ต้นยาง


ต้นยาง


ผมแทบไม่เชื่อสายตา เมื่อยืนมองต้นยางใหญ่สามสี่ต้นภายในบริเวณบ้านพระสงฆ์เกือบใจกลางเมืองอุบลราชธานี

แต่ละต้นสูงชะลูดจนเมื่อยคอ

มันนานมาแล้วที่ผมไม่ได้เห็นต้นยางชนิดนี้ นานเท่าๆ กับช่วงระยะเวลาระหว่างวัยเด็กกับวัยปัจจุบันของผม

ตอนนั้นผมเห็นต้นยางชนิดนี้ขึ้นอยู่ทั่วไปหมด จนแทบจะไม่ได้สนใจ

จะสนใจก็ตอนที่ลูกของมันร่วงหล่นลงมา ดูแล้วยังกับฝูงแมลงปอยักษ์ที่บินโฉบเฉี่ยวลงมาตามสายลม

เราเด็กๆ ต่างวิ่งไล่เก็บกันเป็นกอบเป็นกำไว้เล่น

ก็ลูกของมันมีใบสองใบติดอยู่ด้านบน ตอนปลายใบจะงอออกด้านนอกและแยกจากกันพองาม

เมื่อลูกร่วงหล่นลงมา ใบทั้งสองที่ติดอยู่ทำหน้าที่คล้ายใบพัด หมุนรอบตัว ตัดกับสายลม ทำให้แต่ละลูกปลิวว่อนไปไกล

คงเป็นธรรมชาติของการขยายพันธุ์ของต้นยางชนิดนี้

ในเมื่อแต่ละต้นสูงใหญ่ การจะให้ลูกของมันตกลงมาและงอกงามเป็นต้นใหม่ขึ้นมาใกล้ต้นเก่า คงต้องมีการเบียดกันเพื่อแย่งแสงแดดแสงตะวัน ต้นก็คงจะเรียวลีบ

และหากมีลมช่วยเป็นใจ ลูกยางก็จะปลิวไปไกล ไกลจนลืมแหล่งที่มาได้เหมือนกัน

ป่าจึงเต็มด้วยต้นยาง ยืนตระหง่าน ท้าแดดท้าฝน ห่างกันไปเป็นระยะ สร้างความชุ่มชื้นให้ดิน และดึงดูดฝนให้ตกตามฤดูกาลมาหลายร้อยหลายพันปี

จนกระทั่งมนุษย์มากด้วยความโลภและมักง่าย เลื่อยโค่นลงมาขายอย่างไม่เกรงใจธรรมชาติแม้แต่สักนิด

เพราะเหตุนี้เองที่ทำให้ผมยืนตะลึงอยู่นานสองนาน ที่ยังเห็นต้นยางตั้งเป็นตระหง่านที่นั่น

แล้วก็อดรู้สึกเศร้าไม่ได้ เมื่อมาคิดว่า ต่อไปเด็กๆ จะมีโอกาสเห็นต้นยางใหญ่ๆ อย่างนี้อีกหรือเปล่า

หรือจะเห็นก็เพียงภาพถ่ายหรือภาพวาดของมัน

เด็กๆ จะมีโอกาสเก็บลูกยาง แล้วขึ้นบนบ้าน หรือปีนป่ายต้นไม้ให้สูง เพื่อปล่อยลูกยางลงมาแข่งกันว่าของใครจะปลิวไปไกลกว่ากันอีกหรือเปล่าหนอ

เด็กสมัยนี้เล่นเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ แต่สมัยผมใช้ลูกยางนี้เป็นเฮลิคอปเตอร์สนุกไม่แพ้กัน แถมไม่ต้องเสียสตุ้งสตางค์ซื้ออีกต่างหาก


1

▲back to top

1.1 ผมเก็บลูกยางกลับมาสองสามลูก เพื่อฟื้นความทรงจำแห่งวัยเด็ก

▲back to top

1.2 เวลาเดียวกันก็อดคิดไม่ได้ว่า ธรรมชาติเป็นแบบอย่างสำหรับมนุษย์ในหลายเรื่อง

▲back to top

มนุษย์เป็นมนุษย์สมบูรณ์หากกลับไปสู่ธรรมชาติ และร่วมเป็นหนึ่งกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน

แต่เมื่อมนุษย์ทำลายธรรมชาติเสียเกือบหมด ความเป็นมนุษย์ก็ลดน้อยถอยลง

ตั้งแต่แรกเริ่ม มนุษย์กับธรรมชาติอยู่คู่เคียงกันมาโดยตลอด

แต่พอมนุษย์ห่างเหินธรรมชาติไป สิ่งดีงามในตัวมนุษย์ก็พลอยสูญหายไปทีละน้อย

แค่มองดูแง่ที่ธรรมชาติเอื้อเฟื้อต่อกัน...ต้นไม้ให้ผลให้ดอกแก่สิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่เอื้อประโยชน์แก่กันและกัน...ก็เห็นถึงความงดงามแห่งการให้การรับที่สมดุลย์และกลมกลืน

แต่มนุษย์นี่สิ ตั้งแต่แยกตนออกจากธรรมชาติ พร้อมกับอ้างว่าเพื่อก้าวสู่ความศิวิไล กลับตกต่ำกว่าธรรมชาติในหลายอย่าง

ทั้งๆ ที่ธรรมชาติรอบข้างมีแต่ให้โดยไม่เรียกร้องตอบแทน มนุษย์เอาแต่กอบโกย และไม่คิดจะให้

ทั้งๆ ที่ธรรมชาติเอื้อเฟื้อต่อกันและกัน มนุษย์กลับอยู่แบบตัวใครตัวมัน

ทั้งๆ ที่ธรรมชาติเคารพในกฎเกณฑ์ มนุษย์นอกจากจะฝ่าฝืนกฎธรรมชาติแล้ว ยังตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาของใครของมันอีก

ทั้งๆ ที่ธรรมชาติใจกว้างไปไกลตัว แต่มนุษย์กลับหมกมุ่นอยู่แค่ตัวและรอบๆ ตัวเอง

แล้วยังมาอวดอ้างอีกว่า นี่คือความศิวิไล นี่คืออารยธรรม นี่คือความก้าวหน้า

ทว่า มนุษย์กับธรรมชาติต้องอยู่ด้วยกัน ความขัดแย้งลึกๆ ภายในมนุษย์จึงทำให้มนุษย์เริ่มหันกลับสู่ธรรมชาติ

สุดสัปดาห์ที วันหยุดที ทุกคนต่างพากันรีบรุดแข่งกันออกจากเมือง เพื่อไปสัมผัสกับธรรมชาติตามป่าเขาลำเนาไพร หรือไม่ก็ตามหาดชายทะเล

น่าเสียดาย หลายคนกลับไปสู่ธรรมชาติ แต่ไม่คิดจะเรียนรู้จากธรรมชาติเลย

คงต้องมายืนดูต้นยางใหญ่ที่กลางเมืองอุบลฯ กับผมสักครั้งสองครั้งและแหละ.