Agc
400
โรม 25 ธันวาคม 2007
สมโภชพระคริสตสมภพ
สมาชิกที่รัก
ในช่วงปลายปี 2007 ซึ่งเราได้ทำกิจการต่างๆ เพื่อชีวิต โดยเลียนแบบพระเจ้า “ผู้รักชีวิต” และเรากำลังย่างเข้าสู่ปี 2008 ที่เปิดอยู่หน้าเราในฐานะเป็น “ปีแห่งพระเจ้า” พ่อขอเขียนถึงพวกท่านด้วยหัวใจของดอนบอสโก
ตั้งแต่ได้เขียนจดหมายฉบับสุดท้ายที่พ่อเสนอภาพรวมของภาคพื้นอัฟริกา-มาดาคัสกาเป็นต้นมา พ่อไปเยี่ยมแขวงต่างๆ ของสหรัฐอเมริกาและรองแขวงคานาดาในช่วงเดือนกันยายน แล้วก็รองแขวงอัฟริกาใต้ในโอกาสครบรอบ 25 ปีของการเริ่มกิจการซาเลเซียนในประเทศไนจีเรีย หลังจากนั้นก็ไปเยี่ยมแขวงต่างๆ ของซัมเบียและโมซัมบิกในเดือนตุลาคม สุดท้ายก็ไปเยี่ยมแขวงตะวันออกกลาง ก่อนจะเดินทางไปอาร์เจนตินาในเดือน พฤศจิกายน
นอกจากนี้ พ่ออยากพูดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่น่าจดจำ อาทิ การส่งธรรมทูตชุดล่าสุดตอนปลายเดือนกันยายน การแต่งตั้งมรณสักขีซาเลเซียนแห่งสเปนในวันที่ 28 ตุลาคม และการแต่งตั้งเซฟเฟริโน นามุงกุระ เป็นบุญราศีในวันที่ 11 พฤศจิกายน
การแต่งตั้งบุญราศีสองครั้งนี้เป็นการสรุปวาระหกปีของพ่อที่เริ่มต้นด้วยการแต่งตั้งนักบุญแห่งความรักสามองค์ นั่นคือ ภราดาอาร์เตมิเดส ซัตตี คุณพ่อหลุยส์ วารีอารา และซิสเตอร์มารีอา โรเมโร รวมคำเชื้อเชิญของพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 ให้เราก้าวเข้าสู่สหัสวรรษที่สามด้วยมาตรฐานสูงส่งแห่งชีวิตคริสตชน
นอกนั้น ในขณะที่มรณสักขีนำเรากลับไปสู่จดหมายแห่งศีลมหาสนิท เพราะไม่มีศีลมหาสนิทหากไม่มีการเป็นมรณสักขีและไม่มีมรณสักขีหากไม่มีศีลมหาสนิท เซฟเฟรีโนชี้บอกให้เห็นว่า เขามาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะ
การกระทำของพระจิตเจ้าร่วมกับการอบรมซาเลเซียนที่ช่วยหล่อหลอมให้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าธรรมทูตที่คุณพ่อบอสโกส่งไปได้เรียนรู้และลอกเลียนประสบการณ์แห่งจิตตารมณ์และการอบรมจากวัลดอกโกเพื่อนำนักบุญน้อยไปสู่วุฒิภาวะ พ่อจึงเชื่อว่า คงไม่มีแรงจูงใจดีไปกว่านี้สำหรับการเลือกคำขวัญสำหรับปีใหม่ที่พ่ออยากมอบให้พวกท่าน
ดังที่ท่านเห็นจากหัวข้อและเนื้อหาที่พ่อได้นำเสนอ สิ่งที่พ่ออยากเน้นไม่อยู่ในบุคคลเป้าหมายแห่งการอบรมของเรา แต่ขอเน้นตัวผู้ให้การอบรม ซึ่งเป็นเหมือนพระเยซูเจ้าที่พระจิตแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเจิมและส่งไปประกาศข่าวดี ปลดปล่อยคนให้เป็นไท ทำให้คนตาบอดมองเห็นและประกาศปีแห่งพระเมตตาให้แก่บุคคลเป้าหมายแห่งการอบรมของเรา (เทียบ ลก 4,18-19) ดังนั้น คำขวัญปี 2008 มุ่งถึงคณะกรรมการอภิบาล หมู่คณะผู้อบรม คณะที่ปรึกษาด้านอภิบาล ฯลฯ แห่งครอบครัวซาเลเซียน ถือว่าเป็นการเชื้อเชิญให้กระชับอัตลักษณ์แห่งการเป็นนักอบรมของเราอีกครั้งหนึ่ง เป็นการให้ความกระจ่างแก่โครงการอบรมซาเลเซียน เป็นการตรวจสอบวิธีการอบรมแบบถึงรากถึงโคน ให้ความชัดเจนแก่เป้าหมายของการอบรม รวมทั้งให้ความสำนึกในความล้มเหลวของการอบรมในสังคมด้วย
เราได้รับเรียกมาเพื่อภารกิจนี้เป็นการเฉพาะ พระวรสารโดยน.ลูกาที่พ่อเลือกมาเป็นบทนำของคำขวัญนั้นให้คำจำกัดความกระแสเรียกของเราในรูปแบบของคุณพ่อบอสโกได้อย่างชัดเจน จึงไม่ใช่เป็นการบังเอิญที่ในพระวินัยซาเลเซียนมีการเลือกพระวรสารตอนเดียวกันนี้มาใช้เป็นบทนำเรื่อง “การรับใช้ด้านอบรมอภิบาลของเรา”
ในตอนต้นแห่งชีวิตเปิดเผยของพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงรับรู้ว่าบทอ่านของประกาศกอิสยาห์ที่มีการนำมาอ่านในศาลาธรรมเป็นภารกิจแห่งพระเมสสิยาห์และทรงประกาศต่อหน้าเพื่อนร่วมเมืองของพระองค์ว่า “วันนี้ พระคัมภีร์ที่ท่านได้ยินกลับเป็นความจริงแล้ว” (ลก 4,21)
คำว่า “วันนี้” ของพระเยซูเจ้ายังคงต่อเนื่องในภารกิจการอบรมของเรา โดยทางศีลล้างบาป เราได้รับการเจิมจากพระจิตเจ้าและถูกส่งไปหาเยาวชนเพื่อประกาศความใหม่แห่งชีวิตซึ่งพระคริสตเจ้าทรงเสนอให้เรา เพื่อส่งเสริมชีวิตและพัฒนาชีวิตผ่านทางการอบรมซึ่งเป็นการช่วยเยาวชนและคนยากจนให้เป็นไทจากการกดขี่ทุกชนิดและจากการตกขอบสังคมทุกรูปแบบ สถานการณ์แห่งการตกขอบสังคมกีดกันเยาวชนและคนจนไม่ให้มีโอกาสแสวงหาความจริง เปิดสู่ความหวัง ดำเนินชีวิตอย่างมีเป้าหมายและเต็มด้วยความยินดี อีกทั้งสร้างอิสรภาพของตนขึ้นมา
คำขวัญปี 2008 ต่อเนื่องจากคำขวัญของปีก่อนๆ ชีวิตเป็นของขวัญยิ่งใหญ่จากพระเจ้า “ผู้รักชีวิต” และทรงมอบเมล็ดชีวิตให้เราเพื่อเราจะได้ร่วมมือกับพระองค์ในการทำให้เมล็ดชีวิตเติบโตและผลิดอกออกผลมากมาย เมล็ดชีวิตนี้ต้อง “ตกลงในเนื้อดินดี” ซึ่งจะเอื้อให้มันงอกงามและออกดอกออกผล ดินดีนี้คือครอบครัว ซึ่งเป็นเปลแห่งชีวิตและความรัก เป็นสถานที่แรกที่คนเรียนรู้การเป็นมนุษย์ ครอบครัวจึงต้อนรับของขวัญแห่งชีวิตด้วยความยินดีและรู้คุณ พร้อมกันนั้นก็จัดให้มีบริบทธรรมชาติที่เหมาะสมเพื่อช่วยให้ชีวิตเติบโตและพัฒนา กระนั้นก็ดี เนื้อดินดียังไม่พอ ยังต้องมีความเพียรพยายามและความขยันขันแข็งของชาวนาในการรดน้ำ ดูแลและช่วยให้มันเติบโตด้วย ชาวนาที่ช่วยให้ชีวิตเติบโตคือผู้อบรมนั่นเอง คุณพ่อบอสโกกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “เนื้อดินแม้ที่แห้งแล้งและไร้ผลผลิตสามารถกลับเป็นเนื้อดินดีได้ด้วยความเพียรพยามของชาวนาฉันใด จิตใจมนุษย์ก็ฉันนั้น ตอนแรกๆ ดูว่าจิตใจจะแห้งแล้งและดื้อรั้น แต่ไม่เร็วก็ช้าจะออกดอกออกผลงดงาม เริ่มต้นด้วยการรักสิ่งที่ดีตามธรรมชาติ แล้วนั้นก็ความดีเหนือธรรมชาติ หากผู้นำจิตวิญญาณ (นักอบรม) ร่วมมือกับพระหรรษทานของพระเจ้าด้วยการภาวนาและออกแรงเพื่อให้เกิดผลที่ดีและงดงาม” (BM V, 236-7)
พ่อคิดว่าน่าจะพูดสิ่งที่พ่อได้เคยพูดในที่อื่นอีกครั้ง คำขวัญปีนี้ไม่ใช่มีไว้เพื่อเสนอหัวข้อใหม่ให้แตกต่างจากหัวข้อของปีก่อนๆ พ่อมั่นใจว่า เราไม่สามารถทำงานอภิบาลด้านการอบรมแบบขยักขย่อน เดี๋ยวหยุด เดี๋ยวเริ่ม แต่ต้องเป็นงานเหมือนงานเกษตรที่ต้องมีการวางแผนระยะยาว การเอาใจใส่ดูแล และก่อนอื่นหมด ต้องมีการทุ่มเทและความรักเป็นทุน นี่คือวิธีการทำเกษตรกรรมที่ดีที่สุด นี่คือวิธีการสร้างคนเพราะฉะนั้น หัวข้อคำขวัญปีนี้จึงเป็นการต่อเนื่องจากหัวข้อครอบครัวและชีวิต
นี่คือคำขวัญปี 2008
ให้เราอบรมด้วยหัวใจของดอนบอสโก
เพื่อพัฒนาชีวิตเยาวชนไปสู่ความเต็มเปี่ยมแห่งศักยภาพ
โดยเฉพาะเยาวชนที่ยากจนและด้อยโอกาสกว่าหมด
ด้วยการส่งเสริมสิทธิของพวกเขาแต่ละคน
ในช่วงแรกคำอธิบายคำขวัญปีนี้ซึ่งถือว่าเป็นโครงการฝ่ายจิตและโปรแกรมการอภิบาลประจำปี พ่อขอยกคำพูดของ P. Duvallet ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานของ Abbe Pierre เป็นเวลายี่สิบปีในงานอภิบาลเยาวชนที่ต้องคดี เป็นคำที่ท่านพูดกับซาเลเซียน “พวกท่านมีกิจการหลายอย่าง มีโรงเรียน ศูนย์เยาวชนสำหรับเด็กๆ แต่พวกท่านมีขุมทรัพย์หนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือระบบการอบรมของคุณพ่อบอสโก ในสังคมที่เยาวชนโดนทรยศ โดนกดขี่ โดนใช้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์นี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบหมายระบบการอบรมที่เน้นความเคารพต่อเด็กๆ เคารพความยิ่งใหญ่ ความเปราะบางและศักดิ์ศรีของพวกเขาในฐานะที่เป็นบุตรของพระเจ้า จงรักษาระบบการอบรมนี้ไว้ให้ดี หมั่นฟื้นฟู ทำให้ทันสมัยและมั่งคั่งด้วยการค้นพบใหม่ๆ อีกทั้งปรับให้เข้ากับเยาวชนแห่งศตวรรษที่ยี่สิบและโศกนาฏกรรมที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คุณพ่อบอสโกไม่มีโอกาสรับรู้ กระนั้นก็ดี จงรักษาระบบการอบรมนี้ไว้ หากจำเป็นก็จงเปลี่ยนทุกอย่าง ยอมสูญเสียทุกอย่าง สูญเสียบ้านที่มีอยู่ แต่จงรักษาขุมทรัพย์นี้ไว้ด้วยการปลุกระดมความรักในดวงใจเป็นล้านๆดวงให้รักและช่วยเด็กให้รอด พวกเขาเป็นมรดกที่คุณพ่อบอสโกได้ทิ้งไว้ให้พวกท่าน”1
พ่อคิดว่าคงยากที่จะหาคำขอร้องที่หนักแน่นไปกว่านี้ การสำนึกในความยิ่งใหญ่แห่งกระแสเรียกแห่งการเป็นนักอบรมและของขวัญที่เราได้รับจากวิธีการอบรมของคุณพ่อบอสโก ซึ่งเป็น “วิธีการอบรมแห่งหัวใจ
” ทำให้เราอยากที่จะทุ่มเทชีวิตเพื่อทำให้คำพูดเชิงประกาศกนี้ได้เป็นความจริงในปัจจุบัน
คำขวัญมุ่งประเด็นสนใจไปที่
-การอบรมซาเลเซียนและระบบการป้องกันซึ่งเรานักอบรมต้องนำไปไตร่ตรองและรับอบรมเพิ่มเติมเพื่อจะได้ไม่สูญเสียความมั่งคั่งของมันไป
-การสนับสนุนอันทรงคุณค่าที่เราช่วยชีวิตและครอบครัวให้สามารถตอบรับการท้าทายยิ่งใหญ่ด้วยการอบรมของเรา
-การส่งเสริมสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะสิทธิของเด็กและเยาวชน ซึ่งต้องเป็นพันธะของการอบรมของเราเพื่อสร้างวัฒนธรรมที่ดีงาม
1.อบรมด้วยหัวใจของดอนบอสโก
อบรมด้วยหัวใจของดอนบอสโกหมายความว่าผู้อบรมนำวิธีการอบรมของคุณพ่อบอสโกมาบ่มใหัวใจแล้วปล่อยให้มันพรั่งพรู “เหตุผล ศาสนา และความรักใจดี” ออกมา โดยทำให้ความรักใจดีเป็นกุญแจหลักและนำหลักศาสนาและเหตุผลไปประยุกต์ใช้อย่างเป็นรูปธรรม หรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง เป็นการดำเนินชีวิตระบบป้องกัน ซึ่งเป็นความรักที่รู้จักทำตัวให้น่ารัก (เทียบ ว. 20) ด้วยการอยู่ท่ามกลางเยาวชนและมีความใกล้ชิดสนิทสนมอย่างเป็นกันเองและอย่างมีประสิทธิผล ด้วยการร่วมมีส่วน ติดตาม ให้จิตวิญญาณ เป็นประจักษ์พยาน ส่งเสริมกระแสเรียกเยาวชน ในรูปแบบของการดูแลแบบซาเลเซียน สิ่งที่สำคัญกว่าหมดคือการต้องรื้อฟื้นการเลือกทำงานเพื่อเยาวชนยากจนและอยู่ในภาวะเสี่ยง พร้อมทั้งเข้าถึงสถานการณ์ที่ตัดรอนสิทธิของพวกเขาไม่ว่าในรูปแบบเปิดเผยหรือซ่อนเร้นทุกชนิด อีกทั้งมีความมั่นใจในทรัพยากรด้านบวกที่มีอยู่ในตัวเยาวชนแต่ละคน แม้ในบุคคลที่เคยได้รับผลกระทบในชีวิตมาแล้ว แล้วนั้นก็ทุ่มเทชีวิตของเราเพื่ออบรมพวกเขา
“ความรักของคุณพ่อบอสโกต่อเยาวชนเหล่านี้เป็นการกระทำที่ทันต่อเหตุการณ์ คุณพ่อให้ความเอาใจใส่ต่อชีวิตทั้งครบของพวกเขาด้วยการตอบสนองความต้องการของพวกเขาทั้งที่เห็นได้ชัดและที่ยังคงแอบแฝงอยู่ การกล่าวว่าคุณพ่อบอสโกมอบหัวใจทั้งครบให้แก่เยาวชนนั้นหมายถึงการที่คุณพ่อมอบทุกสิ่งในตัวคุณพ่อให้แก่เยาวชน สติปัญญา ดวงใจและน้ำใจ กำลังวังชา หรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง คุณพ่อมอบความเป็นอยู่ทั้งสิ้นเพื่อความดีของพวกเขา ส่งเสริมให้พวกเขาพัฒนาเต็มศักยภาพและปรารถนาให้พวกเขาทุกคนเอาตัวรอดไปสวรรค์ ดังนั้น สำหรับคุณพ่อบอสโก การเป็นคนแห่งหัวใจหมายถึงการอุทิศตนทั้งครบเพื่อความอยู่ดีกินดีของเด็กๆ และอุทิศตนเพื่อพวกเขาอย่างเต็มกำลังจนกระทั่งลมหายใจสุดท้าย”2
เพื่อจะเข้าใจคำพูดของคุณพ่อบอสโกที่ว่า “การอบรมเป็นเรื่องของหัวใจซึ่งพระเจ้าผู้เดียวทรงเป็นเจ้าของ” (BM XVI, 376)3 และสามารถเข้าถึงระบบป้องกันได้อย่างถ่องแท้ พ่อว่าเราต้องฟังความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับนักอบรมศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ “วิธีการอบรมของคุณพ่อบอสโกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับทุกสิ่งที่คุณพ่อทำด้วยบุคลิกภาพของคุณพ่อ ซึ่งโดยภาพรวมของคุณพ่อบอสโกแล้ว ทุกสิ่งอยู่ที่หัวในั่นเอง”4 และนี่คือความยิ่งใหญ่และเคล็ดลับแห่งความสำเร็จของคุณพ่อในฐานะนักอบรม คุณพ่อบอสโกรู้จักสร้างความสมดุลระหว่างอำนาจและความใจดี ระหว่างความรักต่อพระเจ้าและความรักต่อเยาวชนได้อย่างลงตัว
1.1. กระแสเรียกและเส้นทางสู่ความศักดิ์สิทธิ์
การที่การอบรมซาเลเซียนสามารถเชื่อมโยงและสืบทอดมาได้หลายปี พร้อมทั้งสอดแทรกเข้าสู่วัฒนธรรมในบริบทที่หลากหลายและสามารถตอบสนองความต้องการและความคาดหมายใหม่ๆของเยาวชนได้ตลอดนั้น ก็เป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของคุณพ่อบอสโกนั่นเอง
ความผสมผสานกลมกลืนระหว่างพรสวรรค์กับสถานการณ์ทำให้คุณพ่อบอสโกกลายเป็น “บิดา อาจารย์และเพื่อนของเยาวชน” ดังที่พระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 ได้ตรัสถึงท่านในปี 1988 ความสามารถโดยธรรมชาติของคุณพ่อบอสโกที่จะเข้าหาเยาวชนและทำตัวให้พวกเขาไว้วางใจ อีกทั้งศาสนบริการในฐานะสงฆ์ทำให้คุณพ่อสามารถเข้าถึงหัวใจมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้งและเข้าถึงผลงานของพระหรรษทานในการพัฒนาของเด็กๆ รวมทั้งไหวพริบในการประยุกต์ความคิดอ่านลงสู่ภาคปฏิบัติในรูปแบบซื่อๆ และการคลุกคลีกับเยาวชนเป็นเวลานานๆ...เหล่านี้เอื้อให้ท่านสามารถพัฒนาแรงบันดาลใจแรกเริ่มให้ไปถึงความเต็มเปี่ยมได้อย่างงดงาม
ทว่า รากแก้วของทุกสิ่งเหล่านี้คือกระแสเรียก คุณพ่อบอสโกถือว่าการรับใช้เยาวชนคือการตอบรับการเรียกขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยใจกว้าง เป็นการผสมผสานระหว่างความศักดิ์สิทธิ์และการอบรม เป็นชีวิตแห่งการเสียสละ เป็นการแสดงออกของความรัก ซึ่งรวมกันเป็นบุคลิกของตัวท่าน คุณพ่อจึงเป็นนักอบรมศักดิ์สิทธิ์และเป็นนักบุญนักอบรม
คุณพ่อบอสโกทำให้การผสมผสานดังกล่าวหลอมกันเป็น “ระบบ” ซึ่งเป็นกระบวนการความคิดและการนำสู่ภาคปฏิบัติที่สามารถเขียนเป็นหนังสือ เล่าเป็นภาพยนตร์ บรรยายเป็นบทกวีหรือบทเพลงได้อย่างลงตัว สิ่งนี้เองดึงดูดใจผู้ร่วมงานที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและสร้างความฝันให้แก่เยาวชน
ศิษย์ของคุณพ่อบอสโกซึ่งต่างก็มีกระแสเรียกให้เป็นนักอบรมได้นำระบบการอบรมนี้เข้าสู่วัฒนธรรมหลากหลายและทำให้เป็นโครงการอบรมที่แตกต่างกันตามแต่สถานการณ์ของเยาวชน บุคคลเป้าหมายแห่งภารกิจของเรา
เมื่อมีการพิจารณาเกี่ยวกับชีวิตของคุณพ่อบอสโกหรือประวัติศาสตร์กิจการของท่าน ก็มักจะเกิดคำถามเหล่านี้ แล้วทุกวันนี้ล่ะ? จะสามารถนำไอเดียนี้ไปประยุกต์ได้แค่ไหน? วิธีแก้ไขปัญหาที่คุณพ่อเคยใช้จะสามารถนำมาแก้ไขปัญหาที่เราต้องพบเห็นและดูจะยากเกินกว่าแก้ได้หรือเปล่า? เป็นต้นว่า การเสวนาระหว่างวัย ความสามารถในการสื่อคุณค่า การสื่อมุมมองของความจริงต่างๆ ฯลฯ
พ่อคงไม่เสียเวลามาพูดถึงความแตกต่างระหว่างสมัยของคุณพ่อบอสโกกับสมัยของเรา ซึ่งแต่ละอย่างก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยและมีอยู่ในทุกพื้นที่ อาทิ สภาพเยาวชน ครอบครัว พฤติกรรม รูปแบบการศึกษาอบรม ชีวิตสังคม การปฏิบัติศาสนา เป็นต้น และหากจะพยายามย้อนรอยประวัติศาสตร์อย่างซื่อสัตย์ ก็คงต้องลำบากที่จะเข้าใจประสบการณ์แห่งอดีต และลำบากไปกว่านั้นหากจะนำประสบการณ์เหล่านั้นมาใช้ดำเนินชีวิตและปฏิบัติในบริบทที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง
กระนั้นก็ดี เรามีความตระหนักใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณพ่อบอสโกนั้นเป็นช่วงเวลาเต็มเปี่ยมแห่งพระหรรษทาน และเราสามารถใช้เป็นแรงบันดาลใจสำหรับผู้ปกครองและผู้อบรมที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในบริบทปัจจุบัน ตอกย้ำให้รู้ว่ามีความคิดหลายอย่างที่พร้อมจะนำไปพัฒนาได้ เหมือนดังเมล็ดที่พร้อมจะงอกสู่ชีวิต”5
1.2. รักปกป้อง
บทเรียนอย่างหนึ่งที่เราต้องเรียนรู้คือการป้องกัน อาทิ ความจำเป็น
ของการป้องกัน ประโยชน์ ผลกระทบและความรับผิดชอบที่ต้องมี ปัจจุบันนี้ที่เราต่างรับรู้ข้อมูลหลายอย่างที่น่าตกใจ เราก็ยิ่งจะเห็นความจำเป็นของการป้องกัน แต่การที่ยอมรับหลักการและนำไปปฏิบัติอย่างมีประสิทธิผลในสถานการณ์สังคมในปัจจุบันนั้นไม่ง่าย น่าเสียดายว่าเรื่องนี้ไม่ได้รับความสนใจ
เท่าที่ควร
กระนั้นก็ดี การป้องกันเป็นเรื่องไม่ต้องลงทุนมากมายแต่มีประสิทธิผลมากกว่ามาตรการแก้ไขความผิดและการฟื้นฟูหลังต้องคดี อันที่จริงแล้ว การป้องกันเป็นการช่วยให้เยาวชนส่วนมากหลุดพ้นจากประสบการณ์เชิงลบหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละอย่างล้วนทำให้พวกเขาต้องเสี่ยงต่อการเสียสุขภาพ การพัฒนาด้านจิตวิทยา การใช้ศักยภาพที่มี และความสุขนิรันดร ในเวลาเดียวกันก็ทำให้พวกเขาได้ใช้พรสวรรค์ที่มีอย่างเต็มที่ ได้ประโยชน์สูงสุดจากโอกาสการศึกษาอบรมที่มี และสามารถแก้ไขความผิดพลาดที่ทำไว้ในอดีต นี่คือข้อสรุปที่คุณพ่อบอสโกได้จากประสบการณ์การทำงานเพื่อเยาวชนที่ถูกจำจองในคุกและการติดต่อกับเยาวชนที่ขายแรงงานในกรุงตุริน
การป้องกันในรูปแบบตำรวจเพื่อรักษากฎหมายในสังคมกลายเป็นลักษณะสำคัญและพื้นฐานของการอบรมของคุณพ่อบอสโก เป็นการป้องกันเพราะไร้ซึ่งกาลเวลาและเพราะรูปแบบและวิธีการที่คุณพ่อนำมาใช้ คุณพ่อมองเห็นล่วงหน้าถึงสถานการณ์เลวร้าย ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกายหรือด้านจิตใจ อีกทั้งพฤติกรรมที่จะตามมา ในเวลาเดียวกันคุณพ่อก็หามาตรการเพื่อรักษาคุณภาพที่ดีในแต่ละบุคคลและชี้แนะไปสู่โครงการที่น่าดึงดูดใจและมากด้วยประโยชน์ คุณพ่อตระหนักถึงความดีในจิตใจของเยาวชนแต่ละคน แม้แต่ในตัวเยาวชนที่เลวร้ายกว่าหมดก็ยังมีเมล็ดแห่งความดีอยู่ จึงเป็นหน้าที่ของผู้อบรมที่ชาญฉลาดที่จะค้นพบและช่วยพวกเขาพัฒนาความดีนั้นๆ เพื่อทำเช่นนี้ได้จำต้องสร้างบริบทที่ดีๆ อาทิ บรรยากาศครอบครัว เพื่อนๆ สิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่ต้องเรียนรู้ ซึ่งแต่ละอย่างจะเป็นตัวกระตุ้นให้เยาวชนเกิดความสำนึก และเรียนรู้โลกแห่งความจริงให้กว้างขึ้น ซึ่งแต่ละอย่างจะเอื้อให้พวกเขาพบความสุขกับการดำเนินชีวิตและได้ลิ้มรสชาติแห่งความดี
นี่คือวิธีการที่คุณพ่อบอสโกใช้ในการเข้าหาไมเกิล มาโคเน “ขุนพลน้อย” แห่งสถานีรถไฟการ์มาโญลา เพื่อมอบความเป็นมิตรให้ ตามด้วยการศึกษาอบรมในศูนย์เยาวชนแห่งวัลดอกโก การชี้นำที่เชี่ยวชาญ (“มาร์โคเนที่รัก พ่ออยากให้เธอช่วยพ่ออย่างหนึ่ง...คือปล่อยให้พ่อมองเข้าไปในจิตใจของเธอสักพักหนึ่ง”) ในที่สุด คุณพ่อบอสโกก็สามารถช่วยเขาให้พบความหมายแห่งชีวิตและแหล่งที่มาแห่งความสุขแท้ในพระเจ้า (“โอ ผมมีความสุขเหลือเกิน”) พร้อมทั้งยกย่องเขาให้เป็นแบบอย่างสำหรับเยาวชนเมื่อวานนี้และวันนี้
ปัญหาอย่างหนึ่งในสังคมทุกวันนี้คือการให้การศึกษาอบรมที่ยังไม่เพียงพอและไปไม่ถึงทุกคน เด็กหลายคนจึงหลุดออกนอกทางและไม่ได้รับสิ่งที่พวกเขาแสวงหา การศึกษาอบรมดังกล่าวจึงไม่ครอบคลุมไปถึงเด็กที่ยังไม่มีความพร้อมหรือตามคนอื่นไม่ทัน ดังนั้น เราต้องจัดการกับสถานการณ์นี้ด้วยมาตรการเชิงป้องกันและจัดให้เด็กและเยาวชนมีการศึกษาอบรมได้อย่างเพียงพอ พร้อมกับการผนึกพลังกับครอบครัว นักการเมือง สวัสดิการสังคม ตัวแทนการศึกษา หมู่คณะวัดและปัจเจกบุคคล การศึกษาอบรม โดยเฉพาะสำหรับเยาวชนที่ด้อยโอกาส แทนที่จะมองว่าเป็นเรื่องของงานหรือคุณภาพเชิงอาชีพ น่าจะมองเป็นกระแสเรียกอย่างหนึ่ง คุณพ่อบอสโกเป็นบุคคลที่มีพระพรพิเศษและเป็นผู้บุกเบิกในด้านนี้ คุณพ่อล้ำหน้าไปไกลก่อนจะมีการ
ตรากฎหมายหรือการสร้างธรรมเนียมประเพณีในเรื่องนี้ คุณพ่อสำนึกในการท้าทายของสังคม และใช้วิธีการเข้าหาเด็กและเยาวชนในแบบของคุณพ่อซึ่งเป็นผลจากกระแสเรียกที่ได้รับและทำให้การริเริ่มทุกอย่างเชื่อมโยงกับชื่อของคุณพ่อ สิ่งที่เราต้องทำเพื่อตอบรับการท้าทายในปัจจุบันก็คงไม่แตกต่างจากสมัยของคุณพ่อบอสโกนัก นั่นคือ ขับเคลื่อนพลังทุกอย่างที่มีอยู่ ส่งเสริมกระแสเรียกนักอบรมและสนับสนุนโครงการต่างๆ
ประสิทธิผลเชิงป้องกันของการอบรมตั้งอยู่ในคุณภาพของการอบรม ความซับซ้อนทางสังคม ความหลากหลายด้านความนึกคิดและสารที่สื่อออกมา การแบ่งชีวิตออกเป็นส่วนๆ ก่อผลเสียให้แก่การอบรมด้วย สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ ความไม่ต่อเนื่องระหว่างสิ่งที่นำเสนอกับรูปแบบต่างๆ ของการตอบรับ เลยกลายเป็นการใช้ยาควบคุมอาหารไม่เพียงแต่ฝ่ายกาย แต่ฝ่ายจิตใจด้วย คำสโลแกนเลยกลายเป็นรูปแบบของการสื่อสาร
อันตรายอีกอย่างหนึ่งคือการเลือกสิ่งที่มีอยู่ตามใจชอบ นี่คืออัตนิยม (subjective) การเลือกจึงผ่านจากตลาดไปสู่ชีวิต ใครก็ตามย่อมรู้ดีว่ามันยากที่จะรอมชอมระหว่างตัวเลือกที่แตกต่างกัน นั่นคือ ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับผู้อื่น ระหว่างความรักกับเพศ ระหว่างมุมมองเชิงวัตถุ (objective) กับความสำนึกถึงพระเจ้า ระหว่างข้อมูลข่าวสารมากมายกับความยากในการเข้าถึงคุณค่าของมัน ระหว่างสิทธิกับหน้าที่ ระหว่างอิสรภาพและมโนธรรม
วิธีการของคุณพ่อบอสโกคือการส่งเสริมเยาวชนในทุกเรื่องที่เป็นเชิงบวกหรือความทะเยอทะยานที่สร้างสรรค์ ช่วยพวกเขาให้เข้าถึงคุณค่าด้านวัฒนธรรมซึ่งประกอบด้วยความคิดเห็น ประเพณีและความเชื่อ ซึ่ง
แต่ละอย่างเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าถึงประสบการณ์ลึกซึ้งแห่งความเชื่อ ช่วยให้พวกเขามีบทบาทในสังคมที่พวกเขาสามารถรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งด้วยงานที่ทำ ด้วยการร่วมรับผิดชอบในความดีส่วนรวมและอุทิศตนเพื่อสร้างความกลมกลืนในสังคม คุณพ่อบอสโกใช้คำพูดง่ายๆ เพื่อให้เยาวชนเข้าใจ เช่นว่า “คริสตชนที่ดีและพลเมืองที่ซื่อสัตย์” “สุขภาพ ความฉลาดรอบรู้ ความศักดิ์สิทธิ์” “เหตุผลและความเชื่อ”
ผลประโยชน์ที่แต่ละคนได้รับจากการอบรมจะต้องนำไปสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมด้วยจิตตารมณ์แห่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับผู้อื่น โดยการดำเนินชีวิตซื่อสัตย์ในผลสำเร็จด้านวัตถุในโลกที่มีมิติฝ่ายจิต มิติเหนือธรรมชาติและมิติคริสตธรรม การอบรมและการฝึกฝนด้านอาชีพต้องโยงไปถึงมุมมองคริสตชนเกี่ยวกับโลก การอบรมมโนธรรมและการสร้างความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง
เพื่อจะไม่ตกในอุดมการณ์ที่เลยเถิด คุณพ่อบอสโกเริ่มจากสิ่งที่ทำได้ ปรับเข้ากับสภาพของเยาวชนและสถานการณ์ของผู้ให้การอบรม ในศูนย์เยาวชนของคุณพ่อเด็กสามารถวิ่งเล่น พวกเขาได้รับการต้อนรับอย่าง
อบอุ่น กระทั่งกลายเป็นความสัมพันธ์สนิทสนม มีการสอนความรู้ด้านศาสนา พวกเขาเรียนรู้เขียนอ่าน ฝึกทำงาน รู้หลักประพฤติปฏิบัติด้านสังคม กฎหมายด้านแรงงาน พร้อมกับความพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้น
ปัจจุบันมีการเรียนรู้ที่ไม่ได้นำปัญหาชีวิตเกี่ยวข้องด้วย นี่คือสิ่งที่เยาวชนรู้สึกคับข้องใจ นอกนั้นก็มีการอบรมด้านอาชีพโดยไม่นำพาต่อหลักศีลธรรมหรือมิติด้านวัฒนธรรมเลย มีการอบรมที่จำกัดอยู่แค่เวลาปัจจุบันและไม่มีการพูดถึงปัญหาชีวิตแต่อย่างใด
ชีวิตและสังคมซับซ้อนขึ้นทุกวัน ใครก็ตามที่ไม่มีแผนที่หรือเข็มทิศก็อาจจะหลงหรือไปไม่ทันผู้อื่น การอบรมด้านความนึกคิด ด้านมโนธรรมและด้านจิตใจจึงเป็นเรื่องจำเป็นมากกว่าหมด
“พื้นที่ปัญหา” หนึ่งของการอบรมทุกวันนี้คือการสื่อสาร การสื่อสารระหว่างวัยอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว การสื่อสารระหว่างบุคคลที่มีน้อยลง การสื่อสารระหว่างสถาบันและผู้มาใช้บริการอันเนื่องมาจากความเข้าใจเป้าหมายแตกต่างกันออกไป การสื่อสารทุกวันนี้จึงสับสน มีปัญหา เต็มด้วยความกำกวมอันเนื่องมาจากเสียงหนวกหูมากเกินไป หรือมีสารมากจนเลือกไม่ถูก รวมทั้งผู้สื่อสารและผู้รับสารไม่ปรับคลื่นให้ตรงกัน ผลที่ตามมาคือความเข้าใจผิด ความเงียบ ขีดจำกัด การเลือกฟังเฉพาะที่ต้องการ การพยายามอยู่ด้วยกันอย่างสงบ ไม่ให้มีเรื่องมีราว จึงยากที่จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับท่าที การวางตัวหรือการสื่อคุณค่าต่างๆ
1.3. ภาษาหัวใจ
ภาษาหัวใจก็เปลี่ยนไปจากสมัยของคุณพ่อบอสโกไม่น้อย กระนั้นก็ดี คุณพ่อยังได้เสนอแนะว่ามันเป็นเรื่องง่ายและหากรู้จักนำมาใช้ก็จะได้ใจคนอื่นได้ไม่ยาก ข้อแนะนำอย่างหนึ่งคือ “จงรักเด็ก” “เราจะได้หลายอย่างจากเด็กๆ ด้วยสายตาเป็นมิตร” ใน “จดหมายเกี่ยวกับการลงโทษเด็ก” มีเขียนว่า “จงใช้คำพูดส่งเสริมให้กำลังใจ แทนที่จะเอาแต่ตำหนิ” (BM XVI, 373)6
รักเด็กคือยอมรับพวกเขาอย่างที่พวกเขาเป็น ใช้เวลาอยู่กับพวกเขา แสดงให้เห็นว่าเราอยากจะร่วมมีส่วนในค่านิยมและความไว้ใจของพวกเขา ทำให้เห็นว่าเราสนุกกับสิ่งเหล่านี้ ให้ความไว้ใจพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ ในเวลาเดียวกันก็อดทนกับข้อบกพร่องอันเกิดจากความหัวเบาหรือการขาดวุฒิภาวะของพวกเขา นี่คือสิ่งที่คุณพ่อบอสโกคิด “เยาวชนทุกคนมีวิกฤติการของพวกเขาเอง อย่างที่ท่านก็มีเหมือนกัน สวรรค์จะช่วยเราถ้าเราไม่พยายามจะทำให้พวกเขาผ่านพ้นวิกฤติไปอย่างเร่งรีบและไร้ตำหนิใดๆ” (BM XVI, 373)7
มีคำพูดที่ไม่ค่อยใช้พูดกันในปัจจุบันนี้ซึ่งซาเลเซียนภูมิใจที่จะรักษามันไว้เพราะคำพูดนี้สรุปสิ่งที่คุณพ่อบอสโกได้เรียนรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ด้านการอบรมและมอบให้เป็นข้อแนะนำ นั่นคือ ความรักใจดี ซึ่งมีที่มาในความรักแห่งพระวรสาร ความรักที่ทำให้ผู้อบรมเห็นถึงแผนการของพระเจ้าสำหรับเยาวชนแต่ละคนและช่วยเยาวชนให้สำนึกถึงแผนการนี้และทำให้แผนการนี้เป็นรูปธรรมด้วยความรักที่เป็นไทและไม่เห็นแก่ตัวตามเยี่ยงอย่างความรักของพระเจ้า ความรักใจดีคือความรักที่เห็นได้และแสดงออกได้
ความรักใจดีเป็นความรักที่แสดงออกมาในรูปแบบที่เยาวชนพร้อมจะตอบรับ โดยเฉพาะเยาวชนที่ยากจน เป็นการเข้าหาด้วยความไว้ใจ เข้าหาเป็นฝ่ายแรก พูดคำแรก ให้ความเคารพอย่างที่พวกเขาเข้าใจได้ สนับสนุนให้มีความไว้วางใจต่อกัน ส่งเสริมความมั่นใจในตนเอง เสนอและส่งเสริมให้ร่วมมีส่วนและร่วมพลังเพื่อเอาชนะความยากลำบากต่างๆ
เช่นนี้ แม้จะยังมีความยากลำบาก แต่ความสัมพันธ์เริ่มพัฒนาขึ้น กระนั้นก็ดียังต้องตีความการหยั่งรู้ของคุณพ่อบอสโกให้เข้ากับบริบทของเราด้วย ความสัมพันธ์นี้จะกลายเป็นมิตรภาพและพัฒนาไปสู่ความเป็นบิดาในที่สุด
มิตรภาพเติบโตได้ด้วยท่าทีใกล้ชิดเป็นกันเองและรับการหล่อเลี้ยงจากท่าทีเหล่านี้ แล้วนั้นก็เกิดความไว้วางใจ และความไว้วางใจเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของการอบรม เพราะนั่นเป็นหนทางเดียวที่เยาวชนจะเปิดประตูดวงใจให้เราและเปิดเผยความลับของพวกเขาให้เรา พร้อมกับบอกเราว่าการตอบสนองเป็นไปได้ ในกรณีของเรามิตรภาพแสดงออกมาในการดูแล
การจะเข้าใจความหมายของการดูแลซาเลเซียนคงยากหากดูแค่ความหมายของคำจากพจนานุกรมที่ใช้กันทุกวันนี้ การดูแลเป็นคำที่บ่งบอกถึงประสบการณ์และมีความหมาย เป็นคำที่ใช้ในความหมายหนึ่งเดียวเท่านั้น เป็นคำบ่งบอกถึงความปรารถนาที่จะอยู่กับเยาวชน “ฉันอยากจะอยู่กับพวกเธอที่นี่” เป็นการอยู่ทางกายในที่เยาวชนมารวมตัวกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและวางแผนด้วยกัน ในเวลาเดียวกันก็เป็นเวลาที่มีมิติด้านศีลธรรมที่เข้าใจได้ง่าย เป็นการให้กำลังใจและชี้แนะแนวทาง อีกทั้งให้คำแนะนำตามความต้องการของเยาวชนแต่ละคน
การดูแลจึงเป็นการอบรมแบบพ่อลูก ซึ่งมากไปกว่ามิตรภาพ มันเป็นการแสดงออกของความรักและอำนาจแห่งความรับผิดชอบที่เสนอนำและสอน อีกทั้งเรียกร้องให้มีวินัยและความจริงจัง ความเป็นพ่อจึงเป็นความรักและอำนาจในเวลาเดียวกัน
สิ่งนี้เราเห็นได้ดีกว่าหมดในคำว่า “รู้ที่จะพูดกับหัวใจ” เป็นการพูดแบบตัวต่อตัว ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติต่อสิ่งที่เยาวชนคิด ช่วยอธิบายให้พวกเขาเข้าใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขา ในเวลาเดียวกันก็ช่วยให้พวกเขาเข้าใจในคุณค่าของรูปแบบพฤติกรรมและความรู้สึก หยั่งลึกลงไปในมโนธรรมของพวกเขา
พูดให้น้อยแต่เข้าจึงประเด็น ไม่หยาบคายแต่ชัดเจน ในวิธีการอบรมของคุณพ่อบอสโก มีสองตัวอย่างของวิธีการพูดแบบนี้ นั่นคือ “ราตรีสวัสดิ์” ซึ่งเป็นคำพูดไม่กี่คำที่พูดกับแต่ละคนในตอนค่ำ พร้อมกับข้อคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน และ “คำพูดกระซิบที่หู” ซึ่งเป็นคำพูดแบบตัวต่อตัวในรูปแบบไม่เป็นทางการในช่วงเวลาหย่อนใจ แต่ละคำพูดเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเพราะเป็นการพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและมีคำแนะนำอันชาญฉลาดว่าจะจัดการกับเหตุการณ์เหล่านี้ได้อย่างไร อันที่จริงแล้ว นี่คือตัวช่วยในการดำเนินชีวิตและการสอนศิลปะแห่งการดำเนินชีวิต
มิตรภาพ การดูแลและความเป็นบิดาช่วยสร้าง บรรยากาศครอบครัว ณ ที่ซึ่งมีความเข้าใจด้านคุณค่าและการยอมรับในสิ่งที่คุณค่าเรียกร้อง และเช่นนี้ก็เกิดมีความสมดุลระหว่างท่าทีแห่งอำนาจซึ่งเสี่ยงที่จะไม่มีอิทธิพลเหนือเยาวชนแม้จะได้ผลภายนอกกับการปฏิบัติกับเยาวชนอย่างไม่มีเป้าหมาย ความสมดุลระหว่างการก้าวก่ายจนเยาวชนไม่สามารถแสดงออกได้อย่างอิสระกับการอบรมแบบปล่อยตามใจอย่างไร้ความผิดชอบโดยไม่มีความพยายามจะสื่อคุณค่าใดๆ ความสมดุลระหว่างท่าทีเป็นเพื่อนมากเกินไปกับพฤติกรรมแบบผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบ
ความเป็นบิดาของคุณพ่อบอสโก แสดงออกมาในบริบทครอบครัวที่มีผู้อาวุโสเป็นใหญ่ ซึ่งเป็นลักษณะต้นแบบของการใช้อำนาจ อาทิ ในสังคม ในโลกธุรกิจ ในการศึกษา เป็นต้น แต่ละอย่างจึงมี “รูปแบบครอบครัวของตน” ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา ธุรกิจ หรือเศรษฐกิจ การอบรมที่มีผู้อบรมเล่น “บทบาทพ่อ” จึงไม่ค่อยมีการพูดถึงนัก
สำหรับการอบรมของเรา ไม่มีอะไรสามารถทดแทนความเป็นบิดาได้ เพราะเป็นความรักที่ให้ชีวิตและรับผิดชอบต่อการพัฒนา เป็นความรักจากหัวใจอย่างที่ควรจะเป็น เป็นการช่วยกระบวนการแห่งวุฒิภาวะ ยอมรับความเป็นเอกเทศ และต้อนรับคนที่กลับมาด้วยความยินดี
การป้องกัน ข้อเสนอแนะ และความสัมพันธ์มารวมตัวกันทุกครั้งที่เราพบเห็นเยาวชน เยาวชนต้องการแสดงความมีชีวิตชีวาออกมา สิ่งที่พวกเขารู้สึกภายใน สิ่งที่พวกเขาคิดและวางแผน เยาวชนต้องการมีโอกาสเพื่อมีประสบการณ์ของการมีความรับผิดชอบ นำคุณค่าที่ได้เรียนรู้ไปประยุกต์ให้เป็นรูปธรรม ฝึกฝนความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับผู้อื่น อีกทั้งรู้จักบริหารชีวิตของพวกเขาเอง
สำหรับนักอบรมซาเลเซียน “กุญแจการอบรมที่ดีที่สุด” เพื่อจะรู้จักเยาวชน จึงไม่อยู่ที่การทดสอบทางจิตวิทยา หากแต่อยู่ใน “สนามเล่น” ณ ที่ซึ่งเยาวชนสามารถแสดงออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ การติดต่อในเชิงอบรมจึงไม่อยู่ในสถานการณ์แบบทางการ แต่ในรูปแบบเป็นธรรมชาติ แม้ว่ากระบวนการเติบโตของเยาวชนจะต้องมีความเคารพในกฎเกณฑ์และความอ่อนน้อมเชื่อฟังผู้อบรม กระนั้นก็ดี สิ่งที่พวกเขาต้องการมากกว่านั้นคือการมีโอกาสที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ด้วยความร่าเริงยินดีและในชีวิตกลุ่ม ชมรม หมู่คณะเยาวชน ณ ที่ซึ่งผู้อบรมมีบทบาทในการสร้างแรงบันดาลใจ ขับเคลื่อน ให้กำลังใจ เปิดวิสัยทัศน์และสนับสนุนกิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ
กิจการที่ได้รับแรงบันดาลใจจากคุณพ่อบอสโกต่างก็รักษาลักษณะจำเพาะที่คุณพ่อได้ก่อตั้งขึ้น แต่ละกิจการจึงพยายามตอบรับความต้องการของเยาวชนอย่างเป็นรูปธรรมและสอดคล้องกับอุดมการณ์ในแต่ละโครงการ อาทิ การเรียนการสอน หอพัก การเตรียมความพร้อมสำหรับงานที่จะทำและการพักผ่อน เป็นต้น นอกนั้นก็ยังรวบรวมผู้ใหญ่ให้มาอยู่ด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชั้นกรรมกรหรือผู้ที่สนใจช่วยผู้อื่น จึงเป็นกิจกรรมที่เปิดกว้างสำหรับทุกคน พร้อมกับเครือข่าย การร่วมมือกับสถาบันต่างๆ ชุมชนท้องถิ่น ประชาชนและผู้มีอำนาจทางบ้านเมือง
ปัจจุบันนี้ เยาวชนต้องการ “พื้นที่” สำหรับเยาวชน ไม่ว่าจะขนาดเล็ก ขนาดกลางหรือขนาดใหญ่ ดังที่เห็นได้ชัดจากดิสโกเธคและสถานที่บันเทิงต่างๆ ความโดดเดี่ยวซึ่งเป็นผลมาจากพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนมักจะก่อปัญหาและความเสียหายให้เยาวชน การวิเคราะห์เชิงการอบรมเจาะลึกเข้าถึงประเด็นของความแตกต่างระหว่างสถานที่จัดขึ้นเพื่อจุดประสงค์จำเพาะกับ “สถานที่เพื่อชีวิต” ที่เปิดให้เข้าออกอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อค้นหาความหมาย โครงการ การสร้างสรรค์ ระหว่างสถานที่บังคับกับสถานที่เลือกอย่างอิสระ ระหว่างสถานที่กำหนดให้กับสถานที่เพื่อชีวิต ในกรณีของคุณพ่อบอสโก คุณพ่อผสมผสานสถานที่สองประเภทนี้เข้าด้วยกัน เพื่อว่าความแตกต่างเชิงการอบรมจะได้หมดไป
2. สนับสนุนการพัฒนาของเยาวชนไปสู่ความเต็มเปี่ยม
แห่งศักยภาพ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เยาวชน คุณพ่อบอสโกได้เลือกการอบรม เป็นการอบรมที่เล็งเห็นล่วงหน้าถึงความชั่วด้วยการไว้วางใจในความดีที่มีอยู่ในจิตใจของเยาวชนแต่ละคน อีกทั้งศักยภาพที่สามารถพัฒนาได้ด้วยความพากเพียรมั่นคง ในเวลาเดียวกันก็คำนึงถึงความเป็นปัจเจกของเยาวชนแต่ละคน การอบรมก่อให้เกิดปัจเจกบุคคลที่สมบูรณ์ มีบทบาทและรับผิดชอบในฐานะพลเมืองดี เปิดสู่คุณค่าแห่งชีวิตและความเชื่อ เป็นชายและหญิงที่สามารถให้ความหมายแก่ชีวิตของตนได้ด้วยความยินดี สำนึกในความรับผิดชอบและความเชี่ยวชาญของตน จึงเป็นการอบรมที่กลับกลายเป็นประสบการณ์ฝ่ายจิตที่แท้จริงและสัมผัส “ความรักของพระเจ้าผู้ทรงจัดหาทุกอย่างสำหรับสิ่งสร้างของพระองค์เป็นการล่วงหน้า ทรงประทับอยู่เคียงข้างและทรงมอบชีวิตของพระองค์เพื่อกอบกู้พวกเขาโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน” (พระวินัยซาเลเซียน 20) การจะเลือกการอบรมแบบคุณพ่อบอสโกในทุกวันนี้จำต้องคำนึงถึงการเลือกพื้นฐานบางอย่าง
2.1. แบ่งปันความไว้วางใจในการอบรม
ยุคของเราดูจะให้ความไว้ใจในการศึกษาอบรม จึงได้มีความพยายามที่จะขยายโอกาสการศึกษาอบรมไปถึงทุกคน จึงมีความพยายามต่อเนื่องที่จะดัดแปลงระบบการศึกษาอบรมให้สามารถตอบรับการท้าทายที่เกิดขึ้นในที่ทำงาน เริ่มตั้งแต่การพัฒนาความรู้และรูปแบบการบริหารสังคม นอกนั้นก็มอบหมายเรื่องนี้ให้แก่สถาบันที่เชี่ยวชาญมากขึ้น มีการเน้นวัฒนธรรมแห่งการสื่อสาร ข้อมูลข่าวสารเชิงวิทยาศาสตร์และการเตรียมความพร้อมเชิงอาชีพ อีกทั้งมีการขยายความรับผิดชอบไปยังสถาบันครอบครัว สังคมและรัฐ ยิ่งทียิ่งมากขึ้น
ดังนั้น การศึกษาอบรมจึงเป็นกิจกรรมด้านสังคม ซึ่งรับรู้ถึงสิทธิ์และความต้องการของทุกคน ปัญหาเกี่ยวกับการศึกษาอบรมจึงเป็นความสนใจของทุกคน นักบริหารและนักธุรกิจต่างก็ให้ความสนใจเรื่องนี้เช่นกัน โดยพื้นฐานแล้ว มันเป็นเรื่องการยอมรับในคุณค่าหนึ่งเดียวของปัจเจกบุคคลและการที่ปัจเจกบุคคลเป็นศูนย์กลางของวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม ชีวิตสังคมและแม้กระทั่งกระบวนการผลิตด้วย
พระศาสนจักรมีความสนใจเรื่องนี้เช่นกันและมีแนวทางเกี่ยวกับเรื่องนี้ค่อนข้างมาก การร่วมมีส่วนในงานด้านการศึกษาอบรมเห็นได้เด่นชัดในหลายบริบท ทั้งในด้านการขยายการศึกษาและคุณภาพ ความเชื่อมโยงระหว่างการประกาศข่าวดีและการศึกษาอบรมทำให้พระศาสนจักรเห็นว่าการศึกษาอบรมเป็นพันธกิจที่อยู่ในหัวใจของภารกิจของพระศาสนจักร ทำให้พระศาสนจักรเห็นในบทบาทของตนเองและความต้องการที่จะเป็นนักอบรม
สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนกว่าหมด คือชีวิตของนักอบรมผู้ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งได้ทำให้หน้าที่การศึกษาอบรมเป็นการแสดงออกของความรักของพระเจ้า ความรักที่พวกเขาที่มีต่อมนุษยชาติที่เห็นเป็นรูปธรรมและเส้นทางแห่งความศักดิ์สิทธิ์ แล้วนั้นก็มีสถาบันและกลุ่มต่างๆในพระศาสนจักรที่ตามเยี่ยงอย่างของพวกเขาและถือว่าการศึกษาอบรมเป็นพันธกิจและรูปแบบชีวิตของตน
คุณพ่อบอสโกและครอบครัวซาเลเซียนอยู่ในกลุ่มบุคคลเหล่านี้ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนักอบรมผู้ศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาต้องการจะตอบรับแรงดลใจที่ลึกซึ้งของบุคคลเหล่านี้และสานต่องานของพวกเขาในปัจจุบัน พร้อมกับตอบรับการเชื้อเชิญให้มีการประกาศข่าวดีแบบใหม่
2.2. เริ่มจากคนในฐานะต่ำต้อย
แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วจะมีความไว้ใจในการอบรม แต่เราก็ยังรู้สึกว่ายังมีช่องว่างระหว่างความปรารถนาและความเป็นไปได้ ระหว่างแถลงการณ์และการนำแถลงการณ์ไปปฏิบัติ ระหว่างเจตนาและการทำให้เจตนาเป็นรูปธรรม ระหว่างสิทธิที่เป็นที่ยอมรับและการให้หลักประกันแก่สิทธิเหล่านี้ ช่องว่างดังกล่าวนี้เราสามารถพบเห็นได้ในหลายบริบท
ดังนั้น สิ่งแรกที่เราจะต้องคำนึงคือการขาดการบริการและเงื่อนไขที่จำเป็นเพื่อการศึกษาอบรม ในตอนเริ่มต้นแห่งสหัสวรรษที่สาม พื้นที่แห้งแล้งแห่งศึกษาอบรม เป็นเหมือนทะเลทราย ไม่ได้ลดขนาดลงแต่อย่างใด มีแต่ขยายกว้างออกมาไปเรื่อยๆ
ทั่วโลก โอกาสของการศึกษาอบรมลดลงอย่างน่าใจหาย ทั้งในแง่การขาดการศึกษาอบรมและในแง่ของจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ความขัดแย้งภายใน การหยุดการบริการ การบริหารที่ล้มเหลวและเต็มด้วยความโลภ ตลอดจนความเสื่อมทางสังคมและการเมืองซึ่งทำให้จำนวนประเทศด้อยพัฒนามีมากขึ้น และบุคคลที่ตกเหยื่อแรกคือเยาวชน
นอกนั้นมีการลดโอกาสของการศึกษาอบรมในสังคมที่ก้าวหน้า ซึ่งเห็นได้ชัดในการขาดโอกาสการศึกษาในโรงเรียน การขาดการสนับสนุนจากครอบครัว รูปแบบหลากลายของการกระทำผิด เยาวชนที่ตกงานและการใช้แรงงานเด็กที่ขาดความเชี่ยวชาญซึ่งมักจะเชื่อมโยงถึงเครือข่ายอาชญากรรมรูปแบบต่างๆ
ในสถานการณ์เหล่านี้ เราเห็นถึงการท้าทายใหม่ เช่นว่า ความต้องการที่จะมีโอกาสการศึกษาอบรมพื้นฐาน การแบ่งความสนใจ เวลาและทรัพยากรให้ทั่วถึง เพื่อให้สิ่งเหล่านี้ขยายไปถึงบุคคลที่ขาดการศึกษาทั้งในพื้นที่และในระดับโลก
ครอบครัวของเรารับคนจนเป็นมรดกตกทอดและได้พยายามทำหลายอย่างในทวีปที่ยากจนอย่างเช่นอัฟริกา เราจึงไม่อาจจะมองข้ามสถานการณ์นี้ไปโดยไม่พยายามแสดงท่าทีเชิงประกาศกบางอย่างออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม
2.3. การศึกษาอบรมใหม่
ความกระตือรือร้นที่มีต่อการศึกษาอบรมยุคนี้เป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ยังมีความคลุมเครือในด้านการบริหารจัดการและทิศทางที่ชัดเจน
มีการพูดกันว่า การศึกษาอบรมช่วยแต่ละคนให้พัฒนาศักยภาพของตนไปสู่ความเต็มเปี่ยมโดยการอบรมมโนธรรม พัฒนาด้านสติปัญญา ช่วยให้เข้าใจเป้าหมายชีวิต กระนั้นก็ดี ยังมีปัญหาและความเข้าใจที่แตกต่างซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งในการศึกษาอบรมอยู่
ปัจจุบันนี้ เราเห็นว่ามีความไม่สมดุลระหว่างอิสรภาพและความสำนึกในด้านศีลธรรม ระหว่างอำนาจและมโนธรรม ระหว่างความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและความก้าวหน้าด้านสังคม ความไม่สมดุลนี้มีหลากหลายรูปแบบ เช่นว่า มีการเน้นการมีมากกว่าการเป็น เน้นความอยากครอบครองมากกว่าการแบ่งปัน เน้นการบริโภคมากกว่าการเห็นในคุณค่าของสิ่งบริโภค
นี่คือความขัดแย้งกันของตัวเลือกซึ่งหากบุคคลใดบุคคลหนึ่งสามารถสร้างความกลมกลืนได้ ก็จะเป็นแหล่งที่มาของพลัง แต่มันจะกลายเป็นตัวทำลายหากมันสามารถเปลี่ยนแปลงคุณค่าต่างๆ ในชีวิตได้ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งคุณค่าพื้นฐานซึ่งถูกมองข้ามหรือถูกทำให้หมดความสำคัญลง องค์ประกอบแห่งโครงสร้าง กระแสวัฒนธรรม และรูปแบบต่างๆ ของชีวิตสังคมสามารถมีอิทธิพลไปในทิศทางเดียว การศึกษาอบรมเรียกร้องให้มีท่าทีเชิงบวกแห่งการวินิจฉัย ข้อเสนอและการเป็นประกาศก พ่ออยากจะพิจารณาถึงความขัดแย้งเหล่านี้ซึ่งเราต้องให้ความสนใจเพื่อจะได้ฟื้นฟูสิ่งที่การศึกษาอบรมเสนอให้
2.3.1. ความซับซ้อนและอิสรภาพ
หลายคนมีความรู้สึกว่าเราดำเนินชีวิตอยู่ในโลกที่สับสนมากในสิ่งที่เป็นความดีและสิ่งที่เป็นความชั่ว นักสังคมวิทยาต่างก็พูดถึงความซับซ้อน สถานการณ์สังคมและวัฒนธรรมที่สื่อสารหลายอย่างออกมา อีกทั้งความหลากหลายของภาษาของสารที่สื่อ ความเข้าใจพื้นฐานของชีวิตโดยมีองค์กรเอกเทศหลากหลายที่สนับสนุน พร้อมกับผลประโยชน์มหาศาลที่ไม่สอดคล้องอยู่เบื้องหลัง นอกนั้นก็มีองค์กรเป็นทางการที่เสนอภาพของโลกและภาพของชีวิตมนุษย์อย่างมีอำนาจ รวมทั้งระบบของกฎเกณฑ์ศีลธรรม ภาพของชีวิตความเป็นอยู่ “รายการ” ของคุณค่าส่วนรวมและบังคับให้ทุกคนยอมรับ
ในสถานการณ์เช่นนี้ กระบวนการศึกษาอบรมจึงเป็นเรื่องยากเย็น คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วก็ไม่รู้ว่าพวกเขาเข้าถึงมรดกแห่งวัฒนธรรมที่แน่นอนแล้วหรือยัง ยิ่งไปกว่านั้น เวลาที่จะส่งต่อมรดกนี้ให้ชนรุ่นหลังก็มีน้อยเต็มที แถมยังมัวแต่วอกแวกกับเรื่องต่างๆ มากมาย ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาสามารถสื่อได้ก็มักจะเป็นสิ่งที่เสื่อมและเสียไปได้ง่ายๆ การศึกษาอบรมแบบเป็นชุดจึงดูไม่น่าสนใจและไม่สามารถเข้าใจได้แบบครบองค์ เลยยังต้องพยายามเพื่อให้มีการยอมรับ
ผลที่ตามมาที่เห็นได้ชัดคือ ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนรุ่นเยาว์ต้องลำบากกับการแสวงหาแนวทางของตนต่อหน้าตัวกระตุ้น ปัญหา ทิศทาง ที่สังคมหยิบยื่นให้ ประเด็นสำคัญของชีวิตดูจะสับสนและไม่ง่ายที่จะประเมิน
ปัญหาที่ประสพพบเห็นในความพยายามของครอบครัว โรงเรียน สังคมและสถาบันศาสนาที่จะสื่อคุณค่าทางวัฒนธรรมทำให้ยากแก่การวางแผนสำหรับชีวิต เห็นได้จากการที่คนมักจะยอมแพ้เมื่อต้องเผชิญกับความขัดแย้งและความไม่พอใจต่างๆ ในความพยายามที่จะทุ่มเทและรักษาการทุ่มเทระยะยาวไว้ ในการเลื่อนการเลือกต่างๆ ในชีวิตออกไป และในการที่ไม่สามารถค้นพบบทบาทของตนในสังคม
ปัญหาด้านการอบรมเกี่ยวกับอัตลักษณ์ (identity)ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในทุกยุคทุกสมัยเยาวชนต้องเผชิญหน้ากับมันเพื่อให้เข้าถึงอัตลักษณ์ของตนในการเลือกที่และบทบาทของตนในสังคม
สิ่งที่ใหม่คือสถานการณ์ของปัญหาในทุกวันนี้ อันที่จริง มีองค์ประกอบผสมผสานซึ่งทำให้เกิดการได้เปรียบและเสียเปรียบในเวลาเดียวกัน ในแง่หนึ่งมีหลายอย่างที่เป็นตัวช่วยและมีอิสระมากขึ้น ราวกับจะบอกเยาวชนเป็นนัยว่า “จงเลือกและช่วยตัวคุณเอง” ในเวลาเดียวกันก็มีการสัญญาว่าจะมีความเป็นเอกเทศและข้อเสนอเพื่อทำให้ชีวิตบรรลุความเต็มเปี่ยม แต่ก็ในรูปแบบโดดเดี่ยว สิ่งที่ขาดไปในทุกวันนี้ไม่ใช่อิสรภาพ แต่เป็นความรู้และความรับผิดชอบ การสนับสนุนและการชี้นำ
ดังนั้น ในไม่ช้าแต่ละคนจะเผชิญหน้ากับขีดจำกัดของตนและอุปสรรคที่เกิดขึ้นในสังคมแห่งยุคหลังยุคอุตสาหกรรม นั่นคือ การแข่งขันและการเลือกสรรในทุกสนาม ทุกตลาดแรงงาน ช่วงเวลาอยู่กับพ่อแม่ยาวขึ้น โอกาสน้อยนิดเพื่อมีบทบาทในชีวิตสังคม การขาดทางเลือกอื่น
สิ่งนี้ก่อให้เกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยซึ่งทำให้เยาวชนในสังคมของเราเปราะบางกับการแสวงหาผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ การโฆษณาชวนเชื่อของสิ่งผลิตทำให้พวกเขาแทบจะไม่มีทางเลือก ไม่เพียงในแง่ของสินค้า แต่ในแง่ของรูปแบบด้วย รูปแบบชายและหญิง อุดมการณ์แห่งความสวยงาม ความสุข ลำดับคุณค่า แนวพฤติกรรมและการมีบทบาทในสังคม
2.3.2.อัตวิสัย (subjective)และความจริง
แนวโน้มสู่อัตวิสัยเป็นกุญแจอีกดอกหนึ่งเพื่อตีความกระแสวัฒนธรรม มันเชื่อมโยงกับการยอมรับความเป็นปัจเจกของแต่ละบุคคลและคุณค่าแห่งประสบการณ์และชีวิตภายในของเขา แนวโน้มดังกล่าวกำลังแพร่หลายไปในบุคคลที่รู้สึก “เป็นเหยื่อ” ของกฎหมาย ของการยัดเยียดอัตลักษณ์ หรือแนวทางปฏิบัติของสังคมมาเป็นเวลาช้านาน ซึ่งทำให้พวกเขาไม่สามารถแสดงความเป็นตัวตนออกมาได้ กระนั้นก็ดี อัตวิสัยไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้หากขึ้นอยู่กับความนึกคิดของตนฝ่ายเดียว โดยที่ไม่มีการอ้างอิงกับความเป็นจริง กับสังคม หรือกับประวัติศาสตร์
การเน้นแง่ส่วนตัวหรือวิธีการเชิงอัตวิสัยเห็นได้ชัดในเรื่องของศีลธรรมและการอบรมมโนธรรม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดอย่างหนึ่งคือเพศ ในเรื่องนี้ ประเด็นต้องห้ามที่สังคมกำหนดไว้ได้หมดสิ้นลงแล้ว และแม้แต่ประเด็นต้องห้ามที่ครอบครัวกำหนดไว้ก็เช่นกัน สังคมดูจะผ่อนปรนมากขึ้น ที่จริง ข่าวสาร ละคร มักจะล้ำเส้นและเสนอให้เห็นพฤติกรรมเบี่ยงเบนอันเป็นผลจากภาวะที่แตกต่างกันไป ประเด็นที่เกี่ยวกับศีลธรรมในแง่มนุษย์ก็มักมีการให้ความสำคัญน้อย หรือไม่ก็มองข้ามไปเฉยๆ แม้กระทั่งในรายการที่เป็นทางการและแพร่หลายไปอย่างกว้างขวาง สิ่งเดียวที่ให้ความสนใจคือความพึงพอใจทางชีวิตเพศโดยไม่ต้องเสี่ยงต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต จึงเป็นการตัดขาดเพศออกจากองค์รวมที่ให้ความหมายและศักดิ์ศรีแก่เพศมนุษย์
การขาดการอ้างอิงกับความจริงนั้นเห็นได้จากแนวปฏิบัติในด้านเศรษฐกิจและกิจกรรมสังคมด้วย บ่อยครั้ง มักจะยึดตัวเองเป็นมาตรฐานและใช้การตกลงระหว่างคู่ธุรกิจเป็นหลัก พวกเขาไม่คำนึงถึงความดีของส่วนรวมหรือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือทางสังคมเสมอไป
คุณภาพของการอบรมจึงขึ้นกับการเชื่อมต่อช่องว่างระหว่างอิสรภาพของการเลือกและการอบรมมโนธรรม ระหว่างความจริงเชิงวัตถุวิสัย (objective) และปัจเจกบุคคล ระหว่างผลของการเลือกที่เป็นรูปธรรมและการคอยตรวจสอบอัตวิสัยที่เกินความพอดี และในการเห็นความจริงเชิงวัตถุวิสัยแห่งสถานการณ์และคุณค่าต่างๆ
2.3.3.ผลประโยชน์ของบุคคลและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับผู้อื่น
ความซับซ้อนและอัตวิสัยมีอิทธิพลเหนือความสมดุลระหว่างการแสวงหาผลประโยชน์ของตนและความพร้อมในการเปิดสู่ความต้องการของผู้อื่น
ครั้งหนึ่งเคยมีความคิดว่าการจัดสังคมให้อิสระและยุติธรรมนั้นยังเป็นไปได้ โดยทางกฎหมายและโครงสร้างที่มีภาวะเหมาะสมเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน เยาวชนหลายคนทุ่มเทในการเปลี่ยนแปลงสังคมและปลดปล่อยผู้คนให้เป็นอิสระ การเตรียมเพื่อบทบาททางการเมืองเป็นส่วนหนึ่งของการอบรมด้านมนุษย์และเป็นการปฏิบัติความเชื่อ จึงเป็นการแสดงออกของวุฒิภาวะแห่ง
ความรับผิดชอบและอุดมการณ์สูงส่ง
แต่แล้วก็จบลงด้วยฤดูหนาวแห่งอุตม (utopia) การสิ้นสุดของอุดมการณ์ รวมไปถึงโครงการร่วมกัน ปัญหาสังคม และความขัดแย้งระหว่างสถาบันที่ตั้งขึ้น ความแตกต่างด้านการเมืองนำไปสู่การต่อล้อต่อเถียง
การเมืองกลายเป็นการบันเทิงและไม่ใช่การบันเทิงที่สร้างสรรค์เสมอไป แล้วนั้นก็ตามด้วยการสูญเสียความเคารพต่อตนเองและประชาชนเริ่มไม่พอใจเพราะขาดการมีส่วนร่วม ความชื่นชมในความดีของส่วนรวมก็หมดสิ้นลงและไม่มีอะไรสามารถมาแทนที่ได้ ที่สุดก็เหลือแค่ “เศษเล็กน้อย” ของน้ำใจดีทางสังคมสำหรับมอบให้แก่กันและกัน
ปัจจุบันนี้ เรากำลังดำเนินชีวิตในยุคของ “ตลาด” ในแง่ที่เป็นทัศนคติและวิธีการมองของสังคม มุมมองส่วนตัวในกิจกรรมสังคมกลายเป็นใหญ่ สังคมถูกมองว่าประกอบขึ้นด้วยจำนวนคนที่มารวมกัน แต่ละคนก็มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ของตนเป็นหลัก สร้างความพึงพอใจให้ตนเองอย่างไม่มีขอบเขต ความปรารถนาและสิทธิของแต่ละบุคคลเป็นเอก
ในกระแสของการหาความพึงพอใจอย่างไม่สิ้นสุดนี้ แต่ละคนจะไม่สนใจต่อความต้องการพื้นฐานที่แท้จริง อุดมการณ์ด้านความยุติธรรมในสังคมและความเป็นจิตหนึ่งใจเดียวกันกับผู้อื่นกลายเป็นแค่สูตรว่างเปล่าและถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้
ดังนั้น หลายคนเห็นว่าในตลาดมีหลักศีลธรรม วัฒนธรรมและกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของผู้ใหญ่และเยาวชนทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติในแง่ของทัศนคติแห่งการร่วมมือกัน
2.4. วุฒิภาวะแห่งความเชื่อของเยาวชนในบริบทนี้
ความซับซ้อน อัตวิสัยและมุมมองแบบปัจเจกนิยมเกี่ยวกับบุคคลมีอิทธิพลอย่างมากต่อเยาวชนในกระบวนการสู่วุฒิภาวะแห่งความเชื่อ ซึ่งประกอบด้วยการเปิดใจ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและการยอมรับชีวิตและประวัติศาสตร์อย่างที่เป็นจริง
ทุกวันนี้มีเหตุการณ์สองอย่างที่น่าแปลก มีการแพร่หลายของความสำนึกในศาสนาในรูปแบบที่หลากหลาย อันเนื่องมาจากการแสวงหาความหมายในสังคม อีกทั้ง ความเข้าใจลอยๆ เกี่ยวกับมิติแห่งชีวิตที่ไม่อาจจะแสดงออกมาได้ กระนั้นก็ดี เราสังเกตเห็นถึงการขาดเป้าหมายหลักและแรงบันดาลใจ ซึ่งก่อให้เกิดช่องว่างระหว่างประสบการณ์ด้านศาสนา ความเข้าใจชีวิตและการเลือกเชิงศีลธรรม ความจริงฝ่ายศาสนาถูกลดลงมาเป็นความคิดเห็น สิ่งที่พระศาสนจักรมอบให้ก็เป็นปัญหา แม้กระทั่งศาสนบริกรแต่ละคนหรือตัวแทนของพระศาสนจักรก็เป็นปัญหา คนจึงพากันเลือกใช้บริการเฉพาะที่ตนต้องการ
มีฝ่ายข้างน้อยจำนวนหนึ่งที่ศึกษา มีความสุขและพัฒนาชีวิตคริสตชนที่มีวุฒิภาวะและแสดงออกมาในความเชื่อ ในความสำนึกในพระศาสนจักรและในการอุทิศตนเพื่อสังคม กระนั้นก็ดี ยังมีเยาวชนจำนวนมากที่ได้ยินการประกาศข่าวดีแล้วก็หลุดลอยไปจากความเชื่อโดยไม่รู้สึกเสียใจแต่อย่างใด ช่วงเวลาการอบรมด้านศาสนาจึงยาวขึ้นและไม่มีใครมั่นใจได้ว่าจะมีเนื้อหาเหมาะสมเพื่อใช้ในการอบรมได้อย่างทั่วถึง
สิ่งเหล่านี้ทำให้ความเชื่อกลายเป็นเรื่องของความชอบพอของแต่ละคน เมื่อตัดขาดจากพื้นฐานมั่นคงแห่งเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์แห่งความรอด ความเชื่อก็เปราะบาง เปิดทางไปสู่บริโภคนิยมที่แต่ละคนนำไปใช้ตามใจชอบ เช่นนี้ ความเชื่อก็กลายเพียงแง่หนึ่งของชีวิตและแยกออกมาจากแง่อื่นๆ เป็นเอกเทศ ช่องว่างระหว่างชีวิตและความเชื่อ ระหว่างชีวิตและวัฒนธรรมสร้างปัญหาให้เราและแก่เยาวชนกำลังเติบโตขึ้นมาอย่างน่ากลัว พระศาสนจักรจึงต้องสร้างความสำนึกแห่งการเป็นหมู่คณะที่เข้มข้น อีกทั้งทุ่มเทเพื่อสังคมและงานธรรมทูตมากขึ้น
2.5. การตอบรับของครอบครัวซาเลเซียน
เยาวชนคาดหวังอะไรจากครอบครัวซาเลเซียนบ้าง? เราได้ใช้ความพยายามแค่ไหนเพื่อตอบสนองความคาดหวังของพวกเขา?
ปัจจุบันนี้มีนักอบรมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะนักอบรมอาชีพ นอกนั้นก็ยังมีนักอบรมไม่เป็นทางการซึ่งไม่มีบทบาทจำเพาะหรือเป็นนักอบรมโดยอาชีพ มีวิธีการอบรมทั้งที่มีการตีพิมพ์แพร่หลายและทั้งที่ไม่เป็นที่รู้จักในกระบวนการอบรม จึงมีหลายคนเลือกและดำเนินการตามสิ่งที่มีเสนอให้หรือไม่ก็ที่ค้นพบด้วยตนเอง ปัจจุบันนี้จึงยากที่จะแต่งตั้งคนหนึ่งคนใดให้ทำหน้าที่อบรมโดยหวังว่าเขาจะสามารถควบคุมกระบวนการอบรมได้ด้วยตนเอง เยาวชนจึงมักแต่งตั้งนักอบรมของพวกเขาเองอย่างเงียบๆ เมื่อพวกเขาเปิดจิตใจและหัวใจให้เรา เมื่อพวกเขาอยากจะฟังคำพูดดีๆ จากเราหรืออยากจะเห็นเราทำในสิ่งที่ช่วยให้ชีวิตของพวกเขามีความหมาย ความรับผิดชอบนี้จึงอาจจะตกมาถึงใครและในเวลาใดก็ได้
ประสิทธิผลของการอบรมของผู้อบรมที่ได้รับแต่งตั้งเพื่องานโดยเฉพาะกับของนักอบรมสมัครใจทำเองนั้นขึ้นอยู่กับตัวแปรสามอย่าง นั่นคือ ความน่าเชื่อถือของสิ่งที่ผู้อบรมชี้แนะเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เยาวชนดำเนินชีวิตอยู่ การเป็นประจักษ์พยานของตัวนักอบรม และความสามารถในการสื่อสาร
นี่คือสิ่งที่ท้าทายสำหรับผู้ใหญ่ กล่าวคือ การเสนอแนวทางและข้อแนะนำให้แก่ผู้รับการอบรมโดยไม่นำพาต่อความซับซ้อนและการเรียกร้องของอัตวิสัยนิยม อีกทั้งไม่เอาแต่ให้คำแนะนำแบบลอยๆ แต่ต้องนำผู้รับการอบรมไปสู่สิ่งที่ให้ความหมายแท้จริงแก่ชีวิตมนุษย์ พร้อมกับความสามารถในการวินิจฉัย เพราะเหตุนี้ ครอบครัวซาเลเซียนพึงให้ความสำคัญแก่ตัวแปรสามอย่างนี้เป็นพิเศษ
2.5.1. กลับไปอยู่กับเยาวชนด้วยประสิทธิภาพมากขึ้น
คุณพ่อบอสโกได้สร้างรูปแบบชีวิต งานอภิบาล วิธีการอบรม ระบบ และชีวิตจิตของคุณพ่อเมื่ออยู่ท่ามกลางเด็กๆ การทุ่มเทแบบจำเพาะเจาะจงของคุณพ่อบอสโกสำหรับงานเพื่อเยาวชนเป็นรูปธรรมในทุกแห่งและทุกเวลา แม้กระทั่งเมื่อคุณพ่อไม่มีโอกาสคลุกคลีกับเด็กๆ เพราะเหตุผลบางอย่างหรือเพราะต้องทำภารกิจบางอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับเด็กๆ โดยตรง หรือในเวลาที่คุณพ่อต้องปกป้องพระพรพิเศษแห่งการเป็นผู้ตั้งคณะเพื่อรับใช้เยาวชนทั่วโลกอย่างเหนียวแน่นเมื่อมีแรงกดดันจากผู้ใหญ่ฝ่ายพระศาสนจักรที่ได้รับข้อมูลผิดๆ ภารกิจซาเลเซียนได้รับการเจิม จึงเป็น “ความรักพิเศษ” สำหรับเยาวชน และความรักพิเศษนี้เป็นของขวัญจากพระเจ้าที่เราต้องใช้สติปัญญาและหัวใจเพื่อพัฒนาและนำไปสู่ความเต็มเปี่ยม
ซาเลเซียนแท้จะไม่ยอมละทิ้งสนามเยาวชน ซาเลเซียนคือบุคคลที่รู้จักเยาวชนจากประสบการณ์ส่วนตัว หัวใจเขาเต้นจังหวะเดียวกันกับหัวใจเยาวชน ซาเลเซียนดำเนินชีวิตเพื่อเยาวชน ทุ่มเทตนเองเพื่อแก้ปัญหาของเยาวชน เยาวชนเป็นผู้ให้ความหมายแก่ชีวิตซาเลเซียน กิจการ โรงเรียน ชีวิตด้านความรัก เวลาว่าง เวลาพักผ่อนหย่อนใจ ในเวลาเดียวกัน ซาเลเซียนคือผู้เชี่ยวชาญด้านเยาวชนทั้งทางทฤษฎีและทางประสบการณ์แห่งชีวิตซึ่งช่วยให้เขาค้นพบความต้องการแท้จริงของเยาวชนและสร้างงานอภิบาลเยาวชนที่สอดคล้องกับความต้องการแห่งกาลเวลา
ความซื่อสัตย์ต่อภารกิจของเราจะมีประสิทธิผลแท้จริงหากเราเข้าถึงวัฒนธรรมปัจจุบัน พร้อมกับกระแสความนึกคิดและท่าที เรากำลังเผชิญหน้ากับการท้าทายที่ใหญ่มากซึ่งเราต้องรู้จักสังเกตเชิงวิเคราะห์ พิจารณาตรวจสอบวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง อีกทั้งสามารถชื่นชมกับสถานการณ์เชิงจิตวิทยา ในบริบทเช่นนี้ การสื่อสารเชิงอบรมต้องเลือกเส้นทางการสื่อสารที่เหมาะสม
สิ่งแรกที่เราทำคือ สนใจและค้นคว้าร่วมกัน แทนที่จะใช้แต่วิธีการแก้ปัญหาที่เตรียมไว้แบบสำเร็จรูปแล้ว นอกนั้นต้องมีการเสวนาในทุกระดับแทนที่จะยึดถือแค่บางข้อมูล ต้องมีความโปร่งใสและการอธิบาย แทนที่จะเสนอความจริงแค่ครึ่งเดียว
ในความพยายามที่จะเข้าถึงภาพรวมของโลก เยาวชนมักจะฟัง มีปฏิกิริยาโต้ตอบ ไตร่ตรองและทดลอง พวกเขารู้สึกเหมือนกับอยู่ในตลาด ณ ที่ซึ่งพวกเขาเห็นราคาและคุณภาพของสิ่งที่นำมาเสนอให้และพวกเขาสามารถเลือกได้ตามใจชอบ การเป็นประจักษ์พยานและคำพูดที่สามารถให้แสงสว่างและความหวัง ก็จะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ
นักอบรมแห่งอนาคตต้องเป็นผู้ที่รู้จักใช้สาสน์และมุมมองหลากหลายเพื่อเลือกสรรคุณค่าและมาตรฐานที่จะช่วยเอื้อให้ผู้รับการอบรมสามารถพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง ในการอบรมสู่คุณค่านี่เองที่ผู้อบรมต้องเปิดโอกาสให้ผู้รับการอบรมร่วมมีบทบาทในกระบวนการการอบรมด้วย แทนที่จะเรียกร้องให้พวกเขาอ่อนน้อมเชื่อฟังอย่างเดียว
เมื่อต้องเรียกร้องก็ต้องเรียกร้องด้วยความเด็ดขาด กระนั้นก็ดี อย่าพอใจแค่การตอบสนองแบบเห็นทันตา ซึ่งจะทำให้ผู้รับการอบรมมีวิสัยทัศน์คับแคบและพึงพอใจอยู่แค่นั้น
ในเวลาเดียวกัน การที่ผู้รับการอบรมร่วมรับผิดชอบในการอบรมด้วยก็จะเป็นการช่วยพวกเขาให้พัฒนาตนได้ดีขึ้น ผู้รับการอบรมต้องนำสิ่งที่ได้รับจากการอบรมมาทำให้เป็นของตนเองและหาข้อสรุปสำหรับตนทั้งโดยทางประสบการณ์และการไตร่ตรอง ในกระบวนการอบรมนั้น เมื่อใดที่เยาวชนกลายเป็นผู้มีบทบาทมากกว่าจะเป็นฝ่ายรับอย่างเดียว เมื่อนั้นเขาก็จะสำนึกในสิ่งที่เขาได้รับในการอบรมและเขาจะรักษามันไว้ตลอดชีวิตด้วยความหวงแหน
แล้วนั้นก็มีองค์ประกอบสำคัญของรูปแบบของการสื่อสาร นั่นคือ สถานการณ์แวดล้อม ปัจจุบันนี้มีการให้ความสำคัญแก่สิ่งที่เรียกว่า “พื้นที่ชีวิต” ควบคู่ไปกับสถาบันการอบรม สถาบันการอบรมทำการอบรมผ่านทางโครงสร้าง โปรแกรม บทบาท กฎวินัย แต่ก็ยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการความหมายและความสัมพันธ์ที่เยาวชนเรียกร้องได้ ในขณะที่ “พื้นที่ชีวิต” เอื้อให้มีความรู้สึกเป็นธรรมชาติ มุ่งความสนใจไปในทุกสิ่งที่ดีงาม การแบ่งปันอย่างอิสระ มิตรภาพ การยอมรับกันและกัน อุดมการณ์ ภาษาสัญลักษณ์ โครงการ ฯลฯ เราจึงได้แต่หวังว่าครอบครัว หมู่คณะคริสตชน กลุ่มต่างๆ อีกทั้งสถานที่เยาวชนมาชุมนุมกันและโรงเรียนจะมีลักษณะของ “พื้นที่ชีวิต” ได้ในที่สุด
เมื่อพูดกับสมาชิกแห่งครอบครัวซาเลเซียน พ่อมักจะพูดว่าคุณพ่อบอสโกได้สร้างระบบการสื่อสารแบบครบวงจร อาทิ ในศูนย์เยาวชนมีบรรยากาศเป็นธรรมชาติและการแสดงออกอย่างเป็นอิสระ ที่ซึ่งแต่ละคนมีบทบาทที่ชัดเจนและมีความสัมพันธ์กันแบบไม่เป็นทางการ มีโปรแกรมสำหรับทุกคน พร้อมกับเปิดโอกาสสำหรับการสร้างสรรค์ ทั้งในระดับบุคคลและในระดับกลุ่ม
ในศูนย์เยาวชนแห่งแรกที่บ้านปีนาร์ดี เราเห็นได้ถึงแนวความคิดพื้นฐานบางอย่างที่คุณพ่อบอสโกเล็งเห็น ซึ่งภายหลังมีความหมายที่ลึกซึ้งในระดับมนุษย์และในระดับคริสตชน อาทิ
โครงสร้างยืดหยุ่นได้ ซึ่งเชื่อมโยงพระศาสนจักร สังคมเมืองและ
ลูกๆ ของชาวบ้านเข้าด้วยกัน เป็นเหมือนกับ “สะพาน”
- ความเคารพและการเห็นในคุณค่าของชนชั้นกรรมกร
- ศาสนาเป็นพื้นฐานของการอบรมตามหลักคำสอนคาทอลิกซึ่งส่ง
ทอดมาถึงคุณพ่อบอสโกผ่านทางบรรยากาศของวิทยาลัยสงฆ์
(Convitto)
ความเกี่ยวโยงลึกซึ้งระหว่างการอบรมด้านศาสนาและการพัฒนา
มนุษย์ ระหว่างคำสอนและการอบรม ในเวลาเดียวกันก็เป็นการ ผสมผสานระหว่างการอบรมและ
การอบรมสู่ความเชื่อ ความสอด คล้องระหว่างความเชื่อและชีวิต
ความตระหนักที่ว่าการสอนเป็นวิธีเพื่อจุดประกายให้แก่จิตใจ
- การอบรม เช่นเดียวกับการสอนคำสอน ที่ช่วยพัฒนาในทุกด้าน ด้วยขีดจำกัดของเวลาและทรัพยากรที่มี
การสอนอ่านสอนเขียน สำหรับผู้ที่ไม่เคยมีโอกาสเข้าโรงเรียน การหางานสำหรับบางคนมีติดตามพวก
เขาตลอดสัปดาห์ จัดกิจกรรมสำหรับกลุ่มและให้การ ดูแลกันและกัน...
การใช้และการเห็นในคุณค่าของเวลาว่าง
ความรักใจดีซึ่งเป็นรูปแบบการอบรมโดยทั่วไปและเป็นรูปแบบ ของการดำเนินชีวิตเยี่ยงคริสตชน
เมื่อมองในแง่นี้ ศูนย์เยาวชนเป็น “สูตร” ที่เรายังคงนำมาประยุกต์ใช้ได้ในทุกสถานการณ์และในทุกโครงการสร้างของการอบรม
2.5.2.มารณรงค์ “พลเมืองซื่อสัตย์” กันใหม่
การคำนึงถึง คุณภาพทางสังคมของการอบรม มีอยู่แล้วตั้งแต่สมัยคุณพ่อบอสโก แม้จะยังไม่มีการนำไปประยุกต์ใช้เท่าที่ควร จึงน่าจะเป็นแรงจูงใจให้เราสร้างประสบการณ์แห่งการอุทิศตนเพื่อสังคมในความหมายที่กว้างออกไป ซึ่งจำเป็นต้องมีการไตร่ตรองให้ลึกซึ้งทั้งในระดับทฤษฎีโดยเน้นเนื้อหามนุษย์ เยาวชน การพัฒนาประชาชน พร้อมกับนำหลักการด้านมนุษยวิทยา เทววิทยา วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์มาเป็นองค์ประกอบ ทั้งในระดับประสบการณ์และการไตร่ตรองระดับส่วนตัวและระดับหมู่คณะด้วย ในบริบทซาเลเซียน สมัชชาครั้งที่ 23 ได้มีการกล่าวถึง “มิติสังคมแห่งความรัก” และ “การอบรมเยาวชนไปสู่การอุทิศตนและการมีส่วนร่วมในชีวิตสังคม” “ซึ่งเป็นแผนกที่เรามักจะมองข้ามหรือถือว่าไม่เกี่ยวกับเรา” 8
บทบาทการอบรมในชีวิตสังคมนั้นรวมไปถึงความสำนึกแห่งการอบรม นโยบายการอบรม คุณภาพการอบรมชีวิตในสังคม ในวัฒนธรรมด้วย
ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องการอบรมมักจะพยายามสร้างอิทธิพลผ่านทางระบบการเมือง เพื่อจะได้เข้าไปมีบทบาทในพื้นที่ต่างๆ ตั้งแต่ในด้านพัฒนาเมือง การท่องเที่ยว การกีฬา ไปถึงระบบการสื่อสารวิทยุ-โทรทัศน์ ซึ่งมาตรฐานการตลาดจะเป็นตัวกำหนดเสียส่วนใหญ่
นอกนั้นยังมีแง่ของการอบรมและนโยบายด้านเยาวชน มีความตื่นตัวด้านความสนใจและการต่อสู้เพื่อไม่ให้ปัญหาเร่งด่วนตกไปอยู่ลำดับรองๆ รวมไปถึงแง่การป้องกัน คุณภาพของระบบการอบรมแบบสอดประสาน ความหลากหลายของโอกาสการศึกษาอบรมตามความจำเป็นของแต่ละบุคคล ความเสมอภาคด้านเศรษฐกิจ การเปิดโอกาสให้คนที่ตกขอบกระบวนการศึกษาอบรม เป็นต้น
ในเวลาเดียวกัน รูปแบบชีวิตสังคมและการเมืองก่อให้เกิดบทเรียนประจำวันที่น่าสนใจมากซึ่งผู้ใหญ่และเยาวชนสามารถเรียนรู้ได้ตลอด เราอาจจะพูดได้ว่าคงไม่มีประโยชน์อันใดที่สถาบันการศึกษาอบรมจะสอนให้นักศึกษาถือกฎหมายถ้าในสังคมมีการใช้มาตรฐานแห่งมโนธรรมแบบหลวมๆ เพราะมาตรฐานดังกล่าวสร้างความตระหนักใจและรูปแบบพฤติกรรมให้เสร็จสรรพ จึงยากที่จะส่งเสริมความสำนึกในความยุติธรรมถ้าผู้บริหารบ้านเมืองเอาแต่ฉ้อราษฎร์บังหลวงและใช้ความประนีประนอมเป็นนโยบาย ยากที่จะ
สอนความเคารพต่อบุคคลถ้าการอภิปรายเต็มด้วยความระแวง หลอกลวงและทะเลาะกันเป็นประจำ การอบรม ชีวิตสังคมและการเมืองแทบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และหากจะปรับปรุงอย่างใดอย่างหนึ่งก็ต้องออกแรงปรับปรุงอย่างอื่นๆ ด้วย
สุดท้าย จากมุมมองของการอบรม นอกจากการดำเนินชีวิตอยู่ด้วยกันในสังคมและการเมืองแล้วยังมีเรื่องของวัฒนธรรมด้วย วัฒนธรรมให้แรงบันดาลใจและสื่อความหมายให้ทุกอย่างและแทรกซึมเข้าไปในความนึกคิดจิตใจอย่างเงียบๆ อีกทั้งก่อให้เกิดรูปแบบชีวิตขึ้นมาด้วย ดังนั้น เพื่อจะกำหนดให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นคุณค่า การริเริ่มอย่างเดียวยังไม่พอ แม้จะมีการริเริ่มจำนวนมาก มีทั้งคนที่ได้รับแรงบันดาลใจและมีใจกว้าง แต่ยังต้องมีความนึกคิดร่วมกันเพื่อยึดเหนี่ยวและนำไปสู่วุฒิภาวะ อันที่จริง วัฒนธรรมไม่เพียงแต่จะเกี่ยวข้องกับเจตนาและข้อเสนอแนะของบุคคลเท่านั้น แต่เกี่ยวข้องกับการจัดพลังที่หมู่คณะมีอยู่ให้เป็นระบบและสมเหตุสมผลด้วย บางครั้งก็ยังคงมีความขัดแย้งระหว่างการกระทำของปัจเจกบุคคลกับทัศนคติของส่วนรวม ระหว่างการริเริ่มของบุคคลกับการกระทำของส่วนรวม ระหว่างการปฏิบัติและพื้นฐานของการปฏิบัติ เลยทำให้ความใฝ่ฝันของแต่ละบุคคลเป็นคนละอย่างกับประสบการณ์ประจำวันที่เขาต้องจำยอม
2.5.3.มารณรงค์ “คริสตชนดี” กันใหม่
คุณพ่อบอสโกซึ่งเต็มด้วยความร้อนรนต่อวิญญาณ ได้เข้าใจถึงความกำกวมและอันตรายของสถานการณ์สังคมในสมัยของท่าน จึงได้ตอบรับการท้าทายและพบวิธีการใหม่เพื่อต่อต้านความชั่วตามที่สภาพของวัฒนธรรมและเศรษฐกิจจะอำนวยให้
เราจะสร้าง “คริสตชนที่ดี” แบบคุณพ่อบอสโกได้อย่างไร? ทุกวันนี้เราจะรักษาองค์ประกอบมนุษย์และคริสตชนของโครงการริเริ่มที่เคยมีประสิทธิผลในเชิงศาสนาและอภิบาลให้พ้นจากอันตรายแบบเก่าและใหม่ของศาสนนิยม (fundamentalism)ได้อย่างไร? เราจะเปลี่ยนการอบรมด้านศาสนาในรูปแบบที่เคยทำมาเป็นประเพณีให้เป็นการอบรมเพื่อดำเนินชีวิตแห่งอัตลักษณ์ของแต่ละคนในบริบทศาสนา วัฒนธรรมและชาติพันธุ์ที่หลากหลายได้อย่างไร? ในขณะที่วิธีการอบรมแบบใช้ความนบนอบอิงคำสอนของศาสนาเป็นหลักกำลังจะผ่านพ้นไป เราจะใช้วิธีการอบรมไปสู่อิสรภาพและความรับผิดชอบของบุคคล โดยมุ่งไปสู่การสร้างนิสัยที่เข้มแข็งที่เอื้อให้สามารถตัดสินได้อย่างอิสระและมีวุฒิภาวะ เปิดสู่การเสวนา มีบทบาทในสังคมโดยไม่คิดแค่ทำตัวให้สอดคล้องกับคนอื่น แต่มีจุดยืนของตนเองได้อย่างไร?
นี่คือการค้นพบกระแสเรียกมนุษย์และการช่วยมนุษย์ให้ดำเนินชีวิตในความเป็นตัวตนอย่างแท้จริงอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งคริสตชนสามารถช่วยได้อย่างมีคุณค่า
อันที่จริง คริสตชนรู้ว่ามนุษย์และความสัมพันธ์ตัวต่อตัวเป็นตัวบ่งบอกธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งไม่หมายถึงความต่ำต้อยหรือการต้องพึ่งพาใคร หากแต่ชี้ให้เห็นความรักที่ให้เปล่าๆ และสร้างสรรค์ของพระเจ้า ความเป็นอยู่ของมนุษย์เป็นของขวัญจากพระเจ้า มนุษย์มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าและต้องคอยตอบรับการเรียกของพระเจ้า เมื่อใดก็ตามที่ออกนอกความสัมพันธ์นี้ ชีวิตมนุษย์ก็ไร้ความหมาย ผู้ที่มนุษย์สำนึกถึงและปรารถนาโดยไม่รู้ตัวคือพระผู้สูงสุด ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากเขาหรือเป็นแค่อะไรที่ลอยๆ แต่เป็นแหล่งที่มาแห่งชีวิต และทรงเรียกเขาไปพบพระองค์
ในพระคริสตเจ้า มนุษย์พบความหมาย พระคริสตเจ้าผู้ทรงสำนึกในความเป็นพระบุตรพระเจ้า และแสดงออกมาด้วยคำพูดและรูปแบบชีวิตพระ-มนุษย์ของพระองค์ ทรงช่วยให้มนุษย์เข้าใจตนเองและเป้าหมายชีวิตได้อย่างแท้จริง
เราได้รับการสถาปนาให้เป็นบุตรพระเจ้าในพระคริสตเจ้าและได้รับเรียกให้ดำเนินชีวิตแห่งบุตรพระเจ้าในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ นี่คือความจริงและเป็นของขวัญอย่างหนึ่งที่มีความหมายมากซึ่งมนุษย์ต้องเข้าใจให้ได้ กระแสเรียกแห่งการเป็นบุตรพระเจ้าไม่ใช่ความหรูหราที่เพิ่มเติมมาให้ หากแต่เป็นส่วนหนึ่งแห่งความเต็มเปี่ยมของมนุษย์ เป็นเงื่อนไขที่ขาดไม่ได้เพื่อจะบรรลุถึงความจริงแท้และความเต็มเปี่ยม เป็นการทำให้ความต้องการพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ได้รับการตอบสนองอย่างน่าพอใจ เป็นองค์ประกอบสำคัญแห่งการเป็นสิ่งสร้างของพระเจ้า
ผู้ที่ให้การอบรม -พ่อแม่ เพื่อน ผู้นำเยาวชน- ต่างก็สำนึกว่าตนต้องเป็นประจักษ์พยานและเป็นเพื่อนผู้เผยความเป็นไปได้ต่างๆ ของชีวิตให้แก่ผู้รับการอบรมโดยโยงความสำนึกนี้ไปถึงแหล่งที่มาและเป้าหมายของชีวิตซึ่งช่วยให้ชีวิตเติบโต เหนือสิ่งอื่นใด ต้องจัดหาผู้ที่รับการอบรมสามารถพูดคุยด้วย ในเวลาเดียวกันก็เป็นประจักษ์พยานแห่งการประทับอยู่ของพระเจ้า
ในเยาวชนแต่ละคนมีการเสวนาที่เร้นลับกับคนหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มาถึงเขา อาจจะมาจากภายนอกหรือจากภายในของพวกเขา ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นการเรียกร้อง เป็นพระหรรษทาน หรือเป็นคำอธิบายอย่างหนึ่ง และเช่นนี้ ทีละเล็กทีละน้อย พวกเขาก็จะเข้าถึงความรู้สึกของตนเอง สามารถสร้างภาพลักษณ์ของชีวิตตนโดยที่พวกเขาต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มีและเล่นบทบาทของพวกเขาอย่างเต็มที่
ผู้อบรม ไม่ว่าจะเชิงอาชีพหรือไม่ก็ตาม ได้รับเรียกให้เสนอสิ่งที่พวกเขาเห็นว่าดีที่สุดและดำเนินชีวิตด้วยความหวังแห่งอนาคต รวมทั้งตัวแปรที่ยังไม่อาจจะรู้ได้ พวกเขาต้องสนใจในบุคคลที่กำลังเติบโตท่ามกลางความไม่แน่นอน อันที่จริง พระเจ้าทรงประสงค์ให้แต่ละบุคคลมองเห็นพระองค์ในตัวตนเอง และในกระบวนการแห่งการเติบโตพระองค์ก็ทรงแสดงองค์ด้วยความชัดเจนมากขึ้น ถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี พวกเขาจะสามารถมีบทบาทในประวัติศาสตร์ในฐานะผู้ที่ “มาจากพระเจ้า” ผู้ที่รู้ตัวว่ามีความสัมพันธ์ฉันลูกกับพระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงทำให้เขาเป็นเครื่องหมายทรงชีวิตแห่งการประทับอยู่ของพระองค์
3. ส่งเสริมสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งของเยาวชน
เราเป็นทายาทและผู้รักษาพระพรพิเศษแห่งการอบรมที่มุ่งไปสู่การส่งเสริม วัฒนธรรมแห่งชีวิต และส่งเสริมโครงสร้างที่กำลังเปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุนี้เอง เรามีหน้าที่ส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ประวัติศาสตร์ครอบครัวซาเลเซียนและการแผ่ขยายอันรวดเร็วแม้กระทั่งในบริบทวัฒนธรรมและศาสนาที่ต่างไปจากที่เราถือกำเนิดมาเป็นประจักษ์พยานให้เห็นว่าระบบการป้องกันของคุณพ่อบอสโกยังสามารถเอื้อการอบรมเยาวชนในทุกบริบทและสามารถเป็นเวทีเพื่อการเสวนาของวัฒนธรรมใหม่แห่งสิทธิและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับผู้อื่น ความจริงที่ว่าแต่ละบุคคลมีศักดิ์ศรีและสิทธิเท่าเทียมกันคือเหตุผลสนับสนุนให้พระศาสนาจักรให้ความสำคัญและทุ่มเทเพื่อคนจน
ในบริบทนี้เอง เราพึงนำคำแนะนำของคุณพ่อบอสโกแก่ธรรมทูตแรกมาอ่านและนำมาประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน “จงให้ความเอาใจใส่คนป่วย เยาวชน คนแก่และคนจนเป็นพิเศษ แล้วพวกท่านจะรับพระพรจากพระเจ้าและความมีน้ำใจของมนุษย์”9 สำหรับซาเลเซียน การอบรมสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะสิทธิของเยาวชน เป็นหนทางดีที่สุดที่จะปฏิบัติระบบการป้องกันได้ในบริบทที่แตกต่างกัน ในเวลาเดียวกันก็จะเป็นการส่งเสริมการพัฒนามนุษย์อย่างครบองค์ สร้างโลกที่มีความเท่าเทียม ชอบธรรม และน่าอยู่มากขึ้น สิทธิมนุษยชนจะเป็นภาษาเพื่อการพูดคุยเกี่ยวกับวิธีการอบรมของเราและนำการอบรมนี้เข้าสู่วัฒนธรรมต่างๆ ในโลก
3.1. สิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีบุคคล
สิทธิมนุษยชนคือสิทธิของทุกบุคคลในฐานะที่เป็นมนุษย์ โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา สถานที่เกิด วัยและเพศ เป็นสิทธิพื้นฐาน สากล ซึ่งจะฝ่าฝืนและขาดไม่ได้ สิทธินี้ไม่มีการจารึกในแผ่นหินจึงมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง สิทธิพลเมืองและการเมืองย้อนกลับไปสมัยการปฏิวัติของฝรั่งเศส (1789) การเรียกร้องอิสรภาพพื้นฐานที่ประชาชนส่วนมากยังไม่มี อาทิ สิทธิในชีวิต ความเคารพต่อร่างกาย อิสรภาพทางความคิด การแสดงออก การเข้าสมาคม การมีส่วนร่วมในการเมือง นอกนั้น ยังมีการประกาศสิทธิในด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมในปี 1948 อาทิ สิทธิการศึกษา การทำงาน บ้านเรือนที่อยู่อาศัย สุขภาพอนามัย เป็นต้น แล้วนั้นก็มีสิทธิของประชาชนในการกำหนดชีวิตของตนเอง มีสันติภาพ การพัฒนา ความมั่นคงของระบบนิเวศ ควบคุมทรัพยากรของชาติ ปกป้องสภาพแวดล้อม เป็นต้น ที่สุดก็ยังมีสิทธิที่เกี่ยวโยงกับความเคารพต่อบุคคลที่สัมพันธ์กับการวางแผนครอบครัว ด้านจริยศาสตร์ชีวะและเทคนิคการสื่อสารสมัยใหม่
เราต้องยอมรับว่าความเคารพต่อสิทธิมนุษยชนเป็นความรับผิดชอบแรกของเรา น่าเสียดายว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนกลายเป็นเรื่องธรรมดาแห่งชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว และวิธีการป้องกันการละเมิดที่ใช้กันอยู่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะขจัดการละเมิดดังกล่าว ในสถานการณ์เช่นนี้เราจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้มีความเคารพต่อศักดิ์ศรีมนุษย์
คำสอนของพระศาสนจักรยืนยันว่าการตีความและการปกป้องสิทธิมนุษยชนอย่างถูกต้องขึ้นอยู่กับความเข้าใจเกี่ยวกับมานุษยวิทยาซึ่งคำนึงถึงมิติต่างๆ แห่งการเสริมสร้างบุคคล อันที่จริง สิทธิมนุษยชนทุกอย่างต้องสอดคล้องกับศักดิ์ศรีของแต่ละบุคคล จึงต้องตอบสนองความต้องการพื้นฐาน การใช้อิสรภาพ ความสัมพันธ์กับผู้อื่นและกับพระเจ้า จึงต้องเป็นสากล ที่พบเห็นได้มนุษย์แต่ละคนและทุกคน ชายและหญิง เด็กและคนชรา คนรวยและคนจน คนสบายดีและคนป่วย
3.2. ภารกิจซาเลเซียนและสิทธิของเด็ก
ในการปราศรัยที่ Campidoglio ในกรุงโรม เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2002 ในหัวเรื่อง “ก่อนที่จะสายไป ให้เราช่วยเยาวชนผู้เป็นอนาคตของโลก” พ่อพยายามเสนอระบบป้องกันจากมุมมองของการส่งเสริมเด็กชายและเด็กหญิงแต่ละคนให้ได้รับการอบรมและได้รับการกอบกู้ในทุกด้านจากมุมมองของคริสตศาสนาโดยเฉพาะการเปลี่ยนสังคมให้ดีขึ้นเพื่อจะได้ไม่มีเด็กคนใดตกขอบสังคม เหนืออื่นใด พ่อเสนอระบบป้องกันในแง่ของความสำนึกในความรับผิดชอบของผู้รับการอบรมที่จะเปลี่ยนจากผู้ได้รับการปกป้องไปสู่ผู้รับผิดชอบสิทธิที่ตนมี พร้อมกันนั้นก็สำนึกในสิทธิของผู้อื่น เป็นการเตรียมตัวเพื่อจะเป็นพลเมืองในอนาคต กล่าวคือ พลเมืองที่ซื่อสัตย์และคริสตชนที่ดี พ่อขอนำบางส่วนของคำปราศรัยมาแบ่งปันกับพวกท่าน ณ ที่นี้
“สถานการณ์เยาวชนในภาคพื้นต่างๆ ของโลกน่าเป็นห่วงมาก เยาวชนจำนวนมากเสี่ยงกับการตกขอบสังคม เสียงร้องของพวกเขาไม่มีใครสนใจ เป็นเสียงร้องไปถึงมโนธรรมของสังคมที่แสวงหาโลกาภิวัตน์ด้านเศรษฐกิจ แต่ไม่ทำอะไรเพื่อพัฒนาประชาชนและส่งเสริมศักดิ์ศรีของมนุษย์แต่ละคน
นี่คือการท้าทายทุกวันนี้ เยาวชนที่ตกขอบสังคมและการแสวงผลประโยชน์จากเยาวชนทั่วโลก
วัยรุ่นที่เร่ร่อนอยู่ตามถนนและรวมตัวกันเป็นก๊กเป็นเหล่า
วัยรุ่นที่ถูกเกณฑ์เป็นทหาร
วัยรุ่นที่ถูกทำทารุณกรรม
วัยรุ่นที่เป็นทาสแรงงาน
วัยรุ่นที่ "ไม่เป็นใครสักคน"
วัยรุ่นที่อยู่ในคุก
วัยรุ่นที่ถูกบังคับให้บริจาคอวัยวะและพิการ
วัยรุ่นที่ยากจนและตกขอบสังคม
วัยรุ่นที่อาศัยอยู่ตามท่อระบายน้ำเสีย กินอยู่ตามถนน
วัยรุ่นที่ป่วย
วัยรุ่นที่อพยพและเป็นกำพร้า
เยาวชนที่...
สถานการณ์น่าสมเพชต้องกระตุ้นความสำนึกของทุกคน ในตอนท้ายของสมัชชาคณะซาเลเซียนครั้งที่ 25 เราได้ส่งคำขอร้องไปยังทุกคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบเยาวชนว่า “ก่อนที่จะสายเกินไป ให้เราช่วยเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของโลกไว้” และนี่คือคำขอร้องของพ่อในฐานะผู้สืบตำแหน่งคุณพ่อบอสโก
ต่อหน้าสถานการณ์น่าเศร้าของความทุกข์ยากลำบากของเยาวชน เราซาเลเซียน ‘ยืนหยัดอยู่เคียงข้างเยาวชน เพราะเราเชื่อมั่นในพวกเขา ในน้ำใจดี ในการศึกษา ในการพยายามหนีความยากจน ในการกำอนาคตไว้ในมือของพวกเขา ดังที่คุณพ่อบอสโกเคยเชื่อมั่นในพวกเขา...เราอยู่เคียงข้างเยาวชนเพราะเราเชื่อถึงคุณค่าของพวกเขาแต่ละคน เชื่อในความรับผิดชอบที่จะสร้างโลกอีกแบบหนึ่งและเหนืออื่นใด เชื่อในคุณค่าของการอบรม’10 ให้เราลงทุนทุกอย่างในงานเพื่อเยาวชน
ให้เราทุ่มเทการอบรมของเราในระดับโลก ด้วยการทำเช่นนี้เราจะสามารถเตรียมอนาคตที่ดีให้แก่โลกได้ ครอบครัวซาเลเซียนจึงนำความมั่งคั่งแห่งระบบการอบรมที่เราได้รับเป็นมรดกจากคุณพ่อบอสโกมาใช้เพื่อการนี้ นั่นคือ ระบบการอบรมแบบป้องกัน
ระบบป้องกันนี้เป็นระบบที่คำนึงถึงการป้องกันความชั่วด้วยการให้การอบรม ทว่า ในเวลาเดียวกันก็คำนึงถึงการช่วยเยาวชนให้สร้างบุคลิกของตนเองขึ้นมา เป็นการให้ชีวิตใหม่แก่คุณค่าที่พวกเขาไม่เคยได้รับและนำมาพัฒนาเนื่องจากต้องอยู่นอกขอบสังคม อีกทั้งค้นพบแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตที่มีความหมายด้วยความยินดี ด้วยความรับผิดชอบและด้วยความชำนาญ
นอกนั้น ระบบป้องกันเชื่อมั่นว่ามิติศาสนาของบุคคลคือคุณภาพที่ประเสริฐและมีความหมายอย่างยิ่ง ดังนั้นเป้าหมายทั้งหมดของระบบนี้คือชี้นำเยาวชนแต่ละคนให้รู้ถึงกระแสเรียกแห่งการเป็นบุตรของพระ พ่อคิดว่านี่คือสิ่งที่ทำให้ระบบป้องกันของคุณพ่อบอสโกสามารถครอบคลุมการอบรมเยาวชนทุกวัยที่ยากจนและรับอันตรายในด้านจิตวิทยาและสังคม ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงวัยหนุ่มสาว
นี่คือประสบการณ์ที่มีความหมายมากของการร่วมกันสร้าง “พลเมืองที่ซื่อสัตย์และคริสตชนที่ดี” นั่นคือ ผู้สร้างสรรค์เมือง ผู้มีบทบาทและรับผิดชอบ ผู้สำนึกในศักดิ์ศรีของตนโดยมีแผนการสำหรับชีวิต เปิดสู่มิติ
เหนือธรรมชาติ เปิดสู่ผู้อื่นและเปิดสู่พระเจ้า”
3.3. เสนอความคิดเดียวกันในภาษาแห่งสิทธิมนุษยชน
รายการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่พ่อกล่าวถึงข้างต้น ทำให้เราเห็นได้ชัดเจนว่า ทุกวันนี้ในการอบรม เราต้องอุทิศตนเพื่อส่งเสริมสิทธิและศักดิ์ศรีมนุษยชนเป็นหลัก
ก่อนอื่น พึงสังเกตว่าหัวเรื่องการอบรมสิทธิและศักดิ์ศรีพื้นฐานของมนุษย์นั้นเกี่ยวโยงกับคำขวัญสองอันก่อนที่เน้นความสำคัญของบทบาทครอบครัวในการอบรมและการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน อีกทั้งการปกป้องและส่งเสริมชีวิตเป็นอันดับแรก
ในแง่นี้ การอบรมต้องมีเป้าหมายอยู่ที่การสร้าง วัฒนธรรมแห่งสิทธิมนุษยชน ที่สามารถนำมาพูดคุย โน้มน้าวและปกป้องการละเมิดสิทธิมนุษยชน แทนที่จะเน้นแค่มาตรการลงโทษหรือปราบปราม จึงต้องเลยจากการประณามการละเมิดที่ผ่านมาไปสู่การป้องกันไม่ให้เกิดการละเมิดขึ้นอีก
ในแง่นี้ การอบรมสิทธิมนุษยชนต้องมีหลายมิติและมีแนวการอบรมเยาวชนให้เป็นพลเมืองซื่อสัตย์ มีบทบาท และรับผิดชอบ สามารถผสมผสานสิ่งที่เป็นหลักการข้อกำหนด การรู้และการเป็น และผนึกเข้ากับความรู้และการอบรมบุคลิกภาพ
การอบรมสิทธิมนุษยชนเป็นกิจกรรมซึ่งประกอบด้วยการยืนยัน ความรับผิดชอบ การวิเคราะห์อย่างจริงจัง การรับข้อมูล การให้ความสนใจและความสำคัญของข้อมูลจากสื่อต่างๆ ดังนั้น การอบรมสิทธิมนุษยชนจึงเป็นการอบรมที่ต้องต่อเนื่องในแต่ละวัน
วิธีการที่ใช้เพื่อการอบรมจำต้องมีอย่างน้อยสามมิตินี้
มิติความรู้ กล่าวคือ ความรู้ การคิดเชิงวิพากษ์วิจารณ์ การจับประเด็น การตัดสิน ซึ่งคุณพ่อบอสโกมักจะเรียกว่า “เหตุผล”
- มิติความรัก กล่าวคือ การออกแรง การมีประสบการณ์ การสร้างความเป็นมิตร ความเมตตา ซึ่งคุณพ่อ
บอสโกเรียกว่า “ความรักใจดี”
- มิติแห่งน้ำใจ ซึ่งนำไปสู่พฤติกรรมที่มีแรงบันดาลใจจากศีลธรรม การเลือกและการทำ
ซึ่งคุณบอสโกเรียกว่า “ศาสนา”
3.4. อบรมตัวเราเองเพื่ออบรมแต่ละบุคคลและสังคมทั้งครบ : การพัฒนามนุษย์
ระบบป้องกันและจิตตารมณ์ของคุณพ่อบอสโกเรียกร้องเราให้ออกแรงมากขึ้น ทั้งในแง่ปัจเจกบุคคลและแง่หมู่คณะเพื่อมุ่งไปสู่การเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ยากจนและด้อยพัฒนาโดยทำตัวเราเป็นผู้ส่งเสริมการพัฒนามนุษย์และผู้อบรมสู่วัฒนธรรมแห่งสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีแห่งชีวิตมนุษย์
สิทธิมนุษยชนคือการพัฒนามนุษย์ การอบรมสิทธิมนุษยชนจึงเป็นวิธีการที่นำไปสู่การพัฒนาแต่ละคนและของทุกคน เพื่อจะทำให้โลกมีความเสมอภาค ยุติธรรมและน่าอยู่มากขึ้น
เราแต่ละคน ในฐานะที่เป็นนักอบรมและมีมุมมองชีวิตแบบคริสตชนซึ่งเคยดลบันดาลใจคุณพ่อบอสโก ต้องปกป้อง ส่งเสริมและมีบทบาทในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน
เพราะเหตุนี้ เราต้องเข้าใจในหลักการพื้นฐานของสิทธิมนุษยชนจากมุมมองซาเลเซียนเพื่อจะได้เห็นถึงการท้าทายของสิทธิมนุษยชนในยุคของเรา
นี่คือประเด็นที่เราต้องพิจารณา
- องค์รวมของบุคคลและการประยุกต์หลักของการแบ่งแยกไม่ได้และการพึ่งพากันในสิทธิพื้นฐานของ
แต่บุคคล ทั้งในด้านการเป็นพลเมือง วัฒนธรรม ศาสนา เศรษฐกิจ การเมืองและสังคม
- การอบรมให้เป็นพลเมืองซื่อสัตย์และการประยุกต์หลักของความรับผิดชอบที่แตกต่างกันในการ
ส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชน
- หนึ่งต่อหนึ่ง และการใช้หลักการของความสนใจต่อเยาวชน
- เยาวชนเป็นศูนย์กลางในฐานะผู้มีบทบาทและผู้มีส่วนร่วม อีกทั้งการประยุกต์ใช้หลักแห่งการร่วม
บทบาท
- “แค่เธอเป็นเด็กพ่อก็รักมากแล้ว” และการประยุกต์ใช้หลักการไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
- “พ่ออยากให้เธอมีความสุขเวลานี้และเสมอไป” ซึ่งคำนึงถึงบุคคล ทั้งครบและการประยุกต์หลักของ
การพัฒนาองค์รวมของมนุษย์ ด้านจิตใจ ด้านสังคม ด้านวัฒนธรรม ด้านเศรษฐกิจ ด้านการเมือง
และด้านสังคมของเยาวชน
3.5. เนื้อหาที่คุณบอสโกใช้ในการอบรมเด็กต้องมุ่งไปถึง
ก. การพัฒนาบุคลิกภาพ พรสวรรค์ จิตใจและความสามารถของเด็กไปสู่ความเต็มเปี่ยม
ข. การพัฒนาความเคารพสิทธิมนุษยชนและอิสรภาพพื้นฐาน อีกทั้ง ปฏิญญาแห่งองค์การสหประชาชาติ
ค. การพัฒนาความเคารพต่อบิดามารดา อีกทั้งอัตลักษณ์ชายหรือหญิงของเด็ก ภาษาและคุณค่า คุณค่า
ประจำชาติที่เด็กดำเนินชีวิตอยู่ คุณค่าแห่งถิ่นฐานบ้านเกิดเมืองนอน คุณค่าของอารยธรรมที่แตกต่าง
ออกไป
ง. การเตรียมเด็กให้มีความรับผิดชอบต่อชีวิตในสังคมอิสระ ในจิตตารมณ์แห่งความเข้าใจกัน สันติ การ
ยอมรับกัน ความเท่าเทียมทางเพศ และมิตรภาพระหว่างประชาชน ชาติพันธุ์ กลุ่มระดับชาติ กลุ่ม
ศาสนา อีกทั้งท้องถิ่นต้นกำเนิด
จ. การพัฒนาและความเคารพต่อสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ
สิ่งเหล่านี้มีบรรจุอยู่ในข้อที่ 29 ของ “อนุสัญญาแห่งองค์การสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของเด็กและเยาวชน” ที่การประชุมองค์การสหประชาชาติประกาศรับรองในวันที่ 20 พฤศจิกายน 1989 และมี 192 ประเทศร่วมรับรอง
สิ่งที่ผู้อบรมพึงหลีกเลี่ยงคือ การถือว่าสิทธิมนุษยชนเป็นแค่รายการของแนวความคิดหรือมองว่าการอบรมด้านสิทธิมนุษยชนเป็นแค่หลักการที่นำมาใช้เพื่อตีความตัวบทกฎหมาย
เราเห็นด้วยกับความคิดที่กว้างกว่านั้น นั่นคือ การเรียนรู้ด้านสังคม-พลเรือน การส่งเสริมให้มีประสบการณ์ การรับผิดชอบ และการมีส่วนร่วมในบทบาทและในความรับผิดชอบ
การอบรมสิทธิมนุษยชน หรือ “สิทธิมนุษยชนแห่งวัฒนธรรมเชิงป้องกัน” ซึ่งเป็นการป้องกันการละเมิด หลุดลอยจากวงการแคบๆ ของทนายและนักกฎหมาย เพื่อเปิดไปสู่ทุกคน ที่พร้อมจะเปิดรับและสร้างการเสวนาระหว่างวัฒนธรรมที่มีพื้นฐานอยู่บนสิทธิมนุษยชน
อันที่จริง สิทธิมนุษยชนไม่ใช่เป็นเรื่องของกฎหมายหรือเนื้อหาปรัชญาศาสตร์อย่างเดียว แต่ครอบคลุมไปถึงทุกวิชา สามารถอธิบายและนำมาพูดคุยกันในบริบทของวิชาใดวิชาหนึ่งได้ ไม่ว่าจะเป็นวิชาประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ภาษาต่างประเทศ วรรณกรรม ชีวะวิทยา ฟิสิกส์ ดนตรี หรือเศรษฐศาสตร์
สิทธิมนุษยชนจึงไม่ใช่วิชาหนึ่งต่างหาก แต่เป็นหัวข้อที่สอดประสานกับทุกวิชา สิทธิมนุษยชนจึงต้องเป็นองค์ประกอบสำคัญของการอบรมฝึกฝนผู้อบรมให้ทันสมัย ทั้งแบบทางการหรือไม่ทางการ เพื่อให้นักอบรมพัฒนาและเสนอเหตุผลแรงจูงใจและมิติทั้งสองด้านของเนื้อหาวิชาต่างๆ
หากเรายังเข้าใจว่าการสอนคือการที่ผู้สอนป้อนข้อมูลและผู้เรียนเป็นฝ่ายรับเนื้อหา เราก็คงจะสอนสิทธิมนุษยชนไม่ได้ สิทธิมนุษยชนไม่ใช่เป็นวิชาที่ใช้สอนหรือยัดเยียดให้ แต่ต้องอบรมด้วยการเสวนา ถกเถียงและ
การไตร่ตรองส่วนตัว
ในแง่ที่สิทธิมนุษยชนเป็นเนื้อหาวิชาหนึ่ง เราสามารถใช้ศิลปะ การละคร ดนตรี การเต้นรำ การวาดเขียน บทกวี...เพื่อถ่ายทอดให้ผู้เรียน คุณพ่อบอสโกได้ประดิษฐิ์คิดค้นวิธีการสำหรับเรื่องนี้
หากกระบวนการอบรมมีพื้นฐานอยู่ในแรงจูงใจภายในของผู้อบรม ระบบป้องกันก็กลายเป็น “ชีวิตจิต” หากมีการเน้นเสาหลักสามอย่างแห่งเหตุผล ศาสนาและความรักใจดี ระบบป้องกันก็กลายเป็นการบำเพ็ญจิต กรอบแห่งคุณค่า และแผนการชีวิต หากเน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้อบรมและผู้รับการอบรม ระบบป้องกันนำไปสู่มิติแห่งการบำเพ็ญจิต หากเน้นไปที่แผนการชีวิตของผู้รับการอบรม ระบบป้องกันคือการประกาศข่าวดี เนื่องจากเป็นการมุ่งไปสู่การเป็นพลเมืองที่ซื่อสัตย์และคริสตชนที่ดี ดังที่เอกสาร “Christifideles Laici” กล่าวไว้ว่า เป็นการดำเนินชีวิตพระวรสารในขณะที่ทำให้พระวรสารสามารถรับใช้คนและสังคมได้
สรุปแล้ว ระบบป้องกันเปลี่ยนทั้งผู้อบรมและผู้รับการอบรมให้เป็นผู้มีความสำนึกในความรักผิดชอบที่จะปกป้องและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนเพื่อการพัฒนาบุคคลและโลก
หากจะเปลี่ยนชื่อพระดำรัสของพระสันตะปาปา เปาโล ที่ 6 “Pop-ulorum Progressio” พ่อคิดว่าน่าจะเป็น “การอบรมไปสู่การปกป้องและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนคือชื่อใหม่ของสันติภาพ”
การอบรมด้วยหัวใจของคุณพ่อบอสโกคือการส่งเสริมชีวิตของเยาวชนไปสู่ความเต็มเปี่ยมแห่งศักยภาพ โดยเฉพาะ เยาวชนที่ยากจนและด้อยโอกาสกว่าหมด การส่งเสริมสิทธิของเยาวชนจึงประกอบด้วย
ก. รื้อฟื้นการตัดสินใจที่จะร่วมมีบทบาทในหมู่คณะในสนามงานจำเพาะ การอบรมแบบหมู่คณะซาเลเซียนเรียกร้องให้เราสร้างจิตตารมณ์แห่งความเป็นหนึ่งเดียวกันในอุดมการณ์การอบรมของคุณพ่อบอสโก โดยรู้
ว่าเราควรจะร่วมมือกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการอบรมในสถาบันต่างๆ พร้อมกันนั้นก็สร้างจิตสำนึกให้พวกเขาเห็นถึงสาเหตุที่ทำให้เยาวชนต้องตกขอบสังคมและถูกใช้เพื่อผลประโยชน์ พร้อมกันนั้นก็ช่วยสร้างแรงบันดาลใจสนับสนุนงานของพวกเขา อีกทั้งให้การสร้างสรรค์เพื่องานด้านการอบรมด้วย เพื่อทำเช่นนี้ได้ ต้องจัดให้มีการอบรมสำหรับผู้อบรมอย่างต่อเนื่อง
ข. รื้อฟื้นวิธีการอภิบาลให้ชัดเจน
กิจการซาเลเซียน ไม่ว่าจะทำในสถานการณ์ใด ต้องมุ่งช่วยแต่ละบุคคลให้รอดเป็นหลัก นั่นคือ ช่วยให้คนรู้จักพระเจ้าและมีความสัมพันธ์เยี่ยงบุตรกับพระองค์โดยยอมรับพระเยซูเจ้าผ่านทางศีลศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักร เมื่อซาเลเซียนเลือกทำงานเพื่อเยาวชนและเด็กยากจนโดยเริ่มต้นจากจุดที่เยาวชนเป็นและโอกาสที่พวกเขามีเพื่อจาริกสู่ความเชื่อ ในการฟื้นฟูสภาพ การอบรมและการพัฒนาบุคคล เราต้องตั้งเป้าหมายไปที่ความรอดของผู้รับการอบรม โดยเริ่มต้นจากแนวทางทั่วไปแล้วค่อยทีค่อยชัดขึ้นสำหรับผู้ที่มีความพร้อม ทุกคนมีสิทธิที่จะรู้จักและเข้าถึงพระเยซูเจ้า จึงต้องมีการประกาศพระเยซูเจ้าโดยไม่มีการบังคับ ในเวลาเดียวกันก็ไม่ควรละเลยปล่อยให้โอกาสผ่านไปโดยไม่พูดถึงพระเยซูเจ้าให้เยาวชนรับรู้
สรุป
สำหรับปีนี้ พ่อคงไม่สรุปด้วยนิทาน แต่ด้วยเรื่องที่เราค่อนข้างจะคุ้นเคย หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งสรุปด้วย “ความฝัน” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เราเป็นและสิ่งที่เราทำ “ความฝัน” ที่เป็นความทรงจำและคำทำนาย โยงถึงอดีตและวางแผนเพื่ออนาคต
“เมื่อตอนอายุเก้าขวบ คุณแม่อยากจะส่งพ่อไปโรงเรียน แต่ก็เป็นเรื่องไม่ง่ายนัก เพราะระยะทางจากบ้านไป Castelnuovo ไกลกว่าสามไมล์ อันโตนีโอ พี่ชายของพ่อไม่ยอมให้พ่อไปเป็นเด็กประจำ ที่สุดก็มีการพบ
กันครึ่งทาง ในช่วงฤดูหนาวพ่อสามารถไปเรียนที่หมู่บ้าน Capriglio ที่อยู่ใกล้ๆ พ่อจึงได้เรียนวิชาพื้นฐานการอ่านและการเขียน อาจารย์ของพ่อเป็นพระสงฆ์ศรัทธาชื่อคุณพ่อ Joseph Delacqua คุณพ่อดูแลพ่ออย่างดีมาก ติดตามการเรียนของพ่อ โดยเฉพาะการเรียนคำสอน ในช่วงฤดูร้อน พ่อทำงานทุกอย่างในท้องนาตามที่พี่ชายต้องการ
ความฝัน
ในวัยนั้นเองพ่อได้ฝัน และความฝันนี้ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของพ่ออย่างไม่รู้เลือน ในฝัน พ่อยืนอยู่ในสนามหญ้ากว้างใกล้บ้าน มีเด็กๆ กำลังวิ่งเล่นอยู่ บางคนหัวเราะ บางคนง่วนกับการละเล่นต่างๆ แต่ก็มีหลายคนที่กำลังสบถสาบาน เมื่อพ่อได้ยินคำพูดชั่วเหล่านั้น พ่อก็รีบกระโดดเข้าไปอยู่ท่ามกลางพวกเขาและหาทางห้ามทั้งด้วยคำพูดและกำปั้น
ทันใดนั้น มีชายท่าทางสง่างามปรากฏมา แต่งชุดดูสูงศักดิ์ สวมเสื้อคลุมขาว และใบหน้าเป็นประกายจนพ่อไม่สามารถมองหน้าตรงๆ ได้ เขาเรียกชื่อพ่อ พร้อมกับสั่งให้พ่อดูแลเด็กเหล่านี้ เสริมว่า ‘เธอต้องพยายามชนะใจเด็กเหล่านี้ไม่ใช่ด้วยหมัด แต่ด้วยความอ่อนโยนและความรัก เริ่มจากการสอนให้พวกเขาเห็นถึงความน่าเกลียดของบาปและเห็นคุณค่าของฤทธิ์กุศล’ พ่อรู้สึกสับสนและตกใจกลัว จึงได้แต่พูดว่าเป็นแค่เด็กยากจน ไม่มีความรู้ ไม่มีทางพูดเรื่องศาสนาให้เด็กเหล่านี้ได้ ทันใดเด็กๆ ก็หยุดหัวเราะ หยุดร้องตะโกนและหยุดสบถสาบาน พวกเขามาล้อมรอบชายผู้ที่กำลังพูดอยู่
พ่อไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่ ได้แต่ถาม ‘ท่านเป็นใคร? ทำไมมาสั่งให้ผมทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้?’
‘ก็เพราะเป็นไปไม่ได้นี่แหละ เธอจึงต้องทำให้ได้ด้วยความนบนอบและด้วยการศึกษาหาความรู้’
‘แล้วผมจะหาความรู้ได้ที่ไหน ได้อย่างไร?’
‘เราจะให้ครูคนหนึ่ง ครูจะสอนเธอให้ฉลาด ถ้าไม่มีครูผู้นี้ ความฉลาดทั้งหมดก็เป็นแค่ความโง่เขลา’
‘แต่ท่านเป็นใครที่มาพูดเช่นนี้?’
‘เราคือบุตรของผู้ที่แม่ของเธอสอนให้สวดวันละสามเวลา’
‘คุณแม่สั่งไม่ให้ผมพูดกับคนแปลกหน้า นอกจากคนที่คุณแม่จะอนุญาตให้พูดได้ ดังนั้น กรุณาบอกชื่อท่านด้วย’
‘จงไปถามแม่ของหนูว่าเราชื่ออะไร’
‘ทันใด พ่อเห็นสตรีงดงามผู้หนึ่งปรากฏมายืนเคียงข้างเขา เธอสวมเสื้อยาวที่ส่งแสงแวววับเหมือนจะประดับประดาด้วยดาวเล็กใหญ่ คำถามคำตอบยิ่งทำให้พ่อสับสนมากขึ้น เธอจึงเรียกพ่อให้ไปหา จับมือของพ่อด้วยความใจดีและพูดว่า ‘ดูนี่’ พ่อหันไปมองรอบๆ ก็เห็นว่าเด็กๆ หายไปหมด มีแต่ฝูงแกะ สุนัข แมว หมี และสัตว์อื่นๆมาอยู่ที่นั่น
‘นี่คือสนามงานที่เธอต้องทำ จงเป็นคนสุภาพ เข้มแข็ง และมากด้วยกำลังวังชา สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสัตว์เหล่านี้คือสิ่งที่เธอต้องทำเพื่อลูกๆ ของเรา’
พ่อมองไปรอบๆ แทนที่จะเห็นสัตว์ต่างๆ ก็เห็นฝูงแกะเชื่อง พวกมันกระโดดและส่งเสียงเหมือนให้การต้อนรับบุรุษและสตรีที่ยืนอยู่ที่นั่น
เวลานั้นเอง ในฝันพ่อเริ่มร้องไห้ พ่อขอร้องสตรีผู้นั้นให้อธิบายให้พ่อเข้าใจเพราะพ่อไม่รู้ว่าทุกอย่างนี้หมายถึงอะไร เธอวางมือบนหัวพ่อและพูดว่า “เมื่อถึงเวลาแล้วเธอจะเข้าใจทุกอย่าง”
ทันใด มีเสียงอึกทึกทำให้พ่อตื่นและทุกอย่างอันตรธานไป พ่อสับสนอย่างบอกไม่ถูก มือพ่อเจ็บเพราะการชกต่อยและใบหน้าฟกช้ำเพราะแรงหมัด พ่อพยายามจะไม่หลับทั้งคืนเพื่อได้จดจำหน้าตาของบุรุษและสตรีที่พ่อเห็นในฝัน อีกทั้งทุกอย่างได้พูดและได้ยิน
พ่อรีบเล่าเรื่องฝันให้ทุกคนฟัง เริ่มจากพี่ชายทั้งสอง ซึ่งได้แต่หัวเราะด้วยความขบขันในเรื่องราวที่ได้ยิน แล้วนั้นพ่อก็เล่าให้คุณแม่และคุณย่าฟัง แต่ละคนต่างก็ตีความแตกต่างกันไป โยเซฟพูดว่า “เธอจะเป็นคนเลี้ยงแพะ แกะ และสัตว์ต่างๆ” คุณแม่ตีความว่า “ใครจะไปรู้ได้ เธออาจจะเป็นพระสงฆ์” ส่วนอันโตนีโอพูดตะคอก “เธอคงจะเป็นหัวหน้าโจรมากกว่า” แต่คุณย่า แม้จะเขียนไม่ได้อ่านไม่ออก แต่รู้เทววิทยาพอที่ฟันธงเป็นคนสุดท้ายว่า “อย่าไปสนใจมัน”
พ่อเห็นด้วยกับคุณย่า กระนั้นก็ดี พ่อยังไม่สามารถสลัดความฝันไปจากหัวได้ สิ่งที่พ่อจะต้องพูดในภายหลังจะให้ความกระจ่างแก่เรื่องนี้ได้ พ่อได้แต่เก็บเงียบเรื่องนี้ไว้คนเดียว ญาติพี่น้องของพ่อก็ไม่ได้สนใจมันอีกต่อไป แต่เมื่อพ่อไปโรมในปี 1858 เพื่อทูลพระสันตะปาปาเกี่ยวกับคณะซาเลเซียน พระองค์ทรงถามว่าพ่อมีอะไรบางอย่างเหนือธรรมชาติเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ จึงเป็นครั้งแรกที่พ่อพูดถึงความฝันที่พ่อฝันเมื่ออายุเก้าหรือสิบขวบ พระสันตะปาปาทรงสั่งให้พ่อบันทึกความฝันไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในทุกรายละเอียดและส่งต่อเพื่อเป็นกำลังใจแก่สมาชิกของคณะที่พ่อเดินทางไปโรมเพื่อดำเนินการ”11
พ่อขออวยพรให้ท่านทุกคนทำให้ความฝันของคุณพ่อบอสโกผู้ตั้งคณะซาเลเซียนเป็นของท่านเอง ให้เราทำงานด้วยกันเพื่อทำให้ความฝันเป็นจริงสำหรับเยาวชน โดยเฉพาะเยาวชนที่ยากจน ถูกทอดทิ้ง และอยู่ในอันตราย พร้อมกันนั้น ให้เราฝันใหม่อีกครั้งเพื่อพวกเขา
ขอพระมารดาของพระเจ้าซึ่งเราเริ่มปีแห่งพระหรรษทาน 2008 ในพระนามของพระแม่ ผู้ทรงเป็นมารดาและอาจารย์ของพวกท่าน ดังที่พระแม่ได้ทรงเป็นอาจารย์สำหรับคุณพ่อบอสโก เพื่อเราจะได้เรียนรู้จากพระแม่ที่จะมีดวงใจของนักอบรมที่แท้จริง
โรม 31 ธันวาคม 2007
Fr. Pascual Chaves
อัคราธิการ
1. AA.VV. “Il Sistema educativo di Don Bosco tra pedagogia antica e nuova”, Atti del Convegno Europeo Salesiano sul sistema educativo di Don Bosco, LDC Torino 1974, p. 314
2.
P. RUFFINATO, Educhiamo
con il cuore di don Bosco,
in “Note di Pastorale Giovanile”,
n. 6/2007, p. 9.
3.
Cf. G. BOSCO, Dei
castighi da infliggersi nelle case salesiane,
in P. BRAIDO, Don
Bosco educatore. Scritti e testimonianze,
LAS, Roma 1992, p. 340.
4.
Cf. P. BRAIDO, Prevenire
non reprimere. Il sistema educativo di Don Bosco,
LAS, Roma 1999, p. 181.
5. Cf. P. BRAIDO, Prevenire non reprimere. Il sistema educativo di don Bosco, LAS, Roma 1999, p. 391.
6. Cf. G. BOSCO, Dei castighi da infliggersi nelle case salesiane, in P. BRAIDO, Don Bosco educatore. Scritti e testimonianze, LAS, Roma 1992, p. 335.
7. Cf. G. BOSCO, Dei castighi da infliggersi nelle case salesiane, in P. BRAIDO, Don Bosco educatore. Scritti e testimonianze, LAS, Roma 1992, p. 336.
8. Cf. GC23 203-210; 212-214
9. G. BOSCO, Ricordi ai missionari, in P. BRAIDO, Don Bosco educatore. Scritti e testimonianze, LAS, Roma 1992, p. 206.
10. GC25, 140
11. J. BOSCO, Memoirs of the Oratory of Saint Francis of Sales from 1815 to 1855, Translation by Daniel Lyons SDB, Don Bosco Publications, New Rochelle, 1989, pp. 9-10;18-21.