Way of Spirit|1 page 4

ชีวิตในพระเจ้า


เปลวไฟแห่งรัก*


มีเรื่องเล่าว่า โนวิสคนหนึ่งถามอธิการฤษีว่าควรจะสวดอย่างไร อธิการตอบด้วยการยกมือกางนิ้วทั้งห้าและชี้ขึ้นฟ้า นิ้วของอธิการเป็นประกายเหมือนเทียนที่จุดอยู่ ในขณะที่ท่านแนะให้โนวิสเป็นเหมือนเปลวไฟแห่งรักทรงชีวิต นั่นคือชีวิตแบบพิศเพ่ง เป็นเปลวไฟแห่งรักที่ทรงชีวิต


การดำเนินชีวิตแบบพิศเพ่งคือการผจญภัยแห่งรัก การเข้าใจเกี่ยวกับความรักนั้นมีหลากหลาย เริ่มตั้งแต่เล็กน้อยไปถึงแง่สูงส่ง เราเลือกคำจำกัดความแห่งรักที่เหมาะกับเรามากที่สุด ความหมายที่สมบูรณ์แห่งรัก ไม่ว่าสำหรับชีวิตแบบพิศเพ่งหรือชีวิตอื่น มีจุดเริ่มต้นในพระเจ้าและจบลงที่พระองค์ “พระเจ้าทรงเป็นความรัก ผู้ใดดำรงอยู่ในความรัก ยิ่งดำรงอยู่ในพระเจ้าและพระเจ้าย่อมทรงดำรงอยู่ในเขา” (1ยน 4,16) ชีวิตของเราจึงเป็นการรับความรักและมอบความรักต่อไปให้ผู้อื่น เรารักพระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใดและรักทุกคนเพราะเห็นแก่พระเจ้า


ความรักในบริบทเช่นนี้ไม่สามารถจะแยกจากความศักดิ์สิทธิ์ได้ มีการอธิบายความหมายของความศักดิ์สิทธิ์ที่แตกต่างกันไป หลายคนคิดว่าความศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องโง่และน่าเบื่อ แต่พวกเขาคิดผิดถนัด ความศักดิ์สิทธิ์ทำให้เราระวังในการก้าวไปข้างหน้าแต่ละก้าวและชี้บอกให้เรารู้ว่าเมื่อไรควรจะก้าว ความศักดิ์สิทธิ์ต้องทวีขึ้นในตัวเราอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นมันจะตายไป


การเป็นคนศักดิ์สิทธิ์คือการที่มีความสำนึกถึงพระเจ้าและชีวิตหน้าอยู่เสมอ และทำทุกอย่างที่พระองค์ทรงประสงค์ให้เราทำ นี่ไม่หมายความว่าเราจะต้องมีใจจดจ่อเกี่ยวกับสวรรค์ตลอดเวลา แต่เป็นรูปแบบของการเป็นที่ได้รับการพัฒนาจากการเลือกของเรา เราเป็นคนแท้จริงเราไม่สัญญาหากไม่สามารถทำได้ เราเติบโตในความเป็นหนึ่งด้วยของเรา พระเจ้าไม่ได้ทรงสร้างเราให้เหมือนใคร เราเติบโตด้วยพระหรรษทานและฤทธิ์กุศล โดยเฉพาะความสุภาพ อารมณ์ และทุกอย่างที่สะท้อนบุคลิกแท้จริงของเรา


ความสุภาพคือความจริง อารมณ์ทำให้หัวใจสดชื่น และฤทธิ์กุศลต่างๆ ในตัวเราที่ทำให้บุคลิกของเราแตกต่างจากคนอื่น


ชีวิตศักดิ์สิทธิ์ที่มีพระคริสตเจ้าเป็นศูนย์กลางนั้นมีจุดเด่นอยู่ในความงดงามที่สงบแจ่มใสและความพึงพอใจในการประทับอยู่ของพระเจ้า ไม่อยู่แค่คำพูดหรือความปรารถนา แต่อยู่ในตัวอย่างและการกระทำ การตัดสินใจและการกระทำของชีวิตในอดีตและปัจจุบันเป็นตัวกำหนดแนวทางแห่งอนาคตของเรา


ความศักดิ์สิทธิ์คือพลังขับเคลื่อนให้เข้าใกล้พระเจ้ายิ่งขึ้น


กระนั้นก็ดี เส้นทางแห่งความศักดิ์สิทธิ์นี้เรียกร้องให้เรามีวินัย เราจริงจังกับการรักพระเจ้าและผู้อื่น ซึ่งส่งผลให้การภาวนาและการนำคำภาวนาไปประยุกต์ใช้ทำให้เราอยู่ห่างจากกระแสสังคมที่ผิวเผินและเน้นแต่ประโยชน์ กระนั้นก็ดีแม้เราจะห่างออกมา แต่เราต้องคอยระแวดระวังสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในบริบทสังคม ซึ่งจะทำให้เราสามารถแยกแยะทฤษฏีที่ผิดเพี้ยนของยุคใหม่และจิตวิทยาที่เน้นแค่ความรู้สึกดีๆ เท่านั้น ความรักอันแท้จริงต้องดลบันดาลการเคลื่อนไหวของชีวิตในระดับที่ลึกซึ้ง เราให้ความจริงใจที่จริงจังแก่พระเจ้าผู้ทรงเป็นความรักที่ทรงเคลื่อนไหวอย่างเงียบๆ ในตัวเราและในคนที่อยู่รอบข้างเรา แม้พวกเขาจะไม่รู้ตัวก็ตาม


การพิศเพ่งจึงเป็นรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ส่งผลกระทบในตัวเราและในทุกสิ่งที่เราทำ ทำให้เราพยายามมากขึ้น พยายามที่จะทำให้ความรักของพระเยซูเจ้าเป็นสิ่งที่เห็นและสัมผัสได้ในชีวิตประจำวันของเรา การดำเนินชีวิตแห่งความรักของพระเยซูเจ้าในภาคปฏิบัติและเป็นรูปธรรมนั้นเป็นสิ่งท้าทายมากกว่าการพูดถึงความรักนี้ในเชิงข้อมูลและอุดมการณ์


เราพยายามหลีกเลี่ยงที่พูดว่าเรารักมากแค่ไหน โลกพูดกันมากถึงความรัก แต่ความรักที่เติบโตขึ้นมาอย่างเงียบๆ ในดวงใจและแสดงออกมาภายนอกในการกระทำนั้นคือความรักที่แท้จริง ความรักอยู่เหนือไปจากกาลเวลา สถานที่ และคำจำกัดความที่เราให้ รักเริ่มต้นในดวงพระทัยพระเจ้าและอาศัยอยู่ในดวงใจของเรา การเติบโตในความรักเป็นเรื่องที่ต้องทำทั้งชีวิตการเรียกร้องให้เติบโตในความรักเคาะประตูชีวิตที่เราพึงพอใจของเรา คอยขัดจังหวะความสะดวกสบายของเรา และก่อให้เกิดความรู้สึกยังไม่พอใจและการอยู่ไม่เป็นสุขเหมือนกับจะคอยเขย่าเราแรงๆ แล้วเราก็จะเห็นว่ามีหลายอย่างในชีวิตที่สำคัญมากกว่าการลงทุน ความสำเร็จในอาชีพ และความสะดวกสบายฝ่ายวัตถุ การหาทางที่จะแสดงออกซึ่งความรักของพระเจ้าจะเป็นแรงบันดาลใจเราให้ก้าวต่อไป เมื่อเราก้าวไปข้างหน้าเราก็จะค้นพบเกี่ยวกับตัวเราซึ่งนำไปสู่ “บางสิ่งบางอย่างมากกว่านั้น” ซึ่งอธิบายไม่ได้ เข้าใจไม่ได้ แต่ก็น่าดึงดูใจเป็นที่สุด


การดำเนินชีวิตแบบพิศเพ่งจึงไม่ใช่การหลบหนี การถอย การปฏิเสธ หรือเป็นความฝันเชิงเหนือธรรมชาติ เมื่อเรามองไปเรื่อยๆ ตัวเราก็จะเห็นว่ามีหลายคนที่ดำเนินชีวิตอย่างผิวเผิน เราจึงอยากจะเข้าถึงแก่นของชีวิตและเทียบกับชีวิตของพระเยซูเจ้า คำภาวนาของเราก็จะนำไปสู่การช่วยเหลือผู้อื่น ความเป็นหนึ่งสัมพันธ์กับพระเจ้านำเราไปสู่ความสนิทสัมพันธ์กับผู้อื่น คำภาวนาของเราจะเป็นดังสายน้ำที่ไหลเข้าไปในดวงพระทัยของพระเยซูเจ้าผู้ทรงดับความกระหายของมนุษยชาติด้วยความรักของเรา

เส้นทางชีวิต


พระหรรษทานทำให้ชีวิตของเราเป็นระเบียบและทำให้เรามีภาพที่ถูกต้องของพระเจ้า เราไม่อาจจะดำเนินชีวิตโดยปราศจากพระหรรษทานได้ คำจำกัดความง่ายๆ ของพระหรรษทานคือชีวิตและความรักของพระเจ้าในตัวเรา ชีวิตและความรักของพระองค์เรียกร้องให้เรามีการร่วมมือ และการกระทำเพื่อให้พระหรรษทานเกิดผล พระหรรษทานแสดงออกมาในบุคลิกของเราและผลักดันเราให้กล้าที่จะรัก พร้อมที่จะเสี่ยงและไม่กลัวที่เป็นคนโง่


พระหรรษทานทำให้เท้าของเราติดดิน ช่วยให้เรารู้ถึงความโน้มเอียงไม่ดีในตัวเราและคอยปราบมันให้อยู่หมัด ในเวลาเดียวกันก็ช่วยเราในการตัดสินให้ถูกต้องตามหลักศีลธรรมทำให้เราไม่มองว่าเราเลอเลิศกว่าคนอื่นๆ หรือมีชีวิตจิตที่สูงส่งกว่า ตรงข้าม เราจะรู้ถึงความอ่อนแอ ข้อบกพร่องและบาปของเรา เราขึ้นกับพระเจ้าในทุกอย่างและพระหรรษทานของพระองค์ช่วยโอบอุ้มเราผ่านช่วงเวลายุ่งยาก ไม่สมหวัง และน่ากลัว พลังแห่งพระหรรษทานค้ำจุนเราในรูปแบบที่เราไม่สามารถจะบรรยายได้ แม้จะเป็นพลังเงียบๆ ภายใน แต่พระหรรษทานก็ช่วยให้เรารับรู้การเปลี่ยนแปลงของความรู้สึกและช่วยทำให้จิตใจเราระวังระไวต่อสิ่งภายนอกของชีวิต พลังแห่งความรักของพระเจ้าช่วยทำให้ภาระของเราเบาลงและเสริมความตั้งใจของเราให้แข็งแกร่งตลอดวัน


การตอบสนองพระหรรษทานของพระเจ้านั้นวัดได้จากการที่เรายอมให้พระเจ้าทรงนำเรามากน้อยแค่ไหน ผลที่เกิดจากพระหรรษทานมีมากมาย เราต้องมีสายตาฝ่ายจิตเพื่อจะสามารถเห็นรูปแบบต่างๆ ของพระหรรษทาน ถ้าเรายังไม่เห็นก็อย่าเพิ่งท้อแท้ ทุกอย่างกลับเป็นพระหรรษทานเมื่อเราตอบรับความรักของพระเจ้าในทุกกรณีของชีวิตเรา เดี๋ยวนี้เราอาจจะยังไม่เห็น แต่เมื่อมองย้อนหลังกลับไปเราก็จะเห็นได้อย่างชัดเจน

เราเปิดตัวเรารับพระหรรษทานด้วยการดำเนินชีวิตศาสนา ในศีลศักดิ์สิทธิ์และในสิ่งคล้ายศีล ในการสรรเสริญและกราบไหว้นมัสการ ในพิธีกรรมและจารีต ในการภาวนาและทำงาน เรารับพระหรรษทานผ่านทางการดำเนินชีวิตแบบพิศเพ่ง


พระหรรษทานของพระเจ้าช่วยเราให้เลือกความดีและละทิ้งความชั่ว เลือกคนอื่นมากกว่าตัวเรา และเลือกสิ่งที่ถาวรมากกว่าสิ่งชั่วคราว


พระหรรษทานไม่อยู่ที่ความรู้สึกและอารมณ์ที่เป็นสุขซึ่งได้มาจากการภาวนาและการทำความดี เราอาจจะรู้สึกเป็นสุขทุกครั้งที่เราได้ออกแรงทำความดีและหลีกหนีความชั่วเสมอไป กระนั้นก็ดี เราต้องจำไว้ว่า ทุกครั้งที่เราสวดหรือทำงานด้วยเจตนาซื่อตรง เราเป็นประจักษ์พยานของวิสัยทัศน์คริสตังและความหมายของชีวิต ทุกครั้งที่เราแสดงให้เห็นความรักของพระเจ้าในตัวเรา เราก็สะท้อนพระฉายาของพระเจ้าให้แก่มนุษยชาติ


ความรักอาจจะเรียกร้องให้เราสละความดีน้อยกว่าเพื่อทำความดีที่มากกว่า สิ่งที่มีค่าในชีวิตเราไม่อยู่ใน “อะไร” ที่เรามี แต่ใน “ใคร” ที่เรามี ทุกส่วนในตัวเราจึงได้รับพลังจากการที่เราตอบรับการเรียกร้องแห่งความรัก เราร่วมส่วนในชีวิตของพระเจ้าผ่านทางการตอบรับความจริงต่างๆ แห่งความเชื่อของเรา เส้นทางแห่งรักนั้นน่ากลัว ความรักหลอกล่อ ทำให้หวาดกลัว ดึงดูด และตีห่าง ความรักเสริมความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า ความรักมีอิทธิพลเหนือการกระทำของเรา ความรักต่อเนื่องไปหลังความตาย ความรักจึงเป็นพลังขับเคลื่อนเราให้เข้าหาพระเจ้า การเดินทางไปสู่ระดับลึกซึ้งที่สุดของชีวิตนำเราไปสู่วุฒิภาวะที่เต็มเปี่ยมด้วยการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า


เส้นทางที่น้อยคนเดิน


การดำเนินชีวิตแบบพิศเพ่งเป็นการดำเนินชีวิตไม่ธรรมดา เมื่อเราต้องเลือก เรามักจะถูกชี้นำให้เลือกสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมดา เรามักจะเลือกน้อยมากกว่าเลือกมาก เลือกความเงียบและความสันโดดมากกว่าเสียงและกลุ่มคน เลือกมัธยัสถ์มากกว่าต้องการหมด เลือกความซื่อๆ มากกว่าความซับซ้อน เลือกความกลมกลืนมากกว่าความรีบเร่ง เลือกความเมตตามากกว่าความยุติธรรม เลือกความว่างเปล่ามากกว่าความพึงพอใจในตนเอง เลือกความศักดิ์สิทธิ์มากกว่าความสันติ เลือกพระปรีชาญาณของพระเจ้ามากกว่าความรู้ด้านเทววิทยา เลือกการยากจะหยั่งถึงของพระธรรมล้ำลึกมากกว่าการมุ่งจะทำอะไรให้ทะลุเป้าเลือกการฟังพระเจ้ามากกว่าการพูดเกี่ยวกับพระองค์


การเลือกนี้ทำให้เราอยู่นอกสายธารหลักแห่งชีวิต คนอื่นอาจจะมองว่าเราเป็นแค่เป็ดน้อยในลำธารเล็กๆ และห่างไกล เราไม่ท้อถอยแต่ว่ายต่อไปข้างหน้า น้ำของพระธรรมล้ำลึกของพระเจ้าที่เต็มด้วยความรัก ไหลริน และช่วยชะล้างจะนำเราไปสู่ที่เราไม่รู้จัก การภาวนาแบบพิศเพ่งที่หลากหลายในรูปแบบเป็นของขวัญแห่งรักของพระเจ้าสำหรับเรา เราไม่รู้ว่ามีอะไรบ้างในของขวัญนี้ แต่ในขณะที่เราเปิดดวงใจรับพระองค์เราไม่รู้สึกกลัวแต่อย่างใด


การเติบโตในความรักไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่โตให้เห็นได้ บ่อยครั้งจะเป็นแค่การพัฒนาพฤติกรรมของเราในบริบทของการดำเนินชีวิตและทำงาน ส่วนมากมักจะเกิดขึ้นในการเลือกเล็กๆ น้อยๆ และไม่สลักสำคัญที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ยิ่งเราเติบโตในความรักเราก็ยิ่งเปลี่ยนท่าที ความคิด คำพูด และการกระทำของเราให้เป็นไปในเชิงบวกมากขึ้น โดยทางการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เองเราก็เข้าใกล้พระเจ้ายิ่งขึ้นในตัวเราและมีความเมตตาสงสารคนอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เราร่วมชีวิตและร่วมงานด้วย เราอาจจะถามตัวเราว่า วันนี้ฉันจะรักใครมากขึ้นบ้าง? และฉันจะแสดงให้เห็นได้อย่างไร? การเติบโตในความรักเป็นเส้นทางที่เราผ่านจากพื้นที่ที่รู้จักและมีขอบเขตไปสู่พื้นที่ไม่รู้จักและไร้ขอบเขต การเดินทางที่ขึ้นอยู่กับพระธรรมล้ำลึกแห่งพระหรรษทานและความพยายามของเราการเดินทางไม่ใช่จะง่ายเสมอไป แต่เราได้รับกำลังใจจากความเชื่อและความหวัง


เราเรียนรู้เกี่ยวกับความรักของพระเจ้าในหลายวิธีการ วิธีการหนึ่งคือโดยทางความคิดของเราเกี่ยวกับพระองค์ ถ้าความคิดของเราเกี่ยวกับพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลงเลย การเดินทางก็หยุดชะงัก เพราะความคิดที่ตายตัวมักจะมีไว้เพื่อความปลอดภัยและความพึงพอใจของเราเอง สำหรับพระเจ้าแล้วไม่มีขอบเขต แต่สติปัญญาของเรามีขีดจำกัด ในขณะที่เราติดตามการเรียกร้องของความรัก ภาพลักษณ์ของพระเจ้าและความรักของพระองค์จะเปลี่ยนไป จะเติบโตขึ้น แล้วก็หายไป พระเจ้าที่เรารู้ผ่านทางความรู้และการหยั่งถึงจะเปลี่ยนไปเป็นพระเจ้าที่อยู่เลยสติปัญญาและจินตนาการของเราไป เราจะรู้จักพระองค์ก็ด้วยความเชื่อแบบตาบอด เนื่องจากเราเป็นของพระเจ้า เราจึงไม่สามารถบรรยายหรือให้คำจำกัดความพระองค์ได้ เมื่อเราสำนึกในความจริงนี้ ความรักก็จะเปิดหัวใจเราไปสู่ความจริงของพระเจ้า พระองค์จะทรงนำเราผ่านของเขตของกาลเวลาไปสู่การเผยแสดงนิรันดรของพระองค์ เราจึงต้องอยู่นิ่งๆ และลิ้มรสพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น

การดำเนินชีวิตแบบพิศเพ่งคือการดำเนินชีวิตปัจจุบันโดยไม่ตัดสินเกี่ยวกับอนาคต มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ชาวบ้านให้ความเคารพและไว้วางใจ พวกเขามักจะไปหาเพื่อฟังปรีชาญาณของท่าน มีชาวนาคนหนึ่งมาหาและพูดว่า “ท่านผู้ปรีชา ผมต้องการความช่วยเหลือจากท่าน มีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น คือ ม้าแก่ของผมตายไป ผมเลยไม่มีม้าเพื่อไถนา นี่คือสิ่งเลวร้ายที่สุดที่เกิดกับผมใช่ไหม?” ผู้อาวุโสพูด “อาจจะใช่ อาจจะไม่ใช่” เพราะถ้าชาวนามองว่าการที่ม้าแก่ตายเป็นโอกาสให้เขาได้ม้าที่อายุน้อยกว่ามาใช้งาน ชาวนาก็น่าจะเห็นว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้น ผู้อาวุโสจึงบอกว่า “อาจจะใช่ อาจจะไม่ใช่” ต่อมาม้าตัวใหม่ที่เต็มด้วยชีวิตชีวาพยศและทำให้ลูกชายของชาวนาตกลงมาขาหัก ในสถานการณ์ย่ำแย่นี้ผู้อาวุโสก็พูดอีกว่า “อาจจะใช่ อาจจะไม่ใช่” วันรุ่งขึ้นมีทหารจำนวนหนึ่งผ่านมาเพื่อเกณฑ์ชายหนุ่มทุกคนให้เป็นทหาร แต่ได้ยกเว้นลูกชายของชาวนาเพราะบาดเจ็บอยู่ ยังความโล่งอกให้แก่ทั้งพ่อและลูก


เรื่องทำนองนี้สามารถนำไปเล่าอย่างไม่รู้จบ ทว่าบทสอนนั้นเหมือนกัน ความกังวลและความหวังในอนาคตอาจจะเป็นจริงและอาจจะไม่เป็นจริงได้เสมอ เราอาจจะคิดแย่ไว้ก่อนหรือคิดดีไว้ก่อนและต้องสูญเสียพลังไปมาก ดังนั้น การไว้วางใจในพระเจ้าสำหรับความต้องการวันนี้และปล่อยวันพรุ่งนี้ไว้ในพระหัตถ์พระเจ้าจึงเป็นการแสดงออกของความเชื่อที่แท้จริง


การดำเนินชีวิตวันนี้อย่างที่มันเป็นและปล่อยวันพรุ่งนี้ไว้ในการดูแลของพระเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของปรีชาญาณ


เวลานี้เราพักอยู่ในพระเจ้า กระนั้นก็ดี นี่ควรเป็นข้อแก้ตัวของการผลัดวันประกันพรุ่ง หรือหลีกเลี่ยงทำสิ่งที่ต้องทำ การดำเนินชีวิตแบบพิศเพ่งไม่ยอมให้มีข้อแก้ตัวหรือการผลัดวันประกันพรุ่งเด็ดขาด การดำเนินชีวิตแบบนี้เรียกร้องให้เรามีความรับผิดชอบต่อท่าที อารมณ์ ความล้มเหลว อคติ พฤติกรรมและหน้าที่ของเรา เราต้องรับผิดชอบโดยไม่ต้องคำนึงว่าเรารู้สึกอย่างไร การรู้จักใช้เวลาอย่างมีประโยชน์และความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของเราเป็นเครื่องหมายที่เห็นได้ของความรักของเราต่อพระเจ้า


เราไม่ต้องการอนาคตจนกว่ามันจะเป็นปัจจุบัน และเราสามารถพบพระเจ้าในมันได้


การดำเนินชีวิตด้วยความรักแบบพิศเพ่งคือการสำนึกว่าเวลาแต่ละนาทีเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราอยู่นี่และเดี๋ยวนี้เป็นเวลาแห่งการแสดงความเคารพนับถือต่อทุกชีวิต ความสำนึกลึกซึ้งในการประทับอยู่ของพระเจ้าในโลกนี้กลับเป็นรูปธรรมในความพร้อมที่จะรักและรับใช้ทุกคนที่เราพบปะด้วยความรับผิดชอบและในความอ่อนไหวต่อความต้องการและความหวังของทุกคน

ความปรารถนาสูงสุดของเราคือการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ไม่ว่าเราจะสังเกตหรือไม่ พระเจ้าก็ทรงทำงานในตัวเราในฐานะที่เป็นผู้จาริกในโลกนี้เราพยายามจะดำเนินชีวิตแต่ละวันด้วยการรู้จักควบคุมตนเองและอย่างมีศักดิ์ศรีอันเป็นลักษณะจำเพาะแห่งศิษย์ของพระเยซูเจ้า คำภาวนาที่ลึกซึ้งและอุดมการณ์สูงส่งของเราอยู่ที่โลกหน้า


การได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นพระคริสตเจ้าทำให้แต่ละวันเป็นประกายด้วยความงดงาม

และศักดิ์ศรี ในเวลาเดียวกันก็จะทำให้เราเห็นพระเจ้าในทุกสิ่ง เห็นความงดงามและความดีของพระองค์อยู่ทุกแห่งหน พระเจ้าทรงเป็นความจริงความสว่างและแรงบันดาลใจของเรา พระองค์ทรงเป็นแหล่งที่มาแห่งสันติ ความหวังและความยินดีที่ไม่สิ้นสุดของเรา .


* Carolyn Humphreys