Stimulating Thoughts|50

ตาร้อน


อดละเหี่ยใจไม่ได้เมื่อนักการเมือง “ผู้ทรงเกียรติ” ทะเลาะกันให้ประชาชนดูอีกแล้วจนดูเหมือนกับว่าอาหารจานโปรดของนักการเมืองบ้านเราคือเครื่องใน

ก็ชอบสาวไส้ประจานกันไปประจานกันมา แยกไม่ออกว่าอะไรเป็นเรื่องบ้านเมือง อะไรเป็นเรื่องส่วนตัว

การบ้านการเมืองกลายเป็นเรื่องเดียวกัน ผลเสียก็ตกอยู่ที่ชาวบ้านเป็นธรรมดาบางคนถึงกับบ่นให้ได้ยิน “มัวแต่ทะเลาะ จองล้างจองผลาญกันแล้วจะเอาเวลาไหนไปบริหารบ้านเมือง?”

อีกบางคนก็ให้ความเห็น “แทนที่จะคอยหักล้างทำลายกัน มาช่วยกันบริหาร บ้านเมืองเราคงจะพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้แล้ว”

ส่วนคนที่ทำใจได้ก็แต่เปรย “นี่ขนาดทะเลาะกันไม่ได้หยุดบ้านเมืองยังเจริญได้ขนาดนี้...”


มองดูเผินๆ การทะเลาะของนักการเมืองบ้านเราดูจะมีสาเหตุจากผลประโยชน์แต่พิจารณากันให้ถ่องแท้แล้ว มันเป็นเรื่องของความอิจฉาริษยากันมากกว่า

เพราะผลประโยชน์นั้น พอถูกเลือกเข้ามาเป็นนักการเมืองทุกคนก็ได้รับอยู่แล้ว มากบ้างน้อยบ้างมันเป็นเรื่องของการเห็นใครได้ดีกว่าตนเองไม่ได้... เขาได้เป็นรัฐบาล ฉันไม่ได้เป็น...เขามีผลงาน ฉันไม่มี...เขาได้รับการชมเชยชื่นชอบ ฉันไม่ได้...ฯลฯ

เห็นเขาได้ดีแล้วใจรุ่มร้อน หมดความสุข อย่างที่โบราณท่านว่าอิจฉาตาร้อนที่จริงแล้ว คนอิจฉาคือคนที่ไม่ยอมรับตนเองอย่างที่เป็นอย่างที่มี

การไม่ยอมรับนำไปสู่การไม่ชอบ ไม่ชอบตนเองอย่างที่เป็นและอย่างที่มี แต่กลับไปชอบสิ่งที่คนอื่นเป็นคนอื่นมียิ่งชอบสิ่งที่คนอื่นเป็นคนอื่นมีเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะเกลียดตัวเองในสิ่งที่ตนเป็นตนมีเท่านั้น

คนอิจฉาดูเหมือนจะเป็นคนที่รักแต่ตนเอง แต่จริงๆ แล้วเป็นคนที่เกลียดตนเองโดยไม่รู้ตัวทว่าโดยธรรมชาติแล้วคนเราต้องรักตนเองก่อนอื่นใด ในเมื่อมีอาการเกลียดตนเองขึ้นมาก็ต้องหาทางทำให้เกิดความรักตนเองขึ้นมาใหม่

คนอิจฉาจึงไม่เพียงแค่เห็นคนอื่นได้ดีแล้วไม่มีความสุขอย่างเดียว แต่คิดอยากให้สิ่งดีที่ตนแอบชื่นชอบในผู้อื่นนั้นต้องสูญสิ้นไปเพื่อจะได้เกลียดตัวเองน้อยลง

ลงมือทำด้วยตนเองบ้าง... ใช้คำพูดหักล้าง หาวิธีกลั่นแกล้งทำลายชื่อเสียงหรือสิ่งที่ดีนั้น...

เหลือบ่ากว่าแรงก็สาปแช่งบ้าง...ขอให้มีอันเป็นไป ขอให้โชคร้าย ขอให้หายนะ...พร้อมกันนั้นก็ไม่ลังเลที่จะโกหกคำโต เพื่อทำลายคนที่ตนแอบอิจฉาอยู่

มีคนกล่าวไว้ว่า “คนโกหกไม่เคยโกหกครั้งเดียว แต่จะโกหกเพื่อปกปิดการโกหกครั้งแล้วครั้งเล่า”

คนอิจฉาคือคนไม่มีความจริงใจกับตนเอง เพราะไม่ยอมรับความจริงที่ตนเป็นและมีพูดอีกนัยหนึ่ง เขาโกหกตัวเขาเองเป็นคนแรก ถ้าลองคนเราโกหกตนเองแล้ว การจะโกหกคนอื่นๆ ไม่ใช่เรื่องยาก แถมไม่รู้สึกว่าผิดอีกต่างหาก

ถ้ายังเป็นเด็ก การโกหกก็มักจะทำไปแบบน้ำขุ่นๆ จับโกหกได้ง่ายแต่ยิ่งโต การโกหกยิ่งแนบเนียน มีเหตุผล มีข้ออ้างอิงน่าเชื่อถือ...เพื่อชาติ เพื่อประชาชน เพื่อพระศาสนจักร เพื่อความดีส่วนรวม เพื่อความถูกต้อง ฯลฯ สารพัดที่จะสรรหา

พูดได้แทบไม่กะพริบตาส่อพิรุธ โกหกคำโตได้อย่างไม่สะทกสะท้าน


ตราบใดที่คนเราไม่ยอมรับตนเอง ความดีที่ตนมี พร้อมกับข้อจำกัดที่ไม่อาจจะเลี่ยงได้การยอมรับความดี ความสามารถ ความฉลาดหลักแหลม ความเก่ง ในคนอื่นนั้นทำได้ยาก

คนประเภทนี้ไม่เคยมองความดี ผลงาน ผลประโยชน์ที่สังคมพึงได้รับ แต่จะมองอย่างเดียวว่าใครเป็นคนทำ ใครเป็นคนได้รับการชมเชย ใครเป็นคนริเริ่ม ใครเป็นคนมีผลงาน...

และหากคำว่า “ใคร” ไม่หมายถึง “ตัวกู” ก็จะไม่ยอมให้เกิดความดี ผลงาน หรือผลประโยชน์นั้นๆ อย่างเด็ดขาด

น่าเสียดาย คนประเภทนี้ยังมีอีกมากในสังคม ในทุกระดับทุกฐานะ ทุกแวดวง

แล้วอย่างนี้เมื่อไรสังคมจะเจริญ ถามหน่อยเถอะ.