Deep Thoughts|30

ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก


คนเราบางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะหวนกลับไปรำลึกถึงอดีต ในความทรงจำบางอย่างที่เคยพบเห็นมา

พร้อมกับรอยยิ้มแห่งความขบขันบ้าง หากเป็นอะไรที่ดีๆ สนุกสนาน

หรือไม่ก็ความรู้สึกเศร้าขึ้นมาเฉยๆ หากเป็นสิ่งที่เคยทำให้ต้องเสียใจ

ถึงอย่างไรเสีย คนเราไม่อาจจะตัดขาดจากอดีตได้เด็ดขาด

แม้จะพูดๆ กันว่า ใครเริ่มคิดเริ่มพูดถึงอดีต ก็ให้รู้ตัวไว้เลยว่าเริ่มแก่ตัวแล้ว

แต่ทุกคนยังอดไม่ได้ที่จะแอบแว้บกลับไปในอดีต แม้เพียงชั่วเวลาสั้นๆ

ผมจำได้ว่า เราเด็กๆ มีเรื่องทะเลาะขัดใจกันทีไรเป็นต้องโกรธ...ชูนิ้วหัวแม่มือตรงไปที่คู่

กรณี...

และเป็นที่รู้กันว่า สัมพันธภาพมีอันต้องขาดสะบั้นลง เดี๋ยวนั้น ตรงนั้น...อย่างไร้ซึ่งเยื่อใยใดๆ

และเพื่อตอกย้ำให้ชัดเจนขึ้น ต้องพูดสูตรที่รู้กันดี

โกรธร้อยปี อย่ามาดีร้อยชาติ...”

เดี๋ยวนั้น เวลานั้น ไม่คิดอะไรทั้งนั้น ความโกรธอยากให้เขาหายไปจากชีวิต...ตลอดไป

ดีที่ “ร้อยปี ร้อยชาติ” เป็นเพียงแค่คำพูด และไม่ได้หมายถึงจำนวนจริงๆ

เพียงข้ามคืนข้ามวันก็มาดีกันใหม่แล้ว...เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เพราะอย่างไรเสีย คำว่า “เด็ก” กับ “เพื่อน” มันแยกกันไม่ออก

สมัยนั้น เพื่อนก็คือทุกสิ่งทุกอย่าง

สมัยนั้น เพื่อนก็คือ “คน” ที่มีอะไรๆ ด้วยกัน

ไม่มีเหมือนสมัยนี้ “เพื่อน” อาจจะหมายถึง โทรทัศน์ สัตว์เลี้ยง วีดีโอเกมส์ เครื่องเล่น เครื่องคอมพิวเตอร์ ฯลฯ

ตัวเลือกจึงมีมากกว่า “เพื่อน” ในสมัยนั้น

คนทุกวันนี้จึงไม่ค่อยแคร์คำว่า “เพื่อน” ในความหมายดั้งเดิมอีกต่อไปแล้ว

ในเมื่อมีตัวเลือกมาก “เพื่อน” จึงมีความหมายน้อยลง

การจะทะนุถนอม “เพื่อน” ก็แทบจะไม่เหลือ...ไม่พอใจก็เลิกกันไป ขัดใจก็ตัดขาดไปอย่างไม่นึกเสียดาย

มีเรื่องบาดหมางก็ไม่คิดจะให้อภัย

ถึงจะไม่พูด “โกรธร้อยปี อย่ามาดีร้อยชาติ” แต่หมายอย่างนั้นจริงจัง

จะพูดกันแล้ว การให้อภัยในสมัยนี้มีน้อยลงไปทุกวัน

จะเรื่องราวทะเลาะผิดใจกัน แค่ “ไม่เอาเรื่อง” ก็นับว่ามากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการให้อภัย

ขอเพียงอย่างเดียว ต่อไปนี้อย่ามายุ่งกับชีวิตฉันอีก

พูดง่ายๆ หายไปจากชีวิตฉันเลย...อย่าให้เห็นหน้าอีกนะ อย่ามาข้องแวะด้วยเด็ดขาด

หนักหน่อยก็จะพูดแบบฝรั่ง “Evaporate!”...ระเหยหายไปต่อหนน้าต่อตาซะเลย

บางคนอาจจะยังมีจิตใจ กล้ำกลืนความรู้สึกที่เกิดขึ้นและพูดออกมาได้ว่า “โอ เค ฉันให้อภัย” แต่...แต่ฉันจะไม่มีวันลืมเด็ดขาด”

พร้อมกับแอบชื่นชอบจิตใจอันสูงส่งงดงามของตนเอง

แต่หารู้ไม่ว่ากำลังพูดสิ่งที่ขัดแย้งกันในตัว...ให้อภัยแต่ก็ไม่ให้อภัย

เพราะการให้อภัยแต่ไม่ลืมก็เหมือนกับไม่ได้ให้อภัยนั่นแหละ

คล้ายจะบอกว่า “ฉันให้ของชิ้นนี้แก่คุณ...แต่เก็บมันไว้ที่ฉันนะ”

แต่ใครจะลืมลง ยิ่งเจ็บปวดมากยิ่งจำไปนานเท่านาน? หลายคนคงจะแย้ง

ก็อย่างที่บอกในตอนต้นว่า คนเราจะตัดขาดจากอดีตไม่ได้ ก็จริง แต่เราเลือกอดีตได้

เรา “ลืม” อดีตไม่ได้ แต่เรา “เลือกจำ” อดีตได้

การให้อภัยจึงไม่ใช่การ “ลืม” สิ่งที่เกิดขึ้น แต่เป็นการเลือกจะ “ไม่จดจำ” มัน

ในเมื่อเรามีอิสระที่เลือกความทรงจำในอดีตมาคิดมาทบทวนตามที่เราต้องการได้ เราก็มีสิทธิ์จะไม่เลือกสิ่งที่เราไม่อยากจะจดจำได้เช่นกัน

นั่นคือการลืม

ความทรงจำที่เจ็บปวดจะวกเวียนกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เราไม่ปล่อยใจให้คิดตาม...ไม่ช้ามันก็จะเลือนลางไปในที่สุด

ตราบใดที่ยังเก็บความทรงจำความผิดที่เกิดขึ้นไว้ ถึงจะรักกันปานจะกินจะกลืน ก็คงไม่สนิทใจได้เหมือนเดิม

เพราะมันจะเฝ้าหลอกหลอนความสัมพันธ์ทุกอย่างที่มีต่อกัน แม้แต่ที่ลึกซึ้งที่สุด

ไม่ต่างกับกินอาหารที่แสนจะเอร็ดอร่อยขณะปวดฟันอยู่ อย่างไรอย่างนั้น.