Way of Spirit|6 page 0

บทบรรณาธิการ



ในสังคมที่เน้นวัตถุและการบริโภค สิ่งที่ถือว่าเป็นคุณค่ามักจะเป็นสิ่งที่สัมผัสและจับต้องได้ คุณค่าหลายอย่างจึงเล็ดลอดสายตาไป และมักจะเป็นคุณค่าสูงส่ง อาทิ คุณค่าด้านจิตใจ คุณค่าด้านครอบครัว คุณค่าด้านความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง คุณค่าด้านศีลธรรม คุณค่าด้านศักดิ์ศรี เป็นต้น


คนโรมันสมัยก่อนมักจะพูดว่า “บอกฉันว่าคุณรักอะไร แล้วฉันจะบอกว่าคุณเป็นใคร” ในเมื่อคลุกคลีกับวัตถุและการบริโภค คนก็ลดระดับลงมา จากการที่มีกายและมีจิตวิญญาณ ก็เหลืออยู่แค่เรื่องของกาย วันหนึ่งๆ ก็มักจะเริ่มต้นจากเรื่องของกาย แล้วก็จบวันด้วยเรื่องของกาย


คนจึงให้ความสำคัญแก่วัตถุสิ่งของเงินทองทรัพย์สินเพื่อตอบสนองความต้องการและกิเลสแห่งกาย เห็นได้จากการทุ่มเทแรงกายแรงใจ การให้เวลา เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ ด้วยความคิดว่า เมื่อมีสิ่งเหล่านี้แล้วก็ถือว่ามีทุกอย่าง ทว่าในความเป็นจริงแล้ว จิตใจมนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อสิ่งที่สูงส่งกว่านี้ เพราะเหตุนี้เอง ยิ่งมีสิ่งของเหล่านี้ ก็ยิ่งจะรู้ว่ายังไม่พอ ยังขาด ยังไม่อิ่มใจ จะได้ก็แต่ความพึงพอใจ แต่ไม่อิ่มใจ


แล้วก็ตกอยู่ในวังวนของการไล่ล่า ได้มา ไม่พอ ไล่ล่า…อย่างไม่จบสิ้นในขณะที่คุณค่าสูงส่งหลายอย่างไม่ได้รับความสนใจ หรือถูกถือว่าไม่มีความสำคัญ


ในกระแสแห่งวัตถุและการบริโภคเช่นนี้ ความสำนึกในพระเจ้าก็ค่อยๆ เจือจางลงไป เพราะแต่ละวันมีแต่วุ่นวายกับเรื่องฝ่ายกาย หลายคนดำเนินชีวิตราวกับไม่มีพระเจ้า ถือว่ามีพระเจ้าก็ได้ ไม่มีก็ไม่เห็นเป็นไร เลยทำให้ลำดับคุณค่าในชีวิตสับสนและผิดพลาดไปหมด เมื่อพระเจ้าไม่ได้เป็นลำดับแรกในชีวิต หลักศีลธรรมและความถูกต้องก็พลอยสับสนไปด้วย ลงเอยก็ถือว่าอะไรก็พอๆ กัน


ในกระแสสังคมทุกวันนี้ การเป็นคริสตชนและการเป็นผู้รับเจิมได้รับการท้าทายมากเพราะการเป็นคริสตชนและการเป็นผู้รับเจิมไม่ใช่เป็นเรื่องของการเป็น การปฏิบัติส่วนตัว หากยังต้องเป็นประจักษ์พยานแห่งความเป็นเอกของพระเจ้า ความสำคัญของจิตวิญญาณ ความจำเป็นของคุณค่าฝ่ายจิต ฯลฯ เพื่อเป็นเกลือและเป็นแสงสว่างให้แก่สังคม แต่เพื่อจะเป็นประจักษ์พยานในสังคมที่ไหลไปตามกระแส ประจักษ์พยานชีวิตต้องเด่นชัด ก่อให้เกิดความแปลกใจ ความทึ่ง จนคนที่พบเห็นต้องย้อนคิด ย้อนถาม ย้อนทบทวนตนเอง


เอกสาร “ชีวิตผู้รับเจิม” บอกย้ำไว้อย่างชัดเจน “หน้าที่ประการแรกของชีวิตผู้รับเจิม (และคริสตชน) คือ ทำให้เห็นด้วยตาถึงสิ่งมหัศจรรย์ทั้งหลาย ซึ่งพระเจ้าทรงบันดาลให้เกิดขึ้น ยิ่งกว่าด้วยคำพูด พวกเขาสำแดงให้ประจักษ์สิ่งที่น่าพิศวงเหล่านี้ด้วยการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนรูปไป ชนิดที่สามารถทำให้โลกประหลาดใจเลยทีเดียว พวกเขาสนองตอบด้วยการประกาศถึงความมหัศจรรย์แห่งพระหรรษทาน ซึ่งพระเจ้าทรงกระทำในตัวบุคคลซึ่งพระองค์ทรงรัก อย่างที่ทำให้มนุษย์ตกตะลึงพรึงเพริด” (VC20)


เพื่อจะเป็นประจักษ์พยานได้ “ผู้ที่เป็นประจักษ์พยานต้องมีพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม”กระทั่งพระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาให้เหมือนชีวิตพระบุตรของพระองค์ผู้ทรงรับเอากายเป็นมนุษย์และทรงประกาศให้มนุษย์รู้ว่า มนุษย์เป็นใครในแผนการของพระเจ้า


จิตวิสัยฉบับนี้มีเรื่องราวที่นำมาเสนอเพื่อช่วยให้ท่านผู้อ่านได้เกิดความสำนึกและเห็นถึงพันธะแห่งการเป็นประจักษ์พยานในยุคที่สับสันในคุณค่านี้ หวังว่าท่านผู้อ่านจะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อย


บาทหลวงบรรจง สันติสุขนิรันดร์

บรรณาธิการ