดหย่อน เฉกเช่นการดูแลชีวิต
ชีวิตหยุดชะงักลงเมื่อไร หมายถึงความพิการหรือความตาย ฉันใด
ความเป็นเพื่อนหยุดอยู่กับที่เมื่อไร หมายถึงปัญหาหรือไม่ก็การสิ้นสุดของมิตรภาพ ฉันนั้น
ใครมีเพื่อนก็เหมือนต้องเอาใจใส่เลี้ยงดูคนสองคนในเวลาเดียวกัน...ตัวเองและเพื่อน
ฉันอิ่ม เพื่อนหิวไม่ได้ เพราะมันคือส่วนหนึ่งของตัวฉันที่กำลังหิวโซอยู่
ฉันหลับ เพื่อนตื่นไม่ได้ เพราะมันเหมือนกับฉันยังไม่ได้นอนอยู่ดี
ฉันสนุก เพื่อนว้าเหว่ไม่ได้ เพราะใจฉันมันเหงาจนหมดสนุก
ฉันหัวเราะ เพื่อนร้องไห้ไม่ได้ เพราะมันจะเหมือนตาข้างหนึ่งเริงร่าในขณะที่อีกข้างกำลังฉ่ำด้วยน้ำตา
ฉันสบาย เพื่อนป่วยไม่ได้ เพราะมันเหมือนกับทั้งร่างกายสบายดีแต่ปวดฟันจนเหลือทน
ฉันมี เพื่อนขาดไม่ได้ เพราะสิ่งที่มีก็เหมือนกับไม่มีอยู่ดี
ฉันอบอุ่น เพื่อนหนาวไม่ได้ เพราะมันเหมือนกับใส่เสื้อกันหนาวแต่มือเย็นเฉียบจนแทบจะกระดุกกระดิกนิ้วไม่ได้...”
อาจารย์เงียบอยู่นาน ตาเหม่อลอยไปข้างหน้า
“มันยากนะ...” อาจารย์หันมามองผม หลังจากถอนหายใจยาว
“มันคงยากจะเข้าใจคำว่า “เพื่อน” ได้อย่างแท้จริง ยิ่งสมัยนี้ด้วยแล้ว
เพราะความหมายของมันผิดเพี้ยน บิดเบือนไป จนกลายเป็นคำพูดที่กลวง ไร้ซึ่งแก่นสารแท้จริง...
ช่างไม่ต่างกับคำว่า “รัก”...อย่างไรอย่างนั้น
ไม่แปลก คนทำไมจึงรู้สึกเหงาลึกๆ...ไม่ผิดกับตัวคนเดียวในโลกอันกว้างใหญ่”
เสียงของอาจารย์ค่อยๆ เบาลง ขณะที่ผมยังคงนั่งอยู่ที่นั่น...จมอยู่ในความคิด.