แค่อุบัติเหตุ
แล้วก็อดเหนื่อยหน่ายไม่ได้ เมื่อต้องเจอกับข่าวร้ายกันทุกวัน ทำให้รู้สึกว่าชีวิตคนเรามีแต่เรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดี
ทั้ง ๆ ที่ใจลึก ๆ ของทุกคนเสาะหาตามล่าความดี...ทุกเวลา ทุกที่ ทุกวิธี เพราะในธรรมชาติของมนุษย์แล้ว ความดีคือธาตุแท้
แต่แล้ว ทำไมคนเราจึงให้ความสนใจแต่เรื่องร้ายๆ อุบัติเหตุ อุทกภัย ความหายนะ ความเจ็บ ความตาย... เกิดขึ้นเมื่อใดต้องเป็นข่าว สร้างความฮือฮา
กลายเป็นความมักรู้มักเห็น ต้องรู้ ต้องเห็นให้ได้ รับรู้ดูเห็นแล้วใช่ว่าจะเจริญหูเจริญตา...แต่ก็ไม่วาย แล้วก็รู้สึกสะใจลึกๆ คละกับความสยดสยอง สะอิดสะเอียนสะเทือนใจ...
แต่พอเกิดเรื่องเกิดราว ก็อดไม่ได้ที่จะไปดูรับรู้รับเห็น...เรื่องเดียวกัน
จะว่าดูไปเพื่อความรู้สึกว่าเดชะบุญที่เป็นคนอื่น...หรือเปล่าหรือเพื่อความรู้สึกว่าตนเองโชคดี คลาดแคล้วไปได้..หรือเปล่าหรือเพื่อความรู้สึกว่าตนเองเป็นปกติ เมื่อเทียบกับความผิดปกติของคนอื่น...หรือเปล่า
และแม้จะไม่ได้ดูได้เห็น แต่ก็สนใจรับรู้รายละเอียดจากสื่อต่างๆ ที่ป้อนให้แต่ละวัน
จนรู้สึกว่าขาดอะไรก็ขาดได้ แต่ขาดข่าวสารรายวันไม่ได้และวันไหนข่าวร้ายไม่ค่อยจะมี ก็รู้สึกว่าสื่อวันนั้นขาดรสชาติไปโดยปริยาย
ใจจึงรู้สึกโหยหาข่าวร้าย...ของคนอื่น...อยู่ร่ำไป
เมื่อซึมซับแต่เรื่องร้ายๆ จิตใจก็พลอยกระด้าง โอนเอนไปทางนั้นโดยไม่รู้ตัว
คิดก็คิดถึงคนอื่นในแง่ร้ายไปหมด จนแทบมองไม่เห็นแง่ดี มองก็มองเห็นแต่แง่ร้ายในคนอื่น ทั้งๆ ที่แง่ดีมีมากมาย
ตัดสินก็ตัดสินคนอื่นเป็นร้ายไปหมด จนเลวบริสุทธิ์แล้วเที่ยวมุ่งร้าย ให้ร้าย ทำร้าย ทุกคนที่ขวางหน้า...แม้แต่คนที่บอกเองว่ารัก
บางคนถึงขนาดมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น อย่างไร้มนุษยธรรมแต่บางคนเห็นคนอื่นมีความสุขไม่ได้
จนทำให้เกิดความรู้สึกว่า สิ่งชั่วร้ายเป็นเรื่องปกติ และสิ่งดีเป็นเรื่องผิดธรรมดาไปเหล่านี้ มีที่มาที่ไปในข่าวร้ายที่ซึมซับกันเข้าไปทุกเมื่อเชื่อวันคงต้องเป็นความสำนึกของคนสื่อข่าว ที่จะเปลี่ยนจุดขายเสียใหม่ให้ข่าวแต่ละอย่างที่เสนอไปนั้นบ่งชี้ชัดเจนว่า ความดีคือธรรมชาติมนุษย์
ส่วนข่าวร้ายเป็นแค่ผลข้างเคียงของความดีที่ยังไม่ดีครบบริโภคข่าวสารแต่ละวันแล้ว ทำให้เกิดความรู้สึกในคุณค่าของความดีมากขึ้น
เหมือนความร้อนที่เน้นความเย็นให้ชื่นฉ่ำมากขึ้น
เหมือนความหิวเน้นความอิ่มเอมให้เต็มเปี่ยม
เหมือนความสกปรกเน้นความสะอาดให้สะอ้านขึ้น
เหมือนกลิ่นเหม็นเน้นกลิ่นหอมให้อบอวลขึ้น
เหมือนความขี้เหร่เน้นความงามให้เจริญตาเจริญใจมากขึ้น
เหมือนความมืดเน้นความสว่างให้เจิดจ้าขึ้น
ฉันใดก็ฉันนั้น ข่าวร้ายน่าจะมีบทบาทคล้ายกัน..เน้นความดีให้เด่นชัด เน้นความดีให้เป็นคุณค่าพึงปรารถนา
ทุกครั้งที่มีข่าวร้าย คนดีน่าจะทบทวนและบอกตนเองได้อย่างเดียว
ความดีที่ว่าดีนี้ดีพอหรือยัง...เหตุใดยังมีผลข้างเคียงขึ้นมาอีก
คำตอบต้องนำไปสู่การพัฒนาความดีให้สมบูรณ์ ครบถ้วนมากขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งผลข้างเคียงหมดสิ้นไป
เพราะจริงๆ แล้ว ความชั่วเป็นแค่อุบัติเหตุของความดี...เท่านั้นเอง
สื่อมวลชนทุกแขนง น่าจะตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งสัจธรรมนี้
เมื่อนั้นแหละ สื่อมวลชนจะได้เป็นสื่อสมชื่อ.