Way of Spirit|4 page 4

ชีวิตภาวนา


การแบ่งพื้นที่

กับความเข้าใจและท่าทีของการภาวนา*



การภาวนามีองค์ประกอบหลายอย่าง ซึ่งเป็นตัวแปรให้เกิดความเข้าใจและทีท่าในการสวดภาวนา

ในเมื่อการภาวนาคือความสัมพันธ์กับพระเจ้า ท่าทีที่มีต่อพระเจ้าจึงเป็นเรื่องสำคัญ

ท่าทีที่สำคัญอย่างหนึ่งคือความใกล้ชิดหรือความห่างไกลพระเจ้า

ความใกล้ชิดก่อให้เกิดความไว้วางใจและความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องตลอดเวลา

ส่วนความห่างไกลก่อให้เกิดความกลัว ความเหินห่าง และความสัมพันธ์ที่อยู่ในคำพูด สูตร และพิธีกรรมภายนอก



มนุษย์สร้างความห่างไกล

วันหนึ่ง โมเสสกำลังเลี้ยงแกะและแพะของเยโธรพ่อตาผู้เป็นสมณะของชาวมีเดียน เขาได้พาฝูงสัตว์ไปทางตะวันตกของถิ่นทุรกันดาร จนมาถึงภูเขาของพระเจ้า คือ ซีนาย ทูตของพระเจ้าปรากฏแก่โมเสสท่ามกลางพุ่มไม้ที่ลุกเป็นไฟ โมเสสมองดู เห็นพุ่มไม้นั้นมีไฟลุกโชนอยู่ แต่มิได้ไหม้มอดไป โมเสสจึงว่า ‘ฉันจะแวะเข้าไปดูสิ่งแปลกประหลาดนี้ ว่าเหตุไฉนพุ่มไม้จึงไม่ไหม้’

ครั้นพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขาเดินเข้ามาดู จึงตรัสออกจาพุ่มไม้นั้นว่า ‘โมเสส โมเสสเอ๋ย’

โมเสสทูลตอบว่า ‘ข้าพระองค์อยู่ที่นี่’

พระเจ้าจึงตรัสว่า ‘อย่าเข้ามาใกล้ที่นี่ ถอดรองเท้าของเจ้าออกเสีย เพราะว่าที่ซึ่งเจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์’ แล้วพระองค์ตรัสอีกว่า ‘เราเป็นพระเจ้าของบิดาเจ้า เป็นพระเจ้าของอับราฮัมพระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’

โมเสสปิดหน้า เพราะกลัว ไม่กล้ามองดูพระเจ้า” (อพย 3,1-6)

พระวาจาของพระเจ้า บอกถึงการความเป็นห่วงใยต่อความทุกข์เข็ญของประชากรของพระองค์ในแผ่นดินประเทศอียิปต์ แต่ก็เป็นการตอกย้ำเป็นนัยถึงความแตกต่างระหว่างพระเจ้าและมนุษย์

“...เพราะว่าที่ซึ่งเจ้ายืนอยู่นี้ เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์” (อพย 3,5)เป็นที่พระเจ้าประทับอยู่ มนุษย์พึงให้ความเคารพ คารวะ โมเสสจึงต้องแสดงออกภายนอกด้วยการถอดรองเท้า


นี่คือที่มาของการแบ่งแยกพื้นที่ พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าและพื้นที่ธรรมดาของมนุษย์ พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ประทับอยู่ของพระเจ้า หรือสงวนไว้ในเรื่องที่เกี่ยวกับพระเจ้า...ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า พลับพลาที่ประทับของพระเจ้า พระวิหารของพระเจ้า ของถวายพระเจ้า...


การแบ่งแยกพื้นที่ดังกล่าว เป็นการแบ่งแยกพระเจ้าออกจากมนุษย์อย่างเป็นทางการ และก่อให้เกิดทีท่าที่ตามมา นั่นคือความเคารพยำเกรงและความหวาดกลัว

คนสมัยนั้นพากันถือว่า ใครได้พบเห็นพระเจ้า จะต้องตาย

การแบ่งแยกเนื้อที่ จึงกลายเป็นการแบ่งแยกทางจิตใจด้วย

มนุษย์รู้สึกว่าต้องอยู่ห่างพระเจ้าไว้ จะเข้าหาพระองค์ด้วยความสุภาพถ่อมตนก็ต่อเมื่อมาขอความเมตตาจากพระเจ้าสำหรับความต้องการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสิ่งที่เกินความสามารถของมนุษย์ที่จะได้มาด้วยความสามารถและกำลังของตน

การสวดภาวนาจึงเป็นการทูลของความเมตตา ความช่วยเหลือ ความคุ้มครอง และสิ่งดีงามจากพระเจ้า

เพื่อจะได้มาในสิ่งที่วอนขอ มนุษย์ต้องทำทุกอย่างให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ตั้งแต่การประพฤติตน การถวายเครื่องบูชาไปจนถึงการบนบาน การสัญญา


ทว่า ตั้งแต่แรก พระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์และพื้นที่ธรรมดา พื้นที่สงวนไว้สำหรับพระเจ้าและพื้นที่สำหรับมนุษย์

พื้นที่ทุกแห่งเป็นผลงานของพระเจ้า จึงเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ (Jean-Noel Bezancon, Dio non e’ Bizzarro, Elle Di Ci, Leumann (Torino), p. 28.)


หลังจากที่ทรงสร้างมนุษย์แล้ว พระเจ้าเสด็จมาในสวนที่มนุษย์อาศัยอยู่เพื่อพบปะกับพวกเขา

ถึงแม้มนุษย์จะทำผิดต่อคำสั่งของพระเจ้า พระองค์ก็ยังเสด็จมาหาพวกเขาในสวน

เวลาเย็นนั้น เขาทั้งสองได้ยินเสียงพระเจ้าเสด็จดำเนินอยู่ในสวน ชายนั้นกับภรรยาก็หลบไปซ่อนตัวในหมู่ต้นไม้ในสวนนั้น ให้พ้นจากพระพักตร์พระเจ้า พระเจ้าทรงเรียกชายนั้นและตรัสถามเขาว่า ‘เจ้าอยู่ที่ไหน’ ชายนั้นทูลว่า ‘ข้าพระองค์ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ในสวนก็เกรงกลัว...จึงได้ซ่อนตัวเสีย’” (ปฐก 3,8-10)

ถ้ามองจากเหตุการณ์นี้ เป็นมนุษย์ต่างหากที่เป็นผู้แบ่งพื้นที่

ความผิดที่มนุษย์ทำมาจากความขัดแย้ง ขัดแย้งกับพระประสงค์ของพระเจ้า ขัดแย้งกับตนเอง ขัดแย้งกับธรรมชาติ

ความขัดแย้งในตัวมนุษย์นี่แหละ คือ ตัวแบ่งแยก

ก่อนที่มนุษย์จะทำผิด เขาเลือกที่จะแยกตนเองออกจากพระเจ้าด้วยใจอิสระ

หลังจากที่ทำผิด มนุษย์ต้องแยกตนเองออกจากพระเจ้าด้วยความกลัว

รอยร้าวนี้ยิ่งทียิ่งกว้างขึ้น อันเป็นผลมาจากความผิดต่างๆ ที่มนุษย์เลือกทำต่อจากความผิดแรก


นอกจากจะสร้างรอยด่างพร้อยให้ตนเองแล้ว ความผิดของมนุษย์ยังก่อให้เกิดความด่างพร้อยและความสับสนในธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

แผ่นดินจึงถูกมองว่าเป็นสถานที่แห่งบาป ไม่สมกับความศักดิ์สิทธิ์และความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

ในเวลาเดียวกัน มนุษย์ก็ยังรู้สึกว่าขาดพระเจ้าไม่ได้ ยังต้องการความช่วยเหลือ ความเมตตา และการให้อภัยของพระองค์ ทั้งๆ ที่รู้ตัวว่า หลังจากที่ทำผิดด้วยการขัดขืนคำสั่งของพระเจ้าแล้ว อย่างมากที่หวังจะได้รับจากพระองค์คือ การให้อภัย


มนุษย์จึงได้กำหนดสถานที่สำหรับพระเจ้าและสิ่งที่เกี่ยวกับพระองค์ แยกออกจากสถานที่สำหรับการดำเนินชีวิตประจำวันและการทำอาชีพ การงาน


การสร้างวิหาร โบสถ์ วัด ให้เป็นที่ประทับของพระเจ้าและใช้ประกอบพิธีกรรม ที่แสดงออกซึ่งความอ่อนน้อม การสรรเสริญ การวิงวอน การขอพระเมตตา...พร้อมกับมีการแยกที่ชัดเจน ระหว่างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และสถานที่ธรรมดา ในวัดและนอกวัด (pro-fanum =หน้าวัด) ก็คือการแยกพระเจ้าออกจากมนุษย์นั่นเอง


มนุษย์จะพบพระเจ้าได้ก็ต้องไปในที่ประทับอยู่ของพระองค์

การสวดภาวนาก็ต้องทำเป็นสัดเป็นส่วนและเป็นที่เป็นทาง ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

ชีวิตจึงมีการแบ่งแยกเป็นสัดเป็นส่วน แทบจะไม่มีการเชื่อมโยงหรือต่อเนื่อง...ชีวิตประจำวัน หมกมุ่นกับการทำมาหากิน และชีวิตสัมพันธ์กับพระเจ้า แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง


สำหรับผู้ที่มีความศรัทธา ก็มักจะเริ่มต้นวันใหม่กับพระเจ้าด้วยการสวดภาวนาเช้า ขอพรจากพระองค์และขอความคุ้มครองสำหรับชีวิตและกิจการ หลังจากนั้นก็ดำเนินชีวิตไปตามครรลองมนุษย์ ทำหน้าที่ ทำงาน หาเลี้ยงชีพ... ตกเย็น ก่อนจะนอน ก็มีการสวดขอบคุณพระเจ้าสำหรับวันที่ผ่านพ้นไป พร้อมกับขอพรและความคุ้มครองจากพระองค์ในเวลาพักผ่อนหลับนอน


ดังนั้น นอกจากตอนเช้าและตอนค่ำแล้วคนมักจะดำเนินชีวิตแทบไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับพระเจ้าตลอดวัน


นอกนั้นก็มีการแบ่งแยกวันของสัปดาห์ “วันอาทิตย์” เป็นวันพระเจ้า วันเข้าวัด วันสรรเสริญพระเจ้า และ “วันธรรมดา” เป็นวันเพื่อมนุษย์ วันอาชีพการงาน วันสำหรับเรื่องโลก ๆ


รวมไปถึงการแยก “ชีวิตเหนือธรรมชาติ” สำหรับเรื่องของจิตใจ และ “ชีวิตในแต่ละวัน” สำหรับเรื่องของร่างกาย สิ่งของ วัตถุแต่ละอย่าง แต่ละกิจการ จึงมีการแบ่งแยกสัดส่วนแทบจะเป็นเอกเทศ



พระเจ้าทรงคืนความใกล้ชิด


เมื่อถึงเวลากำหนด พระเจ้าทรงส่งพระบุตรพระองค์เดียวมาในโลก เพื่อให้เราได้มีชีวิตโดยทางพระบุตรนั้น” (1 ยน 4,9)


มนุษย์เคยคิดอยากจะเป็นพระเจ้าและพร้อมที่จะขัดขืนคำสั่งของพระเจ้า (ปฐก 3,4) แต่แล้ว นอกจากจะทำไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ ยังก่อให้เกิดความผิดมหันต์ และแทนที่เขาจะได้เป็นพระเจ้า บาปทำให้เขาต้องห่างพระเจ้าไปเรื่อยๆ


จนกระทั่ง พระบุตรของพระเจ้าทรงรับเอากายเป็นมนุษย์และประทับอยู่ท่ามกลางเรา (มธ 1, 22)


พระเจ้ากับมนุษย์ใกล้ชิดกันอีกครั้งหนึ่ง ใกล้ชิดกว่าในสมัยที่มนุษย์อาศัยอยู่ในสวนเอเดน


การเสด็จมาของพระเยซูเจ้า พระเจ้าแท้และมนุษย์แท้ทำให้ความใฝ่ฝันของมนุษย์ได้เป็นความจริง

ในเมื่อมนุษย์เป็นพระเจ้าไม่ได้ พระเจ้าจึงทรงมาเป็นมนุษย์เสียเอง

ในตัวพระเยซูเจ้า พระเจ้าและมนุษย์กลับกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน


ในพระเยซูเจ้า มนุษย์สามารถเป็นพระเจ้า พระเยซูเจ้าทรงทำให้เราเป็นบุตรของพระเจ้า


ผู้ใดที่ยอมรับพระองค์ คือผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ประทานอำนาจให้ผู้นั้นกลายเป็นบุตรของพระเจ้า” (ยน 1,12)

การรับเอากายเป็นมนุษย์และมอบอำนาจให้ผู้ที่เชื่อในพระนามกลับกลายเป็นบุตรของพระเจ้า จึงเป็นการทำลายการแบ่งแยกและช่องว่างระหว่างพระเจ้าและมนุษย์


พระเจ้าทรงมาร่วมชีวิตกับมนุษย์

พระเจ้ากับมนุษย์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


พื้นที่ทุกแห่งในโลกจึงเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นพื้นที่ที่พระเจ้าทรงย่างก้าวไปกับมนุษย์

แม้สถานที่ซึ่งสงวนไว้สำหรับการประทับอยู่ของพระเจ้าและการสวดภาวนา ยังคงเป็นแหล่งรวมกายรวมใจของผู้มีความเชื่อที่มารวมตัวกันเพื่อสรรเสริญพระเจ้า แต่ก็ไม่ใช่เป็นสถานที่เดียวเพื่อพบปะกับพระเจ้าอีกต่อไปแล้ว

พระเยซูเจ้าทรงยืนยันเช่นนั้น


หญิงผู้นั้น (ชาวสะมาเรีย) จึงทูลว่า ‘ดิฉันเห็นแล้วว่าท่านเป็นประกาศก บรรพบุรุษของเราเคยนมัสการพระเจ้าบนภูเขานี้ แต่ท่านพูดว่า สถานที่สำหรับนมัสการพระเจ้าคือกรุงเยรูซาเล็ม’ พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า ‘นางเอ๋ย เชื่อเราเถิด ถึงเวลาแล้วที่ท่านทั้งหลายจะนมัสการพระบิดาเจ้า ไม่ใช่เฉพาะบนภูเขานี้ หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม ท่านนมัสการพระเจ้าที่ท่านไม่รู้จัก แต่เรานมัสการพระเจ้าที่เรารู้จัก เพราะความรอดพ้นมาจากชาวยิว แต่จะถึเวลาคือเวลานี้ เมื่อผู้นมัสการแท้จริงจะนมัสการพระบิดาเจ้าเดชะพระจิตเจ้า และตามความจริง เพราะพระบิดาทรงแสวงหาผู้นมัสการพระองค์เช่นนี้ พระเจ้าทรงเป็นจิต ผู้ที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการเดชะพระจิตเจ้า และตามความจริง’” (ยน 4,19-25)


ท่าทีในการภาวนาก็เปลี่ยนไปด้วย


เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าเป็นเหมือนบรรดาคนหน้าซื่อใจคด เขาชอบยืนอธิษฐานภาวนาในศาลาธรรมและตามมุมลานเพื่อให้ใครๆ เห็น เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่ออธิษฐานภาวนา จงเข้าไปในห้องส่วนตัว ปิดประตู อธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้สถิตอยู่ทั่วทุกแห่ง แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งจะประทานบำเหน็จให้ท่าน

เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าพูดซ้ำเหมือนคนต่างศาสนา

เขาคิดว่า ถ้าเขาพูดมากพระเจ้าจะทรงสดับฟัง อย่าทำเหมือนเขาเลย เพราะพระบิดาของท่านทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการอะไร ก่อนที่ท่าน

จะขอเสียอีก (มธ 6,5-8)

ความสำนึกของการประทับอยู่ของพระเจ้าในทุกที่ ทุกแห่งและการที่พระองค์ประทับอยู่ท่ามกลางเราทำให้การแบ่งแยกการภาวนาออกจากกิจกรรมอื่นๆ ของชีวิตประจำวันหมดความหมายไป


ความแตกต่างระหว่างวันอาทิตย์และวันธรรมดา น่าจะเป็นความแตกต่างในเรื่องวันในสัปดาห์และกิจกรรมของวัน มากกว่าจะเป็นความแตกต่างของความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์

ความศักดิ์สิทธิ์ของวัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าวันนั้นเป็นวันใดของสัปดาห์ แต่ขึ้นอยู่การที่มนุษย์ทำให้วันนั้นๆ ศักดิ์สิทธิ์ไปด้วยชีวิตและการกระทำ

วันอาทิตย์จึงเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ด้วยการรวมตัวของลูกๆ ของพระเจ้า ร่วมสวดภาวนา สรรเสริญ นมัสการ ฟังพระวาจาและร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์และเพื่อนพี่น้องทางพระกายที่พระองค์ทรงมอบไว้ให้เป็นอาหาร

ฝ่ายจิต

ในทำนองเดียวกัน วันธรรมดาในรอบสัปดาห์น่าจะเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ด้วยความสัมพันธ์กับพระเจ้าด้วย นอกจากจะสรรเสริญพระเจ้าด้วยบทภาวนาเช้าค่ำแล้ว ก็ยังสรรเสริญพระองค์ต่อไปด้วยการดำเนินชีวิตที่ดีงามและด้วยการทำหน้าที่ อาชีพ การงาน อย่างครบถ้วน สัตย์ซื่อและเต็มใจ โดยมั่นใจในความช่วยเหลือของพระองค์และมีพระวาจาของพระองค์เป็นแนวทาง


การดำเนินชีวิตและกระทำทุกอย่างด้วยความสำนึกว่าพระเจ้าทรงร่วมอยู่ด้วย คือการภาวนาด้วยชีวิตและการกระทำซึ่งทำให้ทุกชั่วขณะและทุกแห่งเป็นเวลาและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์


มองจากแง่นี้ การภาวนาจึงมีหลากหลายรูปแบบ และสามารถภาวนาได้เสมอ ต่อเนื่อง และทุกสถานที่


วันอาทิตย์จึงต่อเนื่องไปถึงวันอื่นๆ ในรอบสัปดาห์ และวันอื่นๆ ในรอบสัปดาห์ต่อเนื่องไปถึงวันอาทิตย์ .