Way of Spirit|5 page 4

ภาพลักษณ์ของพระเยซูเจ้า



พระเยซูเจ้าผู้นุ่มนวล1


Heinrich Boll ได้ค้นพบความนุ่มนวลของพระเยซูเจ้า ครั้งหนึ่ง ในการให้สัมภาษณ์ เขาเคยพูดตัดพ้อว่า พระศาสนจักรมักจะใช้ข้อความเชื่อเป็นจุดได้เปรียบ ทำเป็นรู้อย่างแม่นยำว่าอะไรคือความถูกต้องสำหรับแต่ละคนและมักจะลงโทษทุกคนที่ไม่ยอมถือตามกฎเกณฑ์โดยตัดคนแข็งข้อออกจากพระศาสนาจักร ซึ่งสำหรับเขาแล้ว เขาเชื่อว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการบดบังความนุ่มนวลของพระเยซูเจ้าที่มีกล่าวไว้ในพระวรสาร เขาให้เหตุผลว่า “ในพระธรรมใหม่ ผมกล้าพูดได้ว่า มีเทววิทยาแห่งนุ่มนวล ซึ่งเป็นดังน้ำมันที่รักษาเยียวยา ความนุ่มนวลแสดงออกมาในคำพูด ในมือที่สัมผัสผู้อื่นอย่างแผ่วเบาและนิ่มนวล หรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง คือการลูบไล้ การจูบ การนั่งร่วมโต๊ะ ผมคิดว่า ทุกสิ่งเหล่านี้หายไปหมดเพราะความพยายามจะบังคับทุกคนให้ถือตามกฎเกณฑ์ อาจจะพูดได้ว่าหายไปเพราะคำสอนโรมมันซึ่งเน้นเฉพาะข้อความเชื่อและกฎเกณฑ์ต่างๆของพระธรรมใหม่ ส่วนประเด็นของความนุ่มนวลในพระธรรมใหม่นั้น ยังไม่มีการค้นพบเลย”


ความนุ่มนวลของพระเยซูเจ้าแสดงออกมาในการพบปะกับผู้คน อาทิ ในการพบปะกับหญิงคนบาปที่ล้างเท้าให้พระองค์ พระเยซูเจ้าทรงยอมให้หญิงผู้นั้นสัมผัสพระองค์ด้วยความนุ่มนวล ในเวลาเดียวกัน พระองค์ก็ทรงมีท่าทีเต็มด้วยความรักต่อเธอ การรักษาคนเจ็บคนป่วยเผยให้เราเห็นถึงความนุ่มนวลของพระเยซูเจ้า ทรงสัมผัสแต่ละคนที่มาหาหรือถูกพามาหาพระองค์ด้วยความเคารพและความละเอียดอ่อน อาทิ เมื่อทรงรักษาคนใบ้และหูหนวก (มก 7,31-37) มีคนนำเขามาหาพระเยซูเจ้า เขาพูดไม่ได้ เขาต้องเงียบเพราะกลัวว่าคนอื่นจะไม่ยอมฟัง เขาหูหนวกด้วย หูทั้งสองของเขาปิดสนิทเพราะไม่สามารถรับฟังคำพูดแดกดันต่างๆนานา หรือเพราะคนอื่นพากันปฏิเสธเขา พระเยซูเจ้าทรงนำเขาออกไปต่างหาก ทรงอยากจะทำให้เขารับรู้ว่า ถึงจะไม่มีใครยอมรับเขา แต่พระองค์ทรงให้ความสำคัญแก่เขา “พระองค์ทรงแยกคนใบ้หูหนวกคนนั้นไปจากกลุ่มชน ทรงใช้นิ้วพระหัตถ์ยอนหูของเขา ทรงใช้พระเขฬะแตะลิ้นของเขา ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นเบื้องบน ถอนพระทัย แล้วตรัสว่าเอฟฟาธาแปลว่าจงเปิดเถิดทันใดนั้นหูของเขากลับได้ยิน สิ่งที่ขัดลิ้นอยู่ก็หลุด เขาพูดได้ชัดเจน(มก 7,33-35)


พระเยซูเจ้าทรงปฏิบัติต่อคนใบ้หูหนวกอย่างพิเศษ พระองค์ทรงใช้นิ้วพระหัตถ์ยอนหูเขา หูของคนเราค่อนข้างจะบอบบาง พระองค์ทรงใช้ความนุ่มนวลในการสัมผัสหูของเขาที่ต้องได้ยินคำพูดถากถางมาโดยตลอด การสัมผัสที่เต็มด้วยความรักของพระเยซูเจ้าเป็นเหมือนการขจัดคำพูดที่ทำให้ต้องเจ็บช้ำและเปิดหูทั้งสองข้างของเขาเพื่อจะได้รับฟังคำพูดที่เต็มด้วยความรักและอัธยาศัยไมตรี ด้วยท่าทีที่ละเอียดอ่อนนี้ พระเยซูเจ้าทรงต้องการจะบอกคนใบ้หูหนวกว่า “แม้แต่ในคำพูดที่กระด้างและเหยียดหยามของคนที่อยู่รอบข้าง เจ้าจะเห็นว่า ลึกลงไปในคำพูดเหล่านั้น มีความปรารถนาที่จะสร้างสัมพันธ์กับเจ้า การฟังคือการสร้างความสัมพันธ์ จงอย่าฟังแค่คำพูด แต่ฟังเสียงหัวใจที่กระซิบอยู่ในคำพูดเหล่านั้นด้วย”


พระเยซูเจ้าทรงแตะลิ้นของคนใบ้หูหนวกด้วยพระเขฬะ เราสามารถตีความได้เลยว่า ท่าทีดังกล่าวคือการจูบของพระองค์ จึงเห็นได้ชัดว่า พระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงรังเกียจที่จะสัมผัสเขาอย่างสนิทสนม เหมือนเพื่อนที่จูบกัน พระองค์ทรงปลดปล่อยลิ้นของเขาให้เป็นอิสระจากความใบ้ด้วยพระเขฬะ หลังจากนั้นทรงเงยพระพักตรขึ้นเบื้องบน ท่าทีเอาใจใส่ของพระเยซูเจ้าบันดาลให้สวรรค์เปิดออกต่อหน้าต่อตาเขาที่เอาแต่ปิดตนเอง ความนุ่มนวลของพระเยซูเจ้าสัมพันธ์ใกล้ชิดกับความรักของพระบิดาเจ้าสวรรค์และแสดงออกทางความรักที่นุ่มนวลของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์ทุกคน พระเยซูเจ้าทรงถอนพระทัยเพราะทรงร่วมส่วนกับความทุกข์ทรมานของคนใบ้หูหนวก พระองค์ทรงสงสารเขา พระองค์ทรงเปิดดวงพระทัยให้เขา เมื่อทำให้เขาได้รู้สึกถึงความรักของมนุษย์และความรักของพระเจ้าแล้ว พระเยซูเจ้าก็ทรงเชื้อเชิญคนใบ้หูหนวกว่า “เอฟฟาตา” ซึ่งแปลว่า “จงเปิดเถิด” (มก 7,33) บัดนี้ที่สวรรค์ได้แสดงความเมตตาและเขาได้รับรู้ถึงดวงใจหนึ่งดวงที่อยู่เคียงข้างเขา ร่วมความรู้สึก และเข้าใจความกลัวของเขาแล้ว คนใบ้หูหนวกก็สามารถเปิดปากและ “พูดจาได้ชัดเจน” บัดนี้เขาสามารถตะโกนร้องบอกสิ่งที่เขารู้สึกอยู่ภายในใจ สามารถระบายความรู้สึกและความใฝ่ฝันออกมาได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะโดนเข้าใจผิด จะถูกตราหน้า หรือถูกประณามเพราะคำพูดคำจาของเขาอีกต่อไปแล้ว เมื่อใดที่เรารู้สึกว่ามีความรัก เราก็จะกล้าพูดเพื่อสร้างความสัมพันธ์และเข้าถึงดวงใจของคนที่เรารัก


พระเยซูเจ้าทรงมีความนุ่มนวลกับทุกคน ทั้งชายและหญิง ทรงสัมผัสสตรีคนหนึ่งที่หลังโกงมาเป็นเวลาสิบแปดปีอย่างนุ่มนวล (ลก 13,10-17) ทรงปล่อยให้หญิงอีกคนหนึ่งที่ป่วยเป็นโรคตกเลือดมาเป็นเวลาสิบสองปีสัมผัสชายพระภูษาของพระองค์ (มก 5,25-34) ชาวยิวถือกันว่า คนที่เป็นโรคตกเลือดเป็นคนไม่บริสุทธิ์ จึงไม่มีใครคบค้ากับเธอ พระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงกลัวว่าการที่หญิงผู้นั้นสัมผัสจะทำให้พระองค์ไม่บริสุทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงให้รางวัลความกล้าของเธอด้วยการรักษาเธอให้หายจากโรค


ความนุ่มนวลของพระเยซูเจ้ามีลักษณะของความนุ่มนวลแบบสตรี แบบแม่ อย่างเช่นเมื่อทรงรักษาคนตาบอด “พระองค์ทรงจูงคนตาบอดออกไปนอกหมู่บ้าน ทรงใช้พระเขฬะแตะตาของเขา ทรงปกพระหัตถ์เหนือเขา ตรัสถามเขาว่าท่านเห็นอะไรไหม’(มก 8,23) น้ำลายเป็นสิ่งนุ่มนวลและมีลักษณะของแม่ เมื่อเด็กน้อยบาดเจ็บ แม่จะใช้น้ำลายทาบนแผลและพูดว่า “เรียบร้อย” การที่พระเยซูเจ้าทรงใช้พระเขฬะแตะตาคนตาบอดเป็นการประทานส่วนหนึ่งของพระองค์ให้แก่เขา แสดงออกถึงความใกล้ชิดสนิทสนม เมื่อคนตาบอดทูลว่าเห็นแค่เงาเลือนราง พระเยซูเจ้าก็ทรงใช้พระหัตถ์สัมผัสตาเขาอีกครั้ง ทันใด อำนาจการรักษาของพระเจ้าก็ผ่านพระหัตถ์ของพระองค์เข้าไปในตัวคนตาบอด พร้อมกับความรักแบบตัวต่อตัวที่ทรงมีต่อเขาด้วย พระเยซูเจ้าทรงปฏิบัติกับคนตาบอดเหมือนแม่ที่สัมผัสและลูบไล้ลูกอย่างนุ่มนวล พระองค์ทรงเป็นเหมือนแม่ที่รู้ว่าคนตาบอดต้องการความสนใจและการลูบไล้มากกว่าใครเพื่อจะได้กล้าที่จะเปิดตาเต็มที่และเห็นสิ่งต่างๆอย่างที่มันเป็น


นักเขียนหลายคนยกย่องพระเยซูเจ้าเป็น “แม่” เพื่อเน้นให้เห็นว่า พระเยซูเจ้าไม่เพียงมีความนุ่มนวลดุจพ่อคนหนึ่ง แต่ทรงปฏิบัติกับคนเจ็บคนป่วยดุจแม่ที่ลูบไล้ลูกด้วยมือที่เต็มด้วยความนุ่มนวล พระองค์ทรงแสดงความนุ่มนวลด้วยความสัมพันธ์ที่เป็นรูปธรรม พระองค์ไม่ทรงหลบอยู่หลังอุดมการณ์หรือหลักการ แต่ทรงปล่อยให้คนสัมผัสพระองค์และทรงเข้าหาทุกคนตามเสียงเรียกร้องของดวงพระทัย ไม่ใช่ตามตัวบทกฎหมาย


พระเยซูเจ้าทรงสอนเราให้ไว้ใจในสิ่งที่เรารู้สึกภายในมากกว่าความคิดเห็นของผู้อื่นหรือความกล้าๆกลัวๆของเราเอง ซึ่งมักจะกีดกันเราไม่ให้ออกไปพบปะเพื่อนพี่น้องของเราด้วยความรัก โดยอ้างว่า “บางทีเขาไม่อยากจะติดต่อกับฉันก็ได้ คนอื่นจะคิดอย่างไร? ขืนทำก็เหมือนกับว่ามักคุ้นกับเขามากเกินไปหรือเปล่า? หรือว่าฉันคิดของฉันไปเอง?” พระเยซูเจ้าทรงติดต่อกับดวงพระทัยของพระองค์ เพราะเหตุนี้ พระองค์จึงทรงสามารถรับรู้ถึงความต้องการของหัวใจอื่นๆและทรงกระทำในสิ่งที่ดีสุดสำหรับพระองค์เองและสำหรับผู้อื่นได้อย่างลงตัว


ฉันนุ่มนวลกับตัวฉันหรือเปล่า? ฉันกลัวที่ถูกสัมผัสด้วยความนุ่มนวลหรือเปล่า? ฉันรู้สึกอย่างไรเมื่อใครสัมผัสฉันอย่างนุ่มนวล? ฉันเคยรู้สึกต้องการความนุ่มนวลหรือไม่? แล้วฉันจัดการกับความรู้สึกนี้อย่างไร?


ฉันรู้จักสัมผัสใครด้วยความนุ่มนวลหรือเปล่า? ฉันจัดการอย่างไรกับความรู้สึกอยากจะพบปะผู้อื่นด้วยความรัก? ฉันเคยปล่อยให้ความกล้าๆกลัวๆกีดกันฉันด้วยความสงสัยว่า “บางทีเขาไม่อยากจะติดต่อกับฉันก็ได้ คนอื่นจะคิดอย่างไร? ขืนทำก็เหมือนกับว่าสนิทสนมกับเขามากเกินไปหรือเปล่า? หรือว่าฉันคิดของฉันไปเอง?” วันนี้ ฉันต้องไว้ใจความรู้สึกของฉันให้มากขึ้นและเข้าหาผู้อื่นตามการชี้นำของหัวใจ


ฉันคอยแต่หลบอยู่ข้างหลังกฎเกณฑ์และข้อบังคับเพื่อหลีกเลี่ยงความนุ่มนวลของพระเยซูเจ้าหรือเปล่า?.






1 Anselm Grün