หนี้ใจ
โบราณท่านว่า “ความกตัญญู นอกจากจะเป็นฤทธิ์กุศลยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ยังเป็นญาติของฤทธิ์กุศลทั้งหลาย”
เพราะฤทธิ์กุศลทั้งหลายนั้น มักจะมีความกตัญญูเป็นองค์ประกอบด้วยเสมอ
แต่ทุกวันนี้มีการพูดถึงความกตัญญูน้อยลงไปเรื่อยๆ
เพราะมีแต่เน้นแค่สิทธิของฉัน ห้าที่ของคุณ...
ฉันเป็นลูก มีสิทธิในทุกอย่างที่หน้าที่ของพ่อแม่ชี้บอก
ฉันเป็นน้อง มีสิทธิในหน้าที่ของพี่ๆ
ฉันเป็นภรรยา มีสิทธิตามหน้าที่ของคุณผู้เป็นสามี
ฉันเป็นสามี มีสิทธิจะได้ทุกอย่างที่หน้าที่ของภรรยาที่ดีควรทำให้
ฉันเป็นพลเมือง มีสิทธิในทุกอย่างที่ประเทศชาติต้องให้ตามหน้าที่
ฉันจ่ายเงินแล้ว มีสิทธิจะได้สิ่งที่พึงได้รับ
ฉันเป็นมนุษย์ มีสิทธิจะได้ทุกอย่างที่พระเจ้าน่าจะประทานให้...
ในเมื่อคนเราเน้นแค่สิทธิและหน้าที่ จึงมองข้ามคำว่า “น้ำใจ” ไปโดยสิ้นเชิง
เฉพาะคนที่รู้ความหมายของคำว่า “น้ำใจ” จึงเป็นคนที่เข้าถึงความกตัญญูได้อย่างแท้จริง
เพราะคนเรามีอะไรต่อกันมากกว่าคำว่า “สิทธิ” และ “หน้าที่”
“สิทธิ” และ “หน้าที่” ชดใช้กันได้หมดสิ้น แต่ “น้ำใจ” ไม่มีวันชดใช้กันได้เพียงพอ
เพราะ “ใจ” นั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจะวัดตวง กำหนดมาตรฐานได้
“สิทธิ” และ “หน้าที่” มีวันและเวลาจบสิ้นลง แต่ “ใจ” นั้นคงอยู่ชั่วฟ้าดินสลาย
มันน่าเสียดายที่คนเราทุกวันนี้เงินเป็นตัวแทนได้ในทุกสิ่ง...แทนได้แม้กระทั่ง “น้ำใจ” และ “บุญคุณ”
เลยถือว่า จ่ายเงินแล้วก็แล้วกันไป...ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ไม่ว่าในเรื่องใด
อย่างเช่นชายคนที่กำลังจมน้ำตายในสายน้ำที่ไหลเชี่ยว
ชายอีกคนหนึ่งยืนอยู่บนระเบียงชั้นสองของบ้านที่น้ำท่วมนองล่างหนึ่งเห็นเข้า ก็รีบผูกเชือกกับโต๊ะไม้และโยนลงไปให้เขาเกาะไว้
หลังจากที่ชายผู้เคราะห์ร้ายได้รับการช่วยเหลือและปลอดภัยแล้ว สิ่งแรกที่เขาพูดคือ
“ขอบคุณมากเสียสละโต๊ะไม้ตัวงามนี้เพื่อช่วยชีวิตผม ผมจะรีบจัดการซื้อโต๊ะคืนให้ทันทีที่มีโอกาส”
และนี่คือหนึ่งในหลายตัวอย่าง ที่คนเรามักปฏิบัติต่อกัน
อยู่กันเพียงแค่ระดับเม็ดเงิน สิ่งของ...แค่นั้นจริงๆ
ความกตัญญูจึงหายไปจากสังคมทุกวันนี้ ทีละเล็กทีละน้อย
คนที่เลือกดำรงชีวิตตามแนว “ชีวจิต” ถือว่าทุกคนมีบุญคุณต่อตน
ชีวิตในแต่ละวันดำเนินไปได้ ก็เพราะการกระทำของคนจำนวนมาก
เริ่มตั้งแต่ตื่นนอน ไปจนถึงเข้านอน...ทุกคนมีบุญคุณหมด
เมื่อสำนึกว่าทุกคนเป็นผู้มีพระคุณ ท่าทีและการแสดงออกต่อผู้อื่นย่อมเต็มด้วยความกตัญญู เคารพรัก เอื้ออาทร มีน้ำใจ...
จิตใจจึงงดงามในร่างกายที่แขข็งแรง...อย่างกลมกลืนและครบวงจร
แต่คนที่มองเพียงแค่ “สิทธิ” และ “หน้าที่” ก็ย่อมจะมีทีท่าแห่งการเรียกร้อง ไม่พอใจ บ่นว่า...เอาแต่ใจ
คนประเภทนี้ ไปไหนก็มีแต่จะหว่านความเห็นแก่ตัว ความมักได้ ความเอารัดเอาเปรียบ...
คนประเภทนี้ไม่มีเยื่อใยกับใคร...เสร็จธุระแล้วจบสิ้นต่อกัน
คนประเภทนี้ไม่เห็นแก่หน้าใคร...หมดผลประโยชน์แล้วก็เลิกรากันไป
คนประเภทนี้ไม่มีภูมิหลังครอบครัว... จะเกี่ยวดองกันก็แค่สายสะดือที่ตัดขาดไปตั้งแต่แรกเกิด
คนประเภทนี้ไม่มีความทรงจำใดๆ...อยู่ไปแค่ช่วงเวลาแห่งสิทธิและหน้าที่
อย่างนี้แล้วยังจะเหลือความเป็นคนอยู่อีกหรือ
เพราะเหตุนี้เอง คนทุกวันนี้จึงมีความเป็นคนน้อยลงทุกวัน...อย่างน่าเสียดายยิ่ง.