การบ้านการเมือง
ที่สุดก็สะใจกันทั้งประเทศ เมื่อมีการประกาศยุบสภา
ก็ “เล่น” การเมืองกันเละเทะ... จนไม่เหลืออะไรนอกจากกองขยะมูลฝอยสกปรกน่าสะอิดสะเอียน
ขุดคุ้ยขึ้นมา ยำกันจนเละ แล้วก็ทิ้งไว้เรี่ยราดเต็มบ้านเต็มเมือง ให้เปื้อนหมองอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย
แล้วแทนที่จะหาทางช่วยกันขจัดความสกปรกเน่าเหม็น ต่างกับวิ่งร่านเข้าหาพรรคสังกัด...พร้อมจะเปิดหนังสือประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งที่ยังขาวสะอาด เพื่อละเลงให้มันสกปรกมากขึ้นกว่าหน้าก่อน
เกมส์เก้าอี้ดนตรี เด็กๆ เขาเลิกฮิตกันมานานแล้ว แต่นักการเมืองบ้านเรายังนิยมเล่นกันมาก...เล่นกันแบบเอาเป็นเอาตาย
ธรรมดาเวลาเล่นเกมส์นี้ ผู้เล่นจะรอจังหวะดนตรีหยุด แล้วใช้ความรวดเร็วบวกไหวพริบแย่งนั่งเก้าอี้ที่มีจำนวนน้อยกว่าจำนวนผู้เล่นอยู่หนึ่ง
ใครช้า นั่งเก้าอี้ไม่ทัน ก็ต้องออกจากเกมส์ไป
แต่เกมส์เก้าอี้ดนตรีที่นักการเมืองเล่นมีการประยุกต์ให้แตกต่างไปจากที่เล่นๆ กัน
นอกจากจะใช้ความเร็ว ไหวพริบ เล่ห์เลี่ยม เพื่อแย่งเก้าอี้นั่งแล้ว ยังมีการแย่งเก้าอี้ที่มีคนนั่งแล้วอีกด้วย
กลยุทธการแย่งและการทำให้คนตกเก้าอี้มีทั้งชนิดชั้นเชิงแยบยลเหนือเซียน มีทั้งเล่ห์กลมนต์คาถาเพทุบาย เชือดเฉือนได้อย่างโหดเหี้ยมเลือดเย็น ทำกันทั้งในและนอกรัฐสภาอันทรงเกียรติ
ต่างๆ เหล่านี้ เพียงเพราะเหตุเดียวคือ การบ้านการเมืองยังแยกกันไม่ออก
ในอารยประเทศ นักการเมืองคือผู้อุทิศตนเพื่อแผ่นดิน หลังจากที่จัดแจงกับการบ้านเรียบร้อยเป็นฝั่งเป็นฝามั่นคงแล้ว
อุดมการณ์ของเขาเหล่านี้คือ การคืนผลประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ แก่ผืนแผ่นดินที่ได้รองรับและให้ทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับชีวิตเขาแล้ว
การบ้านกับการเมืองจึงแยกกันอย่างเห็นได้ชัด
วันหนึ่งๆ จึงได้แต่คิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ประเทศชาติพัฒนา ประชาราษฎร์อยู่ดีมีสุข พรั่งพร้อมด้วยสวัสดิการชีวิต...
แต่สำหรับนักการเมืองบ้านเรา การบ้านการเมืองเป็นเรื่องเดียวกัน แยกกันอย่างไรก็ไม่ออก
เล่นการเมืองเพื่อการพัฒนาของการบ้าน เอาการบ้านเป็นตัวแปรชี้บอกแนวทางในการเล่นการเมือง
ผลประโยชน์ของชาติจึงเคียงไหล่ไปกับผลประโยชน์นักการเมือง หรือบ่อยครั้ง มาหลัง
ผลประโยชน์นักการเมืองเสียอีก
นอกจากการบ้านจะพัวพันกับการเมืองแล้ว หลังบ้านยังเป็นตัวควบคุมนโยบายใกล้ชิด จนดูไม่ออกว่าใครเป็นคนเล่นการเมือง หน้าบ้านหรือหลังบ้าน
ที่จริงแล้ว การบ้านการเมืองคงจะไม่ใช่เรื่องของนักการเมืองเท่านั้น
แต่มันเป็นเรื่องของเราท่านทุกคนด้วยเหมือนกัน
เมื่อการบ้านเรียบร้อย การเมืองก็พลอยดีไปด้วย
แต่เมื่อไรการบ้านไม่ดี การเมืองก็พลอยเสียหายอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อฉันมีสันติกับตนเอง ฉันก็อยู่ร่วมกับคนอื่นด้วยความกลมเกลียวราบรื่น
เมื่อในครอบครัวมีความรักใคร่ ความมีมิตรไมตรีกับคนอื่นๆ รอบข้างก็ตามมา
เมื่อในครอบครัวพ่อแม่มีความซื่อสัตย์ต่อกัน ลูกๆ ก็รู้จักรักเดียวใจเดียวยามแยกออกมาตั้งครอบครัวใหม่
เมื่อในครอบครัวมีมารยาทดีงาม การปฏิบัติต่อผู้อื่นก็พลอยงดงามน่ารักมีสกุล
เมื่อในครอบครัวมีบรรยากาศแห่งความศรัทธาเลื่อมใสในศาสนา การติดต่อกับผู้อื่นก็จะมีมิติศาสนาไปปรุงแต่งให้ดีงามสูงส่ง
เมื่อในครอบครัวมีการอบรมบ่มนิสัย ลูกๆ ก็เป็นพลเมืองดี สร้างประโยชน์ให้แก่ชาติบ้านเมือง
เมื่อในครอบครัวมีการปลูกฝังความซื่อสัตย์สุจริต คนคดโกงกินบ้านกินเมืองก็จะน้อยลง
มองกันแง่นี้แล้ว ก็น่าจะทุ่มเททำการบ้านให้ดีก่อนแล้วจึงค่อยเล่นการเมือง
ไม่ว่าระดับใด.