ปากท้อง


ปากท้อง



สาน ความ คิด


HOME SWEET HOME?


ปี 2537 เป็นปีครอบครัวสากล ทั้งระดับโลกและระดับชาติ

องค์กรต่างๆ ให้ความสนใจ และเริ่มงานกันในทุกะดับ

ระดับอย่างผม คงทำได้ไม่มาก ก็แค่ทบทวนศัพท์อังกฤษบางคำกับท่านผู้อ่าน

ภาษาอังกฤษมันไปเกี่ยวอะไรกับปีครอบครัวสากล?” ผู้อ่านคงจะรีบแย้ง ผมก็คงจะชี้แจงได้ว่ามันเกี่ยว ไม่มากก็น้อย


สภาพความเป็นอยู่และค่าครองชีพทุกวันนี้ ทำให้ผู้คนต้องดิ้นรน แบบปากกัดตีนถีบ

ในเมื่อเวลามีอยู่ของมันเท่าเดิม วันหนึ่งยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่สิ่งที่เรียกร้องเวลาและความสนใจในแต่ละวันนั้น มันมากเกินกว่าที่จะให้เวลาแก่ทุกอย่างได้หมด จึงต้องให้เวลาบางอย่างมาก อีกบางอย่างน้อย และอีกบางอย่างไม่ให้เลย

เมื่อต้องให้เวลาแก่การงานอาชีพมาก เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น หรือเพื่อชักหน้าให้ถึงหลัง เวลาที่จะให้แก่ครอบครัว แก่ลูก ก็น้อยลง หรือไม่มีให้เลย

จนลืมไปว่า สิ่งที่ดีที่สุดที่พ่อแม่ให้แก่ลูกคือเวลา

พ่อแม่บางคนมีเวลาออกงานสังคมสงเคราะห์ ไปป้อนข้าวป้อนน้ำ ไปแจกสิ่งของเครื่องใช้ให้เด็กกำพร้า ให้ปรากฏเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ ในจอโทรทัศน์ แต่ไม่มีเวลาให้ลูกที่บ้าน

สงเคราะห์เด็กกำพร้า แต่กลับเพิ่มเด็กกำพร้าไว้ที่บ้านคนสองคน

เด็กที่พ่อแม่ไม่มีเวลาให้ ถือได้เลยว่าเป็นเด็กกำพร้า โดยพฤตินัย


Home คือที่พักอาศัยของบุคคลที่มีความสัมพันธ์แห่งความรัก อย่างที่มีเขียนว่า “Home is where the heart is

แต่ถ้าคนที่อาศัยอยู่ไม่มีเวลาให้กัน และเมื่อไม่มีเวลาให้ก็ไม่มีความรัก ความอบอุ่น ความใกล้ชิด... Home ก็คงจะเหลือแค่ House

House คือที่พักอาศัย เช้าต่างคนต่างตื่นและรีบเร่งออกจากบ้านคนละทิศละทาง ค่ำ ดึก หรือเช้าตรู่ก็ซมซานกลับมาซุกหัวนอน จะพบจะคุยกันบ้างก็ช่วงวันหยุด... House ก็ลงเอยไม่ต่างอะไรกับ Hotel จะต่างก็ตรงที่ไม่ต้องจ่ายค่าที่พักและค่าอาหาร

Hotel คือที่พัก ที่คนเข้าพักได้โดยไม่ต้องรู้จักมักจี่กัน ต่างคนต่างมาพัก ออกไปธุระ กินอยู่ จะเข้าจะออก จะอยู่จะไปก็ไม่ต้องบอกลาใคร

เมื่อ home กลายเป็น house แล้วเป็น hotel ก็อาจจะต้องลงเอยเป็น hell ในที่สุด

เพราะ Hell คือ ที่ที่มีทุกอย่าง เว้นแต่ความรัก


ตอนนี้ผู้อ่านคงเข้าใจและคงเห็นด้วยกับผมแล้วว่า ปีครอบครัวสากล น่าจะเป็นปีแห่งการทบทวนความหมายของศัพท์อังกฤษบางคำ โดยเฉพาะคำที่ขึ้นต้นด้วยตัว H เหล่านี้ เพราะบางครอบครัวมีความสับสนและใช้ปนเปกันจนแยกไม่ออก

และน่าจะพยายามช่วยกันให้เหลือเพียงคำเดียวคือ Home เพื่อจะได้เป็น Home Sweet Home ซึ่งจะนำไปสู่คำที่ขึ้นต้นด้วย H อีกคำหนึ่ง คือ Heaven*






















ฝันที่เกินจริง

ผมเป็นคนชอบการ์ตูนมาแต่ไหนแต่ไร จนใครหลายคนทายทักว่า โตป่านนี้แล้วยังชอบการ์ตูน บางคนมองผมด้วยสายตาฉงนระคนสงสัย อีกบางคนไม่ยอมเชื่อ จนต้องถามซ้ำแล้วซ้ำอีก

ก็ผมชอบของผมนี่นา แต่ใช่ว่าจะชอบแบบพร่ำเพรื่อ

อย่างการ์ตูนวันอาทิตย์ของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ วันที่ 9 มกราคม ที่ผ่านมาเป็นต้น

Andy Capp กำลังยืนมองรถเก๋งคันหนึ่งที่ผ่านไปถอนหายใจยาว แล้วพูดเปรยขึ้นมาด้วยความอิจฉาว่า “เจ้าของไม่มีอะไรต้องกังวลเลยนะ มีรถหรูขับมีเงินเต็มกระเป๋า แถมเป็นอิสระจะไปไหนมาไหนได้ดังนก...”

ภรรยาก็โต้ว่า “คุณน่าจะตัดสินใจให้มันเด็ดขาดสักที ก็วันก่อนคุณยืนยันว่า คุณไม่ชอบเป็นโสดนี่น่า...”

ใช่” เขาพูด “ฉันไม่ยอมเป็นโสดแน่ เพียงแต่...อยากดำเนินชีวิตเหมือนคนโสดต่างหาก

การ์ตูนประเภทนี้ต่างหากที่ผมชอบ เพราะมันสะท้อนแง่มองชีวิตได้แยบคาย และประทุความคิดอ่าน


ปัญหาหลายอย่างที่สังคมทุกวันนี้กำลังเผชิญอยู่เกิดจากคำพูดของ Andy Capp นี่แหละ

คนที่แต่งงาน มีพันธะและความรับผิดชอบแล้ว แต่ยังอยากจะมีชีวิตเหมือนคนโสด...เที่ยวทอดสะพานให้คนนั้นที คนโน้นทีพร้อมบ่งบอกเป็นนัยว่า ยังอิสระ ไม่มีห่วงแขวนคอ

บ้านเล็กบ้านน้อยก็ตามมา จนแบ่งเวลาให้ไม่ถูก พอเรื่องแดงขึ้นมา ถ้าไม่บ้านแตกสาแหรกขาด ก็ต้องมีคนทำใจด้วยความขมขื่นและฟกซ้ำ

บางคนยังไม่แต่งงาน แต่ก็อยากจะดำเนินชีวิตร่วมโรงร่วมหอเหมือนแต่งกันแล้ว...เอาแต่สนุกกับรสเพศ โดยไม่อยากรับผิดชอบพอเกิดความผิดพลาด ก็ร่วมกันขจัดความรับผิดชอบไปอย่างไม่คิดเสียดาย หรือเห็นคุณค่าชีวิตน้อยๆ

บางคนยังเรียนไม่จบ แต่ก็อยากจะทำตัวเหมือนกับว่าจบการศึกษาแล้ว...บ้างเลิกเรียนแล้วก็ควงกันไปเที่ยวห้าง ดูหนัง บ้างก็ควรกันเที่ยวเตร่แทนไปเรียน บ้างทำตัวสั่นเส้นจนคนที่แต่งงานมีเหย้ามีเรือนเห็นแล้วยังต้องเบือนหน้าหนีด้วยความละอายแทน

บางคนฐานะยากจน แต่ก็อยากมีชีวิตแบบคนมั่งมี...ทำเงินได้เท่าไรก็เอามาทุ่มใช้ทุ่มจ่ายแบ่งรัศมี จนชักหน้าไม่ถึงหลังก็ยังไม่ยอมเข็ด พอเงินขาดมือก็ต้องรีบกู้รีบยืมกลัวจะเสียภาพพจน์ถึงวันเงินเดือนเงินค่าแรงออกก็รับเงินมือขวาส่งต่อให้เจ้าหนี้ด้วยมือซ้าย บ้างก็อยากมีเงินใช้คล่องก็เที่ยวปล้นเที่ยวจี้ ลักเล็กขโมยน้อย บ้างอยากได้เงินง่ายๆ ก็พร้อมจะขายจะแลก แม้กระทั่งเนื้อตัวอย่างไม่คิดละอายใจ

บางคนขี้ริ้วขี้เหร่ แต่อยากจะมีชีวิตแบบคนหล่อคนงาม...มีเงินหน่อยก็มาทุ่มให้กับเรื่องเสริมสวย ราวกับว่าความสวยความงามซื้อหากันได้ด้วยเงินทอง เที่ยวเข้าคลินิกนี้ออกคลินิกนั้น เพื่อเสริม เพื่อต่อ เพื่อตัด เพื่อแต่ง จนแทบจะไม่เหลือชิ้นส่วนเดิมไว้ให้จดจำ ลูกหลานจะมีจะกินอย่างไร ไม่เหลียวแล

และอื่นๆ อีกมาก มากเท่าๆ กับปัญหาที่ต้องเผชิญกันอยู่นี่แหละ

คราวนี้คงเห็นแล้วสิ ว่าทำไมผมถึงชอบการ์ตูนนัก

























ความจำเป็น

ทุกวันนี้ คนเราพยายามมีมากกว่าจำเป็น

ก่อนนี้ สิ่งจำเป็น ต้องมี ส่วน สิ่งฟุ่มเฟือย จะมีก็ได้ ไม่มีก็ได้

ความเอื้ออารี การแบ่งปัน การทำบุญทำทาน จึงกระทำกันได้ง่าย เพราะสิ่งเกินมีเกินใช้ ก็เผื่อแผ่ให้แก่คนที่ไม่มีกินไม่มีใช้ ด้วยน้ำใจ

แต่เดี๋ยวนี้ สิ่งฟุ่มเฟือย เป็นสิ่ง ต้องมี ไม่มีไม่ได้


ความจำเป็น ไม่ได้ขึ้นอยู่ ควรมี หรือ ไม่ควรมี เพื่อการดำเนินชีวิตแต่ละวัน

แต่ขึ้นอยู่กับการกำหนดของค่านิยม ของวงการแฟชั่น ของคู่แข่ง

แม้คุณจะมีสิ่งเดียวกันนี้แล้ว แต่ต้องมีใหม่และมีเพิ่ม เพราะใครๆ เขาก็มีกันแล้วทั้งนั้น

ร้านอาหารเปิดใหม่ จะต้องไปลิ้มไปชิมให้ได้ เพื่อคุยกับใครต่อใครได้ว่า กินมาแล้ว

แม้คุณจะมีเสื้อผ้าเกินใช้แล้ว แต่ต้องมีชุดนี้ให้ได้ เพราะกำลังนิยมกัน ไม่มีใช้ไม่มีใส่จะทำให้เชย ล้าสมัย

แม้คุณจะมีครบทุกอย่างแล้ว แต่เพื่อนๆ เขามีบางอย่างที่คุณไม่มี ก็ต้องรีบซื้อหามาให้ได้ ก่อนที่ต้องน้อยหน้ากว่าเขา

ในเมื่อต้องมีมากกว่าความจำเป็น เงินทองก็ต้องหามาให้มากขึ้น

งานเดียวไม่พอ ต้องมีงานเสริม

ทำงานตามเวลายังไม่พอ ต้องทำเกินเวลา

เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว น่าจะได้พักผ่อน มีเวลาให้กับตนเอง กับครอบครัว ก็ต้องเจียดเวลาเพื่อหารายได้พิเศษ

ในเมื่อ สิ่งเกินความจำเป็น เรียกร้องและกินเวลาจนเกือบหมด สิ่งที่จำเป็น ก็มีอันต้องรับผลกระทบกระเทือนไปด้วย

สิ่งจำเป็น ที่ควรได้รับการรักษาและหวงแหน มาถูกแทนด้วย สิ่งเกินความจำเป็น ลำดับคุณค่าในชีวิตจึงมีอันต้องสับสน วุ่นวาย

ความสุขใจ ถูกแทนด้วย ความสุขกาย

ความรัก ถูกแทนด้วย วัตถุ

ชีวิตแต่งงาน ถูกแทนด้วย ชีวิตแต่งกับงาน

ความลึกซึ้ง ถูกแทนด้วย ความผิวเผิน

ความดี ถูกแทนด้วย ไหวพริบและการโฉบฉวยโอกาสประเภทมือไวสาวได้สาวเอา


มิตรภาพ ถูกแทนด้วย การแข่งขัน ใครดีใครอยู่

ศักดิ์ศรี ถูกแทนด้วย การมีมากกว่าการเป็น...

กี่ครั้งที่คุณคิดจะเข้าห้างสรรพสินค้า เพื่อจะหลบร้อนผึ่งแอร์

แต่พอออกมา ต้องซื้อของติดไม้ติดมือ ทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดจะซื้อหา

คุรอยากรู้ว่าชีวิตของคุณพอใจในสิ่งที่จำเป็น หรือ สิ่งเกินความจำเป็น ก็ลองอ่านใจคุณดูหลังจากเดินออกมาจากห้างสรรพสินค้าแล้ว

ถ้าใจอุทานว่า “โอ้โฮ มีของอีกเยอะแยะที่ฉันไม่ต้องมี ก็ยังดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุขได้

นั่นบ่งบอกว่า คุณเป็นคนพอใจแค่สิ่งจำเป็น

ถ้าใจคุณบ่นด้วยความเสียดาย “แหม ถ้ามีเงินจะซื้อมันทั้งห้างเลย”

นั่นคงจะชี้ให้เห็นว่า ใจคุณอยากมีเกินความจำเป็นเสียแล้ว

และคุณก็รู้ ถ้าอยากจะมีเกินความจำเป็น อะไรจะตามมาบ้าง*



















ของฝากท้ายรถ


เขียนทีไร ต้องโยงไปถึงการขับรถทุกที

ทำไงได้ ก็ทุกวันนี้ เห็นแต่พูดเรื่องของรถที่

เพิ่มจำนวนขึ้นและช่องทางเดินรถที่แคบไปทุกวันพร้อมทั้งความพยายามที่จะหาทางทำอย่างไรจึงจะให้รถจำนวนมากลงไปวิ่งในเส้นทางแคบๆ ได้โดยไม่ต้องเฉี่ยวหรือชนกัน

เปิดหนังสือพิมพ์ก็มีแต่ข่าวโครงการแก้ปัญหาจราจร เปิดโทรทัศน์ก็เห็นออกมาเสนอแนวจัดโครงการเดินรถสาธารณะ ฟังวิทยุก็มีแต่การรายงานเส้นทางไหนควรจะเลี่ยงหากอยากจะไปให้ถึงบ้าน...

แล้วอย่างนี้จะไม่ให้คิดถึงเรื่องรถเรื่องถนนได้อย่างไร

ขับรถ นอกจากจะฟังวิทยุเป็นเพื่อนแล้ว ยังใช้สายตาอ่านโน่นอ่านนี่ไปเรื่อยเปื่อย โดยเฉพาะที่มีเขียนติดอยู่ท้ายรถคันข้างหน้า

มือใหม่หัดขับ...ลูกชายคนโปรด...รักแท้มีหนึ่งเดียว แต่โรเนียวได้หลายครั้ง...

ข้อความธรรมดาๆ เขียนติดไว้เพียงเพื่อมีอะไรติด แต่หลายครั้งก็เจอข้อความน่าอ่านน่าคิด ไม่น้อยครั้งก็เจอข้อความกินใจเลยตั้งใจอ่านและจดจำไว้เป็นอาหารสมอง

จนกลายเป็นนิสัย ขับรถไปตาก็หาอ่านอะไรที่เขียนท้ายรถคันหน้าไป

วันหนึ่ง ขับตามรถบรรทุก และเหลือบไปเห็นข้อความเขียนตัวเล็กๆ ไว้ที่กระบะท้าย จึงเร่งความเร็วให้ทันตามการเรียกร้องของความมักรู้มักเห็น

พอเข้าไปถึงระยะพอจะอ่านออกก็เห็นข้อความ “กูว่าแล้วมึงต้องอ่าน”


แม้จะต้องหน้าแตกและผิดหวังเป็นบางครั้งแต่ก็คุ้มค่ากับความพยายาม เพราะมีอะไรอ่าน มีอะไรคิด ดีกว่าจะต้องมากลุ้มกับรถติด อย่างประโยคติดท้ายรถคันหนึ่ง

สังคมเลว เพราะคนดีท้อแท้”

ตอนแรกที่อ่าน ก็คิดจะแก้ต่าง “สังคมเลวเพราะมีคนไม่ดีเยอะต่างหาก”

แต่คิดอีกที มันก็จริงอย่างที่เขียนไว้

คนชอบมองสังคมเป็นเรื่องของคนอื่นมากกว่าของตน

และหากตนไม่ได้ก่อความชั่ว สร้างความเลว ก็ถือว่าหมดหน้าที่แล้ว

พอเกิดความชั่วขึ้นก็โทษคนทำ พอเกิดความเลวก็โทษคนก่อความเลว แต่น่าอยู่เพราะมีความดีความงามต่างหาก

มองจากแง่นี้ คนดีน่าจะผนึกกำลังกันสร้างความดี จนคนชั่วรู้สึกนอกที่นอกทาง

เหมือนบ้านไหนสะอาดสะอ้านจะทิ้งอะไรให้เลอะเทอะแม้แต่น้อยนิด ก็ให้รู้สึกกระอักกระอ่วนจนทำไม่ลง

แต่บ้านไหนสกปรก จะเพิ่มความสกปรกขึ้นมาอีกนิดก็ไม่เห็นจะเป็นไร

ที่ไหนมีการพูดจาไพเราะ เรียบร้อย น่าฟัง จะพูดคำหยาบสักคำมันเป็นเรื่องน่ารังเกียจ ขยะแขยง

แต่ที่ไหนพูดจาสกปรก หยาบคาย ลามกจกเปรต จะพูดคำหยาบสักร้อยคำ ก็ไม่มีใครรู้สึก

ที่ไหนไม่มีการฉ้อราษฎร์บังหลวง การจะยักยอกสักสิบยี่สิบบาท ก็ให้รู้สึกระอายตนเอง

แต่ที่ไหนมีการฉ้อโกงกินดะตั้งแต่ถนนยันสะพานลอย อิฐหินดินทรายก็ไม่เว้น การจะทุจริตยกผลประโยชน์ของรัฐให้ตนเองสักสิบล้านยี่สิบล้านก็ไม่รู้สึก แถมยังพูดหน้าตาเฉยว่า เป็นเรื่องธรรมดา แบบเรื่องเด็กเส้นอย่างไรอย่างนั้น

ทุกวันนี้ สังคมปล่อยให้คนชั่วเป็นตัวลิขิตชะตากรรมให้ราวกับว่าสังคมจะน่าอยู่หรือไม่น่าอยู่ขึ้นอยู่กับคนชั่วจะเมตตา

หากคนชั่วไม่ทำชั่ว ก็ถือว่าเป็นบุญไป แต่หากคนชั่วก่อความเลวขึ้นมาก็ถือว่าเป็นกรรม

จนวันหนึ่งๆ คิดแต่จะให้รอดตัวมาได้อย่างเดียว...

ขับรถออกจากบ้าน หากไม่ถูกสิบล้อเมายาม้าขยี้ติดพวงมาลัยก็ดีแล้ว

ลูกสาวออกจากบ้าน กลับมาไม่ถูกข่มขืน หรือหลอกไปขายก็หายห่วงได้แล้ว

บ้านช่องไม่ถูกงัด ถูกเผา ก็นอนตาหลับแล้ว

ซื้อขายไม่ถูกเขาโกง ไม่ถูกเขาหลอก ก็ใช้ได้แล้ว

ขึ้นรถเมล์ไม่ถูกเขาลวนลาม หรือล้วงกระเป๋า หรือถูกเหวี่ยง

ลงไปวัดพื้นรถ เพราะคนขับเคยใฝ่ฝันอยากจะขับรถแข่ง ก็ถือว่าปลอดภัยแล้ว


คงจะถึงเวลาแล้ว ที่จริงมันน่าจะถึงเวลานานมาแล้ว ที่จะต้องบอกตัวเองว่า

สังคมน่าอยู่ได้ ขึ้นอยู่กับคนดีที่ช่วยกันลิขิต










สื่อสาร VS สื่อสัมพันธ์

วันประวัติศาสตร์สำหรับประเทศไทยที่ควรจารึกไว้อีกวันหนึ่งคือ วันที่ 18 ธันวาคม 2536...วันที่ “ไทยคม” ถูกส่งขึ้นไปโคจรบนฟากฟ้า

โลกซึ่งดูจะเล็กลงไปเพราะความก้าวหน้าด้านการสื่อสาร เล็กลงไปอีกถนัด

ประเทศไทยที่กว้างใหญ่ ถูกย่อให้เล็กลง โดยมี “ไทยคม” เป็นศูนย์รวมของการสื่อสารในรูปแบบต่างๆ เพื่อประโยชน์ของการติดต่อ ธุรกิจ การเมือง การทหาร ข่าวคราว การบันเทิง การศึกษา...

และนี่คือ ความก้าวหน้าของสื่อสารมวลชน ที่ดูจะก้าวใหญ่ๆ ไปข้างหน้าทีละก้าว ด้วยอัตราความเร็วยิ่งวันยิ่งมากขึ้น จนฉุดรั้งไว้อย่างไรก็ไม่อยู่

ความก้าวหน้าด้านการสื่อสารมวลชน ทำให้การติดต่อและการรู้ข่าวคราวความเป็นไปในส่วนต่างๆ ของโลกทันท่วงที

จนแทบจะให้รู้สึกว่าอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ ด้วยตนเอง ทั้งๆ ที่อยุ่กันคนฟากโลก

โลกจึงกลายเป็นหมู่บ้านใหญ่...ดังเช่นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีอะไร ทุกคนรับรู้หมด

คนที่อยู่ไกลกันก็ให้รู้สึกเหมือนอยู่ใกล้

ระยะทางที่ห่างไกลกันลิบลับ ก็ให้รู้สึกอยู่แค่มือเอื้อม

แต่แม้ความก้าวหน้าด้านการสื่อสารจะช่วยให้คนรู้สึกใกล้ชิดกัน ก็ใช่ว่าจะทำให้จิตใจใกล้

ชิดกันขึ้นเสมอไปก็เปล่า

สื่อสาร ก็คือสื่อข่าวคราวความเป็นไป แต่ไม่ได้สื่อสัมพันธ์ก็บ่อยไป

เพราะสารสื่อสารหยุดอยู่แค่ระดับสมอง ส่วนสื่อสัมพันธ์ลงไปสู่ใจ ใจสื่อใจ

จึงไม่แปลก ที่คนทุกวันนี้ใกล้ชิดกันแค่กาย แต่ใจอยู่ห่างไกลกันลิบลับก็มีถมไป

ความเหงา ความโดดเดี่ยว ความว้าเหว่ มันเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่เพราะกายห่างไกลกัน แต่ใจห่าง

ไกลทั้งที่ใจอยู่ชิดใกล้

ดีไม่ดี ตัวสื่อสารนี่เองที่เป็นต้นเหตุให้การสื่อสัมพันธ์ต้องขาดสิ้นไป โดยไม่รู้ตัว

ในเมื่อใช้สื่อสารมวลชนเพื่อโจมตี สาดโคลน และเหยียบย่ำกันจนไม่เหลือศักดิ์ศรีและจรรยาบรรณของนักการเมือง แทนที่จะใช้เพื่อสร้างความเข้าใจ กระชับความสามัคคีเพื่อความดีของประเทศชาติ

ในเมื่อวันหนึ่งเอาแต่ต่อโทรศัพท์ไปคุยกับคนโน้นที คนนั้นที แต่กลับคนที่อยู่ใกล้ชิดกลับไม่มีอะไรจะคุยด้วย

ในเมื่อเอาแต่สนใจติดตามรายการโทรทัศน์ตาแทบไม่กระพริบ จนแทบไม่ได้สนใจคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ลืมความเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นสามีเป็นภรรยา

ไม่แปลกใจเลยที่เด็กหญิงเล็กๆ คนหนึ่ง เมื่อครูคำสอนบอกห้แต่งบทสวดด้วยคำพูดของตน

เอง เพื่อขอพรอะไรก็ได้จากพระเจ้า เขียนอย่างซื่อๆ ว่า

ข้าแต่พระเจ้า โปรดทำให้หนูเป็นโทรทัศน์ คุณพ่อคุณแม่จะได้มองดูหนูบ้าง...”

ในเมื่อเอาแต่อ่านหนังสือพิมพ์ วารสาร ติดตามข่าวคราวโดยไม่ยอมให้พลาดแม้ฉบับเดียว แต่ไม่เคยอ่านความรู้สึกและทีท่าของคนที่ร่วมชีวิตอยู่ด้วยเลย...

ตราบใดที่คนยังให้ความสำคัญแก่การสื่อสารมากกว่าสื่อสัมพันธ์ การติดต่อ พูดคุย แลก

เปลี่ยนความคิดเห็นกัน ก็อยู่แค่ระดับแลกเปลี่ยนข่าวสาร

แล้วก็ไม่สนใจกับการสื่อใจ สื่อความรู้สึกลึกๆ ที่มีต่อกัน สื่อคุณค่า สื่อความรักความเอาใจใส่ สื่อความห่วงใย สื่อความปรารถนาดี สื่อความเป็นมิตร...ที่นำไปสู่สื่อสัมพันธ์อันแท้จริง

การติดต่อกันจึงอยู่แค่ระดับผิวเผิน แค่ระดับสมอง แค่ระดับความรู้

แต่ไม่เคยเข้าไปถึงระดับใจต่อใจ

ความเหงา ความโดดเดี่ยว ความว้าเหว่...ก็ยังคงอยู่ต่อไป และเพิ่มความร้ายกาจมากขึ้น

เพราะหากความเหงา ความโดดเดี่ยว ความว้าเหว่ เกิดจากการที่ต้องพรากจาก ห่างไกลกันไป ก็ยังพอทน

แต่หากอยู่ใกล้ชิดกันแต่กาย นั้นห่างเหินไปไกลแสนไกล ความเหงา ความโดดเดี่ยว ความว้าเหว่กลับกลายเป็นความทรมานใจ ความปวดร้าว เหลือจะทนทานได้


ความก้าวหน้าด้านการสื่อสารยังคงก้าวรุดไปอย่างยั้งไม่อยู่

แต่จะประโยชน์อะไร ถ้าการสื่อสารดีขึ้นเรื่อยๆ แต่การสื่อสัมพันธ์กลับแย่ลงอย่างน่าเสียดาย*










สังคมแห่งการแข่งขัน

มันเป็นข่าวเศร้า และสะเทือนไปแทบทุกวงการ

...นักเรียนติดยาม้า ทั้งชายและหญิง

ในหลายๆ สาเหตุที่วิเคราะห์กันมา ก็มีสาเหตุนี้ด้วย ใช้ยาม้าเพื่อเรียนได้นานขึ้น

หลายคน มองเห็นต้นเหตุที่มาของพฤติกรรมอันน่าเป็นห่วงนี้ต่างๆ นานา

แต่ผมมองลึกเข้าไปในสังคมทุกวันนี้ และคิดว่าสาเหตุมันสั่งสมกันมาเป็นลูกโซ่

สังคมทุกวันนี้ เป็นสังคมแห่งการแข่งขัน

ตั้งแต่ก่อนเกิดออกมาดูแสงแดดแสงตะวัน ก็ต้องแข่งขันกับชะตากรรม แม่จะยอมให้เกิดหรือเข่นฆ่าทำแท้งอย่างไม่มีสิทธิอุทธรณ์

เกิดออกมาได้ก็ต้องเริ่มเข้าสู่วงการการแข่งขันแทบไม่ทันรู้ตัว หรือสมัครใจ

แข่งขันกันคลอดในโรงพยาบาลดีๆ มีชื่อเสียง ที่เงินตัวเดียวชี้ขาดใครแพ้ใครชนะ

แข่งขันกันเติบโต กับผลิตภัณฑ์ที่บริษัทต่างๆ แข่งขันและเฉือดเฉือนกันด้วยกลยุทธแห่งการค้า ตั้งแต่อาหารเสริม สบู่ เสื้อผ้า ไปจนถึงแพมเพริสท์

แข่งขันกันเข้าเนอสเซอรีมีมาตรฐาน ที่สามารถแทพ่อแทนแม่ได้ แม้กระทั่งในการให้ความรักและความอบอุ่นแก่ลูก เพราะพ่อแม่ต้องไปแข่งขันเพื่อจะได้มาซึ่งปัจจัยเลี้ยงปากเลี้ยงท้องจนแทบไม่มีเวลาจะให้แก่ลูก

แข่งขันกันเข้าอนุบาลมีระดับ นอกจากจะต้องมีเงินรองรับก้อนใหญ่กันเหนียวแล้ว เด็กยังต้องมาคร่ำเครียดกับการใช้สมองน้อยๆ ก่อนเวลา มานั่งบวกเลขหลักสิบหลักร้อย ทั้งที่แค่นิ้วมือตัวเองยังนับไม่ถูกทุกครั้งไป

แข่งขันกันเข้าโรงเรียน ที่แค่ได้ยินชื่อก็ให้รู้สึกมั่นใจว่าเข้าต่อมหาวิทยาลัยได้แบบนอนมาได้เลย แข่งความสามารถด้านสติปัญญาก็ยังไม่แน่ หากเงินในซองที่เขียนระบุไว้ “เพื่อบำรุงโรงเรียน” ยังหนาไม่พอ ก็ยังมีสิทธิ์วืดได้เหมือนกัน

แข่งขันกันเข้ามหาวิทยาลัย ที่ต้องทุ่มให้ทั้งกาย กำลังใจ และความสามารถ เพราะคนเข้าแข่งขันเป็นจำนวนแสนๆ แต่คนจะเข้าหลักชัยจำกัดอยู่แค่ไม่กี่หมื่น

จบเป็นบัณฑิตออกมา ก็ยังต้องแข่งขันเข้าทำงาน เพราะบัณฑิตล้นตลาด และหากจะมีเปรียบเหนือผู้แข่งขันอื่นๆ ก็ต้องแข่งขันกันไปทำปริญญาต่อเมืองนอกเมืองนา

ทำงานได้แล้ว ยังต้องแข่งขันต่อ เพื่อความก้าวหน้า แข่งกันด้านความสามารถยังไม่พอ ยังต้องแข่งขันไหวพริบ อย่างที่เรียกกันว่ากลยุทธธุรกิจ

วันหนึ่งๆ ต้องแข่งขันกับเวลา วันเวลาเท่าเดิม แต่ต้องทำได้มากขึ้น จำนวนผลผลิตต้องเพิ่ม

ขึ้น ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันคู่แข่ง

แข่งขันกับธรรมชาติ เมื่อจังหวะและครรลองของธรรมชาติไม่ได้ดังใจ ก็มีการเร่งการฝืน เพื่อให้ผลผลิตออกมาได้ทันความต้องการ ไม่ผิดกับการข่มขืนธรรมชาติอย่างไม่คิดเกรงอกเกรงใจ

ทั้งๆ ที่ได้มาซึ่งปัจจัยพื้นฐานสำหรับการดำเนินชีวิตแล้ว ยังต้องแข่งขันต่อ... แข่งขันบารมี ศักดิ์ศรี ฐานะในสังคม

พอกำลังจะเริ่มสบาย ผ่อนคลายจากการแข่งขันที่ผ่านมา ก็ต้องมาแข่งขันกับสังขารที่สวนทางกับกาลเวลา วันเวลามากขึ้นกำลังวังชาก็ลดน้อยถอยลง ปีสะสมมากขึ้นชีวิตก็สั้นลง จนต้องพึ่งอาหารเสริม ยาอายุวัฒนะขนานไหนดีต้องเสาะหามาให้ได้

สุดท้ายก็เป้นแข่งขันระหว่างชีวิตกับความตาย


ชีวิตเป็นการแข่งขัน แข่งขันกับคนอื่นยังไม่พอ ยังต้องแข่งขันกับตัวเองด้วย

เรี่ยวแรงความสามารถมีแค่นี้ แต่อยากจะมีให้มากกว่า จึงต้องใช้อย่างอื่นเข้าไปเสริมไปกระตุ้น...อยากทำงานให้มากกว่าที่ร่างกายจะทนได้ หันไปใช้ยาม้า ขับรถไปให้ไกลและนานกว่าร่างกายจะทนทานได้ กินยาม้าเข้าไปกระตุ้น อยากจะดูหนังสือให้นานกว่าที่สมองจะรับได้ ใช้ยาม้าช่วย

ข่มขืนธรรมชาติยังไม่พอ ยังหันมาข่มขืนสังขารตนเองด้วย

แข่งขันกับคนอื่น ก็ยังมีตัวเองเป็นเพื่อน แต่แข่งขันกับตนเองแล้วจะมีใครเป็นเพื่อนอีก

ที่นายแพทย์อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม กล่าวว่าคนไทยมีแนวโน้มของการฆ่าตัวตายสูงขึ้น โดยเฉลี่ย 1 ชั่วโมงจะมีคนพยายามฆ่าตัวตาย 1 คน แต่ในกรุงทพฯ ทุกๆ 1 ชั่วโมง จะมีคนพยายามฆ่าตัวตาย 2 คน ฟังแล้วน่าใจหาย แต่ก็ไม่น่าแปลก

ในเมื่อต้องมีการแข่งขัน แม้กระทั่งกับตนเอง*












ครบรอบวันเกิด

ผมเคยตื่นเต้น ทุกครั้งที่ครบรอบวันเกิด

ตอนหลังๆ นี้ ผมกลับเฉยๆ

บางครั้งก็ไม่อยากจะคิดถึง แม้ในใจอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ทำไมเดี๋ยวนี้ปีหนึ่งๆ มันผ่านไปเร็วเสียเหลือเกิน

ยิ่งเพื่อนๆ ทายทัก “นี่แก่ลงไปอีกปีหนึ่งแล้วนะ รู้ตัวหรือเปล่า?” ก็อดใจหายไม่ได้

บางคนอุตส่าห์ให้กำลังใจ “อะไรกันนี่ หน้าตาดูอ่อนกว่าอายุเป็นสิบเลยนะ” ซึ่งแทนที่จะดีใจกับคำชม ลึกๆ กลับเป็นการตอกย้ำความจริงว่า “แม้หน้าตาจะดูอ่อน แต่จริงๆ แก่แล้วนะ หรอกใครได้แต่หลอกตัวเองไม่ได้หรอก”

เพื่อนผมคนนั้น คนที่ชอบประหยัดคำพูด ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ “อีกห้าสิบกว่าปีก็จะครบร้อยปีแล้วนะสังวรณ์ไว้บ้าง” ทำให้ต้องรีบหันมามองสังขาร เพราะมันให้รู้สึกว่าแก่ตัวลงไปถนัด เรี่ยวแรงพลอยลดน้อยถอยลงอย่างทันปากพูด


ชีวิตคนเราเป็นดังบันไดสองอันที่ตั้งพิงหัวชนกัน ข้างหนึ่งขึ้น ข้างหนึ่งลง

ตอนกำลังขึ้น วันครบรอบวันเกิดดูจะมาช้าแต่คุ้มค่าการรอคอย

แต่ละครั้งที่ฉลองครบรอบวันเกิด ก็เป็นขั้นตอนอีกขั้นหนึ่งที่ก้าวขึ้นไปสู่ปลายบันได

กำลังจะเป็นวัยรุ่นแล้วนะ ทำอะไรได้เองแล้ว”

กำลังจะเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วนะ มีเหย้ามีเรือนได้แล้ว”

กำลังจะเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ รับผิดชอบตนเองและคนอื่นได้แล้ว”

แต่ตอนกำลังลง วันครบรอบวันเกิดดูจะรีบเร่งมาจนแทบจะตั้งตัวไม่ติด

กำลังจะสมหวังและประสบความสำเร็จ หลังจากต้องฟันฝ่าพิชิตมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย วันเวลาก็มาเตือนว่า เวลาสำหรับจะเกาะติดและครอบครองทุกสิ่งเหล่านี้เริ่มนับถอยหลังแล้ว

แก่ตัวแล้วนะ โหมเรี่ยวโหมแรงเหมือนก่อนนี้ไม่ได้แล้ว”

มีอายุแล้วนะ จะเตร่หัวราน้ำ ข้ามวันข้ามคืนแบบก่อนไม่ได้แล้ว”

วัยปูนนี้แล้ว น่าจะหันหน้าเข้าวัดได้แล้วนะ”


นั่นเป็นครรลองชีวิต ที่มีเริ่มต้น ก้าวไปสูงไกล แล้วก็ล่วงหล่นลงมายังจุดเริ่มต้นเพื่อจะกลับไปสู่ที่มา

เหมือนก้อนหินที่ปาสูงขึ้นไปในอากาศ หมดแรงดันแล้วก็เริ่มตกลงมา

บางชีวิตขึ้นสูงไปนานสองนานกว่าจะเริ่มตกลงมา อีกบางชีวิตขึ้นไปได้ไม่เท่าไรก็ตกลงมา

แล้ว หลายชีวิตแค่พ้นมือไปนิดเดียวก็ตกลงมาแล้ว

แต่ใช่ว่าทุกคนจะมองดูครรลองของชีวิตในแง่ที่กล่าวมาก็หาไม่ กลับมองบันไดขึ้นกับบันไดลงไปอีกอย่างหนึ่ง

ตอนกำลังขึ้น วันครบรอบวันเกิดแต่ละปีเป็นวันแห่งการปลดปล่อยจากกรอบต่างๆ

กำลังจะเป็นวัยรุ่นแล้วนะ ทำอะไรที่ผู้ใหญ่เขาทำได้ทุกอย่างแล้ว”

กำลังจะเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วนะ ดื่มเหล้าสูบบุหรี่และเที่ยวหัวราน้ำได้เต็มที่แล้ว”

กำลังจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว อยากจะทำอะไรก็ทำได้เต็มที่แล้วนะ”

ตอนกำลังลง วันครบรอบวันเกิดแต่ละครั้งคอยเตือนความทรงจำ

แก่ตัวลงไปเรื่อยๆ แล้วนะ ตราบใดที่ยังมีเรี่ยวมีแรง ต้องรีบกอบโกยความสุขให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้”

มีอายุมากแล้ว จะมัวกลัวติดโรคติดเชื้อไปทำไมอีก”

วัยปูนนี้แล้ว เวลาเหลือน้อยเต็มที มัวแต่หันหน้าเข้าวัด ก็ไม่มีเวลาสนุกแล้วซี”


นานาจิตตัง นานาความคิด นานาทัศนะ

แต่จะมีกี่คนที่คิดบ้างว่า เมื่อเข้ามามีชีวิตในโลก เราเข้ามาตัวเปล่าและกลับออกไปตัวเปล่า

ทุกอย่างที่มีที่ใช้ ล้วนแต่ต้องเช่ามาทั้งนั้น

เช่าแผ่นดินที่อยู่อาศัย เช่าอากาศหายใจ เช่าธรรมชาติ เช่าที่ดินทำมาหากิน...

มองจากแง่นี้ วันครบรอบวันเกิดแต่ละปี คอยแต่ย้ำบอกว่า ค่าเช่าทบขึ้นมาอีกปีหนึ่งแล้วนะ

และค่าเช่าชีวิต ต้องจ่ายด้วยชีวิต...ชีวิตที่มีคุณค่า ชีวิตที่เปลี่ยนเป็นรัก รักเปลี่ยนเป็นการรับใช้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

หากชีวิตคุณช่วยสร้างคุณค่าให้แก่คนอื่น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ชีวิตคุณมีคุณค่า

ถือได้ว่าคุณจ่ายค่าเช่าแล้วล่ะ*






ตุ๊กตาหมีขาว

ตุ๊กตาหมีสีขาว ตัวน้อย ขนเรียบนุ่ม ดูน่ารักน่าชัง ตั้งอยู่ทางด้านหลังของรถผมมาตั้งแต่ต้นปีใหม่แล้ว

ตั้งไว้ในรถ และอย่าให้ใครต่อนะ” คนให้กำชับหนักแน่น สายตาบ่งบอกความเต็มใจแต่ก็ไม่วายเสียดายอยู่ในที

นอกจากดูน่ารักน่าจับแล้ว มันยังทำให้รู้สึกว่ารถไม่ว่างเปล่าเปลี่ยว

ตอนแรกๆ ก็ชอบชำเลืองมองด้วยความเอ็นดู

ต่อมา ก็แทบไม่ได้สังเกต นอกจากเวลาต้องเหยียบเบรคกระทันหัน หรือตีโค้งเร็วไปหน่อยจนเจ้าตุ๊กตาหมีน้อยกลิ้งตกลงมา ก็หันไปหยิบมันโยไปไว้บนเบาะหลัง

ทำความสะอาดรถที ก็จะจับมันให้นั่งเข้าที่เข้าทางด้านหลัง อย่างที่เคยวางไว้แต่แรก


ผมไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่า เด็กหญิงตัวน้อยๆ มายืนดูผมทำความสะอาดรถตั้งแต่เมื่อไร

ที่จริงเธอไม่ได้มองผมทำความสะอาดรถหรอก แต่เธอกำลังยืนมองตุ๊กตาหมีขาว ที่ตั้งอยู่ทางด้านหลังรถ

รอยยิ้มเอ็นดูวาดริมฝีปากน้อยๆ ขณะที่ตาจับอยู่ที่ตุ๊กตาหมีขาว ก่อนจะหันมามองผมแว้บหนึ่ง

น่ารักดีใช่ไหมล่ะ” ผมพูดขึ้นก่อน พลางโยนสายตาไปทางตุ๊กตาหมีขาว

อุ้มหน่อยได้ไหม” เธอพูดโดยไม่หันมามองผม

ผมก้มเข้าไปในรถ หยิบตุ๊กตาหมีขาว ส่งให้

หนูน้อยเอื้อมมือหยิบตุ๊กตาหมีขาวด้วยความทะนุถนอมกอดกระชับอก เอาแก้มคลอเคลียขนอ่อนนุ่มของมันด้วยความเอ็นดู ไม่ได้สนใจว่าผมกำลังมองเธออยู่

ชอบไหมล่ะ” ผมถามหลังจากเฝ้าดูเธออยู่ครู่ใหญ่

น่ารักจังเลย” เธอพึมพัม ไม่สนใจคำถามของผมด้วยซ้ำ

อยากได้ไหม” ผมถาม เธอชะงัก จ้องตาผม ก่อนจะผงกหัว

ฉันให้...เธอคงจะรักและดูแลมันดีกว่าฉัน” ผมพูด พร้อมกับลูบหัวเธอด้วยความเอ็นดู

หนูจะดูแลให้ดีที่สุดเลย จะพาไปเที่ยว จะเอาไปนอนด้วย จะเอาติดตัวไปตลอดเลย...” เธอพูดหน้าตาจริงจัง ก่อนจะรีบวิ่งไป

ผมยืนดูเธอจากไป พลันก็คิดถึงคำกำชับของคนให้ “ตั้งไว้ในรถ และอย่าให้ใครต่อนะ...”


อดรู้สึกผิดในใจไม่ได้แต่ก็นึกว่า หากคนให้ได้มาเห็นว่า ตุ๊กตาหมีขาวได้รับความรักทะนุถนอมจากเด็กน้อยคนนี้แค่ไหน ก็คงไม่คิดเสียดายเช่นเดียวกัน

อยู่ในรถ มันเป็นแค่เครื่องประดับชิ้นหนึ่ง แต่อยู่ในมือเด็กน้อยมันเป็นสิ่งน่ารักมีค่า

อยู่ในรถ มันถูกโยนๆ ขว้างๆ แต่อยู่ในมือเด็กน้อยเป็นสิ่งน่าทะนุถนอมเอาใจใส่ดูแล

อยู่ในรถ มันเป็นแค่ตุ๊กตาน่าเอ็นดุ แต่อยู่ในมือเด็กน้อยมันเป็นมากกว่าตุ๊กตาตัวหนึ่ง


ตุ๊กตาหมีขาวตัวนั้น มันทำให้ผมคิดได้หลายอย่าง

แต่ความคิดอย่างหนึ่งคอยวกเวียนอยู่ในสมองผมไม่ได้หยุด

สิ่งหนึ่งดูไร้ค่าสำหรับเรา อาจจะเป็นสิ่งมีคุณค่าอย่างมากสำหรับอีกหลายๆ คน

เสื้อผ้าบางตัวที่แขวนอยู่ในตู้ กินเนื้อที่โดยแทบจะไม่เคยใช้ใส่ กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นและมีคุณค่าสำหรับอีกหลายคนที่ไม่มีจะสวมใส่

รองเท้าคู่สองคู่ที่ถอดวางไว้หน้าประตู เดินเหยียบข้ามไปข้ามมา เมื่อมีคู่ใหม่ทันแฟชั่นมาแทนที่ คงเป็นสิ่งมีค่าสำหรับเท้าเปลือยเปล่าที่ย่ำไปตามถนน ซอกซอย ที่สกปรก ชื้นแฉะ

อาหารบางอย่างที่เหลืออยู่ในตู้กับข้าวและไม่รู้จะทำกับมันอย่างไรดี คงเป็นของมีรสชาดสำหรับท้องที่หิวแกร่ว กินมื้อ อดสองมื้อ

ของบางอย่างที่แช่ทิ้งไว้ในตู้เย็น จนแทบไม่รู้ว่ามีมันอยู่ด้วยซ้ำ คงจะเป็นของจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับหลายครอบครัวที่มีแต่หม้อมีแต่เตา แต่ไม่มีอะไรจะใส่เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

จักรยานคันเก่าที่จอดทิ้งให้ยางแฟบอยู่ในห้องเก็บของ คงจะมีค่าอย่างมากสำหรับเด็กนักเรียนตัวน้อยๆ ที่ต้องเดินเท้าเปล่าไปโรงเรียน ห้าหกกิโลไป ห้าหกกิโลกลับ

เครื่องใช้ไม้สอยเก่าๆ ที่วางซ้อนกันจนถึงเพดาน คงจะเป็นของจำเป็นต้องใช้สอยทุกวันสำหรับหลายครอบครัว ที่มีเครื่องใช้ทั้งบ้านชิ้นสองชิ้นใช้ทำทุกอย่าง

หนังสืออ่านแล้วที่กองไว้ชั่งกิโลขายเป็นของเก่า คงจะมีค่าสำหรับหลายคนที่ต้องหาอะไรเพิ่มทักษะ อ่านแม้กระทั่งถุงกระดาษใส่ของ...


ตุ๊กตาหมีขาว ป่านนี้คงจะได้รับการดูแล รัก เอาใจใส่ มากกว่าตอนที่ตั้งอยู่ในรถผมเป็นไหนๆ*













ตัวกู

คนที่รู้จักอยู่กับตนเอง ย่อมอยู่กับคนอื่นได้ดี

ดูเผินๆ จะเป็นประโยคที่ขัดแย้งกันในตัว

แต่มองลงไปให้ลึกแล้ว มันบ่งบอกความจริงแน่แท้


ความขัดแย้งกับคนอื่นๆ มองไปด้วยใจเป็นกลางแล้ว ส่วนมากมักจะมีต้นรากจากความขัดแย้งกับตนเอง

ความรู้สึกไม่พอใจคนรอบข้าง มักจะเกิดจากความรู้สึกไม่พอใจตนเอง

อารมณ์ขุ่นกับใครไม่เลือกหน้า มักจะมาจากอารมณ์เสียกับตนเองแล้ว

การทะเลาะเบาะแว้งกับคนโน้นคนนี้ เกิดจากการไม่มีสันติกับตนเอง

การก้าวร้าวไปทั่ว เกิดจากความไม่มั่นใจในคุณค่าตนเอง

การอิจฉาริษยาคนนั้นทีคนนี้ที มักจะมาจากการไม่เห็นคุณค่าที่ตนเองมี

การเที่ยวหาเรื่องหาราว ก่อความวุ่นวายไปทั่ว มักจะมีสาเหตุจากการที่ไม่พบความสุขกับตนเอง แล้วทนไม่ได้ที่จะเห็นคนอื่นเขามีสุข

การเที่ยวทำลายสิ่งของคนอื่น มักจะเกิดจากความรู้สึกว่าทำไมคนอื่นมีได้แต่ฉันกลับไม่มี แล้วก็สรุปเอาเองง่ายๆ ว่า ในเมื่อฉันไม่มีคนอื่นก็ควรไม่มีด้วยเหมือนกัน

เฉพาะคนที่มีสัติกับตนเอง ไปไหนมาไหนเขาจะหว่านแต่สันติและความกลมเกลียว

ก่อนจะรักใครเป็น ต้องรักตนเองให้ถูกต้องเสียก่อน

เพราะจะรักคนอื่นได้อย่างไร ในเมื่อยังไม่รู้จักรักตนเอง และไม่เคยสัมผัสกับความอบอุ่นแห่งไอรักมาก่อน

ก่อนจะพยายามรู้จักใคร ต้องรู้จักตนเองให้ถ่องแท้เสียก่อน

เพราะจะเที่ยวอ่านความรู้สึกนึกคิดคนนั้นคนนี้ แต่ไม่เคยอ่านความรู้สึกนึกคิดของตนเองได้ถูกต้อง ถ่องแท้

ก่อนพยายามผูกมิตรเป็นเพื่อนใคร ต้องเป็นเพื่อนกับตนเองให้สนิทสนมเสียก่อน

เพราะจะเป็นมิตรกับใครได้นาน หากกับตนเองยังไม่อยากคบหาด้วยเลย

ก่อนพยายามสอนใคร ต้องสอนตนเองให้รู้แจ้งเสียก่อน

เพราะเที่ยวสอนคนโน้นคนนี้ แล้วต้องโดนตอกกลับให้ตักน้ำใส่กระโหลกชะโงกดูเงาตัวเองเสียก่อน

ทุกวันนี้ ความก้าวหน้าแต่ละอย่างแต่ละแขนง ช่วยทำให้มนุษย์รู้จักสิ่งนอบตัวมากขึ้น

ตั้งแต่เชื้อโรคตัวกระจิดริด มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ไปจนถึงจักรวาลอันกว้างใหญาไพศาล

แต่ตัวมนุษย์เองแท้ๆ รู้จักน้อยเต็มที

ก็มัวแต่มองรอบตัว แต่ไม่เคยคิดจะมองตนเองให้มาก

และมองตนเองที ก็เห็นเฉพาะเปลือกนอก เห็นหน้าตา เห็นรูปร่าง

วงการวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา และวงการแพทย์ รู้ดีถึงร่างกายและระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ

แต่จิตใจมนุษย์นั้นยังยากที่จะหยั่งถึงได้หมด

ร่างกายมันมีกฎธรรมชาติที่ควบคุมให้เป็นไปตามครรลอง ทุกร่างกายกฎเดียวกันหมด

แต่จิตใจไม่มีกฎควบคุม ต่างจิตต่างใจ

แต่ละจิตใจ เป็นกฎของตนเอง เพราะแต่ละคนเป็น...หนึ่งเดียวคนนี้


เช่นนี้ หากไม่อยู่ตามลำพังกับตนเองบ้าง ก็ยากจะเรียนรู้และเข้าใจตนเองได้

ยิ่งเดี๋ยวนี้ สิ่งต่างๆ รอบตัว มีแต่จะดึงคนให้ออกจากตนเอง

...ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา สื่อมวลชมคิดให้หมดทุกเรื่อง

...ไม่ต้องตัดสินให้เปลืองสมอง การตัดสินมีให้เลือกไว้เป็นชุดๆ

...ไม่ต้องกุมขมับหาคำตอบ มีคำตอบสำเร็จรูปให้หมดทุกเรื่องแล้ว

...ไม่ต้องกำหนดอะไรให้ตนเอง มีคนคอยกำหนดให้หมดแล้ว ตั้งแต่ค่านิยม อาหารการกิน การแต่งเนื้อแต่งตัว ไปกระทั่งการประพฤติปฏิบัติ

วันหนึ่งๆ เราทักทายทุกคนที่พบเห็น

แต่ถามจริงๆ เถอะ เราเคยทักทายตัวเราเองบ้างไหม?*










เพียงแค่เป็นคุณ


ในลิ้นชักโต๊ะทำงานผม มีของไม่กี่อย่างตามประสาคนสมถะ

จดหมายสำคัญบางฉบับ เอกสารใบสองใบแล้วก็บัตรอวยพรใบหนึ่ง

บัตรอวยพรวันคล้ายวันเกิดที่ผ่านมา

บัตรส่งความสุขและอวยพรเทศกาลที่ได้รับผมจะเก็บใส่กล่องไว้ต่างหาก

แต่บัตรใบนี้ผมอยากจะไว้ใกล้ตัว และหยิบขึ้นมาอ่านแทบทุกครั้งที่เปิดลิ้นชัก

แม้ถ้อยคำที่เขียนในบัตรจะเป็นประโยคสั้นๆ แต่แปลกกว่าบัตรต่างๆ ที่ผมเคยได้รับ

ด้านหน้ามีคำอวยพรวันครบรอบวันเกิด พิมพ์สีสด ลวดลายสวยงาม

ด้านในเป็นลายมือเขียนธรรมดาๆ แต่ใจความไม่ธรรมดา

Thank you for being you !

จากเพื่อนผมคนนั้น คนที่ชอบประหยัดคำพูด และพูดด้วยตามมากกว่าด้วยปาก




แม้เป็นประโยคสั้นๆ แต่ชวนให้คิดให้คิดได้หลายอย่าง

ชื่นชอบว่า สิ่งที่คุณเป็น ดีและน่ารักสำหรับฉัน

ยืนยันว่า คุณเกิดมามีชีวิต ก็เป็นสิ่งงดงามแล้ว

ยอมรับว่า สิ่งที่คุณเป็น อย่างที่เป็นเดี๋ยวนี้ มีค่ามากสำหรับชีวิตฉัน

ตอกย้ำว่า สิ่งที่คุณเป็นสำคัญกับฉันมากกว่าสิ่งที่คุณมี

พูดสั้นๆ ทุกสิ่งที่คุณเป็น อย่างที่คุณเป็น น่ารัก กลมกลืนและมีความหมายสำหรับฉัน

จนฉันรู้สึกอยากจะขอบคุณ

ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ของคุณที่ช่วยให้กำเนิดคุณมา


คนเรามักจะกล่าวขอบคุณเมื่อมีใครทำอะไรให้ หรือให้อะไรบางอย่าง

แต่ไม่คิดจะขอบคุณสำหรับสิ่งที่คนอื่นเป็น...เป็นเพื่อนร่วมโลก เป็นเพื่อนมนุษย์ เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่น้อง เป็นญาติ เป็นหญิงเป็นชาย...เป็นอย่างที่เป็น

เพราะมัวแต่ไปเน้นการมีมากกว่าการเป็น

แม้กระทั่งจะแต่งงาน ก็ยังให้ความสำคัญแก่การมีมากกว่าการเป็น

ประเภทแต่งงานเพื่อธุรกิจมากกว่าเพื่อความรัก

และลืมคิดไปว่า คนเราเสริมสร้างกันด้วยความรักมากกว่าด้วยสิ่งของ

เติมแต่งชีวิตกันด้วยการเป็นมากกว่าการมี

สิ่งที่คุณเป็น ช่วยเพิ่มความเป็นตัวฉันอยู่ตลอดเวลา

บางครั้ง ในยามที่ว้าวุ่น มีปัญหา ว้าเหว่ วิตกกังวล เหงา...เราต้องการใครสักคน

เพียงแค่อยู่ที่นั่น ใกล้ชิด รับรู้ความรู้สึก และเข้าใจเรา

มันให้รู้สึกมีกำลังใจ ไปให้ถึงดวงดาว

บางครั้ง เราล้มเหลว ดูอะไรต่ออะไรไม่เคยเป็นใจให้สักอย่าง...เราต้องการใครสักคน

เพียงแค่อยู่ที่นั่น แม้ไม่ได้พูดอะไรสักคำ

มันให้รู้สึกไม่สิ้นหวัง พร้อมจะพยายามใหม่

บางครั้ง อัดอั้นตันใจ พูดไปเท่าไรก็ไม่มีใครเข้าใจ...เราต้องการใครสักคน

เพียงแค่อยู่ที่นั่น อยู่เงียบๆ

มันให้รู้สึกสบายใจ ใจต่อใจรับรู้กันแม้ในความเงียบ


ทุกครั้งเหล่านั้น ความรู้สึกลึกๆ อยากจะขอบคุณ

Thank you for being here!


แม้คุณจะไม่ได้ทำอะไร แก้ปัญหาไม่ตก ให้คำตอบไม่ได้ทุกอย่าง...

เพียงแค่อยู่ที่นั่น อยู่เป็นเพื่อน อยู่รับรู้ อยู่ให้กำลังใจ

มันก็มากเกินพอแล้ว สำหรับสถานการณ์เช่นนั้น


มองจากแง่นี้แล้ว วันหนึ่งๆ เราคงต้องขอบคุณหลายคน

ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เขาทำเท่านั้น แต่สิ่งที่เขาเป็นอยู่ทุกวันๆ











ชีวิตใครกันแน่

อ่านข่าวและเห็นภาพประกอบแล้วรู้สึกสยดสยอง

เด็กน้อยกว่าห้าพันชีวิต ต้องถูกเข่นฆ่าอย่างไร้มนุษยธรรม

บางศพเป็นตัวเป็นตน แขนขาครบถ้วน รอแค่เดือนสองเดือนก็จะได้ออกมาลืมตาดูโลก

บางศพเป็นแค่รูปร่าง ที่กำลังพัฒนา

อีกบางศพเป็นแค่ก้อนเนื้อหรือก้อนเลือด

ไม่กี่วันต่อจากการบุกเข้าคลีนิกทำแท้งเถื่อนแห่งนี้ โรงฆ่าเด็กแห่งอื่นๆ เริ่มถูกเปิดโปงออกมาทีละแห่งสองแห่ง

ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

ปีที่ผ่านมาจำนวนการทำแท้งมีถึงสามแสนกว่าราย ที่รู้ได้

เด็กน้อยที่ไร้เดียงสา ไร้สิทธิจะปกป้องชีวิต ไร้ปากเสียงเรียกร้องความเมตตา ต้องถูกสังเวยไปสามแสนกว่าชีวิต

เพียงเพื่อความสบายใจของใครบางคน

เพียงเพื่อให้ใครบางคนได้สนุกโดยไม่ต้องจะรับผิดชอบ

เพียงเพื่อตัดปัญหาที่ใครบางคนช่วยกันก่อขึ้นมาแล้วโยนกองมาให้

เพียงเพื่อใครหน้ามืดเพราะตัณหา เที่ยวปล่อยกายปล่อยใจแล้วตัดช่องน้อยแต่พอตัว

เพียงเพื่อใครที่อยากลองนั่นลองนี่ แต่ไม่เคยคำนึงถึงความจริงจัง

มันน่าสลดใจ ที่ยังมีการเข่นฆ่าทำลายชีวตแม้ในยุคนี้ ยุคนี้ถือว่าสงครามเป็นเรื่องป่าเถื่อน ใขขณะที่องค์กรต่างๆ ในโลกพยายามกันนักกันหนาจะไม่ให้มีการเข่นฆ่าทำลายเผ่าพันธุ์ แต่เบื้องหลังความศิวิไล มีการทำลายชีวิตกันอย่างเลือดเย็น

สงครามเป็นเรื่องของกฎป่า เป็นการใช้กำลังมากกว่าสมอง ใช้แรงมากกว่าเหตุผล

ทุกครั้งที่มนุษย์หวนกลับไปใช้กฎป่า ก็ทำให้ตนเองตกต่ำมากกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก

สัตว์เดรัจฉานเข่นฆ่ากัน เพียงเพื่อป้องกันตัวเอง

แต่มนุษย์ฆ่าทำลายแม้ชีวิตที่ยังไม่สามารถจะช่วยตัวเองได้ด้วยซ้ำ

สัตว์เดรัจฉานเข่นฆ่ากัน เพียงเพื่ออาหารและความอยู่รอด

แต่มนุษย์ฆ่าได้แม้แต่ชีวิตน้อยๆ ไม่มีเรี่ยวแรงแม้จะเอี้ยวตัวหลบเครื่องมือมัจจุราชที่ทะลวงเข้ามาอย่างเอาเป็นเอาตาย

สัตว์เดรัจฉานไม่ซ้ำเติมตัวที่อ่อนแอกว่า และพ่ายแพ้ถอยหนีไปแล้ว

แต่มนุษย์ไม่คิดจะปราณีชีวิตที่ยังต้องอาศัยชีวิตอื่นเพื่ออยู่รอดไปวันหนึ่งๆ

สัตว์เดรัจฉานไม่ทำลายลูกน้อยของมัน มีแต่หวงแหนและปกป้องตามสัญชาตญาณ

แต่มนุษย์พร้อมจะเข่นฆ่าทำลายลูกน้อย เพียงเพราะทำให้รำคาญ กลุ้มใจ ลำบาก พร้อมกับตราหน้าเป็นมารหัวขนเสร็จสรรพ


ตราบใดที่ในสังคม ยังมีคนถือว่าตนเป็นเจ้าของชีวิตตนและชีวิตผู้อื่น

การทำลายชีวิตก็ยังคงต้องมีต่อไปอย่างช่วยไม่ได้

ชีวิตฉัน ฉันจะทำอย่างไรกับมันก็ได้

ร่างกายฉัน ฉันใช้มันอย่างไรก็ได้

ชีวิตลูกๆ ฉัน ฉันทำให้มันเกิดขึ้นมา ฉันจะทำอย่างไรกับมันก็ได้

ชีวิตพวกนี้เป็นของฉัน ฉันจ่ายเงินซื้อมา ฉันจะใช้เพื่อกอบโกยผลประโยชน์อย่างไรก็ได้

ชีวิตน้อยๆ พวกนี้ ฉันไม่ได้ตั้งใจหรือเต็มใจให้มันเกิดขึ้นมา ฉันจะเก็บไว้หรือทำลายมันเรื่องของฉัน

และนี่คือที่มาของปัญหาการฆ่าตัวตาย ความลามกอนาจาร การขายลูกชายลูกสาวกิน

การล่วงเกินทางเพศกับลูกในไส้ การค้าประเวณี การทำแท้ง

ปัญหาที่เกลื่อนกลาดทั่วสังคมไทย

การพัฒนา การเจริญก้าวหน้า การเป็นนิค มันก็อยู่แค่ตึกรามสูงชะรูดเสียดฟ้า ห้างสรรพ

สินค้าหรูหรา รถราหรูหราราคาแสนราคาล้าน

แต่จิตใจจะได้รับการพัฒนาควบคู่ไปด้วยก็หาไม่ ตรงข้าม ดูจะเดินสวนทางกันอยู่ตลอดเวลา

เบื้องหลังตึกอาคาร ความหรูหรา ความฟุ่มเฟือยเหล่านี้ มีความฟอนเฟะ ความชั่ว ความไร้ศีลธรรม ความอยุติธรรม การเอารัดเอาเปรียบ แอบซ่อนไว้อย่างมิดชิด

นานๆ ทีจะมีอะไรเล็ดลอดออกมาสร้างความปั่นป่วนใจให้ผู้คนที

แล้วก็เงียบหายไปเหมือนเดิม

แล้วยังจะเรียกสังคมอย่างนี้ว่า อารยธรรมสังคม ได้อีกหรือ? *






























สังคมน้ำเน่า

อ่านข่าวนี้แล้ว ผมต้องปลงหลายครั้งหลายครา

จนแล้วจนรอด ผมต้องนั่งถามตัวเองว่า นี่มันอะไรกัน

ที่ประเทศฝรั่งเศส ในเมืองเล็กๆ โรงเรียนอนุบาลและซ่องโสเภณี ตั้งอยู่ติดกัน

แต่ละวัน เด็กนักเรียนตัวน้อยๆ เดินเข้าออกประตูโรงเรียนอนุบาล ขณะที่หนุ่มจ้าวสำราญเดินเข้าออกสถานบริการ

มันดูขัดกันอย่างน่าเกลียด แต่ธุรกิจของทั้งสองสถานดำเนินเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาดีพอควร

จะว่าผลกระทบที่อาจจะมีต่อจิตใจเด็กตัวน้อยๆ ในสภาพเช่นนี้ ก็คงยังไม่มี เพราะเด็กยังไร้เดียงสาเกินไปจะรู้อะไรเป็นอะไร

จนกระทั่งเกิดการฟ้องร้องขึ้น

ไม่ใช่จากโรงเรียนอนุบาล แต่จากสถานบริการที่อยู่ถัดไป

ฟ้องว่า กิจการของสถานที่บริการต้องซบเซา เพราะลูกค้าเห็นเด็กตัวน้อยๆ เดินเข้าออกประตูถัดไปแล้วเกิดความกระดาก

พร้อมกับการฟ้องร้อง ทางสถานที่บริการเรียกร้องให้ย้ายโรงเรียนอนุบาล ก่อนที่กิจการจะซบเซาไปมากกว่านี้

ความไปถึงศาล และมีการตัดสิน

ให้มีการย้ายโรงเรียนอนุบาลออกจากที่นั่น!

อ่านแล้วให้ความรู้สึกเหมือนอ่านนิยาย ที่คนเขียนตั้งใจหักมุมให้คนอ่านแปลกใจเล่น

ใครอานเรื่องนี้แล้ว ก็คงคิดเหมือนกัน

ซ่องโสเภณีน่าจะถูกสั่งให้ย้าย เพื่อจริยธรรมและความดีของเด็กตัวน้อยๆ

ก็เป็นแค่นิยาย ก็ยังพอทำเนา อ่านแล้วก็อ่านเลย

ถ้าไม่ถูกใจ ก็ยกเข้าประเภทนิยายน้ำเน่าไป

แต่นี่มันเป็นเรื่องจริง ที่เกิดขึ้นในสังคมสมัยนี้

สังคมที่เน้นธุรกิจ มากกว่าความถูกต้องและคุณธรรม

ผลประโยชน์ มากกว่าอุดมการณ์

ความถูกใจ มากกว่าความถูกต้อง

ประโยชน์ส่วนตัว มากกว่าประโยชน์ส่วนรวม

ลองสังคมตั้งจุดยืนไว้กันเช่นนี้ ความดีก็คงต้องถอยไปเรื่อยๆ



ใครมีอำนาจต่อรองมากกว่า แม้จะผิดก็มีสิทธิ์ชนะได้เหมือนกัน

ใครมีเงินมากกว่า แม้จะทำผิดก็สามารถพลิกคดีให้เป็นถูกได้เหมือนกัน

ใครมีบารมีมากกว่า แม้ชีวิตจะเลวก็ยังมีศักดิ์ศรีเชิดหน้าชูตาได้เหมือนกัน

ใครมือยาวกว่า แม้ไร้วิชาไร้ความรู้ก็ยังได้เปรียบคนอื่นได้เหมือนกัน

ใครเส้นสายดีกว่า แม้จะผิดกฎหมายบ้านเมืองก็มีทางหลีกเลี่ยงได้เหมือนกัน

ใครหน้าด้านมากกว่า แม้เป็นเรื่องอับอายก็ทำได้โดยไม่แคร์ใครได้เหมือนกัน

ใครเลวมากกว่า แม้จะไม่ถูกต้องก็กล้าทำโดยไม่ต้องคำนึงหน้าอินทร์หน้าพรหมได้เหมือน

กัน

ใครมีตำแหน่งมากกว่า แม้ชั่วก็ยังสามารถใช้คำ “ผู้ทรงเกียรติ” ตามหลังชื่อได้เหมือนกัน

จากนิยายน้ำเน่า มันกลายเป็นสังคมน้ำเน่า

ใครเป็นต้นเหตุ?

ผม คุณ คุณ คุณ คุณ พวกเรา พวกคุณ นี่แหละ

ที่มีส่วนทำให้เกิดน้ำเน่าในสังคมที่เราอยู่

ไม่ใช่คนอื่น ไม่ใช่คนชั่วคนเลว อย่างเดียว

เพราะถ้าคนดีไม่ยอมปล่อยเลยตามเลยให้คนเลวได้ใจ ความชั่วก็คงไม่เกิดขึ้นง่ายๆ

ถ้าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองถือความสุจริตเป็นที่ตั้งกันทุกคน การคดโกงฉ้อราษฎร์บังหลวงก็คงไม่มีให้เห็น

ถ้าเจ้าหน้าที่รักษากฎหมาย ไม่ทำผิกกฎหมายเสียเอง ก็คงมีคนฝ่าฝืนกฎหมายกันน้อย

ถ้า “ผู้ทรงเกียรติ” ในบ้านเมืองทำตัวให้สมเกียรติ ก็คงจะไม่มีตัวอย่างเลวให้เห็นตำตา

ถ้าพ่อแม่ไม่เลี้ยงดูลูกแต่กาย พลเมืองของชาติก็คงจะมีคุณธรรมมากกว่านี้

ถ้าลองเที่ยวโยนความรับผิดชอบไปให้ทุกคน ยกเว้นคุณเอง

สักวันคุณคงต้องย้ายตัวเอง เพื่อให้ที่และผลประโยชน์แก่คนชั่วคนเลว

เหมือนข่าวที่กล่าวข้างต้น เป็นแน่*















รักไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย

มีรักก็มีทุกข์”

เพื่อนรุ่นน้องที่คุ้นเคยกัน พูดออกมาหลังจากถอนหายใจใหญ่ติดๆ กันหลายครั้ง

ผมไม่เคยคิดเลยว่า รักแล้วจะทำให้เกิดทุกข์ ก่อนนี้ผมเคยคิดว่าความรักคือสิ่งที่ดีที่สุด และทำให้ผู้รักมีความสุข... แต่พอรักเข้าจริงๆ มันทรมานและเจ็บปวดใจ”

มันอาจจะไม่ใช่ความรักแท้ก็ได้” ผมคิดและพูดได้แค่นั้นจริงๆ เพราะแววตาเพื่อนมีความเจ็บปวดอย่างที่บอก แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่า รักแล้วทำไมต้องทุกข์

คุณไม่เคยมีความรัก ไม่มีวันเข้าใจหรอก” เพื่อนมองผมอย่างเข้าใจ “ก็เพราะเป็นความรักแท้นี่สิจึงต้องเป็นทุกข์”

ไปรักเขาข้างเดียวหรือเปล่า? ผมพยายามจะเข้าใจ

เรารักกันและมีใจให้กัน ทุกครั้งที่พูดคุยกัน เธอก็บอกว่ารักผมคนเดียว ยืนยันด้วยว่ามีผมคนเดียวในดวงใจ แต่ทำท่าสนิทกับคนนั้นคนนี้ให้เห็น แถมมาคุยความดีความน่ารักของคนนั้นคนนี้ให้ฟังเสร็จสรรพ อยู่กับผมแต่กลับคุยถึงเค้า แรกๆ ผมก็ไม่คิดอะไร แต่บ่อยเข้าผมเริ่มไขว้เขว... พอบอกว่าผมรู้สึกอย่างไร เธอก็บอกว่าผมคิดมาก เธอไม่ได้คิดอะไร...”

เธออาจจะไม่ได้คิดอะไรจริงด้วย” ผมคิดได้แค่นั้นอีกแล้ว

เธออาจจะไม่คิดอะไร แต่อย่างน้อยเธอน่าจะคิดถึงความรู้สึกของผมบ้าง คนเรารักกันน่าจะคิดถึงความรู้สึกของกัน ที่ร้ายพอผมขอร้องให้เธอเลิกสนิทและสนใจคนนั้น เธอก็บอกว่าที่เธอสนิทและสนใจคนนั้นเพราะเห็นใจ สงสาร ที่ตัวคนเดียว ไม่มีใครสนใจ... ผมก็อดรู้สึกน้อยใจไม่ได้ น้อยใจที่เธอสนใจความรู้สึกของคนอื่นมากกว่าความรู้สึกของผมที่เธออ้างว่ารัก ซึ่งถ้าเธอรักผมจริงเธอก็น่าจะแคร์ความรู้สึกของผมมากกว่า และคิดว่าแม้เธอจะไม่คิดอะไรกับคนนั้น แต่เห็นว่าการกระทำเช่นนั้นทำให้ผมเฮิร์ต เธอก็น่าจะเลิก...”

เธอก็น่าจะเลิกนะ เพราะรักคือเลือก รักใครคนหนึ่งก็เลือกคนนั้น แคร์ความรู้สึก รับรู้ความรู้สึก และเลือกความรู้สึกคนนั้นก่อนความรู้สึกคนอื่น” ผมเห็นด้วย

บางครั้งผมก็มาคิด ความรักเป็นการเลือก และเพื่อจะเลือกได้จำต้องมีหลายคนให้เลือก ดังนั้นถ้าเธอเลือกรักเราก็แสดงว่าเธอรักเรา ทั้งๆ ที่เธอสามารถรักคนอื่นได้หลายคน เพราะฉะนั้นถ้าเรียกร้องให้เธอสนใจเราคนเดียวรักเราคนเดียว เธอก็ไม่มีการเลือก เมื่อไม่มีการเลือกก็ไม่มีความรัก ผมจึงทำใจปล่อยเลยตามเลยและคิดว่า หากเธอรักเราจริงเธอก็คงเลือกเราอยู่แล้ว แต่ถ้าเธอไม่รักเรา แม้จะบังคับหรือขอร้องเธอไม่ให้สนใจคนอื่น เราก็ไม่ได้ใจของเธออยู่ดี... คิดอย่างนี้แล้วผมก็ทำใจได้ แต่ก็ไม่วายเป็นทุกข์...อาจจะเป็นเพราะผมรักเธอมากไปหรือเปล่าก็ไม่รู้...”



หรืออาจจะเป็นเพราะคุณคิดครอบครองเธอมากเกินไปก็ได้ จริงๆ แล้ว รักน่าจะเป็นอิสระ เมื่อใดที่ความรักเป็นการครอบครอง ความรักนั้นมีตัณหา เมื่อมีตัณหาก็เกิดความทุกข์หากไม่สามารถจะครอบครองได้” ผมเห็นของผมอย่างนี้

แต่นั่นเป็นวิสัยของความรักไม่ใช่หรือ? เมื่อเรารักกันเราก็เป็นของกันและกัน” เพื่อนแย้ง

ฟังดูเหมือนคนเป็นสิ่งของ รักกันก็ต้องเป็นเจ้าข้าวเจ้าของกัน... ที่บอกว่าเรารักกันเราก็เป็นของกันและกันนั้นมันให้ความรู้สึกไม่ดีเลย จริงๆ แล้วความรักไม่มุ่งเป็นเจ้าของแต่มุ่งที่จะให้ เพราะนั่นคือธรรมชาติของความรัก รักใครก็อยากจะให้เค้าทุกอย่าง แม้ชีวิตก็ไม่คิดเสียดาย ดังนั้นพูดว่า “ฉันรักเธอ” จึงเท่ากับพูดว่า “ฉันให้เธอ” นั่นเอง เรารักกันและกันจึงน่าจะเป็น “ฉันให้เธอ เธอให้ฉัน” มากกว่าจะเป็น “เธอเป็นของฉัน ฉันเป็นของเธอ”

ที่จริงแล้ว การให้ไม่ก่อให้เกิดทุกข์ ตรงข้ามมีแต่นำความสุขความยินดี และแม้ว่าการให้นั้นต้องมีการเสียสละ การเสียสละก็ไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกขาด แต่กลับให้รู้สึกอิ่มเอม การครอบครองต่างหากที่นำความทุกข์ ทันทีที่ต้องสูญเสียแม้เล็กน้อยก็เกิดความรู้สึกขาด และความขาดก่อให้เกิดความทุกข์ แม้แต่ความคิดว่าจะต้องสูญเสีย ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้สูญเสียอะไร ก็ก่อให้เกิดความทุกข์มหันต์แล้ว

ในเมื่อรักกันีการเน้นการ “เป็นเจ้าของ” มากกว่า “การให้” การเลยมุ่งแต่จะเป็นเจ้าข้าวเจ้าของและนั้นการหึงหวงก็ตามมา ความระแวง ความสงสัย ความไม่ไว้วางใจกัน ...ความทุกข์ก็เกิดขึ้น เพียงแค่ความคิดว่าจะต้องสูญเสียเขาไปก็เหมือนกับตกนรกทั้งเป็นแล้ว ก็เลยต้องสร้างมาตรการร้อยแปดเพื่อประกันความมั่นใจ บ้างก็ต้องตั้งกฎตั้งข้อห้ามที่ต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด บ้างก็เรียกร้องให้ได้เสียก่อนจะแต่งเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ บ้างก็มาถึงขั้นเด็ดขาด “ถ้าฉันไม่ได้เธอ คนอื่นก็ไม่ต้องได้เธอด้วยเหมือนกัน” โศกนาฏกรรมที่เป็นข่าวคราวมีให้เห็นกันออกบ่อย”

ผมว่าคุณไม่เคยแล้วนะ ทำไมรู้เกี่ยวกับความรักดีกว่าผมอีก” เพื่อนผมเปรยเสียงอ่อยๆ

ไม่รู้ซี แต่ส่วนตัวผมคิดว่ารักไม่น่าจะต้องทุกข์ ที่ทุข์ก็เพราะไม่รู้จักรักต่างหาก คุณว่ามั้ย”*














ความเสื่อมในความเจริญ


เห็นภาพข่าวสงครามที่กำลังเกิดขึ้นทนที่ต่างๆ แล้ว ทำให้หดหู่สังเวชใจ

คนตายนอนตามถนน ขณะที่คนเป็นเดินผ่านไปมาด้วยสีหน้าหวาดวิตกอย่างเห็นได้ชัด

คนที่ได้รับบาดเจ็บถูกลำเลียงไปรับการรักษาพยาบาล เนื้อตัวเต็มด้วยเลือดและฝุ่น

ครอบครัวที่หอบหิ้วทรัพย์สมบัติไม่กี่ชิ้นอพยพเป็นแถว ฝ่าแดดฝ่าฝนหนีตาย

คนแก่และเด็กที่ผ่ายผอม นอนหมดเรี่ยวแรงไม่มีกำลังแม้จะยกถ้วยยกชามขึ้นรับอาหาร

บ้านเมืองที่พังยับเยิน ไม่เหลือริ้วรอยแห่งชีวิต

ที่เคยผาสุกและมั่งคั่ง


หากเป็นแค่ภาพข่าวประวัติศาสตร์สงคราม ก็พอทำเนาแต่นี่เป็นภาพปัจจุบัน กำลังเกิดขึ้น ในโลกอารยธรรมใบนี้

โลกที่กำลังเจริญ พัฒนา ก้าวหน้า สุดขีด

มันจึงเป็นภาพที่ขัดกันอย่างน่าเกลียด ชวนให้สยดสยอง

ก่อนนี้ มนุษย์ทำสงครามเพื่อแย่งที่อยู่ที่กิน แต่เดี๋ยวนี้ทำสงครามเพื่อแย่งความเป็นใหญ่

สงครามเพื่อรักษาไว้ซึ่งความเป็นมหาอำนาจ

ก่อนนี้ มนุษย์ทำสงครามกับชนชาติอื่นที่มารุกราน แต่เดี๋ยวนี้ทำสงครามเข่นฆ่ากันเอง เพียงเพื่อแย่งผลประโยชน์ของคนบางคน บางกลุ่ม

ก่อนนี้ มนุษย์ทำสงครามและจบสงครามพร้อมกับการยอมแพ้ การเจรจา แต่เดี๋ยวนี้ทำสงครามเพื่อล้างเผ่าพันธุ์

สงครามจึงไม่มีวันหมดสิ้น สงครามอาวุธ สงครามจิตวิทยา สงครามเย็น...


เคยมีการพูดกันติดปากว่า หากรักสงบต้องเตรียมพร้อมรบ

นอกจากพูดติดปาก ยังทำกันเป็นเรื่องเป็นราว

แต่ละแห่งมุ่งสะสมอาวุธร้ายแรง ตั้งแต่ปืนไปจนเครื่องบินรบโดยไม่เข้าใจว่า ยิ่งมีอาวุธร้ายแรงอยู่ในครอบครองเท่าไร ยิ่งจะมีความมั่นคงและความสงบ

แต่ไม่เคยฉุกคิดว่า ยิ่งมีอาวุธในครอบครองมากเท่าไร ความพร้อมจะรบราฆ่าฟันยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น

เหมือนนักเลงหัวไม้ ยิ่งพกอาวุธยิ่งเหิมเกริม กล้าได้กล้าเสียก่อเรื่องทะเลาะวิวาทได้ทุกเวลา


ในเมื่อทุกประเทศต่างมุ่งสะสมอาวุธร้ายไว้ การผลิตอาวุธก็ดูจะไม่มีวันจบสิ้น

มีการพัฒนาสมรรถภาพ รัศมีการทำลาย ประสิทธิภาพของการเข่นฆ่า ความร้ายแรงของผลที่ตามมา...

มันเป็นการพัฒนาที่ควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีอื่นๆ เคียงบ่าเคียงไหล่ หรือบ่อยครั้งก็ล้ำหน้าไปไกล

ขณะที่มีการพัฒนาความอยู่ดีกินดีของมนุษย์ ก็มีการพัฒนาการทำลายเข่นฆ่ามนุษย์ไปพร้อมๆกัน

ในเมื่อมีการพัฒนาและทุ่มทุนมหาศาล จำต้องมีการกอบโกยผลกำไรคืนมา ธุรกิจนั้นๆ จึงจะอยู่ได้ฉันใด

ในเมื่อมีการพัฒนาและทุ่มทุนทางด้านอาวุธ จำต้องมีการมุ่งผลกำไรคืนมาฉันนั้น

ทว่า มันเป็นการคือกำไรบนซากศพ บนการทำลาย บนการสูญเสีย บนความพินาศ

และนี่คือสาเหตุของสงครามจะไม่มีวันสิ้นสุดไปจากโลกนี้ ตราบใดที่ยังมีธุรกิจอาวุธสงครามอยู่

จะพัฒนาอาวุธแต่ละชิ้นได้ ต้องมีการทดสอบ ต้องมีสงครามจะขายอาวุธที่พัฒนาและผลิตออกมาได้ ต้องมีสนามรบรองรับถ้าไม่มีสงคราม สนามรบ ผู้รับประโยชน์จากอาวุธสงครามก็พยายามทำให้เกิดขึ้นให้ได้

ประเภทเสี้ยมเขาให้ชนกัน หรือจับแพะชนแกะเหยื่อไร้ความผิดก็ต้องสังเวยชีวิตต่อไป อย่างไม่มีวันจบสิ้นเพียงเพื่อผลประโยชน์มหาศาลให้แก่ใครบางคน ประเทศบางประเทศ


สงครามจะไม่มีวันเกิดขึ้นหากคนประกาศสงครามมีลูกเป็นทหารอยู่” เป็นคำพูดที่น่าคิด

แต่จะมีแม่ทัพหรือหัวหน้ากี่คน ผู้ผลิตอาวุธกี่รายที่จะคิดเช่นนี้บ้าง

จะคิดก็แค่ “ชีวิตคนอื่น ผลประโยชน์ของข้า”

สงคราม การเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การอพยพ ความหิวโหย...ก็คงต้องมีต่อไป




ใครเป็นของใคร?

ข่าวคราวเรื่องเพชรซาอุฯ ดูจะบานปลาย และเพิ่มความโหดเหี้ยมขึ้นเรื่อยๆ

มันน่าเศร้า เมื่อมาคิดว่า ชีวิตคนหลายคนต้องมาสังเวยเพราะหินมีค่าไม่กี่เม็ด

คนมักพูดว่า ฉันเป็นเจ้าของเงิน ทรัพย์สิน สมบัติ...

แต่จริงๆ แล้ว บ่อยครั้ง เงิน ทรัพย์สิน สมบัติ ต่างหากที่เป็นเจ้าของคน

และทุกครั้งที่ทุกสิ่งเหล่านี้เป็นเจ้าของคน มันมักเป็นเจ้าของที่เหี้ยมโหด ไม่เคยปราณีใคร

มันจะสั่งให้คนทำทุกอย่าง เพียงเพื่อได้มันมา

มันบังคับให้พี่น้องคลานตามกันมา ฆ่ากันเพียงเพื่อมรดกก้อนหนึ่ง

มันสั่งให้พ่อขายได้แม้กระทั่งลูกสาว เพียงเพื่อได้เงินและของเข้าบ้านไม่กี่อย่าง

มันทำให้ครอบครัวต้องแตกแยก เพียงเพื่อผลประโยชน์ที่มันจะหยิบยื่นให้อย่างสองอย่าง

มันสั่งให้ลูกฆ่าพ่อแม่ เพียงเพื่อชิงมรดกก่อนที่จะต้องแบ่งกับใครต่อใคร

มันทำให้คนทุจริต ผิดจรรยาบรรณ เพื่อจะได้มันมาอย่างไม่ถูกต้อง

มันทำให้หลายคนต้องการอุดมการณ์ เพียงเพื่อจะได้มันสักพักสองพัก

มันทำให้คนที่เคยเป็นเพื่อนตายกันมาตลอด ต้องกลายเป็นคู่แข่งและศัตรูที่ต้องทำลายล้างผลาญ

มันทำให้หญิงสาวต้องขายพรหมจรรย์ที่พึงหวงแหน เพียงเพื่อได้มันมาอย่างง่ายๆ

มันทำให้พ่อแม่หลายคนขโมยเวลาที่ลูกควรได้รับ เพียงเพื่อได้มันมามากขึ้น

มันทำให้สามีภรรยายอมแตกหัก ทิ้งขว้างลูกไว้ตามยถากรรม เพราะเห็นแก่มัน


สิ่งของ เงินทอง มีไว้เพื่อใช้ ไม่ใช่มีไว้เพื่อครอบครอง

ในเมื่อชีวิตในโลกนี้ เป็นแค่ทางผ่าน การใช้สิ่งของ เงินทอง จึงเป็นสิ่งถูกต้อง แต่การคิดจะครอบครองนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะชีวิตอนิจจังสังขารไม่เที่ยง

สิ่งของ เงินทอง วันนี้เราใช้ วันหน้าคนอื่นใช้ต่อ

เราไป มันยังคงอยู่ต่อ แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าครอบครองมันได้อย่างไร

ตราบใดที่เงินทองสิ่งของใช้อยู่ที่มือ เรายังเป็นนายเหนือมัน และใช้มันตามใจเรา

แต่เมื่อใดที่สิ่งของเงินทองไม่อยู่ที่มือ และเข้าไปอยู่ในใจ เมื่อนั้นสิ่งของจะเป็นนายเรา และต้องใช้ตามใจมัน

และเมื่อมันเป็นนาย มันเป็นนายที่เหี้ยมโหด ไม่เคยเมตตาใคร

ตราบใดที่เงินทองข้าวของอยู่ที่มือ มันก็สามารถเปลี่ยนแปรจากมือเราไปสู่มือเพื่อนพี่น้องที่ขัดสนได้ง่าย

แต่เมื่อใดที่มันเข้าไปอยู่ในใจแล้ว มันยากที่จะผ่านจากมือเราไปถึงมือผู้อื่น และทุกครั้งที่จำใจต้องให้มันผ่านไป ความเสียดาย ความอาลัย ความรู้สึกขาด พลันเกิดขึ้นและคอยกัดกินใจอย่างไม่มีสิ้นสุด

ตราบใดที่สิ่งของเงินทองอยู่ที่ปลายมือ มันง่ายจะแบ่งปัน จุนเจือ ถือว่ามีก็แบ่งกันกินแบ่งกันใช้

แต่เมื่อใดมันเข้าไปอยู่ในใจแล้ว มันยากที่จะปล่อยมันหลุดไป และทุกครั้งที่มีอันต้องหลุดหายไป ก็ให้รู้สึกดังว่าส่วนหนึ่งของใจต้องถูกตัดขาดไป อย่างไรอย่างนั้น

ตราบใดที่สิ่งของเงินทองอยู่ที่ปลายมือ มันสามารถเป็นประโยชน์ให้ได้ทั้งคนมีและคนไม่มี

แต่เมื่อใดมันเข้าไปในใจแล้ว ประโยชน์อย่างเดียวที่เหลือคือ ตัวข้า

ตราบใดที่สิ่งของเงินทองอยู่ที่ปลายมือ ใจให้รู้สึกกว้างดังมหาสมุทร

แต่เมื่อใดมันเข้าไปในใจแล้ว มือเอาแต่กำแน่นอย่างเดียว ใจก็แคบลงถนัด

ตราบใดที่สิ่งของเงินทองยังอยู่ที่มือ คนยังเป็นคนทั้งครบ

แต่เมื่อใดมันเข้าไปในใจแล้ว เมื่อนั้นคนกลายเป็นสิ่งของเงินทอง อย่างที่ฝรั่งเขาพูดไว้อย่างคมคายว่า บอกฉันหน่อยว่าคุณรักอะไร แล้วฉันจะบอกได้เลว่าคุณเป็นอะไร...

ตราบใดที่สิ่งของเงินทองอยู่ที่มือ เมื่อมีเกินกินเกินใช้มันให้รู้สึกล้นมือ มีมากไป

แต่เมื่อใดที่มันเข้าไปในใจแล้ว เมื่อนั้นยิ่งมีมันมากเท่าไรยิ่งรู้สึกว่ายังมีไม่พอ

เพราะ ความร่ำรวยนั้นเหมือนทะเล ยิ่งดื่มกินเข้าไปเท่าไรยิ่งจะกระหายมากขึ้น*


















รักแรกพบ?

ไม่น้อยคนยังเชื่อใน “รักแรกพบ”

ทันทีที่เห็นกัน ก็เกอดอาการ “ปิ๊ง”... ถูกชะตา ต้องใจ ชอบ รัก...

บางรายก็ลงเอยด้วย Happy Ending... สร้างชีวิตคู่ สร้างครอบครัว และอยู่กันอย่างเป็นสุข

ก็เลยปักใจเชื่อกันนักกันหนาว่า มี “รักแรกพบ”


มีอีกไม่น้อยเหมือนกัน ที่เชื่อใน “รักแรกพบ”

แต่ก็เป็นเพียงแค่การ “ปิ๊ง” และ รักตอนแรกที่พบ คบกันสักพักก็มีอันต้องเลิกรากันไป พร้อมกับความรู้สึกผิดหวัง...นึกว่าจะเป็นอย่างที่เราคิด แต่ที่ไหนได้...

รักประเภทนี้จึงสั้น สั้นพอๆ กับคำว่า “ปิ๊ง” อย่างไรอย่างนั้น

แล้วก็เที่ยว “ปิ๊ง” กันไปเรื่อย เดี๋ยวคนนั้น เดี๋ยวคนนี้

เพราะ ความรักใดที่เริ่มง่ายๆ ในเวลาอันสั้น มักจะจบง่ายๆ และในเวลาอันสั้นเช่นกัน

แต่ความรักใดที่ค่อยเริ่ม สานขึ้นมาอย่างช้าๆ และสุกหง่อมพร้อมกับเวลา ย่อมเป็นความรักยืนนาน และลึกล้ำ

เวลา และ ความรัก จึงเป็นของคู่กัน

รักต้องการเวลา เพื่อเรียนรู้จักกันและกัน ไม่ใช่เพียงแค่หน้าตารูปร่าง

เพราะรักไม่อยู่แค่ความพึงพอใจในรูปร่างหน้าตาภายนอกอย่างเดียว แต่เข้าลึกไปถึงใจ

จนกระทั่งว่า แม้หน้าตา สังขารจะเปลี่ยนแปลงไป แต่จิตใจยังคงยึดมั่นหนึ่งเดียว

รักต้องมีเวลา เพื่ออยู่เป็นเพื่อน ให้ความใกล้ชิดอบอุ่น

เพราะนั่นคือธรรมชาติของความรัก รักเรียกร้องความใกล้ชิด สนิทสัมพันธ์

ใจเรียกร้องให้กายใกล้กัน ให้ความรู้สึกอบอุ่น กระชับใจให้แน่นแฟ้นมากขึ้น

ฝรั่งจึงพูดว่า Out of sight, out of mind หรือไกลตา ไม่ช้าก็ไกลใจ

รักต้องให้เวลา ทุกครั้งที่ต้องการ

เพราะให้เวลา คือ ให้ความสำคัญ... คุณสำคัญที่สุดสำหรับฉัน

ให้สิ่งของมันง่ายกว่าการให้เวลา เพราะให้เวลาคือให้ตัวคุณทั้งหมด...ที่นั่น

รักต้องใช้เวลา เพื่อศึกษาเรียนรู้กันและกัน

เรียนรู้วิชา เรียนรู้สิ่งของ มีวันที่จะจบสิ้น รู้แจ้ง

แต่คนและจิตใจคน เป็นหนังสือที่ไม่มีบทสุดท้าย มีแต่ปกหน้าแต่ไม่มีปกหลัง จะอ่านจะเรียนรู้อย่างไรก็ไม่มีวันรู้ทะลุปรุโปร่ง

เมื่อใดที่เลิกเรียนรู้ หรืออ้างว่าไม่มีอะไรจะเรียนรู้อีกแล้ว เมื่อนั้นความรักก็ถึงจุดสิ้นสุด


รักต้องโพ้นเวลา ไม่มีเวลาสำหรับความรัก เพราะรักกันก็คือรักโดยไม่มีเวลา

ความรักต้องต่อเนื่องอย่างไม่มีการแบ่งแยกช่วงเวลา ตอนนี้รัก ตอนนี้ไม่รัก ตอนนี้ทำเพื่อรัก ตอนนี้ไม่ได้ทำเพื่อรัก ตอนนี้น่ารัก ตอนนี้ไม่น่ารัก

ความรัก รักเสมอ แม้วันเวลาจะผ่านพ้นจากชั่วโมงเป็นวัน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี แต่ความรักมีแต่รัก รักมากขึ้น รักเสมอ รักไม่รู้หน่าย


ถ้าจะพูดแล้ว “รักแรกพบ” ยังพูดไม่ถูกนัก

คนเรารักคนที่อยากรักมานานแล้ว แต่รักในใจ ในความคิด ในความฝัน... ฉันชอบผู้ชาย/ผู้หญิงแบบนี้ นิสัยอย่างนี้ รูปร่างหน้าตาแบบนี้ ทัศนะอย่างนี้... อย่างที่มักจะพูดกันว่าบุคคลในอุดมการณ์ หรือจะพูดภาษาวัยรุ่น คนตามสเป๊ค

แล้ววันนั้นมาเห็นบุคคลในอุดมการณ์ เป็นตัวเป็นตน ก็เลยสมหวัง ชื่นชอบ ถูกชะตา รักชอบ

ไม่ใช่ว่าจะเริ่มรักเริ่มชอบตอนนั้น แต่รักมานานแล้วและเพิ่งจะพบต่างหาก

ถ้าจะพูดให้ถูกแล้ว น่าจะเป็น “รักเพิ่งพบ” มากกว่า

ฟังดูแล้ว ให้ความหมายกับคำว่า “รัก” ได้ดีกวา และยืดยาวนานกว่ากันเยอะเลย*


















วัยที่เคยหวานชื่น

โลกสวยด้วยเยาวชน” คือ ชื่อการชุมนุมเยาวชนครั้งที่ 4 ของสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

ฟังแล้วให้ความรู้สึกดีๆ สดชื่น สดใส งดงาม น่ารัก สมกับวัยนี้

วัยที่ธรรมชาติเอื้ออำนวยให้มีความสนุกสนาน ร่าเริง ก่อนที่เริ่มรับภาระแห่งชีวิต

คนส่วนมากหวนกลับไปสู่ความทรงจำแห่งวัยเด็กแล้วให้รู้สึกมีความสุข มีความสดชื่นหรรษา แล้วก็อดไม่ได้ที่แอบถอนหายใจด้วยความเสียดาย

วัยที่ไม่ต้องเป็นกังวลด้วยเรื่องใด เพราะมีพ่อแม่เป็นกังวลให้หมด

วัยที่ยังไม่ต้องรับผิดชอบ คนอื่นรับผิดชอบให้แทน

วัยที่อบอุ่นด้วยไอรักละการดูแล

วัยที่เพื่อนทุกคนเท่าเทียมกันหมด

วัยที่มองอะไรก็งดงาม สดใส ชวนให้ฝันใฝ่

วัยที่บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา มองโลกแง่ดี

โลกเลยพลอยสดสวย เริงร่า มีชีวิตชีวาด้วยเยาวชนน้อยใหญ่

คิดถึงเยาวชนที น่าจะถือเป็นหน้าที่ร่วมกัน ในอันที่จะคืนความเป็นเยาวชนให้แก่เยาวชน

ทุกวันนี้ มีแนวโน้มจะฉกชิงวัยเด็กไปจากเด็กอย่างร้ายกาจ แทบจะไม่รู้ตัว

เด็กหลายคน ไม่ทันจะได้เป็นเด็ก ก็ต้องเป็นผู้ใหญ่ด้วยความจำเป็นและจนใจ

ต้องทำมาหากินเฉกเช่นผู้ใหญ่ วันหนึ่งๆ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่มีเวลาสนุกสนานประสาเด็ก

ต้องทำหน้าที่แทนพ่อแม่ รับผิดชอบเลี้ยงดูน้องๆ แทบจะไม่เหลือความเป็นเด็กให้เห็น

ต้องเข้าสู่ธุรกิจที่แม้ผู้ใหญ่ทำก็ยังผิดศีลธรรมและจรรยาบรรณ

ต้องหมกมุ่นกับอบายมุข ที่ผู้ใหญ่จัดหามาเสนอให้ในทุกรูปทุกแบบ

ต้องรับผิดชอบชีวิตเอง ตะลอนๆ ไป เพียงเพื่ออยู่รอดไปวันๆ

ต้องมีประสบการณ์เกินวัยที่ผู้ใหญ่ใช้สื่อมวลชนยุแหย่ ตั้งแต่เหล้า บุหรี่ ยาเสพติด ไปจนเพศ

ต้องขายแรงงาน ทำงานหนักเท่าผู้ใหญ่ แต่ค่าจ้างแรงงานได้รับน้อยกว่า

ต้องแต่งเนื้อแต่งตัวตามที่ผู้ใหญ่ในวงการแฟชั่นกำหนดให้ แทบไม่มีสิทธิ์ได้เลือก

ต้องขายร่างน้อยๆ เพียงเพื่อแลกกับเงินที่ผู้ใหญ่ไร้มนุษยธรรมหยิบยื่นให้ชั่วครั้งชั่วคราว

นอกจากจะถูกช่วงชิงความเป็นเด็กไปแล้ว ยังต้องรีบเร่งเป็นผู้ใหญ่ก่อนจะสิ้นวัยเด็กเสียอีก

ต้องมารับรู้เรื่องความขัดแย้ง การทะเลาะเบาะแว้ง และการใช้ความรุนแรงของพ่อแม่

ต้องมารับรู้ความรักจืดจาง ถึงขั้นแตกหักของพ่อแม่ อย่างช่วยอะไรไม่ได้

ต้องมารับรู้ความไม่ซื่อสัตย์ของพ่อที่เที่ยวมีบ้านเล็กบ้านใหญ่ ของแม่ที่ให้ความสนใจนอกบ้านมากกว่าในบ้าน

ต้องมาเรียนรู้ดูแลตนเอง ยามมีปัญหาหรือยามเหงาขาดความรักและความอบอุ่น

และอื่นๆ อีกมาก มากเกินกว่าหัวใจน้อยๆ ของเด็กจะรับได้

มาช่วยกันคืนความเป็นเด็กให้แก่เด็ก ความเป็นเยาวชนให้แก่เยาวชนกันเถอะครับ

เพราะนั้นคือสิทธิของเขาที่ธรรมชาติมอบให้ตามขั้นตอนพัฒนาการของมนุษย์

ขั้นตอนซึ่งหากกระโดดข้ามแล้ว ผลกระทบจะมีไปชั่วชีวิต

เคารพในสิทธิของเด็กในการเป็นเด็กรวมถึงการไม่เร่งรัดให้เด็กเป็นผู้ใหญ่ก่อนเวลา ราวกับว่าวัยเด็กเป็นวัยบกพร่อง ที่ต้องรีบๆ ผ่าน

การชอบแต่งตัวและวาดหน้าวาดตาเด็กให้เป็นผู้ใหญ่ ใช่จะน่ารักก็เปล่า

ทั้งๆ ที่ธรรมชาติให้ความน่ารักแก่วัยไว้อย่างเหลือเฟือแล้ว การกระทำดังกล่าวรังแต่จะทำให้เกิดความแก่สารพัด...แก่ก่อนวัย แก่แดดแก่ลม

หากผู้ใหญ่ฉุกคิดสักนิดว่า ตนก็เคยเป็นเด็กมาก่อน การกระทำต่อเด็กคงจะดีกว่านี้ มีความเข้าใจเด็กมากกว่านี้ เห็นอกเห็นใจเด็กมากกว่านี้

และโลกใบนี้ ก็จะสวยด้วยเยาวชน จริงด้วย*















อีกแล้ว

เงียบไปนาน เริ่มจะเป็นข่าวเป็นคราวขึ้นมาอีกแล้ว

ก็ซัดดัม ฮุสเซน แห่งอิรัก ที่กำลังตกเป็นข่าว สร้างความเสียขวัญให้แก่โลก

อยู่ดีๆ ก็เคลื่อนทัพครั้งใหญ่เข้าประชิดพรมแดนคูเวต ดังเสือหิวคืบคลานเข้าหาเหยื่อ

ทุกคนจับตามองการเคลื่อนไหวครั้งนี้ด้วยใจจดใจจ่อ เพราะหากมีอะไรเกิดขึ้น นั่นหมายถึงผลกระทบไปถึงทุกอย่าง ตั้งแต่ตลาดหุ้นไปจนถึงราคาข้าวของ

ยังมองไม่ออกเหมือนกันว่า ซัดดัมจะมาไม่ไหน และมีอะไรแอบแฝงอยู่ในเจตนา

แต่ที่มองเห็นได้ง่ายๆ ก็คือ คนไม่มีความสุขความสงบ ย่อมก่อความแตกร้าวและความวุ่นวายไปทั่ว

เพราะคนไม่มีความสุขความสงบ จะไม่ยอมให้ใครมีความสุขความสงบ

ประเภทฉันไม่มีความสุข คนอื่นก็ไม่ควรจะมีความสุขด้วย

แค่เห็นคนอื่นมีความสุข มันก็ก่อให้เกิดความทุกข์แล้ว... ทุกข์ที่ไม่มีความสุข และทุกข์ที่ทำไมคนอื่นเขามีความสุขได้

ความสุขของคนอื่นกลายเป็นความทุกข์สำหรับตน ความสำเร็จของคนอื่นกลายเป็นความล้มเหลว ความสนุกสนานร่าเริงของคนอื่นกลายเป็นความเศร้าของตน

ทั้งๆ ที่ไม่มีใครไปก่อให้เกิด

และคนประเภทนี้มีให้เห็นทั่วไปในสังคม

เห็นครอบครัวเขามีความสุข รักใคร่กลมเกลียว จะต้องหาเรื่องทำให้แตกแยก

เห็นเขามีชื่อเสียง จะต้องหาทางทำลายป้ายร้ายป้ายสีให้มัวหมอง

เห็นเขามีความสำเร็จ จะต้องกลั่นแกล้งกีดขวาง เลื่อยขาเก้าอี้

เห็นบ้านเรือนเขาสวยงามน่าอยู่ จะต้องหาทางทำให้เสียหาย

เห็นไม้ดอกไม้ผลบ้านเขางาม จะต้องหาทางทำลายแกล้งทึ้งแกล้งถอน

เห็นรถยนต์เขาสวย จะต้องหาทางขูดขีดให้เกิดริ้วเกิดรอย

หากทำได้สำเร็จ จะรู้สึกสะใจ ไม่เพราะมีความสุข แต่รู้สึกมีทุกข์น้อยลง ทุกข์ที่เกิดจากการไม่สามารถเป็นและมีเหมือนคนอื่น

ให้มันต้องโดนเจออย่างฉันบ้าง เรื่องอะไรฉันจะต้องโดนคนเดียว”

และหากทำลายภายนอกไม่ได้ ก็จะทำลายภายในใจ...อิจฉาริษยา สาปแช่ง พูดร้ายป้ายสี


หากวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมทุกวันนี้ จะเห็นว่าส่วนมากมาจากสัญชาตญาณดิบลึกๆ อันนี้


ตั้งแต่การเข่นฆ่าทำลายไปถึงการปล้นสะดมฉกชิงวิ่งราว การชิงดีชิงเด่นไปถึงการทะเลาะวิวาท

จากในวงศาคณาญาติ ไปถึงระดับชาติ ระดับโลก

ทุกอย่างเริ่มต้นจากใจคุณนั่นแหละ

ก่อนที่คุณจะทะเลาะกับคนอื่น คุณเริ่มทะเลาะกับตัวคุณก่อนแล้ว

ก่อนจะตีหน้าบึ้งหน้าบูด คุณเริ่มหน้าบูดบึ้งกับตัวคุณก่อนแล้ว

ก่อนจะเกลียดชังคนอื่น คุณเริ่มเกลียดตัวคุณเองก่อนแล้ว

ก่อนคิดรังเกียจข้อบกพร่องคนอืน คุณเริ่มยอมรับข้อบกพร่องในตัวคุณไม่ได้ก่อนแล้ว

คงไม่ผิดที่มีคนเคยพูดไว้ว่า “ความรักต้องเริ่มจากที่บ้าน”...เริ่มจากตัวคุณ

ถ้าคุณรักตัวคุณถูกต้อง คุณจะรู้จักรักคนอื่น แต่ถ้ารักตัวคุณเองผิด คุณก็จะปฏิบัติผิดต่อผู้อื่น

โบราณจึงไม่สอนบอกว่า “จงรักผู้อื่น เหมือนรักตนเอง”

ถ้าซัดดัม ฮุสเซน รักตัวเองถูกต้องกว่านี้ โลกคงไม่ต้องผวาครั้งแล้วครั้งเล่า แบบนี้แน่*




จะสร้างหรือเสก

คนทุกวันนี้ ต้องการความสุขแบบเสก ไม่ใช่แบบสร้าง” พระพิพิธธรรมสุนทรเขียน

ผมอ่านดูแล้ว เห็นสัจธรรมหลายอย่าง

ในยุคแห่งความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี ทุกสิ่งได้มาดุจเนรมิต

ความรวดเร็วทันใจ คือ กุญแจแห่งการแข่งขันในสังคมบริโภคนิยม

ตั้งแต่อาหารการกิน ประเภทฟ้าสต์ฟูด ไปถึงเครื่องมือเครื่องใช้

กล้องถ่ายรูปปัญญาอ่อน อย่างที่หลายคนเรียก ก็เป็นหนึ่งตัวอย่างแห่งการพัฒนานำไปสู่การประหยัดเวลา แต่ผลที่ออกมาไม่แพ้กล้องถ่ายรูปสมัยก่อนที่ต้องใช้ฝีมือและความชำนาญที่สั่งสมในกาลเวลา

ที่จริง ถ้าจะให้ถูกแล้ว น่าจะเรียกว่ากล้องไฮเทค สำหรับคนปัญญาอ่อนใช้มากกว่า

เครื่องวิทยุ โทรทัศน์ ที่แข่งอวดสรรพคุณแบบเปิดปุ๊บติดปั๊บ แถมไม่ต้องลุกไปเปลี่ยนช่องสถานีให้รำคาญ ตอกย้ำค่านิยมว่า ของดีต้องรวดเร็วและทันใจ

แม้แต่ผลิตภัณฑ์ที่เป็นงานฝีมือ ก็เปลี่ยนการผลิตออกมาเป็นชุด ในเวลาอันรวดเร็ว

ก่อนนี้ ขันเงินแต่ละใบ กว่าจะบรรจงเคาะตบแต่งลวดลายงดงามอย่างมีคุณค่า ต้องใช้เวลาและความพากเพียร

แต่เดี๋ยวนี้ในเวลาเท่าๆ กัน จำนวนที่ผลิตออกมาต่างกันลิบลับ แม้จะงดงามประณีตน้อยกว่า

กับข้าวกับปลา ก่อนนี้ต้องตำเครื่องแกง ขูดมะพร้าว เตรียมผักเตรียมปลา แต่เดี๋ยวนี้เป็นชุดๆ บรรจุกล่องโฟมวางขายในซุปเปอร์มาร์เกต ให้ซื้อหากลับไปใส่น้ำตั้งไฟไม่กี่อึดใจ ก็ได้กินสม

อยากแล้ว

ของเล่นเด็ก ก่อนนี้ต้องสร้างต้องทำกันขึ้นมาทีละชิ้นทีละอัน แต่เดี๋ยวนี้มีเงินบันดาลให้ได้มาแทบไม่ต้องออกแรงและความคิด

เกมส์ที่เล่นก็ต้องใช้ความรวดเร็ว เพื่อพิชิตชัยชนะ แทบไม่ต้องใช้ไหวพริบ

เหล่านี้ เป็นผลพวงจากการพัฒนา และรูปแบบชีวิตยุคนี้


หากเป็นแค่เรื่องของรูปแบบชีวิตการบริโภคที่ต้องแข่งกับเวลาก็ยังพอทำเนา

แต่นี่กลายเป็นรูปแบบของสิ่งที่เกี่ยวกับคุณค่าลึกๆ ในจิตใจมนุษย์ด้วย นี่สิน่าเป็นห่วง

ความสุข ไม่อยากจะใช้เวลาและความพยายามสร้าง แต่อยากจะได้ทันทีทันใด

ทุ่มเทซื้อหาความสุข ราวกับว่าความสุขเป็นแค่สินค้าชิ้นหนึ่ง

กว่าจะรู้ว่าความสุขที่ซื้อหามา เป็นแค่ความสุขผิวเผิน ชั่วครู่ชั่วยาม ก็ต้องเสียทั้งเวลาและเสียความรู้สึกไปมากต่อมาก

เพราะเที่ยวหาความสุขไปทั่ว แต่ความสุขแท้อยู่ในตัวกลับไม่คิดจะมอง

แล้วก็ลงเอยเหมือนเด็กเล่นไล่จับเงาตัวเอง กระโดดตะครุบเงา แต่เงาก็เคลื่อนหนีเรื่อยไป

เลี้ยงลูกก็อยากให้เติบโตพัฒนารวดเร็วทันใจ โดยไม่คำนึงว่า การพัฒนาด้านจิตใจต้องใช้เวลาบ่มฟักให้สุกทีละขั้นตอน

เลยเที่ยวเร่งร่างกายให้เติบโตด้วยอาหารเสริมสารพัด และเร่งรัดจิตใจให้เป็นผู้ใหญ่ข้ามวันข้ามคืน

ยังไม่ทันเป็นเด็กเต็มที่ ก็อยากให้เป็นผู้ใหญ่แล้ว

เลยเกิดพฤติกรรมและการกระทำแบบผู้ใหญ่ ในวัยเด็กที่ฟันน้ำนมยังไม่ทันหมดปาด

การภาวนาก็ไม่ละเว้น อยากให้ได้ทันทีทันใด

ทำราวพระเจ้าเป็นตู้ เอ ที เอ็ม ใส่บัตร กดรหัส เงินไหลออกมาทันใด

ภาวนาบทไหนที่สั้นและเป็นสูตรสำเร็จเพื่อจะได้สิ่งที่ขอ จะนิยมสวดพร้อมช่วยกันแพร่หลายจนดูจะเป็นคาถาอาคม มากกว่าคำภาวนา

วัดไหนมิสซาจบไว พระสงฆ์เทศน์สั้น จะแห่หันกันไป ถือเป็นการได้กำไรไปในตัวเสร็จสรรพ


ในเมื่อคนเลือก “การเสก” มากกว่า “การสร้าง” วันหนึ่งๆ ก็มีแต่พูด “ขอให้...”

ขอให้รวยซักที...ขอให้มีบ้าน...ขอให้มีรถยนต์...ขอให้ได้แฟน...ขอให้มีความสุข...ขอให้ได้กิน...ขอให้ได้เมา...ขอให้เรียนจบ...ขอให้งานทำ...ขอให้ได้บรรจุ...ขอให้ถูกรางวัลที่หนึ่ง ฯลฯ

แล้วก็ปล่อยให้โชคชะตานำพาไปตามบุญตามกรรม

ทั้งๆ ที่คนเป็นผู้กำหนดโชคชะตาให้ตนเองด้วย “การสร้าง” แท้ๆ*





























รถแท็กซี่

สิ่งที่ผมไม่ชอบ เวลาขับรถไปตามถนนในกรุงเทพฯ คือ ขับรถตามหลังรถแท็กซี่

เห็นเมื่อไร จะต้องพยายามแซงให้พ้น หรือเปลี่ยนเส้นทางวิ่ง

จะว่าผมมีอะไรผูกเจ็บเป็นการส่วนตัวกับคนขับแท็กซี่ก็เปล่า เพราะไม่เคยรู้จักมักคุ้นกับคนทำงานอาชีพนี้เลย

แม้บางครั้งต้องใช้การบริการแท็กซี่ และพูดคุยออกรสออกชาดกั บคนขับ แต่ก็เพียงทักทายถามทุกข์ถามสุขประสาคนร่วมชาติ

ที่ว่าไม่ชอบขับรถตามหลังรถแท็กซี่ จะพูดกันให้รัดกุมแล้ว ผมไม่ได้หมายถึงทุกคัน

เฉพาะรถแท็กซี่ที่ไม่มีผู้โดยสาร

คนขับจะขับไป ตามองหาผู้โดยสารข้างทางไป โดยไม่คำนึงว่า มีรถอะไรตามหลังมาบ้าง

ไม่คิดด้วยซ้ำว่า คนอื่นเขาต้องรีบไปรีบกลับ ขับไปเรื่อยเปื่อย

ตาจะอยู่นอกถนนมากกว่าในถนน เหลือบไปเห็นผู้โดยสารเมื่อไร ก็จะหยุดรถกระทันหัน ไม่คิดถึงคันหลังตามมา ที่คนขับต้องเหยียบเบรคตามจนตัวโยก

ใจหายใจคว่ำกับการต้องหยุดรถกรั้นชิดยังไม่พอ ยังต้องรอให้เขาพูดจาตกลงกันเป็นนานสองนาน ก่อนที่ออกรถต่อไปได้

และถ้าตกลงกันไม่ได้ ก็ต้องทำใจขับรถตามเรื่อยเปื่อยไปเหมือนเดิม พร้อมกับความรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ พร้อมจะหยุดรถได้ทุกเมื่อ

ช่างต่างไปจากคนขับรถแท็กซี่ที่มีผู้โดยสาร

คนขับจัรีบเร่ง รวดเร็ว แซงซ้ายแซงขวา จนบางครั้งน่าหวาดเสียว

แม้จะเป็นแท็กซี่หาเช้ากินค่ำด้วยกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

คันที่ไม่มีผู้โดยสาร ไม่มีจุดหมายปลายทางที่ชัดเจน วิ่งไปเรื่อยเปื่อยจอดนั่นแวะนี่ ขณะที่เผาผลาญเชื้อเพลิงไปอย่างมีคุณค่า

แม้บ่อยครั้งต้องทำใจเมื่อต้องขับรถตามหลังรถแท็กซี่ แต่ทำให้ผมเห็นสัจธรรมชีวิตหลายแง่หลายมุม

คนเราทุกวันนี้ ก็ไม่ผิดกับรถแท็กซี่นัก

บางคนมีชีวิตไปวันหนึ่งๆ โดยไม่มีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจน

วอกแวก แวะเวียน ไปเรื่อยๆ ตามรายทางชีวิต



เที่ยวมองหาเป้าหมายชีวิตที่นั่นที่นี่ โดยยังไม่รู้ว่า ต้องการอะไรแน่ๆ ในชีวิต

นอกจากจะไม่ก้าวเดินไปข้างหน้าแล้ว ยังกีดขวางเป็นอุปสรรคทำให้คนที่มีเป้าหมายชัดเจนต้องล่าช้าตามไปด้วย

ในเมื่อไร้ซึ่งเป้าหมาย พลังและศักยภาพในตัวหดหายไปทีละน้อย ความกระตือรือล้นก็เจือจางกลายเป็นความเรื่อยเปื่อย เช้าชามเย็นชาม

ชีวิตผลาญไปวันๆ อย่างไร้คุณค่า เห็นแล้วให้รู้สึกเสียดาย

ช่างต่างกับคนที่มีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจนแน่นอน

แม้กระทั่งการเดินการเหิรก็ยังเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

ชีวิตวันหนึ่งๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความหนักแน่น ไม่วอกแวก โลเล

พลังและศักยภาพทั้งหมดถูกนำมาและพัฒนาอย่างไม่รู้หมด

คนประเภทนี้ย่างเท้าก้าวเดินไปที่ไหน จะก่อให้เกิดความเลื่อนไหวไปรอบๆ ดุจดังพลังแฝงที่แผ่ซ่านออกมา

เพียงแค่อยู่ใกล้ชิด ก็ให้รู้สึกว่าชีวิตมีรสชาด ท้าทาย เรียกร้อง เชื้อเชิญ จนอดไม่ได้ที่จะเดินตามไปด้วย

หากทุกชีวิตมีเป้าหมายเด่นชัด สังคมคงน่าอยู่มากกว่านี้

เหมือนรถแท็กซี่มีผู้โดยสาร การจราจรคงคล่องขึ้นอีกนิด อุบัติเหตุน้อยลงอีกหน่อย แน่ๆ*















บัตรส่งความสุข

บัตรส่งความสุขคริสต์มาสและปีใหม่เริ่มทะยอยเข้ามาแล้ว

ทั้งๆ ที่ค่าส่งเพิ่มขึ้นมาเป็นใบละสองบาท แต่สำหรับคนมีใจผูกพันกัน ถือเป็นเรื่องเล็กน้อย เมื่อแลกกับไมตรีจิตและความปรารถนาดีที่ฝากไปใกล้ไกล

ขอให้มีแต่ความสุข ความทุกข์อย่ากล้ำกราย

แม้จะไกลกาย แต่ใจเคียงข้าง พร่ำย้ำพรให้สุขสมหวัง

แม้วันเวลาจะผ่านพ้นไปดังสายวารี แต่ใจนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

สุขมากๆ นะ เพื่อรัก...

และทำนองนี้อีกมากมาย

เลือกหาที่มีเขียนแต่งพิมพ์ไว้ในบัตรอวยพรแล้วบ้าง เขียนด้วยลายมือตามการชี้บอกของดวงใจบ้าง

รับแล้วให้รู้สึกดีใจ มีความสุข ที่ยังมีคนรัก ห่วงใย และคิดถึง แม้จะบอกกล่าวในเทศกาลนี้ปีละครั้ง ก็ยังดี

พ้นเทศกาลไป ความดีใจและความสุขก็เจือจางลง อย่างที่พูดๆ กัน ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา...

พร้อมกับความปรารถนาลึกๆ เออ...ถ้าเป็นจริงอย่างที่อวยพรกันมาก็ดีสินะ

ทว่าคำอวยพรยังคงเป็นแค่คำพูด เป็นแค่ลายลักษณ์อักษร...ไม่เคยได้สัมผัสจับต้อง ไม่เคยได้รู้สึกเป็นจริงเป็นจัง

บ่อยครั้งเสียอีก ที่มีช่องว่างกว้างใหญ่ ระหว่างชีวิตจริง กับพรมากมายที่ได้รับ

ช่างผิดกับบัตรอวยพรที่เขียนขึ้นมาเกือบสองพันปีแล้ว และแม้วันเวลาจะผ่านพ้นไปแต่พรนั้นยังคงสัมผัสแตะต้องได้ ยังรู้สึกได้

พรที่พระเจ้าทรงส่งให้มนุษย์ พระวจนาถทรงรับเอากายและประทับอยู่กับเรา

แม้จะเป็นแค่ประโยคสั้นๆ แต่เป็นพรยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์เคยได้รับ และยังคงมีการรื้อฟื้นความทรงจำกันทุกปี ตลอดเกือบสองพันปีที่ผ่านมาอย่างไม่รู้เบื่อรู้หน่าย

เพราะพรที่พระท่านทรงให้ ไม่อยู่แค่คำพูด ไม่เป็นเพียงลายลักษณ์อักษร แต่กลับกลายเป็นเลือดเนื้อ ให้เห็นและสัมผัสได้

คำพูดกลายเป็นชีวิต กลายเป็นการกระทำ หรือพรที่พระท่านทรงให้มนุษย์เรา

อวยพรให้มนุษย์เรามีความสุขและอยู่อย่างสันติ ท่านลงมาเป็นมนุษย์เพื่อร่วมชะตาและเสริมเติมแต่งให้ชีวิตให้สมบูรณ์เต็มเปี่ยมขึ้น

อวยพรให้มนุษย์มีความรัก ท่านลงมาสอนหนทางแห่งความรัก และยืนหยัดด้วยชีวิตว่า ไม่มีรักใดยิ่งใหญ่เท่ากับตายเพื่อคนรัก

อวยพรให้มีสุขภาพดีสุขภาพจิตสมบูรณ์ ท่านลงมารักษาคนเจ็บคนป่วย ประกาศบุญลาภด้านจิตใจ

อวยพรให้ได้รับแต่ความดี ท่านลงมาและมอบชีวิตเพื่อไถ่กู้มนุษย์ให้พ้นจากการเป็นทาสของบาปและความตาย

อวยพรให้มีพลังกายกำลังใจ ท่านลงมาอยู่เคียงข้าง ร่วมเดินไปตามเส้นทางชีวิตด้วยกันในฐานะเอมมานูเอล พระผู้ประทับอยู่กับเรา


ตราบใดที่คำอวยพร เป็นแค่คำพูดและลายลักษณ์อักษา มันก็เป็นอะไรที่ว่างเปล่า

แต่เมื่อใดคำพูดอวยพรกลับกลายเป็นเลือดเป็นเนื้อ เป็นตัวเป็นตน ตามเยี่ยงอย่างรหัสธรรมแห่งการรับเอากายของพระเจ้า เมื่อนั้นคือคำอวยพรที่แท้จริง เพราะสัมผัสได้ รู้สึกได้

ขอให้คุณมีความสุข และฉันจะทำทุกอย่างเพื่อให้คุณเป็นสุขจริง

ขอให้คุณโชคดี และฉันจะออกแรงทุ่มเทเพื่อให้คุณโชคดีให้ได้

ขอให้คุณสมหวัง และทุกสิ่งที่ฉันทำได้เพื่อสร้างความสมหวังให้คุณ ฉันจะทำสุดความสามารถ

ขอหี้วิตคุณมีแต่ความรัก และฉันจะเห็นคนแรกที่รักคุณด้วยชีวิตและการกระทำ

คำอวยพรทำนองนี้แหละ คือพรที่ได้รับแล้วให้รู้สึกอิ่มเอิบใจ

แม้คำพูดคำอวยพรจะไม่หยาดเยิ้มชวนให้รู้สึกโรแมนติก แต่ชีวิตและการกระทำงดงามและยิ่งใหญ่เกินกว่าบรรยาย

อวยพรกันแบบนี้ให้มากๆ เถอะครับ ชีวิตคงจะน่าอยู่ขึ้นมาก เริ่มจากที่บ้าน*











ชีวิตใหม่

ต้องยอมรับว่า ผมไม่ค่อยจะรู้เรื่องรู้ราวในวงการเสริมสวยมากนัก

แม้จะมีหลายคนทายทัก ทำไมหน้าจึงอ่อนกว่าวัย ใช้เครื่องสำอางค์อะไร

ผมก็ได้แต่ตอบด้วยจริงใจว่า ไม่เคยมีไม่เคยใช้

จะมีจะใช้ก็เพียงหลักง่ายๆ ของผมว่า หน้าจะอ่อนจะแก อยู่ที่ใจปั้นแต่ง

อยากจะอ่อนกว่าวัย ต้องทำใจให้เป็นหนุ่มเป็นสาว สดชื่น กระชุ่มกระชวย

ไม่ต้องเสียเงินเสียทองดึงยึด ตัดต่อ เสริมแต่ง ลอกขัด แบบกรรมวิธีสร้างเบบี้เฟสหรือหน้าทารกที่ฮือฮากันพักใหญ่ ดูดสตางค์ออกจากกระเป๋าคนอยากหน้าอ่อนมามากต่อมาก

ผู้สันทัดกรณีอธิบายให้ฟังว่า วิธีการทำเบบี้เฟสนั้นไม่ยาก เอาน้ำยาที่มีส่วนผสมของยางมะละกอทาหน้า

ยางมะละกอ ใครๆ ก็รู้ถึงสรรพคุณกันดี กัดผิวหนังได้ชะงัดนัก

ก็สมัยผมเป็นเด็ก ยังเห็นเขาใช้ยางมะละกอเพื่อกัดหูดหัวใหญ่ๆ ออกจากผิวหนังกัน

หลังจากผิวหยน้าโดนยางมะละกอที่ผสมอยู่ในน้ำยาทาหน้าครั้งสองครั้ง ผิวเก่าค่อยๆ ลอกออกมาผิวใหม่ ผิวอ่อนขึ้นมาแทน

แล้วนั้นต้องใช้เครื่องสำอางค์ชุดใหญ่ เพื่อบำรุงผิวอ่อนไว้ให้คงอยู่ พร้อมทั้งปกป้องจากแดดจากฝนไปในตัว

ดูจะยุ่งยากสิ้นเปลืองเงินทองมาก แต่ก็เป็นการลอกเลียนแบบกระบวนการธรรมชาติของร่างกาย... จะมีเซลล์ใหม่ เซลล์เก่าต้องตายไป จะมีเลือดใหม่ไหลเวียน เลือดเสียต้องถูกขับออกไป จะมีอากาศบริสุทธิ์ ปอดต้องฟอกอากาศเสียออกไป จะมีการหล่อเลี้ยง ร่างกายต้องขับถ่ายกากอาหารออกมา...

ร่างกายมีชีวิตและพัฒนาต่อไปได้เรื่อยๆ หากมีบางอย่างของร่างกายตายไป

มีการตายและมีการเกิดใหม่ขึ้นมาแทน อย่างไม่หยุดหย่อน

และไม่เพียงชีวิตฝ่ายร่างกายเท่านั้น ชีวิตฝ่ายจิตใจก็ทำนองเดียวกัน

คงเพราะเหตุนี้ นักบุญเปาโลจึงกล่าวสอนว่า มนุษย์เก่าที่เสียไปเพราะบาปต้องตายไป เพื่อให้มนุษย์ใหม่ที่พระเจ้าทรงนำมาให้มีชีวิตแทน

ปีใหม่ ชีวิตใหม่ มีการพูดกันให้ได้ยินบ่อยๆ

แต่ก็จะเป็นแค่คำพูดที่นิยมพูดๆ กัน หากยังไม่พร้อมจะเข้าสู่กระบวนการตายเพื่อเกิดใหม่

อยากจะเป็นคนดี ความชั่วในตัวต้องตายไป

อยากจะเป็นคนซื่อสัตย์ ความคดเคี้ยวในตัวต้องตายไป

อยากจะเป็นคนรู้จักรัก ความเห็นแก่ตัวและความมักได้ต้องตายไป

อยากจะเป็นคนบริสุทธิ์ สัญชาตญาณลามกต้องตายไป

อยากเป็นคนขยันขันแข็ง ความเกียจคร้านต้องตายไป

อยากเป็นคนประหยัด นิสัยฟุ้งเฟ้อหรูหราต้องตายไป

อยากเป็นคนรักเดียวใจเดียว ความเจ้าชู้ต้องตายไป

มองจากแง่นี้แล้ว พูดว่าปีใหม่ชีวิตใหม่ มันไม่ง่ายอย่างที่คิดๆ

และตราบใดที่ยังไม่พร้อมจะตาย ความดีก็เป็นแค่ผิวเผิน เดี๋ยวอยู่เดี๋ยวไป เดี๋ยวมีเดี๋ยวไม่มี

ดังผิวหน้าที่ยังม่พร้อมจะลอกผิวเก่าออก เพียงแค่เอาเครื่องสำองค์ทาทับไว้ ดูงามก็เฉพาะชั่วครู่ชั่วยาม

ถูกแดด ถูกฝน เครื่องสำองค์ลอก ผิวเก่าก็ยังขรุขระ มีร่องรอยย่นให้เห็นเหมือนเดิม

ฉันใดก็ฉันนั้น ความดีผิวเผิน เป็นความดีไม่คงทน โดนมรสุมเข้าหน่อยก็หลุดหายไปอย่างง่ายดาย คงเหลือให้เห็นแต่ความชั่วที่ฝังรากลึกอยู่

ผมอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าคนใช้ความพยายามปรุงแต่งจิตใจ สักครึ่งหนึ่งของความพยายามปรุงแต่งหน้าตา คนจิตใจงดงามจะมีให้พบเห็นในสังคมเรามากกว่าคนหน้าตาสวยงามอย่างเดียวเป็นแน่แท้*

















วันเด็กคือวันผู้ใหญ่

วันเด็กเวียนมาอีกครั้งหนึ่ง

แทบทุกหน่วยงานให้ความสนใจ มีการพูดถึงเด็ก จัดงานให้เด็ก สร้างความสนุกสนานให้เด็ก เปิดสถานที่ให้เด็กเข้าชม

แต่พอสิ้นวันเด็ก ความสนใจก็หายไป จนกระทั่งวันเด็กปีหน้าจะเวียนมาใหม่

ถ้าจะพูดกันแล้ว วันเด็กไม่ใช่วันสำหรับเด็ก แต่น่าจะเป็นวันสำหรับผู้ใหญ่ที่มาสร้างความสำนึกถึงวัยอันทรงคุณค่าของเด็ก และหาแนวทางเพื่อทำให้วัยนี้ได้เป็นวัยที่สมบูรณ์แบบที่สุดมากกว่า

มันง่ายที่จะทำให้วันเด็กเป็นวันสำหรับเด็ก

ตั้งแต่เช้าพูดถึงเด็ก จัดกิจกรรมให้เด็ก แจกของให้เด็ก นำเด็กเยี่ยมชม ให้เด็กขึ้นรถโดยสารฟรี...จนกระทั่งสิ้นสุดวัน

แล้วก็จบวันเด็ก แค่นั้น

แต่ยากที่จะทำให้วันเด็กเป็นของผู้ใหญ่ เพราะ

กิจกรรมไม่จัดแค่วันนี้ เพื่อเป็นการแสดงออกของการให้ชีวิต ให้เวลา ให้ความสนใจ เพื่อความดีของเด็กเสมอไป

นำเด็กเยี่ยมชมวันนี้ เพื่อบอกว่า ไม่ใช่วันนี้เท่านั้นที่พ่อแม่ ผู้ปกครอ ง ผู้ใหญ่จะไปไหนด้วยกัน แต่พร้อมจะเคียงข้างเด็กตราบใดที่เด็กยังต้องการ

ให้เด็กขึ้นรถฟรีวันนี้ เพื่อยืนหยัดว่าผู้ใหญ่พร้อมจะให้ทุกอย่างที่เด็กมีสิทธิ์ที่จะได้ โดยไม่ต้องมีเงื่อนไขต่อรอง

มองจากแง่นี้แล้ว วันเด็กไม่ใช่วันนี้วันเดียวอีกต่อไป


เด็กเป็นเหมือนเส้นผม ยิ่งมีน้อยยิ่งต้องบำรุงรักษาให้ดี

ทุกวันนี้ ครอบครัวส่วนมากเป็นครอบครัวเล็ก มีลูกคนสองคน

แต่ก็มีบ่นให้ได้ยินไม่ขาดว่า แค่คนสองคนก็ยังเลี้ยงไม่ได้ดี

ช่างผิดกับก่อนนี้ ครอบครัวใหญ่ แต่การเลี้ยงการอบรมได้ดีทุกคน

พ่อแม่บางคนโยนความผิดให้สภาพสังคมและเศรษฐกิจทุกวันนี้ บ้างก็โยนความรับผิดชอบให้รัฐ อีกบางคนก็โยนความผิดไปที่สื่อมวลชน...

แต่น้อยคนที่จะยอมรับว่าสาเหตุใหญ่อยู่ที่ตัวพ่อแม่เอง




จริงๆ แล้ว ความแตกต่างระหว่างพ่อแม่สมัยก่อนนี้อยู่ที่คำๆ เดียว “เวลา”...มีเวลาให้ลูกหรือไม่มีเวลาให้ลูก นั่นคือประเด็นสำคัญ

ในเมื่อการอบรมเด็กต้องการเวลาเพื่อการซึมซับ พ่อแม่ต้องให้เวลาและให้ความใกล้ชิด

เด็กเรียนรู้ความรัก จากความรักและความอบอุ่นที่พ่อแม่แสดงออก

เด็กเรียนรู้คุณธรรม จากพฤติกรรมของพ่อแม่

เด็กเรียนรู้ความขยันขันแข็ง จากการงานการอาชีพที่พ่อแม่ทำ

เด็กเรียนรู้ความซื่อสัตย์สุจริต จากการกระทำของพ่อแม่

เด็กเรียนรู้ความเชื่อและความศรัทธา จากการสวดและการไปวัดของพ่อแม่

พูดง่ายๆ เด็กเรียนรู้ชีวิต จากชีวิตของพ่อแม่ นั่นเอง


โดยธรรมชาติ เด็กเริ่มซึมซับนิสัยใจคอ อารมณ์ จากแม่ ตั้งแต่อยู่ในครรภ์แล้ว

แต่น้อยคนที่จะฉุกคิดว่า เด็กซึมซับความสำนึกเกี่ยวกับพระเจ้าจากตัวแม่ตั้งแต่ในครรภ์แล้วเช่นกัน

หรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง พระเจ้ามีบทบาทและมีความสำคัญแค่ไหนในชีวิตแม่ เด็กก็จะซึมซับไว้ ก่อนที่ถือกำเนิดมาด้วยซ้ำ

การปลูกฝังความศรัทธาในพระเจ้าและในศาสนาที่รอไปเริ่มตอนที่เด็กจะเรียนคำสอนอาจจะช้าไปแล้ว

เพราะการอบรมเด็ก ต้องเริ่มทำก่อนที่เด็กจะเกิดอย่างน้อยยี่สิบปี จึงได้ผล*












ครูแอ๊ด

ผมรู้จักกับ “ครูแอ๊ด” โดยบังเอิญ

ตั้งแต่นั้นมาก็ติดต่อพูดคุย ถามทุกข์สุขเป็นครั้งคราว แต่ใช้ผลผลิตของครูแอ๊ดอย่างสม่ำเสมอ

ยาสระผมสูตรลับผสมมะกรูดกับว่านหางจระเข้

เส้นผมที่บาง ทิ้งระยะห่างกันอย่างไม่ต้องเบียดเสียดให้แออัด แถมหวีง่าย ก็เริ่มหนาตาขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

ที่จริงแล้ว ผมเองไม่มีปัญหาเรื่องเส้นผมที่กลัวความสูงแล้วร่วงหล่นลงมา เพราะถือจิตตารมณ์การปล่อยวางของมหาบุรุษโยบที่ว่า “พระเจ้าท่านทรงให้มา พระเจ้าท่านทรงเอาคืนไป...”

แต่เพื่อนๆ ผมสิครับ มีปัญหากับเส้นผมของผมเอามากๆ

ท่าทางจะเครียดกับงาน ผมบางไปมาก อีกหน่อยไม่ต้องซื้อหวีแน่ๆ”

ใช้เบอร์กามอตดูหน่อยเป็นไร ปล่อยไว้อย่างนี้เสียบุคลิกหมดเลย”

หงอกแต่มีให้หวี ดีกว่าดำขลับแต่แทบไม่มีให้หวีนะ จะบอกให้”

ถ้าเป็นบ้านเรานะ จะเริ่มมองหาวิกผมสำรองเอาไว้ มันยังไงอยู่ เคยเห็นมีผมแล้วจู่ๆ ก็ไม่เห็นอีก...ไม่รู้จะจำกันได้ไหมนี่ อาจจะทำใจไม่ได้อีกต่างหาก”

เห็นเค้าว่า ใบว่านหางจระเข้ปอกเปลือกแล้วทาทิ้งไว้ข้ามคืนช่วยให้ผมดกได้ ลองมั้ย จะหามาให้ฟรีเลย ปลูกให้ก็ได้”

เลยกลายเป็นว่า เพื่อนๆ กังวลกันมากเข้า ทำให้ผมต้องกังวลขึ้นมาจนได้

ผมรู้จักครูแอ๊ดวันที่ครูแอ๊ดติดต่อมาทางโทรศัพท์อยากจะพาเด็กๆ ออกจากกรุงเทพฯ ไปสัมผัสบรรยากาศอันอบอุ่นที่จริงใจแห่งมิตรไมตรี และความสดชื่นของธรรมชาติชานเมือง ผมก็รีบตกปากรับคำ เพราะเด็กๆ ที่ครูแอ๊ดดูแลอยู่นั้นเป็น “เด็กมีปัญหา”

จริงๆ แล้ว ผมว่าไม่ถูกนักที่จะใช้คำว่า “เด็กมีปัญหา” ฟังดูแล้วราวกับว่าเด็กเป็นตัวสร้างปัญหาขึ้นมาเอง ทั้งๆ ที่เด็กยังไม่รู้เรื่องรู้ราว และเป็นคนอื่นแท้ๆ ที่ทำให้เด็กต้องมีปัญหาขึ้นมา

เลยทุกครั้งที่พูดว่า “เด็กมีปัญหา” ก็ให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นเด็กไม่ดี น่ารังเกียจ ตัวปัญหา

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เด็กเป็นตัวรองรับปัญหาที่พ่อแม่ ผู้ปกครอง ผู้ใหญ่ สร้างขึ้นมาซะส่วนมาก

เด็กกำพร้าต้องตกเป็นภาระให้สังคม เพราะพ่อแม่มีปัญหากันแล้วทิ้งขว้าง

เด็กเร่ร่อนซุกหัวนอนตามถนน ตามสะพาน เพราะพ่อแม่มีปัญหาหย่าร้างกันแล้วปัดความรับผิดชอบ


เด็กถูกบังคับให้ขายแรงงาน ขายบริการ เพราะพ่อแม่สร้างหนี้สินแล้วโยนให้ลูก

เด็กใจแตก เพราะผู้ใหญ่คอยป้อนการบันเทิง เสนอสิ่งยั่วยวนให้ เพื่อกอบโกยกำไรแต่อย่างเดียว

เด็กก้าวร้าว รุนแรง เพราะพ่อแม่มีปัญหาแล้วลงไม้ลงมือทุบตีชกต่อยกันให้เห็นตำตา

เด็กถูกทำทารุณกรรม เพราะผู้ใหญ่ไม่มีทางออก เลยไปลงกับเด็ก เห็นเด็กไม่มีทางสู้

และนี่คือเด็กกลุ่มนั้นของครูแอ๊ด เด็กที่คนพันเรียกว่า “เด็กมีปัญหา”

ตอนแรกๆ ที่เข้ามาทำงานกับพวกเขา ก็มาเช้าเย็นกลับ” ครูแอ๊ดเล่า “พอตกเย็นเด็กๆ พากันเศร้า ร้องไห้ ไม่อยากให้กลับ บางคนก็เข้ามากอดไว้แน่นไม่ยอมให้ไป ปากก็พร่ำวิงวอน แม่แอ๊ดอย่าไป แม่แอ๊ดอยู่กับหนูที่นี่เถอะ... ได้ยินแล้วสงสารจับใจ เวลาเดียวกันก็เห็นว่าพวกเขาขาดความอบอุ่น ขาดคนที่ให้ความรักและความใกล้ชิด เลยตัดสินใจย้ายไปพักอยู่ที่ศูนย์ ก็เห็นว่าอะไรต่ออะไรเปลี่ยนไป เด็กยิ้มแย้ม หัวเราะ...ส่วนที่บ้านก็ถามอยู่เรื่อยๆ นี่กลับบ้านไม่ถูกแล้วหรือไง... แต่ก็คิดว่าสำหรับเด็กๆ เหล่านี้ที่ขาดความรักความอบอุ่น การจะมาแล้วไปมันช่วยอะไรเค้าไม่ได้มาก จะช่วยได้หากอยู่กับเค้า ให้เวลาและสนใจเค้า แม้จะทำแทนพ่อแม่เค้าไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ให้อะไรที่พ่อแม่เค้าไม่เคยให้หรือไม่สามารถให้ได้ แอ๊ดเลยเป็นแม่ของเด็กๆ ไปโดยปริยาย...”

วันครูปีนี้ จะมีครูสักกี่คนที่คิดหรือทำอย่างครูแอ๊ดบ้างหนอ?*

















ความงามที่แท้จริง

ปีนี้มีการประกาศให้เป็น “ปีสยามเมืองยิ้ม”

มีความพยายามจะรณรงค์ให้ชื่อเสียงดั้งเดิมของเมืองไทยกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง

กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มจริงใจที่เลือนลางหายไปอย่างน่าเสียดาย

รอยยิ้มที่มีให้เห็นเวลาไปไหนมาไหน ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักมักจี่กันมาก่อน

รอยยิ้มที่เป็นการทักทาย ส่งความปรารถนาดีให้กัน โดยไม่ต้องพูดจาว่าความ

รอยยิ้มที่เป็นภาษาสากล สื่อถึงกันโดยไม่ต้องเข้าถึงภาษาและวัฒนธรรม

รอยยิ้มที่เป็นของขวัญชิ้นงาม ที่มอบให้กันโดยไม่คิดสนนราคาค่างวด

มันน่าเสียดายที่รอยยิ้มค่อยๆ ตีวงแคบเข้ามา จากสากลมาเป็นแค่เฉพาะตัว

แล้วก็ยิ้มให้เฉพาะคนรู้จัก จะเที่ยวยิ้มไปทั่วแบบก่อนนี้ไม่ได้

เผลอๆ คนที่พบเห็นจะคิดว่าบ้า หรือไม่ก็ส่อเจตนาร้ายแอบแฝง

และแม้คนที่รู้จัก ใช่จะยิ้มได้เหมือนกันทุกคนก็หาไม่ ยิ้มจริงใจแค่เพื่อนซี้กันจริงๆ ไม่กี่คน นอกนั้นต้องยิ้มอย่างสงวนท่าที เพียงเพื่อไม่ให้มันน่าเกลียด

เดี๋ยวนี้นอกจากต้องฝึกยิ้มแล้ว ยังต้องฝึกหยุดยิ้มได้อย่างกระทันหันและในทันท่วงที

เดินผ่านคนที่รู้จัก ยิ้มให้แล้วต้องรีบหุบยิ้ม เดี๋ยวคนที่เดินตามมาจะเข้าใจผิด ทึกทักเอาว่ายิ้มให้

มันง่ายที่จะยิ้ม แต่ยากที่จะหุบยิ้มอย่างฉับพลัน และยากที่สุดที่จะต้องเปลี่ยนจากยิ้มเป็นหน้าบึ้งอย่างทันทีทันใด

และเนื่องจากเป็นอะไรที่ยากและต้องเมื่อยกับกล้ามเนื้อบนใบหน้าที่ต้องทำงานหนัก คนจึงเลือกตีหน้าบึ้งไว้เลย แถมปลอดภัยอีกต่างหากสำหรับสภาพสังคมปัจจุบัน

มันสื่อได้ชัดเจนเมื่อออกจากบ้านว่า โลกของใครโลกของมัน ไม่ต้องมายุ่งแหละเป็นดี

มันบอกให้รู้เป็นนัยว่า ไม่เล่นด้วยนะ อย่าคิดอะไรอื่น

มันฟ้องชัดเจนว่า ต่างคนต่างมีปัญหาต้องแก้ ภาระต้องแบก อย่ามาเพิ่มให้มากไปกว่านี้

พอกลับเข้าบ้านที ก็ให้รู้สึกเมื่อยไปทั้งหน้า เพราะต้องเกร็งต้องฝืนอยู่ตลอดเวลา

และนี่คือสาเหตุที่ “สยามเมืองยิ้ม” กลายเป็นอดีต เหลือไว้แต่ความทรงจำ เพียงมีจารึกในประวัติศาสตร์ว่า “ประเทศไทย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกขนานนามว่า สยามเมืองยิ้ม...”

ทุกคนมีความงาม และความงามบนใบหน้าคือรอยยิ้ม เฉกเช่นดอกไม้ที่เป็นความงามของต้นไม้ใบหญ้า

แม้หน้าไม่สวยดูไม่หล่อ แต่รอยยิ้มบันดาลความงามและความน่ารักขึ้นมาได้อย่างน่าทึ่ง


เวทีประกวดประชันฉม เขาไม่เรียกว่าเวทีประกวดนางสวย แต่เรียกกันติดปากว่า เวทีประกวดนางงาม เพราะตัดสินกันไม่ใช่ด้วยใบหน้าสวย แต่รอยยิ้มงดงาม รวมทั้งอากัปกิริยาและท่วงที ไหวพริบ

แต่ละปีมีเข้าประกวดกันแน่นจนต้องคัดกันหลายรอบ และดูงามกันทุกคนจนยากแก่การตัดสิน

ก็เพราะแต่ละคนขึ้นไปเดินยิ้ม ยืนยิ้ม นั่งยิ้ม ชวนให้เจริญหูเจริญตา พาให้สดชื่นอีกต่างหาก

ใช่ว่าสาวงามเหล่านี้จะงามเลิศไปกว่าคนอื่นๆ ที่ไม่ได้ขึ้นไปปรักวดบนเวที ก็เปล่า แต่จะต่างก็อยู่ที่ยิ้มหรือไม่ยิ้มมากกว่า

บ่อยครั้งเสียอีกที่มีพูดกันให้ได้ยินว่า งามอย่างนี้ขึ้นเวทีประกวดได้สบาย

ในบ้าน รอยยิ้มราคาถูกกว่าไฟฟ้า แต่ให้ความสว่างกว่าแสงไฟฟ้าเป็นไหนๆ” อเล็กซันโดร บลาเซตตี เขียนไว้

เพราะแม้บ้านจะสว่างไสวด้วยแสงไฟ แต่ขาดรอยยิ้ม ก็เหมือนมืดมน ชวนให้หดหู่

แม้วันจะสดใสแดดจ้า แต่คนไร้รอยยิ้ม ก็เหมือนมีเมฆหมอกปกคลุม ชวนให้เศร้าซึม

มาร่วมมือกัน คืนรอยยิ้มให้ใบหน้า คืนรอยยิ้มให้ครอบครัว คืนรอยยิ้มให้สังคม คืนรอยยิ้มให้ประเทศชาติ...สยามเมืองยิ้ม กันเถอะครับ*

















ควันหลงวันความรัก

ยังไม่ทันจะเข้าเดือนกุมภาพันธ์ดีนัก ก็มีการพูดเรื่องความรักกันแล้ว

แล้วสัญลักษณ์ของความรัก...หัวใจ ดอกไม้บัตร...สีแดงสด ก็มีให้เห็นตามห้างสรรพสินค้าและร้านรวง จนลายตา

มีให้เลือกซื้อหาทุกระดับราคา แล้วแต่จะรักมากรักน้อย

แต่ความรักแท้นั้นเหมือนผี มีคนพูดกล่าวขวัญกันมาก แต่มีน้อยคนที่เคยเห็นจริงๆ

มีแต่พูดกันว่า รักแท้คืออะไร แถมพรรณนาเปรียบเปรยเสียหยาดเยิ้ม ชวนให้ถวิลหา แต่ในความเป็นจริงต้องผิดหวัง ขมขื่น เจ็บปวด จนขนาดเสียผู้เสียคนมามากต่อมาก

กี่คนที่ต้องปวดร้าว ก็เพราะ “รักคุณนะ”

บางคนต้องเสียอนาคต ก็เพราะ “รักเธอเท่าชีวิต”

อีกบางคนต้องขมขื่นจนต้องขยาดคำว่า “รัก” ก็เพราะ “รักคุณคนเดียว”

บ้างต้องเสียเนื้อเสียตัว ก็เพราะ “รักคุณจริงๆ”

ไม่น้อยคนหมดอาลัยตายอยาก ดับชีวิตไป ก็เพราะ “รักคุณอย่างไม่เปลี่ยนแปลง”

จริงๆ แล้วความรักนั้นยิ่งใหญ่กว่าคำพูด จะพูดแค่ไหนก็ไม่สามารถบรรยายความรักครบถ้วนทุกแง่ทุกมุมได้

เพราะความรักคือชีวิต จึงต้องสื่อออกมาทั้งชีวิต หน้าตา รอยยิ้ม สายตา ท่าที การสัมผัส ความใกล้ชิด...

บ่อยครั้งเสียอีก ความรักเรียกร้องความเงียบ เพื่อจะได้สื่อตัวเองออกมาตรงไปถึงใจ

เลยทำให้หลายคนที่ใช้แค่หูรับรู้คำพูดเกี่ยวกับความรัก และไม่รู้จักใช้ใจ ก็มักจะถูกหลอกเพราะวาจาแท้ ๆ

และหากรักจริงและรักมาก ผู้ที่ถูกรักจะรับรู้ได้เอง โดยไม่ต้องเฝ้าพูดตอกย้ำ

บ่อยครั้ง การที่ต้องพูดตอกย้ำก็เป็นเพราะคนรักยังไม่แน่ใจในความรักที่มี...จึงไม่ใช่พูดเพื่อสร้างความตระหนักใจให้อีกฝ่ายหนึ่งแต่เพื่อความมั่นใจของตนเองต่างหาก

ที่แย่ไปกว่านั้น ในเมื่อความรักไม่มีหรือจืดจางลงไป จึงต้องหาคำพูดมาปกปิดซุกซ่อนความจริง เมื่อนั้นสิ่งที่พูดออกมาแต่ละประโยคแต่ละคำเป็นแค่การโกหกปลิ้นปล้อนหลอกลวงนั่นเอง


เคยพูดกัน ความรักทำให้คนตาบอด แต่จริงๆ แล้ว ความรักทำให้สายตายาวต่างหาก เพราะยิ่งห่างเหินห่างไกลกันไปเท่าไรก็ยิ่งเห็นข้อบกพร่อง

ใจที่หมดรัก มักหาเหตุผลเพื่อเลิกรัก และจะหาข้อแก้ตัวได้ง่ายมากมายก่ายกอง

ก่อนนี้ดูอะไรก็งามไปหมด เดี๋ยวนี้ขัดหูขัดตา พาให้รำคาญอย่างบอกไม่ถูก

ก่อนนี้ข้อบกพร่องก็มองดูน่ารัก เก๋ไปอีกแบบ เดี๋ยวนี้แม้ข้อดีก็กลายเป็นข้อพร่องเหลือทน

ก่อนนี้น้ำข้าวยังอร่อยกินได้กินดี แต่เดี๋ยวนี้หูฉลามก็ให้พะอืดพะอมอยากจะอาเจียน

ก่อนนี้ช้าเท่าไหร่ก็รอได้ไม่เคยบ่น แต่เดี๋ยวนี้ตรงเวลาก็ยังน่ารำคาญ

ก่อนนี้แทบจะไม่ยอมให้ทำอะไร ทุกอย่างประเคนให้โดยไม่ต้องบอก แต่เดี๋ยวนี้นิดหน่อยก็ต่อว่าไม่มีมือมีเท้าหรือไง


ความรักนั้นเหมือนมิตรภาพ เริ่มต้นง่าย แต่ยากที่จะรักษา

ทะนุถนอมประคับประคองให้ตลอดรอดฝั่ง

คนเลยเลือกจะรักแค่ตอนเริ่ม ในขณะที่ความรู้สึกคุกรุ่น แต่พอเย็นลงก็เลิกรากันไป

ทั้งๆ ที่มันสวนทางกับธรรมชาติของความรักแท้ที่เริ่มแล้วไม่มีวันจบ

วันแห่งความรักคงต้องพูดเกี่ยวกับความรักให้น้อยลง ตราบใดที่ยังไม่รักแท้

เพราะความรักนั้นสูงส่งเกินกว่าที่จะเอามาพูดกันเล่นๆ ประสาหัวเบาให้มัวหมอง

ปล่อยให้ความรักแท้พูดออกมาเอง จะซึ้งกว่าเป็นไหนๆ













ผมรู้จัก “คำฝอย” ก็ตอนที่เพื่อนแนะให้ลอง

ใช้ชงดื่มลดไขมันในเส้นเลือด ทำให้เลือดลมดี แถมลดความอ้วนได้ผลชะงัด

ไม่แนะนำอย่างเดียวเพื่อนบอกให้ดูหุ่นเป็นใบประกันคุณภาพเสร็จสรรพ

ผมต้องยกเพื่อนคนนี้ให้เป็นอาจารย์ เพราะแกรู้เรื่องการโภชนาการโดยไม่ต้องเรียนรู้

สามารถบอกได้ละเอียดว่าอาหารชนิดไหนมีอะไรดี อะไรต้องระวัง อะไรควรเลือก

จนคุยกับแกทีไร ให้รู้สึกทานอาหารอร่อยน้อยลงไปทุกที

เลยทำให้เข้าใจว่า ทำไมหลายคนไม่ยอมไปรับการตรวจสุขภาพ ก็เพราะตรวจเสร็จต้องอดนั่น งดนี่ กินยาหาหมอเป็นระยะ อย่างไรอย่างนั้น...

คล้ายจะถือคติว่า ยอมเป็นโรคอย่างมีสุข ดีกว่าไร้โรคอย่างทุกข์ยาก

แล้วก็ลงเอยเป็นปรัชญาชีวิต “กินกินเข้าไปเถอะ ตราบใดที่ยังกินได้ ต่อไปจะกินไม่ได้แล้วค่อยอด”

อาหารเป็นปัจจัยพื้นฐานของทุกสิ่งที่มีชีวิต หรือจะพูดแบบชาวบ้านพูด กินเพื่อให้อยู่รอด

สัตว์ต่างๆ กินเพื่ออยู่ อิ่มแล้วก็เลิกกิน และไม่สนใจจนกว่าจะหิวอีกครั้ง

แต่คนไม่ใช่เช่นนั้น หลายคนกลับชอบอยู่เพื่อกิน อิ่มแล้วยังกินได้เรื่อยๆ จนไม่มีโอกาสรู้สึกหิว

ปากกับท้องที่เคยสมพงษ์กัน ต้องมาขัดแย้งกันโดยปริยาย

กินเน้นอร่อยปาก มากกว่าสบายท้อง

1 แม้ท้องเต็มแน่นจนอึดอัด แต่ปากยังอยากอร่อยไม่มีสิ้นสุด

▲back to top

2 ครบรอบวันเกิดอีกที

▲back to top

3 ต้นยาง

▲back to top

4 นี่หรือชีวิต

▲back to top

5 ตัวจริงตัวปลอม

▲back to top

6 ปลายทางรัก

▲back to top

7 ทำอย่างไร

▲back to top

8 เมื่อไรจะพอ?

▲back to top