ลูก ๆ เยาวชนที่รัก
1. วันเยาวชนโลกครั้งที่ 23
พ่อยังคงจดจำโอกาสต่าง ๆ ที่เราได้อยู่ร่วมกันที่เมืองโคโลญจ์ในเดือนสิงหาคม ปีค.ศ. 2005 ด้วย ความชื่นชมยินดี อยู่เสมอ และในวันสุดท้ายแห่งการเป็นประจักษ์พยานของความเชื่อและความกระตือรือร้นที่ ไม่อาจลืมเลือนได้ที่ยังคงฝังอยู่ ในจิตวิญญาณและดวงใจของพ่อนั้น พ่อได้นัดหมายกับพวกเธอสำหรับการชุมนุมครั้งหน้าที่จะมีขึ้นที่เมืองซิดนีย์ ในปี ค.ศ. 2008 ซึ่งจะเป็นวันเยาวชนโลกครั้งที่ 23 ภายใต้หัวข้อที่ว่า “ท่านจะรับอานุภาพเมื่อพระจิตเจ้าเสด็จลงมาเหนือท่าน และท่าน จะเป็นพยานถึงเรา” (กิจการ 1:8) ดังนั้นหัวข้อที่ต้องการเน้นในการเตรียมจิตใจสำหรับการเข้าร่วมงานชุมนุมที่ซิดนีย์ก็คือ องค์พระจิตเจ้าและพันธกิจการแพร่ธรรม ในปีค.ศ. 2006 เราได้เน้นหัวข้อเกี่ยวกับพระจิตเจ้าในฐานะ “พระจิตแห่งความ สัตย์จริง” ในปีค.ศ. 2007นี้ เราก็ได้กำลังค้นหาความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเกี่ยวกับ “พระจิตแห่งความรัก” และเราก็กำลังเริ่ม การจาริกของเราสู่วันเยาวชนโลก 2008 ด้วยการไตร่ตรองเกี่ยวกับ “พระจิตแห่งความเข้มแข็งและการเป็นประจักษ์พยาน” ที่ทำให้เรากล้าหาญในการเจริญชีวิตตามแนวทางพระวรสาร และประกาศมันอย่างกล้าหาญ ดังนั้นมันจึงสำคัญมากที่พวก เธอเยาวชนแต่ละคน โดยเฉพาะในหมู่คณะของพวกเธอและกับทุกคนที่รับผิดชอบในการศึกษาอบรมของพวกเธอ ควรที่จะ รำพึงไตร่ตรองเกี่ยวกับตัวจักรสำคัญของประวัติศาสตร์แห่งความรอดนี้อัน ได้แก่องค์พระจิตเจ้าหรือพระจิตของพระเยซูเจ้า ด้วยวิธีนี้พวกเธอก็จะสามารถบรรลุถึงเป้าหมายอันสูงส่งต่อไป ซึ่งได้แก่การระลึกถึงเอกลักษณ์ที่แท้จริงของพระจิตเจ้า โดย หลัก ๆ แล้วก็โดยการฟังพระวาจาของพระเจ้าในการเผยแสดงของพระคัมภีร์ เพื่อจะได้ตระหนักอย่างชัดแจ้งถึงการประทับ อยู่อย่างต่อเนื่องและเป็นปัจจุบันในชีวิตของพระศาสนจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่พวกเธอได้ค้นพบอีกครั้งว่าพระจิต เจ้านั้นคือ “จิตวิญญาณ” เป็นลมหายใจที่สำคัญในการมีชีวิตของชีวิตคริสตชนเอง ผ่านทางศีลศักดิ์สิทธิ์ของการรับเข้าเป็น คริสตชน (ศีลล้างบาป ศีลกำลัง และศีลมหาสนิท) ด้วยเหตุนั้นก็เพื่อเจริญเติบโตในความเข้าใจถึงพระเยซูเจ้ายิ่งทียิ่งลึกซึ้ง และเต็มเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีมากขึ้น และในเวลาเดียวกันเป็นการนำพระวรสารไปสู่ภาคปฏิบัติในช่วงรุ่งอรุณของ สหัสวรรษที่สาม ด้วยวิธีนี้พวกเธอก็สามารถทดสอบคุณภาพของความเชื่อของพวกเธอในองค์พระจิตเจ้า ค้นหาคุณภาพของ ความเชื่อนี้ให้พบอีกครั้งถ้าหากพวกเธอได้สูญเสียมันไป ทำให้มันเข้มแข็งขึ้นถ้ามันเริ่มอ่อนแอลง ลิ้มรสความอร่อยของมัน ในมิตรภาพกับพระบิดาและกับพระบุตรเยซูคริสต์ของพระองค์ ก่อให้เกิดการทำงานที่ไม่มีวันหยุดของพระจิตเจ้า จงอย่าลืม ว่าพระศาสนจักร ซึ่งที่จริงก็คือมวลมนุษย์เอง เป็นผู้คนทุกคนที่อยู่ล้อมรอบพวกเธออยู่เวลานี้และทุกผู้ที่รอคอยพวกเธออยู่ ในอนาคต คาดหวังมากมายจากพวกเธอเยาวชน เพราะเธอมีของขวัญที่ยิ่งใหญ่สุดของพระบิดา ซึ่งได้แก่พระจิตของพระเยซู เจ้า
2. คำสัญญาถึงพระจิตเจ้าในพระคัมภีร์
การฟังพระวาจาพระเจ้าอย่างตั้งอกตั้งใจในเรื่องเกี่ยวกับพระธรรมล้ำลึกและกิจการของพระจิตเจ้า ช่วยเปิดเราสู่ ปัญญาทัศน์อันยิ่งใหญ่และเต็มด้วยแรงบันดาลใจ ดังที่พ่อจะสรุปในหัวข้อต่อไปนี้ ไม่นานก่อนที่พระเยซูจะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระองค์ตรัสกับสานุศิษย์ของพระองค์ว่า “บัดนี้ เรากำลังจะส่งพระผู้ที่ พระบิดาทรงสัญญาไว้มาเหนือท่านทั้งหลาย” (ลูกา 24:49) เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันพระจิตเจ้าเสด็จลงมา เมื่อบรรดา สานุศิษย์รวมตัวกันภาวนาบนห้องชั้นบนพร้อมกับพระนางพรหมจารีมารีย์ การหลั่งพระพรลงมาของพระจิตเจ้าสู่พระศา สนจักรแรกเริ่มถือเป็นการทำให้พระสัญญาก่อนหน้านี้ของพระเจ้า ที่ได้รับการป่าวประกาศและเตรียมความพร้อมมาตลอด ในพันธสัญญาเดิมนั้นสำเร็จไป
ที่จริง ตั้งแต่หน้าแรก ๆ ของหนังสือพันธสัญญาเดิม พระคัมภีร์ได้นำเสนอพระจิตของพระเจ้าในรูปแบบของ “ลม” ที่ “พัดจัดอยู่เหนือพื้นน้ำ” (เทียบ ปฐมกาล 1:2) พระคัมภีร์กล่าวว่า พระเจ้าทรงระบายลมหายใจแห่งชีวิตเข้าสู่จมูก ชายที่ทรงปั้นขึ้น (เทียบ ปฐมกาล 2:7) ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้รูปปั้นนั้นมีชีวิตขึ้นมา แต่หลังจากบาปกำเนิดพระจิตที่ประทาน ชีวิตของพระเจ้าก็ได้ปรากฏให้เห็นในหลายเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์ ในการเรียกบรรดาประกาศกออกมา ตักเตือนประชาชนให้หันกลับมาหาพระเจ้าและปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์อย่างซื่อสัตย์ ในภาพนิมิตที่เป็นที่รู้จัก กันดีของประกาศกเอเสเคียล ที่พระเจ้าพร้อมด้วยพระจิตของพระองค์ได้ทรงทำให้ประชากรชาวอิสราเอลมีชีวิตขึ้นมาใหม่ ในรูปแบบของ “กระดูกแห้ง” (เทียบ เอเสเคียล 37:1-14) ประกาศกโยเอลก็ได้พยากรณ์ถึง “การเสด็จลงมาของพระจิต” เหนือประชากรทุกคนโดยไม่ละเว้นใคร ผู้นิพนธ์พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า “ต่อมาภายหลังจะเป็นอย่างนี้ คือ เราจะเทพระจิต ของเราเหนือมนุษย์ทั้งปวง... ในกาลครั้งนั้นเราจะเทพระจิตของเรามาเหนือกระทั่งคนใช้ชายหญิง” (โยเอล 2:28-29)
“เมื่อถึงเวลากำหนด” (เทียบ กาลาเทีย 4:4) เทวทูตของพระเจ้าได้มาแจ้งข่าวแก่หญิงพรหมจารีย์แห่งนาซาเร็ธว่า พระจิต “พระอานุภาพของพระผู้สูงสุด” จะเสด็จลงมาเหนือเธอและแผ่เงาปกคลุมเธอ ทารกที่จะเกิดมาจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ และจะได้รับนามว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า (เทียบ ลูกา 1:35) ในถ้อยคำของประกาศกอิสยาห์ พระเมสิยาห์จะเป็นผู้ที่ พระจิตของพระเจ้าสถิตอยู่ (เทียบ อิสยาห์ 11:1-2; 42:1) และนี่คือคำทำนายที่พระเยซูเจ้าได้ทรงหยิบยกเอามากล่าวอ้างอีก ครั้ง เมื่อทรงเริ่มต้นภารกิจเทศนาสั่งสอนของพระองค์ในศาลาธรรมที่เมืองนาซาเร็ธ ท่ามกลางความประหลาดใจของผู้คน ในศาลาธรรมนั้นพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “พระจิตของพระเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ให้ ประกาศข่าวดีแก่คนยากจน ทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูกจองจำ คืนสายตาให้แก่คนตาบอด ปลดปล่อยผู้ ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ และประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า” (ลูกา 4:18-19; เทียบ อิสยาห์ 61:1-2) ในการปราศรัย ต่อหน้าผู้คนที่อยู่ที่นั่นพระองค์ทรงหยิบยกถ้อยคำของประกาศกอิสยาห์มาอ้างอิงถึงตัวพระองค์เอง โดยตรัสว่า “ในวันนี้ ข้อความจากพระคัมภีร์ที่ท่านได้ยินกับหูอยู่นี้เป็นความจริงแล้ว” (ลูกา 4:21) อีกครั้งหนึ่งก่อนความตายของพระองค์บน กางเขน พระองค์ได้เคยตรัสกับสานุศิษย์หลายต่อหลายครั้งเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระจิตเจ้า “พระผู้ช่วย” ผู้ซึ่งพันธ กิจการแพร่ธรรมก็คือเป็นประจักษ์พยานถึงพระองค์และเพื่อช่วยเหลือผู้เชื่อศรัทธา ด้วยการสอนพวกเขาและนำทางพวกขา ไปสู่ความบริบูรณ์แห่งความสัตย์จริง (เทียบ ยอห์น 14:16-17, 25-26; 15:26; 16:13)
3. วันพระจิตตาคม (Pentecost) จุดเริ่มต้นของพันธกิจการแพร่ธรรมของพระศาสนจักร
ในตอนเย็นของวันที่พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพนั้น พระองค์ปรากฏตัวแก่สานุศิษย์ของพระองค์ “พระองค์ทรงระบายลมหายใจออกสู่พวกเขาแล้วตรัสว่า ‘จงรับพระจิตเถิด’” (ยอห์น 20:22) ด้วยพระอานุภาพที่ยิ่งใหญ่ เหลือคณา องค์พระจิตเจ้าได้เสด็จลงมายังเหล่าอัครสาวกในวันพระจิตตาคม เราได้อ่านในกิจการอัครสาวกว่า “และทันใด นั้น มีเสียงจากฟ้าเหมือนเสียงลมพัดแรงกล้า ทุกคนที่อยู่ในบ้านได้ยิน เขาเห็นเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้นแยกไปอยู่เหนือ ศีรษะของเขาแต่ละคน” (กิจการ 2:2-3)
พระจิตเจ้าทรงฟื้นฟูบรรดาอัครสาวกจากภายใน โดยการเติมเต็มพวกเขาด้วยพระอานุภาพที่จะทำให้พวกเขากล้า หาญในการออกไปและป่าวประกาศอย่างบ้าบิ่นว่า “พระคริสตเจ้าทรงสิ้นพระชนม์และได้กลับคืนชีพ” พวกเขาหลังจากที่ เป็นอิสระจากความหวาดกลัวทั้งมวลก็ได้เริ่มป่าวประกาศอย่างเปิดเผยด้วยความมั่นใจในตนเอง (เทียบ กิจการ 2:29; 4:13; 4:29, 31) ชาวประมงที่ขวัญหนีดีฝ่อเหล่านี้ได้กลับกลายเป็นผู้แจ้งข่าวที่กล้าหาญชาญชัยแห่งพระวรสาร แม้แต่เหล่าศัตรูของ พวกเขาก็ไม่เข้าใจว่า “ผู้คนธรรมดาและไม่ได้รับการศึกษา” (เทียบ กิจการ 4:13) แสดงความกล้าหาญและทนต่อความ ยากลำบากและการเบียดเบียนเข่นฆ่าด้วยความชื่นชมยินดีได้อย่างไร? ไม่มีสิ่งใดมาหยุดยั้งพวกเขาได้ และสำหรับผู้ที่ พยายามจะทำให้พวกเขาเงียบ พวกเขาก็จะตอบว่า “เราไม่อาจหยุดเล่าเรื่องที่เราได้เห็นและได้ยินได้” (กิจการ 4:20) และนี่ คือวิธีที่พระศาสนจักรได้ถือกำเนิดมา และจากวันพระจิตตาคมเป็นต้นมาพระศาสนจักรก็ไม่ได้หยุดที่จะกระจายข่าวดี “ไป จนสุดปลายแผ่นดิน” (กิจการ 1:8)
4. พระจิตเจ้า จิตวิญญาณของพระศาสนจักรและตัวจักรหลักของความเป็นหนึ่งเดียว
ถ้าเราต้องการเข้าใจถึงพันธกิจการแพร่ธรรมของพระศาสนจักร เราจะต้องย้อนกลับไปที่ห้องชั้นบนที่ที่ซึ่งเหล่า สานุศิษย์มารวมตัวชุมนุมกัน (เทียบ ลูกา 24:49) อธิษฐานภาวนาพร้อมกับพระนางมารีย์ “พระมารดา” และกำลังรอคอยพระ จิตผู้ที่พระบิดาได้ทรงสัญญาไว้ ภาพไอคอนของพระศาสนจักรแรกเริ่มนี้ควรที่จะเป็นแหล่งกำเนิดที่คงที่ของแรงบันดาลใจ สำหรับหมู่คณะคริสตชนทุกหมู่คณะ ประสิทธิผลของงานประกาศพระวรสารและงานแพร่ธรรมโดยหลัก ๆ แล้วไม่ได้ ขึ้นอยู่กับโปรแกรมและวิธีการอภิบาลที่ได้รับการวางแผนมาอย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพ แต่เป็นผลลัพธ์ของการ ภาวนาอย่างสม่ำเสมอของหมู่คณะ (เทียบ Evangelii Nuntiandi : การประกาศพระวรสารในโลกปัจจุบัน, 75) ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับงานแพร่ธรรมที่เกิดประสิทธิผล หมู่คณะจะต้องเป็นหนึ่งเดียวกันซึ่งก็คือพวกเขาจะต้องเป็น “ใจเดียวและวิญญาณ เดียว” (เทียบ กิจการ 4:32) และพวกเขาจะต้องพร้อมที่จะเป็นประจักษ์พยานถึงความรักและความชื่นชมยินดีที่พระจิตได้ ทรงสถิตอยู่ในดวงใจของบรรดาสัตบุรุษ (เทียบ กิจการ 2:42) พระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 ข้ารับใช้ของพระเจ้าทรงเขียน ไว้ว่า “ก่อนจะกลายมาเป็นการกระทำด้วยซ้ำ พันธกิจการแพร่ธรรมของพระศาสนจักรหมายถึงการเป็นประจักษ์พยาน และ การกระจายความสว่างออกไปโดยรอบ” (เทียบ Redemptoris Missio: พระพันธกิจขององค์พระผู้ไถ่, 26) เตอร์ตูเลียนบอก เราว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นในสมัยแรกเริ่มของคริสตชน เมื่อคนต่างศาสนาได้กลับใจเพราะได้เห็นถึงความรักที่มีต่อกันในหมู่คริสต ชน “ดูซิว่า พวกเขารักกันและกันอย่างไร” (เทียบ Apology, 39 §7)
เพื่อสรุปการกวาดตามองดูอย่างย่อ ๆ ของพระวาจาพระเจ้าในพระคัมภีร์นี้ พ่ออยากเชื้อเชิญพวกเธอให้สังเกตดูว่า พระจิตเจ้าทรงเป็นของขวัญสูงสุดของพระเจ้าสำหรับมวลมนุษย์ได้อย่างไร และเพราะฉะนั้นจึงเป็นพยานที่สุดยอดของ ความรักของพระองค์สำหรับเรา ความรักที่แสดงออกเป็นการเฉพาะในฐานะ “ใช่ต่อชีวิต” ว่า พระเจ้าทรงประสงค์สำหรับ แต่ละสิ่งสร้างของพระองค์ การ “ใช่ต่อชีวิต” นี้จะพบความบริบูรณ์ก็แต่ในองค์พระเยซูชาวนาซาเร็ธและในชัยชนะของ พระองค์ต่อความชั่วร้ายด้วยเครื่องมือแห่งการไถ่กู้ให้รอด ในแง่มุมมองนี้ให้เราไม่ลืมว่าพระวรสารของพระเยซูเจ้า ซึ่ง แน่นอนอันเนื่องมาจากพระจิตเจ้า ไม่สามารถถูกลดทอนลงมาให้เป็นแค่ถ้อยแถลงของข้อเท็จจริง เพราะเจตนาจริง ๆ ก็เพื่อ เป็น “ข่าวดีแก่คนยากจน ปลดปล่อยผู้ถูกจองจำ คืนสายตาให้แก่คนตาบอด...” ซึ่งพบเห็นได้อย่างมีชีวิตชีวามาก ๆ ก็ในวัน พระจิตตาคม ที่ต่อมาได้กลายเป็นพระหรรษทานและหน้าที่ของพระศาสนจักรต่อโลก เป็นพันธกิจการแพร่ธรรมแรกเริ่ม ของพระศาสนจักร
เราถือได้ว่าเป็นผลของพันธกิจการแพร่ธรรมนี้ของพระศาสนจักร ผ่านทางการทำงานของพระจิตเจ้า เราได้นำตรา ประทับแห่งความรักของพระบิดาเจ้าในองค์พระเยซูคริสต์ซึ่งได้แก่องค์พระจิตเจ้าซึ่งสถิตอยู่ภายในตัวเราไปด้วย ขอให้เรา อย่าได้ลืมสิ่งนี้ เพราะว่าพระจิตของพระเจ้าทรงจดจำเราแต่ละคนเสมอ และปรารถนาที่จะก่อให้เกิดลมและไฟแห่งยุคใหม่ ของพระจิตเจ้าในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านทางพวกเธอเยาวชน
5. พระจิตเจ้าในฐานะ “พระอาจารย์แห่งชีวิตภายใน”
ลูก ๆ เยาวชนที่รัก องค์พระจิตเจ้ายังคงปฏิบัติภารกิจในทุกวันนี้ด้วยพระอานุภาพในพระศาสนจักร และผลของ พระจิตเจ้าก็มีให้อย่างอุดมบริบูรณ์ ซึ่งเราก็พร้อมที่จะเปิดตัวเองสู่พระอานุภาพนี้เป็นพระอานุภาพที่สร้างสรรพ สิ่งขึ้นใหม่ ด้วยเหตุนี้เองมันจึงสำคัญมากที่เราแต่ละคนจะต้องรู้จักพระจิตเจ้า สร้างสัมพันธภาพกับพระองค์ และปล่อยให้พระองค์ทรง นำเรา อย่างไรก็ตามเมื่อมาถึงจุดนี้ คำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นแบบธรรมชาติว่า “ใครคือพระจิตเจ้าสำหรับฉัน?” มันเป็นความจริง ที่ว่าสำหรับคริสตชนหลายคนพระจิตเจ้ายังคงเป็น “บุคคลลึกลับยิ่งใหญ่” และนี่คือเหตุผลว่าทำไม ในขณะที่เราเตรียมตัว เข้าสู่วันเยาวชนโลก พ่อจึงต้องการเชื้อเชิญพวกเธอให้มารู้จักองค์พระจิตเจ้าอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นในระดับส่วนตัว ในบทแสดง ความเชื่อของเราเราประกาศว่า “ข้าพเจ้าเชื่อในพระจิต พระเจ้าผู้ทรงบันดาลชีวิต ทรงเนื่องมาจากพระบิดาและพระบุตร” (Nicene-Constantinopolitan Creed) ใช่แล้ว พระจิตเจ้าองค์แห่งความรักของพระบิดาและของพระบุตร ทรงเป็น แหล่งกำเนิดแห่งชีวิตที่ทำให้เราศักดิ์สิทธิ์ “เพราะพระจิตเจ้าซึ่งพระเจ้าประทานให้เรา ได้หลั่งความรักของพระเจ้าลงใน ดวงใจของเรา” (โรม 5:5) อย่างไรก็ตาม การแค่รู้จักพระจิตเจ้านั้นยังไม่เป็นการเพียงพอ เราจะต้องต้อนรับพระองค์ให้มา เป็นผู้นำทางวิญญาณของเรา เป็น “พระอาจารย์แห่งชีวิตภายใน” ผู้ที่จะแนะนำเราเข้าสู่ธรรมล้ำลึกแห่งพระตรีเอกภาพ เพราะว่ามีเพียงพระองค์เท่านั้นที่จะสามารถนำเราเข้าสู่ความเชื่อ และทำให้เราเจริญชีวิตในความเชื่อนั้นในแต่ละวันจนถึง ขั้นบริบูรณ์ พระจิตเจ้าทรงผลักดันเราไปข้างหน้าไปสู่ผู้อื่น ทำให้เราลุกเป็นไฟด้วยเปลวไฟแห่งความรัก และทำให้เราเป็น มิสชันนารีแห่งความรักของพระเจ้า
พ่อรู้ดีว่าพวกเธอเยาวชนชื่นชอบและรักพระเยซูเป็นอย่างมากในดวงใจของพวกเธอ ซึ่งทำให้พวกเธอมีความ ปรารถนาที่จะพบปะพูดคุยกับพระองค์ ที่จริงแล้วจงจำไว้ว่ามันเป็นเพราะการประทับอยู่ของพระจิตเจ้าในตัวเราที่ยืนยัน ก่อ ร่างสร้างตัวตนของเราบนพระบุคคลที่แท้จริงของพระเยซูผู้ถูกตรึงกางเขนและกลับคืนพระชนมชีพ ดังนั้นให้เรามาทำความ สนิทสนมกับพระจิตเจ้าเพื่อที่เราจะได้สนิทสนมกับพระเยซูเจ้า
6. ศีลกำลังและศีลมหาสนิท
พวกเธออาจจะถามว่า เราจะทำอย่างไรเพื่อตัวเองจะได้รับการฟื้นฟูด้วยเดชะพระจิต และเพื่อจะได้เจริญเติบโตใน ชีวิตฝ่ายจิต? ดังที่พวกเธอก็รู้กันอยู่แล้วว่าคำตอบก็คือ เราสามารถทำได้ก็โดยอาศัยเครื่องมือของศีลศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าความ เชื่อก่อกำเนิดและถูกทำให้เข้มแข็งในตัวเราก็โดยผ่านทางศีลศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะศีลศักดิ์สิทธิ์ของการรับเข้าเป็นคริสตชน ได้แก่ศีลล้างบาป ศีลกำลัง และศีลมหาสนิท ซึ่งประกอบขึ้นเป็นองค์บริบูรณ์และแบ่งแยกมิได้ (เทียบ The Catechism of the Catholic Church, 1285) ความจริงข้อนี้ที่เกี่ยวโยงถึงศีลศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามที่นำชีวิตของเราเข้า สู่การเป็นคริสตชนบางทีก็ได้รับ การละเลยในชีวิตความเชื่อของคริสตชนมากมาย พวกเขามองศีลศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เหมือนเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และ ไม่มีความหมายจริง ๆ อีกแล้วในปัจจุบัน เหมือนรากที่ขาดการหล่อเลี้ยงที่ให้ชีวิต ยังมีเยาวชนมากมายที่ทำตัวเองให้ ห่างไกลจากชีวิตแห่งความเชื่อของพวกเขาหลังจากที่พวกเขาได้รับศีลกำลัง และก็ยังมีเยาวชนที่ยังไม่ได้รับศีลกำลังนี้เลย อย่างไรก็ตามอาศัยศีลล้างบาป ศีลกำลัง และศีลมหาสนิท พระจิตเจ้าได้ทำให้เราเป็นลูกของพระบิดาเจ้า เป็นพี่เป็นน้องของ พระเยซูเจ้า เป็นสมาชิกของพระศาสนจักรของพระองค์ มีความสามารถที่จะเป็นประจักษ์พยานแท้จริงต่อพระวรสาร และ สามารถที่จะลิ้มรสความยินดีแห่งความเชื่อ
ดังนั้นพ่อจึงอยากเชื้อเชิญพวกเธอให้ได้รำพึงไตร่ตรองในสิ่งที่พ่อกำลังเขียนถึงพวกเธอ ทุกวันนี้มันเป็นสิ่งที่ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะค้นพบศีลกำลังและบทบาทที่สำคัญของศีลกำลังในการเติบโตด้านฝ่ายจิตของเราอีกครั้งหนึ่ง ใครที่ได้รับ ศีลล้างบาปและศีลกำลังควรจดจำไว้ว่าพวกเขาได้กลายเป็น “วิหารของพระจิตเจ้า” ที่ซึ่งพระเจ้าทรงเจริญชีวิตอยู่ในตัวพวก เขา จงตระหนักถึงเรื่องนี้เสมอและพยายามทำให้ขุมทรัพย์ภายในตัวเธอนำไปสู่ผลของความศักดิ์สิทธิ์ ใครที่ได้รับศีลล้าง บาปแต่ยังไม่ได้รับศีลกำลัง ให้เตรียมตัวที่จะรับศีลศักดิ์สิทธิ์นี้โดยรู้ว่าด้วยการรับศีลนี้เธอจะกลับกลายเป็นคริสตชนที่ “สมบูรณ์” เนื่องจากศีลกำลังทำให้พระหรรษทานแห่งศีลล้างบาปสมบูรณ์ไป (เทียบ The Catechism of the Catholic Church, 1302-1304)
ศีลกำลังให้ความเข้มแข็งพิเศษแก่เราเพื่อเป็นประจักษ์พยานและถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยชีวิตทั้งครบของ เรา (เทียบ โรม 12:1) มันทำให้เราตระหนักอย่างสนิทสนมว่าเราเป็นของพระศาสนจักรซึ่งเป็น “พระกายทิพย์ของพระคริสต เจ้า” ที่ซึ่งเราแต่ละคนเป็นสมาชิก มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและกัน (เทียบ 1โครินทร์ 12:12-25) และด้วยการยอมให้ พระจิตเจ้าเป็นผู้นำ ผู้รับศีลล้างบาปแต่ละคนก็สามารถมีส่วนร่วมในการสร้างพระศาสนจักรได้ อันเนื่องมาจากพระพร พิเศษ (charisms) ที่ได้รับจากพระจิตเจ้า เพราะ “พระจิตเจ้าทรงแสดงพระองค์ในแต่ละคนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม” (1 โครินทร์ 12:7) เมื่อพระจิตเจ้าทรงทำงาน พระองค์ทรงนำผลของพระองค์มาสู่จิตวิญญาณ เช่น “ความรัก ความชื่นชมยินดี ความสงบ ความอดทน ความเมตตา ความใจดี ความซื่อสัตย์ ความอ่อนโยน และการรู้จักควบคุมตนเอง” (กาลาเทีย 5:22) สำหรับพวกเธอที่ยังไม่ได้รับศีลกำลัง พ่อขอเชื้อเชิญจากใจให้เตรียมตัวที่จะรับศีลศักดิ์สิทธิ์นี้ โดยไปขอความช่วยเหลือจาก พระสงฆ์ของพวกเธอ มันเป็นโอกาสพิเศษแห่งพระหรรษทานที่พระเจ้าได้ทรงนำเสนอให้แก่พวกเธอ ฉะนั้นจงอย่าพลาด โอกาสนี้
พ่ออยากที่จะกล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับศีลมหาสนิทว่า เพื่อที่เราจะเติบโตในชีวิตคริสตชนของเรา เราจะต้องได้รับการ หล่อเลี้ยงด้วยพระกายและพระโลหิตของพระคริสต์ ที่จริงเราได้รับการล้างและได้รับการเจิมเพื่อมุ่งสู่ศีลมหาสนิท (เทียบ The Catechism of the Catholic Church, 1322; Sacramentum Caritatis, 17) “บ่อเกิดและสุดยอด” ของชีวิตพระศาสนจักร ศีลมหาสนิทเป็น “วันพระจิตตาคมที่ถาวร” เนื่องจากทุกครั้งที่เราเฉลิมฉลองมิสซาบูชาขอบพระคุณ เรารับพระจิตเจ้าผู้ที่ เชื่อมเราเป็นหนึ่งอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับองค์พระคริสต์ และแปรเปลี่ยนเราให้ละม้ายคล้ายกับพระองค์ ลูก ๆ เยาวชนที่รัก ถ้า พวกเธอเข้าร่วมในมิสซาบูชาขอบพระคุณบ่อย ๆ ถ้าพวกเธอสละเวลาไปเฝ้าศีลฯ บ่อเกิดแห่งความรักซึ่งได้แก่ศีลมหาสนิท พวกเธอก็จะเต็มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นยินดีที่จะอุทิศชีวิตของตนในการติดตามพระวรสาร ในเวลาเดียวกันมันก็จะเป็น ประสบการณ์ของพวกเธอที่ว่าเมื่อไรก็ตามที่พละกำลังของเราไม่เพียงพอ ก็จะเป็นพระจิตเจ้าที่จะแปรเปลี่ยนเรา เติมเต็มเรา ด้วยพละกำลังของพระองค์ และทำให้เราเป็นประจักษ์พยานแผ่ซ่านไปด้วยความศรัทธาแรงกล้าของพระคริสตเจ้าผู้กลับคืน พระชนมชีพ
7. ความต้องการและความเร่งด่วนของพันธกิจแพร่ธรรม
บรรดาเยาวชนมากมายมองชีวิตของตนเองด้วยความหวาดหวั่นและตั้งคำถามเยอะแยะไปหมดเกี่ยวกับอนาคตของ ตน พวกเขาถามด้วยความกังวลใจว่า พวกเราจะอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความอยุติธรรมอย่างมหันต์และความทุกข์ยาก มากมายได้อย่างไรกัน? เราจะโต้ตอบต่อความเห็นแก่ตัวและความรุนแรงซึ่งบางครั้งมีอยู่ดาษดื่นได้อย่างไร? เราจะให้ ความหมายที่ครบบริบูรณ์ต่อชีวิตได้อย่างไร? เราจะสามารถนำผลของพระจิตเจ้าที่เรากล่าวถึงข้างต้นที่ว่า “ความรัก ความ ชื่นชมยินดี ความสงบ ความอดทน ความเมตตา ความใจดี ความซื่อสัตย์ ความอ่อนโยน และการรู้จักควบคุมตนเอง” มาเติม เต็มโลกที่มีแผลเป็นและบอบบางซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นโลกของเยาวชนนี้ได้อย่างไร? อะไรคือเงื่อนไขที่ทำให้พระจิตเจ้าผู้ ประทานชีวิตแห่งการสร้างครั้งแรกและเฉพาะอย่างยิ่งของการสร้างครั้งที่สองหรือการไถ่กู้ได้กลับกลายเป็นจิตวิญญาณ ใหม่ของมวลมนุษย์? ให้เราอย่าลืมว่ายิ่งของประทานของพระเจ้ายิ่งใหญ่ และของประทานของพระจิตของพระเยซูเป็นของ ประทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ความต้องการของโลกที่รับมันก็ต้องยิ่งใหญ่มากกว่า และดังนั้นพันธกิจการแพร่ธรรมของพระศา สนจักรที่จะต้องออกไปเป็นประจักษ์พยานที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับมันก็ยิ่งน่า ตื่นเต้นเร้าใจยิ่งกว่า และผ่านทางวันเยาวชนโลก พวกเธอเยาวชนก็กำลังอยู่ในเส้นทางการเผยแสดงถึงความปรารถนาของตนที่จะมี ส่วนร่วมในพันธกิจการแพร่ธรรมนี้ ในสิ่งที่กล่าวมานี้ลูก ๆ เยาวชนที่รัก พ่อต้องการที่จะเตือนความจำเธอเกี่ยวกับความสัตย์จริงหลัก ๆ เพื่อใช้สำหรับรำพึง ไตร่ตรอง และพ่อต้องขอกล่าวย้ำอีกครั้งว่ามีเพียงพระคริสต์เท่านั้นที่สามารถเติมเต็ม แรงบันดาลใจที่อยู่ภายในลึกสุดใน ดวงใจของแต่ละบุคคลได้ และมีแต่พระคริสต์เท่านั้นที่สามารถทำให้มนุษยชาติมีความเป็นมนุษย์ขึ้นและ นำไปสู่ “การสวม ธรรมชาติพระ” ผ่านทางพระอานุภาพของพระจิตของพระองค์ พระองค์ทรงเพาะปลูกความรักเมตตาของพระเจ้าไว้ภายใน ตัวเรา และสิ่งนี้ทำให้เราสามารถที่จะรักเพื่อนบ้านของเราและพร้อมที่จะบริการรับใช้พวกเขา พระจิตเจ้าทรงประทานความ สว่างแก่เรา โดยเผยแสดงองค์พระคริสตเจ้าผู้ถูกตรึงและกลับคืนพระชนมชีพ และทรงแสดงให้เห็นว่าเราจะเป็นเหมือน พระองค์ได้อย่างไร เพื่อว่าเราจะได้เป็น “ภาพลักษณ์และเครื่องมือแห่งความรักที่เทหลั่งมาจากพระคริสตเจ้า” (Deus Caritas Est, 33) ใครที่ปล่อยให้พระจิตเจ้านำทางก็จะเข้าใจว่าการอุทิศตนรับใช้พระวรสารนั้นไม่ใช่ตัวเลือกพิเศษ นอกเหนือไปจากนั้น เพราะว่าพวกเขาตระหนักถึงความเร่งด่วนของการถ่ายทอดข่าวดีนี้ไปยังผู้อื่น อย่างไรก็ตาม เราต้อง เตือนตัวเองว่าเราสามารถเป็นประจักษ์พยานของพระคริสตเจ้าได้ เพียงแค่เราปล่อยให้พระจิตเจ้านำทางเรา พระองค์ทรง เป็น “ตัวจักรสำคัญในการประกาศพระวรสาร” (เทียบ Evangelii Nuntiandi: การประกาศพระวรสารในโลกปัจจุบัน, 75) และ “องค์ผู้นำแห่งพันธกิจการแพร่ธรรม” (เทียบ Redemptoris Missio: พระพันธกิจขององค์พระผู้ไถ่, 21) ลูก ๆ เยาวชนที่ รัก ดังที่ผู้สืบตำแหน่งที่น่าเคารพองค์ก่อนหน้าพ่อ พระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 และพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 ได้เคย ตรัสไว้ในหลากหลายโอกาสว่า การประกาศพระวรสารและการเป็นประจักษ์พยานต่อความเชื่อนั้นมีความจำเป็นมากยิ่งขึ้น ในโลกปัจจุบัน (เทียบ Redemptoris Missio: พระพันธกิจขององค์พระผู้ไถ่, 1) ยังมีคนที่คิดว่าการนำเสนอขุมทรัพย์ล้ำค่า แห่งความเชื่อต่อผู้คนที่ไม่แบ่งปัน มันหมายถึงการไม่ผ่อนปรนต่อพวกเขา แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาเพราะว่าการนำเสนอพระคริสต เจ้านั้นไม่ใช่การบังคับให้เชื่อในพระองค์ (เทียบ Evangelii Nuntiandi: การประกาศพระวรสารในโลกปัจจุบัน, 80)ยิ่ง กว่านั้นสองพันปีมาแล้วอัครสาวกสิบสององค์ก็ได้มอบชีวิตของพวกเขาเพื่อให้ พระคริสตเจ้าได้เป็นที่รู้จักและรัก ตั้งแต่ นั้นมาตลอดทุกศตวรรษ พระวรสารก็ยังคงแผ่กระจายออกไปโดยอาศัยชายหญิงที่ได้รับการดลใจด้วยความ ร้อนรนในการ ประกาศพระวรสารแบบเดียวกันกับบรรดาอัครสาวก ทุกวันนี้ก็เช่นกันยังคงมีความต้องการเหล่าสานุศิษย์ของพระคริสต์ที่ ทุ่มเทเวลาและพลังงานทั้งหมดของพวกเขาในการรับใช้พระวรสาร และยังมีความต้องการสำหรับพวกเธอเยาวชนที่จะ ปล่อยให้ความรักของพระเจ้าเผาผลาญภายในพวกเธอและตอบสนองด้วยใจกว้างต่อเสียง เรียกอันเร่งด่วนของพระองค์ เหมือนกับเยาวชนผู้ศักดิ์สิทธิ์และนักบุญมากมายได้กระทำในอดีตและมากยิ่ง ขึ้นในช่วงเวลาที่เพิ่งผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ่อขอให้พวกเธอมั่นใจว่าพระจิตของพระเยซูเจ้าในทุกวันนี้กำลังเชื้อเชิญพวก เธอเยาวชนให้เป็นผู้นำข่าวดีของพระเยซูเจ้า ไปสู่เพื่อน ๆ ยุคเดียวกันกับพวกเธอ โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่าความยากลำบากที่บรรดาผู้ใหญ่ประสบในการเข้าสู่แวดวง ของ เยาวชนด้วยวิถีทางที่เข้าใจได้และน่าเชื่อถือนั้น น่าจะเป็นเครื่องหมายที่องค์พระจิตเจ้ากำลังปลุกเร้าพวกเธอเยาวชนให้รับ มอบภารกิจนี้ พวกเธอรู้จักอุดมคติ ภาษา รวมทั้งบาดแผล ความคาดหวัง และในเวลาเดียวกันความปรารถนาสำหรับความดี งามของเพื่อน ๆ ยุคเดียวกันกับพวกเธอ สิ่งนี้ช่วยเปิดเข้าไปสู่โลกกว้างแห่งความรู้สึกนึกคิด การงาน การศึกษาอบรม ความ คาดหวัง และความทุกข์ยากของบรรดาเยาวชน... พวกเธอแต่ละคนจะต้องมีความกล้าหาญที่จะสัญญาต่อองค์พระจิตเจ้าว่า พวกเธอจะนำเยาวชนหนึ่งคนเข้ามาหาพระเยซูคริสตเจ้าด้วยวิธีที่พวกเธอคิดว่าดีที่สุด โดยรู้วิธีที่จะ “ให้คำอธิบายแก่ทุกคน ที่ต้องการรู้เหตุผลแห่งความหวังของเธอ แต่จงอธิบายด้วยความอ่อนโยนและด้วยความเคารพอย่างบริสุทธิ์ใจ” (เทียบ 1 เป โตร 3:15)
ลูก ๆ เยาวชนที่รัก เพื่อที่จะบรรลุถึงเป้าหมายนี้ พวกเธอจะต้องเป็นคนศักดิ์สิทธิ์และจะต้องเป็นมิชชันนารี เนื่องจากเรามิอาจแยก “ความศักดิ์สิทธิ์” ออกจาก “พันธกิจการแพร่ธรรม” ได้ (เทียบ Redemptoris Missio: พระพันธกิจ ขององค์พระผู้ไถ่, 90) จงอย่ากลัวที่จะเป็นมิชชันนารีผู้ศักดิ์สิทธิ์เหมือนดังนักบุญฟรังซิ สเซเวียร์ที่เดินทางทั่วตะวันออกไกล ประกาศข่าวดีจนกระทั่งพลังงานทุกหยดในตัวท่านถูกใช้จนหมดสิ้น หรือเหมือนกับนักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซูที่เป็น มิสชันนารีโดยที่เธอไม่เคยออกจาอารามคาร์เมลไลต์ไปไหนเลย ท่านทั้งสองได้ชื่อว่าเป็น “องค์อุปถัมภ์แห่งพันธกิจการแพร่ ธรรม” จงเตรียมตัวชีวิตของพวกเธอให้พร้อมที่จะยืนอยู่บนแถวเพื่อที่จะนำโลกไปสู่แสงสว่างด้วยความสัตย์จริงของพระ คริสตเจ้า เพื่อที่จะตอบสนองความเกลียดชังและการไม่นำพาต่อชีวิตด้วยความรัก และเพื่อที่จะประกาศความหวังแห่งการ กลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้าทั่วทุกมุมโลก
8. ร้องเรียกหา “ยุคใหม่แห่งพระจิตเจ้า” มายังโลก
ลูก ๆ เยาวชนที่รัก พ่อหวังว่าจะได้เจอพวกเธอมากมายที่เมืองซิดนีย์ในเดือนกรกฎาคม 2008 ซึ่งจะเป็นโอกาส แห่งพระญาณสอดส่องที่จะได้รับประสบการณ์พระอานุภาพของพระจิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม จงมากันมาก ๆ เพื่อจะได้เป็น เครื่องหมายแห่งความหวังและเพื่อจะได้ให้กำลังใจแก่พระศาสนจักรท้องถิ่นของออสเตรเลีย ที่กำลังตระเตรียมการต้อนรับ พวกเธออยู่ และสำหรับบรรดาเยาวชนเจ้าภาพของประเทศออสเตรเลีย มันก็จะเป็นโอกาสพิเศษที่จะประกาศความงดงาม และความยินดีแห่งพระวรสารต่อสังคมที่เน้นในหลากหลายทางแต่เรื่องทางโลก ประเทศออสเตรเลียเหมือนกับทุกประเทศ ในโอเชเนียต้องการที่จะค้นพบรากเหง้าคริสตชนของตนเองอีกครั้งหนึ่ง ในสมณเอกสารเชื้อเชิญหลังการประชุมซีโนดของ บรรดาพระสังฆราช Ecclesia in Oceania พระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 ลิขิตไว้ว่า “โดยอาศัยพระอานุภาพของพระจิตเจ้า พระศาสนจักรในโอเชียเนียกำลังเตรียมตัวสำหรับการประกาศพระวรสารแบบใหม่สู่ประชาชาติที่กระหายหาองค์พระ คริสตเจ้า... การประกาศพระวรสารแบบใหม่ถือเป็นพันธกิจอันดับแรกสำหรับพระศาสนจักรในโอเชียเนีย” (ข้อ 18)
พ่อขอเชื้อเชิญพวกเธอให้หาเวลาอธิษฐานภาวนาและหาเวลารับการอบรมฝ่ายจิตในช่วงขั้นตอนสุดท้ายแห่งการ จาริกสู่วันเยาวชนโลกครั้งที่ 23 นี้ เพื่อในเมืองซิดนีย์พวกเธอจะได้สามารถรื้อฟื้นคำสัญญาที่ได้ทำในช่วงรับศีล ล้างบาปและ รับศีลกำลัง พร้อมกันนี้เราก็จะร้องเรียกหาพระจิตเจ้า โดยอ้อนวอนต่อพระเจ้าด้วยความมั่นใจสำหรับของขวัญแห่งยุคใหม่ ของพระจิตเจ้า สำหรับพระศาสนจักรและสำหรับมวลมนุษย์ในสหัสวรรษที่สาม
ขอพระนางมารีย์ ผู้เป็นหนึ่งเดียวในคำภาวนากับบรรดาอัครสาวกที่ห้องชั้นบน ได้อยู่เคียงข้างพวกเธอตลอดเดือน เหล่านี้ และนำการเทหลั่งลงมาใหม่ของพระจิตเจ้าสู่เยาวชนคาทอลิกทุกคน เพื่อทำให้ดวงใจของพวกเขาร้อนลุกเป็นไฟ จง จำไว้ว่า พระศาสนจักรมั่นใจในตัวพวกเธอ! โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราบรรดาผู้อภิบาล ภาวนาให้พวกเธอรักและนำผู้อื่นให้รับ พระเยซูเจ้ายิ่งทียิ่งมากขึ้นและให้พวกเธอติดตามพระองค์อย่างซื่อสัตย์ ด้วยความรู้สึกเหล่านี้พ่อขออวยพรพวกเธอทุกคน ด้วยความเสน่หาอย่างสุดซึ้ง
จากโลเรนซาโก วันที่ 20 กรกฎาคม 2007