Stimulating Thoughts|55

มืออาชีพ


เดี๋ยวนี้ผมดูละครโทรทัศน์น้อยลง

จะว่าไม่มีเวลาก็ไม่ใช่ เพราะพอจะเจียดเวลาให้รางวัลแก่ตนเองได้บ้าง

จะว่าไม่สนใจติดตามวงการโทรทัศน์บ้านเราก็ไม่เชิง เพราะโดยส่วนตัวแล้ว รายการโทรทัศน์เป็นดังกระจกเงาสะท้อนให้เห็นถึงความนึกคิด คุณค่าและรูปแบบของสังคม ที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ได้หยุด

เพียงแค่ห่างเหินไปเดือนสองเดือน กลับมาติดตามรายการอีกครั้งก็มีอะไรต้องแปลกใจ งุนงง และอดถามตัวเองไม่ได้ว่า “ตัวเราตกขอบไปแล้วหรืออย่างไร?”

แต่ที่ไม่ค่อยได้ดูเพราะเสียดายเวลามากกว่า

วงการโทรทัศน์บ้านเรานั้นมีเนื้อหาเหมือนๆ กันจะแตกต่างไปก็แค่คน...คนทำรายการ พิธีกร นักแสดง...

ละครโทรทัศน์ก็เรื่องเดิมๆ นำมาถ่ายทำซ้ำไปซ้ำมา ในขณที่ดาราเปลี่ยนหน้าไปแทบทุกเรื่อง จนจำชื่อจำเสียงกันไม่ทัน

พอจะเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตา ก็มันต้องร่ำลาวงการไปแล้ว

ดาราคนไหนขายดี ก็รับคิวถ่ายทำละครแทบไม่ทัน จนบางช่วงโทรทัศน์แทบทุกช่อง ถ่าย

ทอดละครคนละเรื่อง แต่ดารานำและดาราประกอบชุดเดียวกัน

เปิดละครช่องนี้แสดงบทดี น่ารัก เปลี่ยนไปช่องนั้นกำลังแสดงบทร้ายน่าชัง

จะว่าดาราเมืองไทยขาดแคลนก็ไม่เชิง เพราะมีดาราหน้าใหม่ผลัดเปลี่ยนเข้ามาในวงการไม่

ได้หยุด

จริงๆ แล้ว ขาดดาราที่มีความเป็นศิลปินในหัวใจ มากกว่า

ส่วนมากแล้วผ่านเข้ามาในวงการเพราะหน้าตาดีมีสายเลือดลูกครึ่ง มาขายหน้าขายตาได้เรื่องสองเรื่อง ตีบทแตกบ้างไม่แตกซะส่วนมาก แล้วก็ถอยออกมาในขณะที่ดาราคนอื่นขยับเข้าแทน เพราะไม่คิดจะเอาดีทาง “เต้นกินรำกิน” แบบที่พูดๆ กันสมัยก่อน...จับยึดเป็นอาชีพ

ต่างกับดาราค้างฟ้าที่มีให้เห็นในวงการ เชี่ยวทั้งการแสดงชาญทั้งการตีบทแตก แบบฝีมืออาชีพจริงๆ

ว่ากันแล้ว ดาราสองประเภทนี้ ใช่จะต่างกันที่ความเชี่ยวชาญ ก็เปล่า เพราะไม่มีใครเกิดมาเป็นดารา ต่างต้องเสริมต้องสร้างความเชี่ยวชาญกันขึ้นมาทั้งนั้น

จะว่ามีพรสวรรค์ต่างกันก็ไม่เชิง เพราะนอกจากพรสวรรค์แล้ว ทุกคนมี “พรแสวง” เหมือน

กันหมด

แต่ความแตกต่างอยู่ที่จะยึดการแสดงอาชีพหรือไม่ มากกว่า

ถ้าคิดจะยึดเป็นอาชีพ การทุ่มเท การขวนขวาย ความุมานะที่ปั้นความเป็นดาราขึ้นมาในตนเองให้เป็นที่ยอมรับของแฟนๆ นั้นมีความจริงจัง ชนิดเอาเป็นเอาตายก็ว่าได้

เพราะมันเป็นเรื่องของหม้อข้าวหม้อแกงเรื่องปากเรื่องท้อง เอาเล่นๆ ไม่ได้

ส่วนที่ไม่คิดจะยึดเป็นอาชีพ ก็มองการแสดงแค่ทางผ่าน เพื่อให้มีชื่อเสียงว่าได้เป็นดาราเป็นที่ฮือฮาพักสองพัก ในขณะที่หมายตาทางไปไว้เรียบร้อยแล้ว


จริงๆ แล้วความแตกต่างนี้ไม่อยู่แค่เรื่องของดาราในวงการบันเทิงเท่านั้น แต่ในทุกสาขาอาชีพ

...เป็นครูแค่เป็นทางผ่าน การสอนการให้ความรู้แก่ลูกศิษย์ลูกหาก็ทำไปอย่างไร้ซึ่ง “จิตวิญญาณครู”

...เป็นนักเรียนก็เรียนไปอย่างนั้น ไม่คิดจะกอบโกยวิชาหาความรู้เพราะพ่อแม่เตรียมไว้ให้หมดทุกอย่างแล้ว

...เข้าร่วมองค์กรต่างๆ ก็ทำไปตามใจฉัน ไม่คิดจะทุ่มเทกำลังกายกำลังใจเพราะถือว่าเป็นแค่งานอาสาใช่ว่าอาชีพ

...แต่งงานอยู่กินด้วยกันแล้วก็ยังไม่ทุ่มให้กันจนหมดตัวหมดหัวใจ ทำเผื่อหน้าเผื่อหลังราวกับจะบอกว่าหากแม้นจะไร้เธอชีวิตของฉันก็ยังอยู่ได้

...บวชแล้วก็ยังไม่คิดจะอุทิศชีวิตเพื่อพระโดยสิ้นเชิง ยังคงแบ่งใจเดี๋ยวตัวฉัน เดี๋ยวคน เดี๋ยวพระ

เหล่านี้และอื่นๆ ซึ่งล้วนชี้บอกสัจธรรมที่ว่า ทำอะไรหากไม่ทำ “อย่างอาชีพ” แล้ว การกระทำนั้นๆ ก็เป็นแค่ทางผ่าน เป็นแค่สมัครเล่น ผลก็คือชั่วไม่มีดีไม่ปรากฎ

หากเลือกมอบชีวิตให้ใคร แล้วตระหนักว่า “หากไม่มีคุณ ฉันมีชีวิตอยู่ไม่ได้”

หากทำงานชิ้นใดแล้วคิดว่า “หากทำไม่ดีทำไม่สำเร็จ ฉันเสร็จแน่เลย”

อย่างที่ฝรั่งเขาว่า “professionalหรือคนไทยพูดสั้นๆ ว่า มือโปร...ทำแบบอาชีพนั่นเอง.