ปากท้อง


ปากท้อง

สาน ความ คิด


HOME SWEET HOME?


ปี 2537 เป็นปีครอบครัวสากล ทั้งระดับโลกและระดับชาติ

องค์กรต่างๆ ให้ความสนใจ และเริ่มงานกันในทุกะดับ

ระดับอย่างผม คงทำได้ไม่มาก ก็แค่ทบทวนศัพท์อังกฤษบางคำกับท่านผู้อ่าน

ภาษาอังกฤษมันไปเกี่ยวอะไรกับปีครอบครัวสากล?” ผู้อ่านคงจะรีบแย้ง ผมก็คงจะชี้แจงได้ว่ามันเกี่ยว ไม่มากก็น้อย


สภาพความเป็นอยู่และค่าครองชีพทุกวันนี้ ทำให้ผู้คนต้องดิ้นรน แบบปากกัดตีนถีบ

ในเมื่อเวลามีอยู่ของมันเท่าเดิม วันหนึ่งยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่สิ่งที่เรียกร้องเวลาและความสนใจในแต่ละวันนั้น มันมากเกินกว่าที่จะให้เวลาแก่ทุกอย่างได้หมด จึงต้องให้เวลาบางอย่างมาก อีกบางอย่างน้อย และอีกบางอย่างไม่ให้เลย

เมื่อต้องให้เวลาแก่การงานอาชีพมาก เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น หรือเพื่อชักหน้าให้ถึงหลัง เวลาที่จะให้แก่ครอบครัว แก่ลูก ก็น้อยลง หรือไม่มีให้เลย

จนลืมไปว่า สิ่งที่ดีที่สุดที่พ่อแม่ให้แก่ลูกคือเวลา

พ่อแม่บางคนมีเวลาออกงานสังคมสงเคราะห์ ไปป้อนข้าวป้อนน้ำ ไปแจกสิ่งของเครื่องใช้ให้เด็กกำพร้า ให้ปรากฏเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ ในจอโทรทัศน์ แต่ไม่มีเวลาให้ลูกที่บ้าน

สงเคราะห์เด็กกำพร้า แต่กลับเพิ่มเด็กกำพร้าไว้ที่บ้านคนสองคน

เด็กที่พ่อแม่ไม่มีเวลาให้ ถือได้เลยว่าเป็นเด็กกำพร้า โดยพฤตินัย


Home คือที่พักอาศัยของบุคคลที่มีความสัมพันธ์แห่งความรัก อย่างที่มีเขียนว่า “Home is where the heart is

แต่ถ้าคนที่อาศัยอยู่ไม่มีเวลาให้กัน และเมื่อไม่มีเวลาให้ก็ไม่มีความรัก ความอบอุ่น ความใกล้ชิด... Home ก็คงจะเหลือแค่ House

House คือที่พักอาศัย เช้าต่างคนต่างตื่นและรีบเร่งออกจากบ้านคนละทิศละทาง ค่ำ ดึก หรือเช้าตรู่ก็ซมซานกลับมาซุกหัวนอน จะพบจะคุยกันบ้างก็ช่วงวันหยุด... House ก็ลงเอยไม่ต่างอะไรกับ Hotel จะต่างก็ตรงที่ไม่ต้องจ่ายค่าที่พักและค่าอาหาร

Hotel คือที่พัก ที่คนเข้าพักได้โดยไม่ต้องรู้จักมักจี่กัน ต่างคนต่างมาพัก ออกไปธุระ กินอยู่ จะเข้าจะออก จะอยู่จะไปก็ไม่ต้องบอกลาใคร

เมื่อ home กลายเป็น house แล้วเป็น hotel ก็อาจจะต้องลงเอยเป็น hell ในที่สุด

เพราะ Hell คือ ที่ที่มีทุกอย่าง เว้นแต่ความรัก


ตอนนี้ผู้อ่านคงเข้าใจและคงเห็นด้วยกับผมแล้วว่า ปีครอบครัวสากล น่าจะเป็นปีแห่งการทบทวนความหมายของศัพท์อังกฤษบางคำ โดยเฉพาะคำที่ขึ้นต้นด้วยตัว H เหล่านี้ เพราะบางครอบครัวมีความสับสนและใช้ปนเปกันจนแยกไม่ออก

และน่าจะพยายามช่วยกันให้เหลือเพียงคำเดียวคือ Home เพื่อจะได้เป็น Home Sweet Home ซึ่งจะนำไปสู่คำที่ขึ้นต้นด้วย H อีกคำหนึ่ง คือ Heaven*






















ฝันที่เกินจริง

ผมเป็นคนชอบการ์ตูนมาแต่ไหนแต่ไร จนใครหลายคนทายทักว่า โตป่านนี้แล้วยังชอบการ์ตูน บางคนมองผมด้วยสายตาฉงนระคนสงสัย อีกบางคนไม่ยอมเชื่อ จนต้องถามซ้ำแล้วซ้ำอีก

ก็ผมชอบของผมนี่นา แต่ใช่ว่าจะชอบแบบพร่ำเพรื่อ

อย่างการ์ตูนวันอาทิตย์ของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ วันที่ 9 มกราคม ที่ผ่านมาเป็นต้น

Andy Capp กำลังยืนมองรถเก๋งคันหนึ่งที่ผ่านไปถอนหายใจยาว แล้วพูดเปรยขึ้นมาด้วยความอิจฉาว่า “เจ้าของไม่มีอะไรต้องกังวลเลยนะ มีรถหรูขับมีเงินเต็มกระเป๋า แถมเป็นอิสระจะไปไหนมาไหนได้ดังนก...”

ภรรยาก็โต้ว่า “คุณน่าจะตัดสินใจให้มันเด็ดขาดสักที ก็วันก่อนคุณยืนยันว่า คุณไม่ชอบเป็นโสดนี่น่า...”

ใช่” เขาพูด “ฉันไม่ยอมเป็นโสดแน่ เพียงแต่...อยากดำเนินชีวิตเหมือนคนโสดต่างหาก

การ์ตูนประเภทนี้ต่างหากที่ผมชอบ เพราะมันสะท้อนแง่มองชีวิตได้แยบคาย และประทุความคิดอ่าน


ปัญหาหลายอย่างที่สังคมทุกวันนี้กำลังเผชิญอยู่เกิดจากคำพูดของ Andy Capp นี่แหละ

คนที่แต่งงาน มีพันธะและความรับผิดชอบแล้ว แต่ยังอยากจะมีชีวิตเหมือนคนโสด...เที่ยวทอดสะพานให้คนนั้นที คนโน้นทีพร้อมบ่งบอกเป็นนัยว่า ยังอิสระ ไม่มีห่วงแขวนคอ

บ้านเล็กบ้านน้อยก็ตามมา จนแบ่งเวลาให้ไม่ถูก พอเรื่องแดงขึ้นมา ถ้าไม่บ้านแตกสาแหรกขาด ก็ต้องมีคนทำใจด้วยความขมขื่นและฟกซ้ำ

บางคนยังไม่แต่งงาน แต่ก็อยากจะดำเนินชีวิตร่วมโรงร่วมหอเหมือนแต่งกันแล้ว...เอาแต่สนุกกับรสเพศ โดยไม่อยากรับผิดชอบพอเกิดความผิดพลาด ก็ร่วมกันขจัดความรับผิดชอบไปอย่างไม่คิดเสียดาย หรือเห็นคุณค่าชีวิตน้อยๆ

บางคนยังเรียนไม่จบ แต่ก็อยากจะทำตัวเหมือนกับว่าจบการศึกษาแล้ว...บ้างเลิกเรียนแล้วก็ควงกันไปเที่ยวห้าง ดูหนัง บ้างก็ควรกันเที่ยวเตร่แทนไปเรียน บ้างทำตัวสั่นเส้นจนคนที่แต่งงานมีเหย้ามีเรือนเห็นแล้วยังต้องเบือนหน้าหนีด้วยความละอายแทน

บางคนฐานะยากจน แต่ก็อยากมีชีวิตแบบคนมั่งมี...ทำเงินได้เท่าไรก็เอามาทุ่มใช้ทุ่มจ่ายแบ่งรัศมี จนชักหน้าไม่ถึงหลังก็ยังไม่ยอมเข็ด พอเงินขาดมือก็ต้องรีบกู้รีบยืมกลัวจะเสียภาพพจน์ถึงวันเงินเดือนเงินค่าแรงออกก็รับเงินมือขวาส่งต่อให้เจ้าหนี้ด้วยมือซ้าย บ้างก็อยากมีเงินใช้คล่องก็เที่ยวปล้นเที่ยวจี้ ลักเล็กขโมยน้อย บ้างอยากได้เงินง่ายๆ ก็พร้อมจะขายจะแลก แม้กระทั่งเนื้อตัวอย่างไม่คิดละอายใจ

บางคนขี้ริ้วขี้เหร่ แต่อยากจะมีชีวิตแบบคนหล่อคนงาม...มีเงินหน่อยก็มาทุ่มให้กับเรื่องเสริมสวย ราวกับว่าความสวยความงามซื้อหากันได้ด้วยเงินทอง เที่ยวเข้าคลินิกนี้ออกคลินิกนั้น เพื่อเสริม เพื่อต่อ เพื่อตัด เพื่อแต่ง จนแทบจะไม่เหลือชิ้นส่วนเดิมไว้ให้จดจำ ลูกหลานจะมีจะกินอย่างไร ไม่เหลียวแล

และอื่นๆ อีกมาก มากเท่าๆ กับปัญหาที่ต้องเผชิญกันอยู่นี่แหละ

คราวนี้คงเห็นแล้วสิ ว่าทำไมผมถึงชอบการ์ตูนนัก

























ความจำเป็น

ทุกวันนี้ คนเราพยายามมีมากกว่าจำเป็น

ก่อนนี้ สิ่งจำเป็น ต้องมี ส่วน สิ่งฟุ่มเฟือย จะมีก็ได้ ไม่มีก็ได้

ความเอื้ออารี การแบ่งปัน การทำบุญทำทาน จึงกระทำกันได้ง่าย เพราะสิ่งเกินมีเกินใช้ ก็เผื่อแผ่ให้แก่คนที่ไม่มีกินไม่มีใช้ ด้วยน้ำใจ

แต่เดี๋ยวนี้ สิ่งฟุ่มเฟือย เป็นสิ่ง ต้องมี ไม่มีไม่ได้


ความจำเป็น ไม่ได้ขึ้นอยู่ ควรมี หรือ ไม่ควรมี เพื่อการดำเนินชีวิตแต่ละวัน

แต่ขึ้นอยู่กับการกำหนดของค่านิยม ของวงการแฟชั่น ของคู่แข่ง

แม้คุณจะมีสิ่งเดียวกันนี้แล้ว แต่ต้องมีใหม่และมีเพิ่ม เพราะใครๆ เขาก็มีกันแล้วทั้งนั้น

ร้านอาหารเปิดใหม่ จะต้องไปลิ้มไปชิมให้ได้ เพื่อคุยกับใครต่อใครได้ว่า กินมาแล้ว

แม้คุณจะมีเสื้อผ้าเกินใช้แล้ว แต่ต้องมีชุดนี้ให้ได้ เพราะกำลังนิยมกัน ไม่มีใช้ไม่มีใส่จะทำให้เชย ล้าสมัย

แม้คุณจะมีครบทุกอย่างแล้ว แต่เพื่อนๆ เขามีบางอย่างที่คุณไม่มี ก็ต้องรีบซื้อหามาให้ได้ ก่อนที่ต้องน้อยหน้ากว่าเขา

ในเมื่อต้องมีมากกว่าความจำเป็น เงินทองก็ต้องหามาให้มากขึ้น

งานเดียวไม่พอ ต้องมีงานเสริม

ทำงานตามเวลายังไม่พอ ต้องทำเกินเวลา

เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว น่าจะได้พักผ่อน มีเวลาให้กับตนเอง กับครอบครัว ก็ต้องเจียดเวลาเพื่อหารายได้พิเศษ

ในเมื่อ สิ่งเกินความจำเป็น เรียกร้องและกินเวลาจนเกือบหมด สิ่งที่จำเป็น ก็มีอันต้องรับผลกระทบกระเทือนไปด้วย

สิ่งจำเป็น ที่ควรได้รับการรักษาและหวงแหน มาถูกแทนด้วย สิ่งเกินความจำเป็น ลำดับคุณค่าในชีวิตจึงมีอันต้องสับสน วุ่นวาย

ความสุขใจ ถูกแทนด้วย ความสุขกาย

ความรัก ถูกแทนด้วย วัตถุ

ชีวิตแต่งงาน ถูกแทนด้วย ชีวิตแต่งกับงาน

ความลึกซึ้ง ถูกแทนด้วย ความผิวเผิน

ความดี ถูกแทนด้วย ไหวพริบและการโฉบฉวยโอกาสประเภทมือไวสาวได้สาวเอา


มิตรภาพ ถูกแทนด้วย การแข่งขัน ใครดีใครอยู่

ศักดิ์ศรี ถูกแทนด้วย การมีมากกว่าการเป็น...

กี่ครั้งที่คุณคิดจะเข้าห้างสรรพสินค้า เพื่อจะหลบร้อนผึ่งแอร์

แต่พอออกมา ต้องซื้อของติดไม้ติดมือ ทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดจะซื้อหา

คุรอยากรู้ว่าชีวิตของคุณพอใจในสิ่งที่จำเป็น หรือ สิ่งเกินความจำเป็น ก็ลองอ่านใจคุณดูหลังจากเดินออกมาจากห้างสรรพสินค้าแล้ว

ถ้าใจอุทานว่า “โอ้โฮ มีของอีกเยอะแยะที่ฉันไม่ต้องมี ก็ยังดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุขได้

นั่นบ่งบอกว่า คุณเป็นคนพอใจแค่สิ่งจำเป็น

ถ้าใจคุณบ่นด้วยความเสียดาย “แหม ถ้ามีเงินจะซื้อมันทั้งห้างเลย”

นั่นคงจะชี้ให้เห็นว่า ใจคุณอยากมีเกินความจำเป็นเสียแล้ว

และคุณก็รู้ ถ้าอยากจะมีเกินความจำเป็น อะไรจะตามมาบ้าง*



















ของฝากท้ายรถ


เขียนทีไร ต้องโยงไปถึงการขับรถทุกที

ทำไงได้ ก็ทุกวันนี้ เห็นแต่พูดเรื่องของรถที่

เพิ่มจำนวนขึ้นและช่องทางเดินรถที่แคบไปทุกวันพร้อมทั้งความพยายามที่จะหาทางทำอย่างไรจึงจะให้รถจำนวนมากลงไปวิ่งในเส้นทางแคบๆ ได้โดยไม่ต้องเฉี่ยวหรือชนกัน

เปิดหนังสือพิมพ์ก็มีแต่ข่าวโครงการแก้ปัญหาจราจร เปิดโทรทัศน์ก็เห็นออกมาเสนอแนวจัดโครงการเดินรถสาธารณะ ฟังวิทยุก็มีแต่การรายงานเส้นทางไหนควรจะเลี่ยงหากอยากจะไปให้ถึงบ้าน...

แล้วอย่างนี้จะไม่ให้คิดถึงเรื่องรถเรื่องถนนได้อย่างไร

ขับรถ นอกจากจะฟังวิทยุเป็นเพื่อนแล้ว ยังใช้สายตาอ่านโน่นอ่านนี่ไปเรื่อยเปื่อย โดยเฉพาะที่มีเขียนติดอยู่ท้ายรถคันข้างหน้า

มือใหม่หัดขับ...ลูกชายคนโปรด...รักแท้มีหนึ่งเดียว แต่โรเนียวได้หลายครั้ง...

ข้อความธรรมดาๆ เขียนติดไว้เพียงเพื่อมีอะไรติด แต่หลายครั้งก็เจอข้อความน่าอ่านน่าคิด ไม่น้อยครั้งก็เจอข้อความกินใจเลยตั้งใจอ่านและจดจำไว้เป็นอาหารสมอง

จนกลายเป็นนิสัย ขับรถไปตาก็หาอ่านอะไรที่เขียนท้ายรถคันหน้าไป

วันหนึ่ง ขับตามรถบรรทุก และเหลือบไปเห็นข้อความเขียนตัวเล็กๆ ไว้ที่กระบะท้าย จึงเร่งความเร็วให้ทันตามการเรียกร้องของความมักรู้มักเห็น

พอเข้าไปถึงระยะพอจะอ่านออกก็เห็นข้อความ “กูว่าแล้วมึงต้องอ่าน”


แม้จะต้องหน้าแตกและผิดหวังเป็นบางครั้งแต่ก็คุ้มค่ากับความพยายาม เพราะมีอะไรอ่าน มีอะไรคิด ดีกว่าจะต้องมากลุ้มกับรถติด อย่างประโยคติดท้ายรถคันหนึ่ง

สังคมเลว เพราะคนดีท้อแท้”

ตอนแรกที่อ่าน ก็คิดจะแก้ต่าง “สังคมเลวเพราะมีคนไม่ดีเยอะต่างหาก”

แต่คิดอีกที มันก็จริงอย่างที่เขียนไว้

คนชอบมองสังคมเป็นเรื่องของคนอื่นมากกว่าของตน

และหากตนไม่ได้ก่อความชั่ว สร้างความเลว ก็ถือว่าหมดหน้าที่แล้ว

พอเกิดความชั่วขึ้นก็โทษคนทำ พอเกิดความเลวก็โทษคนก่อความเลว แต่น่าอยู่เพราะมีความดีความงามต่างหาก

มองจากแง่นี้ คนดีน่าจะผนึกกำลังกันสร้างความดี จนคนชั่วรู้สึกนอกที่นอกทาง

เหมือนบ้านไหนสะอาดสะอ้านจะทิ้งอะไรให้เลอะเทอะแม้แต่น้อยนิด ก็ให้รู้สึกกระอักกระอ่วนจนทำไม่ลง

แต่บ้านไหนสกปรก จะเพิ่มความสกปรกขึ้นมาอีกนิดก็ไม่เห็นจะเป็นไร

ที่ไหนมีการพูดจาไพเราะ เรียบร้อย น่าฟัง จะพูดคำหยาบสักคำมันเป็นเรื่องน่ารังเกียจ ขยะแขยง

แต่ที่ไหนพูดจาสกปรก หยาบคาย ลามกจกเปรต จะพูดคำหยาบสักร้อยคำ ก็ไม่มีใครรู้สึก

ที่ไหนไม่มีการฉ้อราษฎร์บังหลวง การจะยักยอกสักสิบยี่สิบบาท ก็ให้รู้สึกระอายตนเอง

แต่ที่ไหนมีการฉ้อโกงกินดะตั้งแต่ถนนยันสะพานลอย อิฐหินดินทรายก็ไม่เว้น การจะทุจริตยกผลประโยชน์ของรัฐให้ตนเองสักสิบล้านยี่สิบล้านก็ไม่รู้สึก แถมยังพูดหน้าตาเฉยว่า เป็นเรื่องธรรมดา แบบเรื่องเด็กเส้นอย่างไรอย่างนั้น

ทุกวันนี้ สังคมปล่อยให้คนชั่วเป็นตัวลิขิตชะตากรรมให้ราวกับว่าสังคมจะน่าอยู่หรือไม่น่าอยู่ขึ้นอยู่กับคนชั่วจะเมตตา

หากคนชั่วไม่ทำชั่ว ก็ถือว่าเป็นบุญไป แต่หากคนชั่วก่อความเลวขึ้นมาก็ถือว่าเป็นกรรม

จนวันหนึ่งๆ คิดแต่จะให้รอดตัวมาได้อย่างเดียว...

ขับรถออกจากบ้าน หากไม่ถูกสิบล้อเมายาม้าขยี้ติดพวงมาลัยก็ดีแล้ว

ลูกสาวออกจากบ้าน กลับมาไม่ถูกข่มขืน หรือหลอกไปขายก็หายห่วงได้แล้ว

บ้านช่องไม่ถูกงัด ถูกเผา ก็นอนตาหลับแล้ว

ซื้อขายไม่ถูกเขาโกง ไม่ถูกเขาหลอก ก็ใช้ได้แล้ว

ขึ้นรถเมล์ไม่ถูกเขาลวนลาม หรือล้วงกระเป๋า หรือถูกเหวี่ยง

ลงไปวัดพื้นรถ เพราะคนขับเคยใฝ่ฝันอยากจะขับรถแข่ง ก็ถือว่าปลอดภัยแล้ว


คงจะถึงเวลาแล้ว ที่จริงมันน่าจะถึงเวลานานมาแล้ว ที่จะต้องบอกตัวเองว่า

สังคมน่าอยู่ได้ ขึ้นอยู่กับคนดีที่ช่วยกันลิขิต










สื่อสาร VS สื่อสัมพันธ์

วันประวัติศาสตร์สำหรับประเทศไทยที่ควรจารึกไว้อีกวันหนึ่งคือ วันที่ 18 ธันวาคม 2536...วันที่ “ไทยคม” ถูกส่งขึ้นไปโคจรบนฟากฟ้า

โลกซึ่งดูจะเล็กลงไปเพราะความก้าวหน้าด้านการสื่อสาร เล็กลงไปอีกถนัด

ประเทศไทยที่กว้างใหญ่ ถูกย่อให้เล็กลง โดยมี “ไทยคม” เป็นศูนย์รวมของการสื่อสารในรูปแบบต่างๆ เพื่อประโยชน์ของการติดต่อ ธุรกิจ การเมือง การทหาร ข่าวคราว การบันเทิง การศึกษา...

และนี่คือ ความก้าวหน้าของสื่อสารมวลชน ที่ดูจะก้าวใหญ่ๆ ไปข้างหน้าทีละก้าว ด้วยอัตราความเร็วยิ่งวันยิ่งมากขึ้น จนฉุดรั้งไว้อย่างไรก็ไม่อยู่

ความก้าวหน้าด้านการสื่อสารมวลชน ทำให้การติดต่อและการรู้ข่าวคราวความเป็นไปในส่วนต่างๆ ของโลกทันท่วงที

จนแทบจะให้รู้สึกว่าอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ ด้วยตนเอง ทั้งๆ ที่อยุ่กันคนฟากโลก

โลกจึงกลายเป็นหมู่บ้านใหญ่...ดังเช่นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีอะไร ทุกคนรับรู้หมด

คนที่อยู่ไกลกันก็ให้รู้สึกเหมือนอยู่ใกล้

ระยะทางที่ห่างไกลกันลิบลับ ก็ให้รู้สึกอยู่แค่มือเอื้อม

แต่แม้ความก้าวหน้าด้านการสื่อสารจะช่วยให้คนรู้สึกใกล้ชิดกัน ก็ใช่ว่าจะทำให้จิตใจใกล้

ชิดกันขึ้นเสมอไปก็เปล่า

สื่อสาร ก็คือสื่อข่าวคราวความเป็นไป แต่ไม่ได้สื่อสัมพันธ์ก็บ่อยไป

เพราะสารสื่อสารหยุดอยู่แค่ระดับสมอง ส่วนสื่อสัมพันธ์ลงไปสู่ใจ ใจสื่อใจ

จึงไม่แปลก ที่คนทุกวันนี้ใกล้ชิดกันแค่กาย แต่ใจอยู่ห่างไกลกันลิบลับก็มีถมไป

ความเหงา ความโดดเดี่ยว ความว้าเหว่ มันเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่เพราะกายห่างไกลกัน แต่ใจห่าง

ไกลทั้งที่ใจอยู่ชิดใกล้

ดีไม่ดี ตัวสื่อสารนี่เองที่เป็นต้นเหตุให้การสื่อสัมพันธ์ต้องขาดสิ้นไป โดยไม่รู้ตัว

ในเมื่อใช้สื่อสารมวลชนเพื่อโจมตี สาดโคลน และเหยียบย่ำกันจนไม่เหลือศักดิ์ศรีและจรรยาบรรณของนักการเมือง แทนที่จะใช้เพื่อสร้างความเข้าใจ กระชับความสามัคคีเพื่อความดีของประเทศชาติ

ในเมื่อวันหนึ่งเอาแต่ต่อโทรศัพท์ไปคุยกับคนโน้นที คนนั้นที แต่กลับคนที่อยู่ใกล้ชิดกลับไม่มีอะไรจะคุยด้วย

ในเมื่อเอาแต่สนใจติดตามรายการโทรทัศน์ตาแทบไม่กระพริบ จนแทบไม่ได้สนใจคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ลืมความเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นสามีเป็นภรรยา

ไม่แปลกใจเลยที่เด็กหญิงเล็กๆ คนหนึ่ง เมื่อครูคำสอนบอกห้แต่งบทสวดด้วยคำพูดของตน

เอง เพื่อขอพรอะไรก็ได้จากพระเจ้า เขียนอย่างซื่อๆ ว่า

ข้าแต่พระเจ้า โปรดทำให้หนูเป็นโทรทัศน์ คุณพ่อคุณแม่จะได้มองดูหนูบ้าง...”

ในเมื่อเอาแต่อ่านหนังสือพิมพ์ วารสาร ติดตามข่าวคราวโดยไม่ยอมให้พลาดแม้ฉบับเดียว แต่ไม่เคยอ่านความรู้สึกและทีท่าของคนที่ร่วมชีวิตอยู่ด้วยเลย...

ตราบใดที่คนยังให้ความสำคัญแก่การสื่อสารมากกว่าสื่อสัมพันธ์ การติดต่อ พูดคุย แลก

เปลี่ยนความคิดเห็นกัน ก็อยู่แค่ระดับแลกเปลี่ยนข่าวสาร

แล้วก็ไม่สนใจกับการสื่อใจ สื่อความรู้สึกลึกๆ ที่มีต่อกัน สื่อคุณค่า สื่อความรักความเอาใจใส่ สื่อความห่วงใย สื่อความปรารถนาดี สื่อความเป็นมิตร...ที่นำไปสู่สื่อสัมพันธ์อันแท้จริง

การติดต่อกันจึงอยู่แค่ระดับผิวเผิน แค่ระดับสมอง แค่ระดับความรู้

แต่ไม่เคยเข้าไปถึงระดับใจต่อใจ

ความเหงา ความโดดเดี่ยว ความว้าเหว่...ก็ยังคงอยู่ต่อไป และเพิ่มความร้ายกาจมากขึ้น

เพราะหากความเหงา ความโดดเดี่ยว ความว้าเหว่ เกิดจากการที่ต้องพรากจาก ห่างไกลกันไป ก็ยังพอทน

แต่หากอยู่ใกล้ชิดกันแต่กาย นั้นห่างเหินไปไกลแสนไกล ความเหงา ความโดดเดี่ยว ความว้าเหว่กลับกลายเป็นความทรมานใจ ความปวดร้าว เหลือจะทนทานได้


ความก้าวหน้าด้านการสื่อสารยังคงก้าวรุดไปอย่างยั้งไม่อยู่

แต่จะประโยชน์อะไร ถ้าการสื่อสารดีขึ้นเรื่อยๆ แต่การสื่อสัมพันธ์กลับแย่ลงอย่างน่าเสียดาย*










สังคมแห่งการแข่งขัน

มันเป็นข่าวเศร้า และสะเทือนไปแทบทุกวงการ

...นักเรียนติดยาม้า ทั้งชายและหญิง

ในหลายๆ สาเหตุที่วิเคราะห์กันมา ก็มีสาเหตุนี้ด้วย ใช้ยาม้าเพื่อเรียนได้นานขึ้น

หลายคน มองเห็นต้นเหตุที่มาของพฤติกรรมอันน่าเป็นห่วงนี้ต่างๆ นานา

แต่ผมมองลึกเข้าไปในสังคมทุกวันนี้ และคิดว่าสาเหตุมันสั่งสมกันมาเป็นลูกโซ่

สังคมทุกวันนี้ เป็นสังคมแห่งการแข่งขัน

ตั้งแต่ก่อนเกิดออกมาดูแสงแดดแสงตะวัน ก็ต้องแข่งขันกับชะตากรรม แม่จะยอมให้เกิดหรือเข่นฆ่าทำแท้งอย่างไม่มีสิทธิอุทธรณ์

เกิดออกมาได้ก็ต้องเริ่มเข้าสู่วงการการแข่งขันแทบไม่ทันรู้ตัว หรือสมัครใจ

แข่งขันกันคลอดในโรงพยาบาลดีๆ มีชื่อเสียง ที่เงินตัวเดียวชี้ขาดใครแพ้ใครชนะ

แข่งขันกันเติบโต กับผลิตภัณฑ์ที่บริษัทต่างๆ แข่งขันและเฉือดเฉือนกันด้วยกลยุทธแห่งการค้า ตั้งแต่อาหารเสริม สบู่ เสื้อผ้า ไปจนถึงแพมเพริสท์

แข่งขันกันเข้าเนอสเซอรีมีมาตรฐาน ที่สามารถแทพ่อแทนแม่ได้ แม้กระทั่งในการให้ความรักและความอบอุ่นแก่ลูก เพราะพ่อแม่ต้องไปแข่งขันเพื่อจะได้มาซึ่งปัจจัยเลี้ยงปากเลี้ยงท้องจนแทบไม่มีเวลาจะให้แก่ลูก

แข่งขันกันเข้าอนุบาลมีระดับ นอกจากจะต้องมีเงินรองรับก้อนใหญ่กันเหนียวแล้ว เด็กยังต้องมาคร่ำเครียดกับการใช้สมองน้อยๆ ก่อนเวลา มานั่งบวกเลขหลักสิบหลักร้อย ทั้งที่แค่นิ้วมือตัวเองยังนับไม่ถูกทุกครั้งไป

แข่งขันกันเข้าโรงเรียน ที่แค่ได้ยินชื่อก็ให้รู้สึกมั่นใจว่าเข้าต่อมหาวิทยาลัยได้แบบนอนมาได้เลย แข่งความสามารถด้านสติปัญญาก็ยังไม่แน่ หากเงินในซองที่เขียนระบุไว้ “เพื่อบำรุงโรงเรียน” ยังหนาไม่พอ ก็ยังมีสิทธิ์วืดได้เหมือนกัน

แข่งขันกันเข้ามหาวิทยาลัย ที่ต้องทุ่มให้ทั้งกาย กำลังใจ และความสามารถ เพราะคนเข้าแข่งขันเป็นจำนวนแสนๆ แต่คนจะเข้าหลักชัยจำกัดอยู่แค่ไม่กี่หมื่น

จบเป็นบัณฑิตออกมา ก็ยังต้องแข่งขันเข้าทำงาน เพราะบัณฑิตล้นตลาด และหากจะมีเปรียบเหนือผู้แข่งขันอื่นๆ ก็ต้องแข่งขันกันไปทำปริญญาต่อเมืองนอกเมืองนา

ทำงานได้แล้ว ยังต้องแข่งขันต่อ เพื่อความก้าวหน้า แข่งกันด้านความสามารถยังไม่พอ ยังต้องแข่งขันไหวพริบ อย่างที่เรียกกันว่ากลยุทธธุรกิจ

วันหนึ่งๆ ต้องแข่งขันกับเวลา วันเวลาเท่าเดิม แต่ต้องทำได้มากขึ้น จำนวนผลผลิตต้องเพิ่ม

ขึ้น ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันคู่แข่ง

แข่งขันกับธรรมชาติ เมื่อจังหวะและครรลองของธรรมชาติไม่ได้ดังใจ ก็มีการเร่งการฝืน เพื่อให้ผลผลิตออกมาได้ทันความต้องการ ไม่ผิดกับการข่มขืนธรรมชาติอย่างไม่คิดเกรงอกเกรงใจ

ทั้งๆ ที่ได้มาซึ่งปัจจัยพื้นฐานสำหรับการดำเนินชีวิตแล้ว ยังต้องแข่งขันต่อ... แข่งขันบารมี ศักดิ์ศรี ฐานะในสังคม

พอกำลังจะเริ่มสบาย ผ่อนคลายจากการแข่งขันที่ผ่านมา ก็ต้องมาแข่งขันกับสังขารที่สวนทางกับกาลเวลา วันเวลามากขึ้นกำลังวังชาก็ลดน้อยถอยลง ปีสะสมมากขึ้นชีวิตก็สั้นลง จนต้องพึ่งอาหารเสริม ยาอายุวัฒนะขนานไหนดีต้องเสาะหามาให้ได้

สุดท้ายก็เป้นแข่งขันระหว่างชีวิตกับความตาย


ชีวิตเป็นการแข่งขัน แข่งขันกับคนอื่นยังไม่พอ ยังต้องแข่งขันกับตัวเองด้วย

เรี่ยวแรงความสามารถมีแค่นี้ แต่อยากจะมีให้มากกว่า จึงต้องใช้อย่างอื่นเข้าไปเสริมไปกระตุ้น...อยากทำงานให้มากกว่าที่ร่างกายจะทนได้ หันไปใช้ยาม้า ขับรถไปให้ไกลและนานกว่าร่างกายจะทนทานได้ กินยาม้าเข้าไปกระตุ้น อยากจะดูหนังสือให้นานกว่าที่สมองจะรับได้ ใช้ยาม้าช่วย

ข่มขืนธรรมชาติยังไม่พอ ยังหันมาข่มขืนสังขารตนเองด้วย

แข่งขันกับคนอื่น ก็ยังมีตัวเองเป็นเพื่อน แต่แข่งขันกับตนเองแล้วจะมีใครเป็นเพื่อนอีก

ที่นายแพทย์อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม กล่าวว่าคนไทยมีแนวโน้มของการฆ่าตัวตายสูงขึ้น โดยเฉลี่ย 1 ชั่วโมงจะมีคนพยายามฆ่าตัวตาย 1 คน แต่ในกรุงทพฯ ทุกๆ 1 ชั่วโมง จะมีคนพยายามฆ่าตัวตาย 2 คน ฟังแล้วน่าใจหาย แต่ก็ไม่น่าแปลก

ในเมื่อต้องมีการแข่งขัน แม้กระทั่งกับตนเอง*












ครบรอบวันเกิด

ผมเคยตื่นเต้น ทุกครั้งที่ครบรอบวันเกิด

ตอนหลังๆ นี้ ผมกลับเฉยๆ

บางครั้งก็ไม่อยากจะคิดถึง แม้ในใจอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ทำไมเดี๋ยวนี้ปีหนึ่งๆ มันผ่านไปเร็วเสียเหลือเกิน

ยิ่งเพื่อนๆ ทายทัก “นี่แก่ลงไปอีกปีหนึ่งแล้วนะ รู้ตัวหรือเปล่า?” ก็อดใจหายไม่ได้

บางคนอุตส่าห์ให้กำลังใจ “อะไรกันนี่ หน้าตาดูอ่อนกว่าอายุเป็นสิบเลยนะ” ซึ่งแทนที่จะดีใจกับคำชม ลึกๆ กลับเป็นการตอกย้ำความจริงว่า “แม้หน้าตาจะดูอ่อน แต่จริงๆ แก่แล้วนะ หรอกใครได้แต่หลอกตัวเองไม่ได้หรอก”

เพื่อนผมคนนั้น คนที่ชอบประหยัดคำพูด ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ “อีกห้าสิบกว่าปีก็จะครบร้อยปีแล้วนะสังวรณ์ไว้บ้าง” ทำให้ต้องรีบหันมามองสังขาร เพราะมันให้รู้สึกว่าแก่ตัวลงไปถนัด เรี่ยวแรงพลอยลดน้อยถอยลงอย่างทันปากพูด


ชีวิตคนเราเป็นดังบันไดสองอันที่ตั้งพิงหัวชนกัน ข้างหนึ่งขึ้น ข้างหนึ่งลง

ตอนกำลังขึ้น วันครบรอบวันเกิดดูจะมาช้าแต่คุ้มค่าการรอคอย

แต่ละครั้งที่ฉลองครบรอบวันเกิด ก็เป็นขั้นตอนอีกขั้นหนึ่งที่ก้าวขึ้นไปสู่ปลายบันได

กำลังจะเป็นวัยรุ่นแล้วนะ ทำอะไรได้เองแล้ว”

กำลังจะเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วนะ มีเหย้ามีเรือนได้แล้ว”

กำลังจะเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ รับผิดชอบตนเองและคนอื่นได้แล้ว”

แต่ตอนกำลังลง วันครบรอบวันเกิดดูจะรีบเร่งมาจนแทบจะตั้งตัวไม่ติด

กำลังจะสมหวังและประสบความสำเร็จ หลังจากต้องฟันฝ่าพิชิตมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย วันเวลาก็มาเตือนว่า เวลาสำหรับจะเกาะติดและครอบครองทุกสิ่งเหล่านี้เริ่มนับถอยหลังแล้ว

แก่ตัวแล้วนะ โหมเรี่ยวโหมแรงเหมือนก่อนนี้ไม่ได้แล้ว”

มีอายุแล้วนะ จะเตร่หัวราน้ำ ข้ามวันข้ามคืนแบบก่อนไม่ได้แล้ว”

วัยปูนนี้แล้ว น่าจะหันหน้าเข้าวัดได้แล้วนะ”


นั่นเป็นครรลองชีวิต ที่มีเริ่มต้น ก้าวไปสูงไกล แล้วก็ล่วงหล่นลงมายังจุดเริ่มต้นเพื่อจะกลับไปสู่ที่มา

เหมือนก้อนหินที่ปาสูงขึ้นไปในอากาศ หมดแรงดันแล้วก็เริ่มตกลงมา

บางชีวิตขึ้นสูงไปนานสองนานกว่าจะเริ่มตกลงมา อีกบางชีวิตขึ้นไปได้ไม่เท่าไรก็ตกลงมา

แล้ว หลายชีวิตแค่พ้นมือไปนิดเดียวก็ตกลงมาแล้ว

แต่ใช่ว่าทุกคนจะมองดูครรลองของชีวิตในแง่ที่กล่าวมาก็หาไม่ กลับมองบันไดขึ้นกับบันไดลงไปอีกอย่างหนึ่ง

ตอนกำลังขึ้น วันครบรอบวันเกิดแต่ละปีเป็นวันแห่งการปลดปล่อยจากกรอบต่างๆ

กำลังจะเป็นวัยรุ่นแล้วนะ ทำอะไรที่ผู้ใหญ่เขาทำได้ทุกอย่างแล้ว”

กำลังจะเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วนะ ดื่มเหล้าสูบบุหรี่และเที่ยวหัวราน้ำได้เต็มที่แล้ว”

กำลังจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว อยากจะทำอะไรก็ทำได้เต็มที่แล้วนะ”

ตอนกำลังลง วันครบรอบวันเกิดแต่ละครั้งคอยเตือนความทรงจำ

แก่ตัวลงไปเรื่อยๆ แล้วนะ ตราบใดที่ยังมีเรี่ยวมีแรง ต้องรีบกอบโกยความสุขให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้”

มีอายุมากแล้ว จะมัวกลัวติดโรคติดเชื้อไปทำไมอีก”

วัยปูนนี้แล้ว เวลาเหลือน้อยเต็มที มัวแต่หันหน้าเข้าวัด ก็ไม่มีเวลาสนุกแล้วซี”


นานาจิตตัง นานาความคิด นานาทัศนะ

แต่จะมีกี่คนที่คิดบ้างว่า เมื่อเข้ามามีชีวิตในโลก เราเข้ามาตัวเปล่าและกลับออกไปตัวเปล่า

ทุกอย่างที่มีที่ใช้ ล้วนแต่ต้องเช่ามาทั้งนั้น

เช่าแผ่นดินที่อยู่อาศัย เช่าอากาศหายใจ เช่าธรรมชาติ เช่าที่ดินทำมาหากิน...

มองจากแง่นี้ วันครบรอบวันเกิดแต่ละปี คอยแต่ย้ำบอกว่า ค่าเช่าทบขึ้นมาอีกปีหนึ่งแล้วนะ

และค่าเช่าชีวิต ต้องจ่ายด้วยชีวิต...ชีวิตที่มีคุณค่า ชีวิตที่เปลี่ยนเป็นรัก รักเปลี่ยนเป็นการรับใช้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

หากชีวิตคุณช่วยสร้างคุณค่าให้แก่คนอื่น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ชีวิตคุณมีคุณค่า

ถือได้ว่าคุณจ่ายค่าเช่าแล้วล่ะ*






ตุ๊กตาหมีขาว

ตุ๊กตาหมีสีขาว ตัวน้อย ขนเรียบนุ่ม ดูน่ารักน่าชัง ตั้งอยู่ทางด้านหลังของรถผมมาตั้งแต่ต้นปีใหม่แล้ว

ตั้งไว้ในรถ และอย่าให้ใครต่อนะ” คนให้กำชับหนักแน่น สายตาบ่งบอกความเต็มใจแต่ก็ไม่วายเสียดายอยู่ในที

นอกจากดูน่ารักน่าจับแล้ว มันยังทำให้รู้สึกว่ารถไม่ว่างเปล่าเปลี่ยว

ตอนแรกๆ ก็ชอบชำเลืองมองด้วยความเอ็นดู

ต่อมา ก็แทบไม่ได้สังเกต นอกจากเวลาต้องเหยียบเบรคกระทันหัน หรือตีโค้งเร็วไปหน่อยจนเจ้าตุ๊กตาหมีน้อยกลิ้งตกลงมา ก็หันไปหยิบมันโยไปไว้บนเบาะหลัง

ทำความสะอาดรถที ก็จะจับมันให้นั่งเข้าที่เข้าทางด้านหลัง อย่างที่เคยวางไว้แต่แรก


ผมไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่า เด็กหญิงตัวน้อยๆ มายืนดูผมทำความสะอาดรถตั้งแต่เมื่อไร

ที่จริงเธอไม่ได้มองผมทำความสะอาดรถหรอก แต่เธอกำลังยืนมองตุ๊กตาหมีขาว ที่ตั้งอยู่ทางด้านหลังรถ

รอยยิ้มเอ็นดูวาดริมฝีปากน้อยๆ ขณะที่ตาจับอยู่ที่ตุ๊กตาหมีขาว ก่อนจะหันมามองผมแว้บหนึ่ง

น่ารักดีใช่ไหมล่ะ” ผมพูดขึ้นก่อน พลางโยนสายตาไปทางตุ๊กตาหมีขาว

อุ้มหน่อยได้ไหม” เธอพูดโดยไม่หันมามองผม

ผมก้มเข้าไปในรถ หยิบตุ๊กตาหมีขาว ส่งให้

หนูน้อยเอื้อมมือหยิบตุ๊กตาหมีขาวด้วยความทะนุถนอมกอดกระชับอก เอาแก้มคลอเคลียขนอ่อนนุ่มของมันด้วยความเอ็นดู ไม่ได้สนใจว่าผมกำลังมองเธออยู่

ชอบไหมล่ะ” ผมถามหลังจากเฝ้าดูเธออยู่ครู่ใหญ่

น่ารักจังเลย” เธอพึมพัม ไม่สนใจคำถามของผมด้วยซ้ำ

อยากได้ไหม” ผมถาม เธอชะงัก จ้องตาผม ก่อนจะผงกหัว

ฉันให้...เธอคงจะรักและดูแลมันดีกว่าฉัน” ผมพูด พร้อมกับลูบหัวเธอด้วยความเอ็นดู

หนูจะดูแลให้ดีที่สุดเลย จะพาไปเที่ยว จะเอาไปนอนด้วย จะเอาติดตัวไปตลอดเลย...” เธอพูดหน้าตาจริงจัง ก่อนจะรีบวิ่งไป

ผมยืนดูเธอจากไป พลันก็คิดถึงคำกำชับของคนให้ “ตั้งไว้ในรถ และอย่าให้ใครต่อนะ...”


อดรู้สึกผิดในใจไม่ได้แต่ก็นึกว่า หากคนให้ได้มาเห็นว่า ตุ๊กตาหมีขาวได้รับความรักทะนุถนอมจากเด็กน้อยคนนี้แค่ไหน ก็คงไม่คิดเสียดายเช่นเดียวกัน

อยู่ในรถ มันเป็นแค่เครื่องประดับชิ้นหนึ่ง แต่อยู่ในมือเด็กน้อยมันเป็นสิ่งน่ารักมีค่า

อยู่ในรถ มันถูกโยนๆ ขว้างๆ แต่อยู่ในมือเด็กน้อยเป็นสิ่งน่าทะนุถนอมเอาใจใส่ดูแล

อยู่ในรถ มันเป็นแค่ตุ๊กตาน่าเอ็นดุ แต่อยู่ในมือเด็กน้อยมันเป็นมากกว่าตุ๊กตาตัวหนึ่ง


ตุ๊กตาหมีขาวตัวนั้น มันทำให้ผมคิดได้หลายอย่าง

แต่ความคิดอย่างหนึ่งคอยวกเวียนอยู่ในสมองผมไม่ได้หยุด

สิ่งหนึ่งดูไร้ค่าสำหรับเรา อาจจะเป็นสิ่งมีคุณค่าอย่างมากสำหรับอีกหลายๆ คน

เสื้อผ้าบางตัวที่แขวนอยู่ในตู้ กินเนื้อที่โดยแทบจะไม่เคยใช้ใส่ กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นและมีคุณค่าสำหรับอีกหลายคนที่ไม่มีจะสวมใส่

รองเท้าคู่สองคู่ที่ถอดวางไว้หน้าประตู เดินเหยียบข้ามไปข้ามมา เมื่อมีคู่ใหม่ทันแฟชั่นมาแทนที่ คงเป็นสิ่งมีค่าสำหรับเท้าเปลือยเปล่าที่ย่ำไปตามถนน ซอกซอย ที่สกปรก ชื้นแฉะ

อาหารบางอย่างที่เหลืออยู่ในตู้กับข้าวและไม่รู้จะทำกับมันอย่างไรดี คงเป็นของมีรสชาดสำหรับท้องที่หิวแกร่ว กินมื้อ อดสองมื้อ

ของบางอย่างที่แช่ทิ้งไว้ในตู้เย็น จนแทบไม่รู้ว่ามีมันอยู่ด้วยซ้ำ คงจะเป็นของจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับหลายครอบครัวที่มีแต่หม้อมีแต่เตา แต่ไม่มีอะไรจะใส่เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

จักรยานคันเก่าที่จอดทิ้งให้ยางแฟบอยู่ในห้องเก็บของ คงจะมีค่าอย่างมากสำหรับเด็กนักเรียนตัวน้อยๆ ที่ต้องเดินเท้าเปล่าไปโรงเรียน ห้าหกกิโลไป ห้าหกกิโลกลับ

เครื่องใช้ไม้สอยเก่าๆ ที่วางซ้อนกันจนถึงเพดาน คงจะเป็นของจำเป็นต้องใช้สอยทุกวันสำหรับหลายครอบครัว ที่มีเครื่องใช้ทั้งบ้านชิ้นสองชิ้นใช้ทำทุกอย่าง

หนังสืออ่านแล้วที่กองไว้ชั่งกิโลขายเป็นของเก่า คงจะมีค่าสำหรับหลายคนที่ต้องหาอะไรเพิ่มทักษะ อ่านแม้กระทั่งถุงกระดาษใส่ของ...


ตุ๊กตาหมีขาว ป่านนี้คงจะได้รับการดูแล รัก เอาใจใส่ มากกว่าตอนที่ตั้งอยู่ในรถผมเป็นไหนๆ*













ตัวกู

คนที่รู้จักอยู่กับตนเอง ย่อมอยู่กับคนอื่นได้ดี

ดูเผินๆ จะเป็นประโยคที่ขัดแย้งกันในตัว

แต่มองลงไปให้ลึกแล้ว มันบ่งบอกความจริงแน่แท้


ความขัดแย้งกับคนอื่นๆ มองไปด้วยใจเป็นกลางแล้ว ส่วนมากมักจะมีต้นรากจากความขัดแย้งกับตนเอง

ความรู้สึกไม่พอใจคนรอบข้าง มักจะเกิดจากความรู้สึกไม่พอใจตนเอง

อารมณ์ขุ่นกับใครไม่เลือกหน้า มักจะมาจากอารมณ์เสียกับตนเองแล้ว

การทะเลาะเบาะแว้งกับคนโน้นคนนี้ เกิดจากการไม่มีสันติกับตนเอง

การก้าวร้าวไปทั่ว เกิดจากความไม่มั่นใจในคุณค่าตนเอง

การอิจฉาริษยาคนนั้นทีคนนี้ที มักจะมาจากการไม่เห็นคุณค่าที่ตนเองมี

การเที่ยวหาเรื่องหาราว ก่อความวุ่นวายไปทั่ว มักจะมีสาเหตุจากการที่ไม่พบความสุขกับตนเอง แล้วทนไม่ได้ที่จะเห็นคนอื่นเขามีสุข

การเที่ยวทำลายสิ่งของคนอื่น มักจะเกิดจากความรู้สึกว่าทำไมคนอื่นมีได้แต่ฉันกลับไม่มี แล้วก็สรุปเอาเองง่ายๆ ว่า ในเมื่อฉันไม่มีคนอื่นก็ควรไม่มีด้วยเหมือนกัน

เฉพาะคนที่มีสัติกับตนเอง ไปไหนมาไหนเขาจะหว่านแต่สันติและความกลมเกลียว

ก่อนจะรักใครเป็น ต้องรักตนเองให้ถูกต้องเสียก่อน

เพราะจะรักคนอื่นได้อย่างไร ในเมื่อยังไม่รู้จักรักตนเอง และไม่เคยสัมผัสกับความอบอุ่นแห่งไอรักมาก่อน

ก่อนจะพยายามรู้จักใคร ต้องรู้จักตนเองให้ถ่องแท้เสียก่อน

เพราะจะเที่ยวอ่านความรู้สึกนึกคิดคนนั้นคนนี้ แต่ไม่เคยอ่านความรู้สึกนึกคิดของตนเองได้ถูกต้อง ถ่องแท้

ก่อนพยายามผูกมิตรเป็นเพื่อนใคร ต้องเป็นเพื่อนกับตนเองให้สนิทสนมเสียก่อน

เพราะจะเป็นมิตรกับใครได้นาน หากกับตนเองยังไม่อยากคบหาด้วยเลย

ก่อนพยายามสอนใคร ต้องสอนตนเองให้รู้แจ้งเสียก่อน

เพราะเที่ยวสอนคนโน้นคนนี้ แล้วต้องโดนตอกกลับให้ตักน้ำใส่กระโหลกชะโงกดูเงาตัวเองเสียก่อน

ทุกวันนี้ ความก้าวหน้าแต่ละอย่างแต่ละแขนง ช่วยทำให้มนุษย์รู้จักสิ่งนอบตัวมากขึ้น

ตั้งแต่เชื้อโรคตัวกระจิดริด มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ไปจนถึงจักรวาลอันกว้างใหญาไพศาล

แต่ตัวมนุษย์เองแท้ๆ รู้จักน้อยเต็มที

ก็มัวแต่มองรอบตัว แต่ไม่เคยคิดจะมองตนเองให้มาก

และมองตนเองที ก็เห็นเฉพาะเปลือกนอก เห็นหน้าตา เห็นรูปร่าง

วงการวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา และวงการแพทย์ รู้ดีถึงร่างกายและระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ

แต่จิตใจมนุษย์นั้นยังยากที่จะหยั่งถึงได้หมด

ร่างกายมันมีกฎธรรมชาติที่ควบคุมให้เป็นไปตามครรลอง ทุกร่างกายกฎเดียวกันหมด

แต่จิตใจไม่มีกฎควบคุม ต่างจิตต่างใจ

แต่ละจิตใจ เป็นกฎของตนเอง เพราะแต่ละคนเป็น...หนึ่งเดียวคนนี้


เช่นนี้ หากไม่อยู่ตามลำพังกับตนเองบ้าง ก็ยากจะเรียนรู้และเข้าใจตนเองได้

ยิ่งเดี๋ยวนี้ สิ่งต่างๆ รอบตัว มีแต่จะดึงคนให้ออกจากตนเอง

...ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา สื่อมวลชมคิดให้หมดทุกเรื่อง

...ไม่ต้องตัดสินให้เปลืองสมอง การตัดสินมีให้เลือกไว้เป็นชุดๆ

...ไม่ต้องกุมขมับหาคำตอบ มีคำตอบสำเร็จรูปให้หมดทุกเรื่องแล้ว

...ไม่ต้องกำหนดอะไรให้ตนเอง มีคนคอยกำหนดให้หมดแล้ว ตั้งแต่ค่านิยม อาหารการกิน การแต่งเนื้อแต่งตัว ไปกระทั่งการประพฤติปฏิบัติ

วันหนึ่งๆ เราทักทายทุกคนที่พบเห็น

แต่ถามจริงๆ เถอะ เราเคยทักทายตัวเราเองบ้างไหม?*










เพียงแค่เป็นคุณ


ในลิ้นชักโต๊ะทำงานผม มีของไม่กี่อย่างตามประสาคนสมถะ

จดหมายสำคัญบางฉบับ เอกสารใบสองใบแล้วก็บัตรอวยพรใบหนึ่ง

บัตรอวยพรวันคล้ายวันเกิดที่ผ่านมา

บัตรส่งความสุขและอวยพรเทศกาลที่ได้รับผมจะเก็บใส่กล่องไว้ต่างหาก

แต่บัตรใบนี้ผมอยากจะไว้ใกล้ตัว และหยิบขึ้นมาอ่านแทบทุกครั้งที่เปิดลิ้นชัก

แม้ถ้อยคำที่เขียนในบัตรจะเป็นประโยคสั้นๆ แต่แปลกกว่าบัตรต่างๆ ที่ผมเคยได้รับ

ด้านหน้ามีคำอวยพรวันครบรอบวันเกิด พิมพ์สีสด ลวดลายสวยงาม

ด้านในเป็นลายมือเขียนธรรมดาๆ แต่ใจความไม่ธรรมดา

Thank you for being you !

จากเพื่อนผมคนนั้น คนที่ชอบประหยัดคำพูด และพูดด้วยตามมากกว่าด้วยปาก




แม้เป็นประโยคสั้นๆ แต่ชวนให้คิดให้คิดได้หลายอย่าง

ชื่นชอบว่า สิ่งที่คุณเป็น ดีและน่ารักสำหรับฉัน

ยืนยันว่า คุณเกิดมามีชีวิต ก็เป็นสิ่งงดงามแล้ว

ยอมรับว่า สิ่งที่คุณเป็น อย่างที่เป็นเดี๋ยวนี้ มีค่ามากสำหรับชีวิตฉัน

ตอกย้ำว่า สิ่งที่คุณเป็นสำคัญกับฉันมากกว่าสิ่งที่คุณมี

พูดสั้นๆ ทุกสิ่งที่คุณเป็น อย่างที่คุณเป็น น่ารัก กลมกลืนและมีความหมายสำหรับฉัน

จนฉันรู้สึกอยากจะขอบคุณ

ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ของคุณที่ช่วยให้กำเนิดคุณมา


คนเรามักจะกล่าวขอบคุณเมื่อมีใครทำอะไรให้ หรือให้อะไรบางอย่าง

แต่ไม่คิดจะขอบคุณสำหรับสิ่งที่คนอื่นเป็น...เป็นเพื่อนร่วมโลก เป็นเพื่อนมนุษย์ เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่น้อง เป็นญาติ เป็นหญิงเป็นชาย...เป็นอย่างที่เป็น

เพราะมัวแต่ไปเน้นการมีมากกว่าการเป็น

แม้กระทั่งจะแต่งงาน ก็ยังให้ความสำคัญแก่การมีมากกว่าการเป็น

ประเภทแต่งงานเพื่อธุรกิจมากกว่าเพื่อความรัก

และลืมคิดไปว่า คนเราเสริมสร้างกันด้วยความรักมากกว่าด้วยสิ่งของ

เติมแต่งชีวิตกันด้วยการเป็นมากกว่าการมี

สิ่งที่คุณเป็น ช่วยเพิ่มความเป็นตัวฉันอยู่ตลอดเวลา

บางครั้ง ในยามที่ว้าวุ่น มีปัญหา ว้าเหว่ วิตกกังวล เหงา...เราต้องการใครสักคน

เพียงแค่อยู่ที่นั่น ใกล้ชิด รับรู้ความรู้สึก และเข้าใจเรา

มันให้รู้สึกมีกำลังใจ ไปให้ถึงดวงดาว

บางครั้ง เราล้มเหลว ดูอะไรต่ออะไรไม่เคยเป็นใจให้สักอย่าง...เราต้องการใครสักคน

เพียงแค่อยู่ที่นั่น แม้ไม่ได้พูดอะไรสักคำ

มันให้รู้สึกไม่สิ้นหวัง พร้อมจะพยายามใหม่

บางครั้ง อัดอั้นตันใจ พูดไปเท่าไรก็ไม่มีใครเข้าใจ...เราต้องการใครสักคน

เพียงแค่อยู่ที่นั่น อยู่เงียบๆ

มันให้รู้สึกสบายใจ ใจต่อใจรับรู้กันแม้ในความเงียบ


ทุกครั้งเหล่านั้น ความรู้สึกลึกๆ อยากจะขอบคุณ

Thank you for being here!


แม้คุณจะไม่ได้ทำอะไร แก้ปัญหาไม่ตก ให้คำตอบไม่ได้ทุกอย่าง...

เพียงแค่อยู่ที่นั่น อยู่เป็นเพื่อน อยู่รับรู้ อยู่ให้กำลังใจ

มันก็มากเกินพอแล้ว สำหรับสถานการณ์เช่นนั้น


มองจากแง่นี้แล้ว วันหนึ่งๆ เราคงต้องขอบคุณหลายคน

ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เขาทำเท่านั้น แต่สิ่งที่เขาเป็นอยู่ทุกวันๆ











ชีวิตใครกันแน่

อ่านข่าวและเห็นภาพประกอบแล้วรู้สึกสยดสยอง

เด็กน้อยกว่าห้าพันชีวิต ต้องถูกเข่นฆ่าอย่างไร้มนุษยธรรม

บางศพเป็นตัวเป็นตน แขนขาครบถ้วน รอแค่เดือนสองเดือนก็จะได้ออกมาลืมตาดูโลก

บางศพเป็นแค่รูปร่าง ที่กำลังพัฒนา

อีกบางศพเป็นแค่ก้อนเนื้อหรือก้อนเลือด

ไม่กี่วันต่อจากการบุกเข้าคลีนิกทำแท้งเถื่อนแห่งนี้ โรงฆ่าเด็กแห่งอื่นๆ เริ่มถูกเปิดโปงออกมาทีละแห่งสองแห่ง

ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

ปีที่ผ่านมาจำนวนการทำแท้งมีถึงสามแสนกว่าราย ที่รู้ได้

เด็กน้อยที่ไร้เดียงสา ไร้สิทธิจะปกป้องชีวิต ไร้ปากเสียงเรียกร้องความเมตตา ต้องถูกสังเวยไปสามแสนกว่าชีวิต

เพียงเพื่อความสบายใจของใครบางคน

เพียงเพื่อให้ใครบางคนได้สนุกโดยไม่ต้องจะรับผิดชอบ

เพียงเพื่อตัดปัญหาที่ใครบางคนช่วยกันก่อขึ้นมาแล้วโยนกองมาให้

เพียงเพื่อใครหน้ามืดเพราะตัณหา เที่ยวปล่อยกายปล่อยใจแล้วตัดช่องน้อยแต่พอตัว

เพียงเพื่อใครที่อยากลองนั่นลองนี่ แต่ไม่เคยคำนึงถึงความจริงจัง

มันน่าสลดใจ ที่ยังมีการเข่นฆ่าทำลายชีวตแม้ในยุคนี้ ยุคนี้ถือว่าสงครามเป็นเรื่องป่าเถื่อน ใขขณะที่องค์กรต่างๆ ในโลกพยายามกันนักกันหนาจะไม่ให้มีการเข่นฆ่าทำลายเผ่าพันธุ์ แต่เบื้องหลังความศิวิไล มีการทำลายชีวิตกันอย่างเลือดเย็น

สงครามเป็นเรื่องของกฎป่า เป็นการใช้กำลังมากกว่าสมอง ใช้แรงมากกว่าเหตุผล

ทุกครั้งที่มนุษย์หวนกลับไปใช้กฎป่า ก็ทำให้ตนเองตกต่ำมากกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก

สัตว์เดรัจฉานเข่นฆ่ากัน เพียงเพื่อป้องกันตัวเอง

แต่มนุษย์ฆ่าทำลายแม้ชีวิตที่ยังไม่สามารถจะช่วยตัวเองได้ด้วยซ้ำ

สัตว์เดรัจฉานเข่นฆ่ากัน เพียงเพื่ออาหารและความอยู่รอด

แต่มนุษย์ฆ่าได้แม้แต่ชีวิตน้อยๆ ไม่มีเรี่ยวแรงแม้จะเอี้ยวตัวหลบเครื่องมือมัจจุราชที่ทะลวงเข้ามาอย่างเอาเป็นเอาตาย

สัตว์เดรัจฉานไม่ซ้ำเติมตัวที่อ่อนแอกว่า และพ่ายแพ้ถอยหนีไปแล้ว

แต่มนุษย์ไม่คิดจะปราณีชีวิตที่ยังต้องอาศัยชีวิตอื่นเพื่ออยู่รอดไปวันหนึ่งๆ

สัตว์เดรัจฉานไม่ทำลายลูกน้อยของมัน มีแต่หวงแหนและปกป้องตามสัญชาตญาณ

แต่มนุษย์พร้อมจะเข่นฆ่าทำลายลูกน้อย เพียงเพราะทำให้รำคาญ กลุ้มใจ ลำบาก พร้อมกับตราหน้าเป็นมารหัวขนเสร็จสรรพ


ตราบใดที่ในสังคม ยังมีคนถือว่าตนเป็นเจ้าของชีวิตตนและชีวิตผู้อื่น

การทำลายชีวิตก็ยังคงต้องมีต่อไปอย่างช่วยไม่ได้

ชีวิตฉัน ฉันจะทำอย่างไรกับมันก็ได้

ร่างกายฉัน ฉันใช้มันอย่างไรก็ได้

ชีวิตลูกๆ ฉัน ฉันทำให้มันเกิดขึ้นมา ฉันจะทำอย่างไรกับมันก็ได้

ชีวิตพวกนี้เป็นของฉัน ฉันจ่ายเงินซื้อมา ฉันจะใช้เพื่อกอบโกยผลประโยชน์อย่างไรก็ได้

ชีวิตน้อยๆ พวกนี้ ฉันไม่ได้ตั้งใจหรือเต็มใจให้มันเกิดขึ้นมา ฉันจะเก็บไว้หรือทำลายมันเรื่องของฉัน

และนี่คือที่มาของปัญหาการฆ่าตัวตาย ความลามกอนาจาร การขายลูกชายลูกสาวกิน

การล่วงเกินทางเพศกับลูกในไส้ การค้าประเวณี การทำแท้ง

ปัญหาที่เกลื่อนกลาดทั่วสังคมไทย

การพัฒนา การเจริญก้าวหน้า การเป็นนิค มันก็อยู่แค่ตึกรามสูงชะรูดเสียดฟ้า ห้างสรรพ

สินค้าหรูหรา รถราหรูหราราคาแสนราคาล้าน

แต่จิตใจจะได้รับการพัฒนาควบคู่ไปด้วยก็หาไม่ ตรงข้าม ดูจะเดินสวนทางกันอยู่ตลอดเวลา

เบื้องหลังตึกอาคาร ความหรูหรา ความฟุ่มเฟือยเหล่านี้ มีความฟอนเฟะ ความชั่ว ความไร้ศีลธรรม ความอยุติธรรม การเอารัดเอาเปรียบ แอบซ่อนไว้อย่างมิดชิด

นานๆ ทีจะมีอะไรเล็ดลอดออกมาสร้างความปั่นป่วนใจให้ผู้คนที

แล้วก็เงียบหายไปเหมือนเดิม

แล้วยังจะเรียกสังคมอย่างนี้ว่า อารยธรรมสังคม ได้อีกหรือ? *






























สังคมน้ำเน่า

อ่านข่าวนี้แล้ว ผมต้องปลงหลายครั้งหลายครา

จนแล้วจนรอด ผมต้องนั่งถามตัวเองว่า นี่มันอะไรกัน

ที่ประเทศฝรั่งเศส ในเมืองเล็กๆ โรงเรียนอนุบาลและซ่องโสเภณี ตั้งอยู่ติดกัน

แต่ละวัน เด็กนักเรียนตัวน้อยๆ เดินเข้าออกประตูโรงเรียนอนุบาล ขณะที่หนุ่มจ้าวสำราญเดินเข้าออกสถานบริการ

มันดูขัดกันอย่างน่าเกลียด แต่ธุรกิจของทั้งสองสถานดำเนินเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาดีพอควร

จะว่าผลกระทบที่อาจจะมีต่อจิตใจเด็กตัวน้อยๆ ในสภาพเช่นนี้ ก็คงยังไม่มี เพราะเด็กยังไร้เดียงสาเกินไปจะรู้อะไรเป็นอะไร

จนกระทั่งเกิดการฟ้องร้องขึ้น

ไม่ใช่จากโรงเรียนอนุบาล แต่จากสถานบริการที่อยู่ถัดไป

ฟ้องว่า กิจการของสถานที่บริการต้องซบเซา เพราะลูกค้าเห็นเด็กตัวน้อยๆ เดินเข้าออกประตูถัดไปแล้วเกิดความกระดาก

พร้อมกับการฟ้องร้อง ทางสถานที่บริการเรียกร้องให้ย้ายโรงเรียนอนุบาล ก่อนที่กิจการจะซบเซาไปมากกว่านี้

ความไปถึงศาล และมีการตัดสิน

ให้มีการย้ายโรงเรียนอนุบาลออกจากที่นั่น!

อ่านแล้วให้ความรู้สึกเหมือนอ่านนิยาย ที่คนเขียนตั้งใจหักมุมให้คนอ่านแปลกใจเล่น

ใครอานเรื่องนี้แล้ว ก็คงคิดเหมือนกัน

ซ่องโสเภณีน่าจะถูกสั่งให้ย้าย เพื่อจริยธรรมและความดีของเด็กตัวน้อยๆ

ก็เป็นแค่นิยาย ก็ยังพอทำเนา อ่านแล้วก็อ่านเลย

ถ้าไม่ถูกใจ ก็ยกเข้าประเภทนิยายน้ำเน่าไป

แต่นี่มันเป็นเรื่องจริง ที่เกิดขึ้นในสังคมสมัยนี้

สังคมที่เน้นธุรกิจ มากกว่าความถูกต้องและคุณธรรม

ผลประโยชน์ มากกว่าอุดมการณ์

ความถูกใจ มากกว่าความถูกต้อง

ประโยชน์ส่วนตัว มากกว่าประโยชน์ส่วนรวม

ลองสังคมตั้งจุดยืนไว้กันเช่นนี้ ความดีก็คงต้องถอยไปเรื่อยๆ



ใครมีอำนาจต่อรองมากกว่า แม้จะผิดก็มีสิทธิ์ชนะได้เหมือนกัน

ใครมีเงินมากกว่า แม้จะทำผิดก็สามารถพลิกคดีให้เป็นถูกได้เหมือนกัน

ใครมีบารมีมากกว่า แม้ชีวิตจะเลวก็ยังมีศักดิ์ศรีเชิดหน้าชูตาได้เหมือนกัน

ใครมือยาวกว่า แม้ไร้วิชาไร้ความรู้ก็ยังได้เปรียบคนอื่นได้เหมือนกัน

ใครเส้นสายดีกว่า แม้จะผิดกฎหมายบ้านเมืองก็มีทางหลีกเลี่ยงได้เหมือนกัน

ใครหน้าด้านมากกว่า แม้เป็นเรื่องอับอายก็ทำได้โดยไม่แคร์ใครได้เหมือนกัน

ใครเลวมากกว่า แม้จะไม่ถูกต้องก็กล้าทำโดยไม่ต้องคำนึงหน้าอินทร์หน้าพรหมได้เหมือน

กัน

ใครมีตำแหน่งมากกว่า แม้ชั่วก็ยังสามารถใช้คำ “ผู้ทรงเกียรติ” ตามหลังชื่อได้เหมือนกัน

จากนิยายน้ำเน่า มันกลายเป็นสังคมน้ำเน่า

ใครเป็นต้นเหตุ?

ผม คุณ คุณ คุณ คุณ พวกเรา พวกคุณ นี่แหละ

ที่มีส่วนทำให้เกิดน้ำเน่าในสังคมที่เราอยู่

ไม่ใช่คนอื่น ไม่ใช่คนชั่วคนเลว อย่างเดียว

เพราะถ้าคนดีไม่ยอมปล่อยเลยตามเลยให้คนเลวได้ใจ ความชั่วก็คงไม่เกิดขึ้นง่ายๆ

ถ้าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองถือความสุจริตเป็นที่ตั้งกันทุกคน การคดโกงฉ้อราษฎร์บังหลวงก็คงไม่มีให้เห็น

ถ้าเจ้าหน้าที่รักษากฎหมาย ไม่ทำผิกกฎหมายเสียเอง ก็คงมีคนฝ่าฝืนกฎหมายกันน้อย

ถ้า “ผู้ทรงเกียรติ” ในบ้านเมืองทำตัวให้สมเกียรติ ก็คงจะไม่มีตัวอย่างเลวให้เห็นตำตา

ถ้าพ่อแม่ไม่เลี้ยงดูลูกแต่กาย พลเมืองของชาติก็คงจะมีคุณธรรมมากกว่านี้

ถ้าลองเที่ยวโยนความรับผิดชอบไปให้ทุกคน ยกเว้นคุณเอง

สักวันคุณคงต้องย้ายตัวเอง เพื่อให้ที่และผลประโยชน์แก่คนชั่วคนเลว

เหมือนข่าวที่กล่าวข้างต้น เป็นแน่*















รักไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย

มีรักก็มีทุกข์”

เพื่อนรุ่นน้องที่คุ้นเคยกัน พูดออกมาหลังจากถอนหายใจใหญ่ติดๆ กันหลายครั้ง

ผมไม่เคยคิดเลยว่า รักแล้วจะทำให้เกิดทุกข์ ก่อนนี้ผมเคยคิดว่าความรักคือสิ่งที่ดีที่สุด และทำให้ผู้รักมีความสุข... แต่พอรักเข้าจริงๆ มันทรมานและเจ็บปวดใจ”

มันอาจจะไม่ใช่ความรักแท้ก็ได้” ผมคิดและพูดได้แค่นั้นจริงๆ เพราะแววตาเพื่อนมีความเจ็บปวดอย่างที่บอก แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่า รักแล้วทำไมต้องทุกข์

คุณไม่เคยมีความรัก ไม่มีวันเข้าใจหรอก” เพื่อนมองผมอย่างเข้าใจ “ก็เพราะเป็นความรักแท้นี่สิจึงต้องเป็นทุกข์”

ไปรักเขาข้างเดียวหรือเปล่า? ผมพยายามจะเข้าใจ

เรารักกันและมีใจให้กัน ทุกครั้งที่พูดคุยกัน เธอก็บอกว่ารักผมคนเดียว ยืนยันด้วยว่ามีผมคนเดียวในดวงใจ แต่ทำท่าสนิทกับคนนั้นคนนี้ให้เห็น แถมมาคุยความดีความน่ารักของคนนั้นคนนี้ให้ฟังเสร็จสรรพ อยู่กับผมแต่กลับคุยถึงเค้า แรกๆ ผมก็ไม่คิดอะไร แต่บ่อยเข้าผมเริ่มไขว้เขว... พอบอกว่าผมรู้สึกอย่างไร เธอก็บอกว่าผมคิดมาก เธอไม่ได้คิดอะไร...”

เธออาจจะไม่ได้คิดอะไรจริงด้วย” ผมคิดได้แค่นั้นอีกแล้ว

เธออาจจะไม่คิดอะไร แต่อย่างน้อยเธอน่าจะคิดถึงความรู้สึกของผมบ้าง คนเรารักกันน่าจะคิดถึงความรู้สึกของกัน ที่ร้ายพอผมขอร้องให้เธอเลิกสนิทและสนใจคนนั้น เธอก็บอกว่าที่เธอสนิทและสนใจคนนั้นเพราะเห็นใจ สงสาร ที่ตัวคนเดียว ไม่มีใครสนใจ... ผมก็อดรู้สึกน้อยใจไม่ได้ น้อยใจที่เธอสนใจความรู้สึกของคนอื่นมากกว่าความรู้สึกของผมที่เธออ้างว่ารัก ซึ่งถ้าเธอรักผมจริงเธอก็น่าจะแคร์ความรู้สึกของผมมากกว่า และคิดว่าแม้เธอจะไม่คิดอะไรกับคนนั้น แต่เห็นว่าการกระทำเช่นนั้นทำให้ผมเฮิร์ต เธอก็น่าจะเลิก...”

เธอก็น่าจะเลิกนะ เพราะรักคือเลือก รักใครคนหนึ่งก็เลือกคนนั้น แคร์ความรู้สึก รับรู้ความรู้สึก และเลือกความรู้สึกคนนั้นก่อนความรู้สึกคนอื่น” ผมเห็นด้วย

บางครั้งผมก็มาคิด ความรักเป็นการเลือก และเพื่อจะเลือกได้จำต้องมีหลายคนให้เลือก ดังนั้นถ้าเธอเลือกรักเราก็แสดงว่าเธอรักเรา ทั้งๆ ที่เธอสามารถรักคนอื่นได้หลายคน เพราะฉะนั้นถ้าเรียกร้องให้เธอสนใจเราคนเดียวรักเราคนเดียว เธอก็ไม่มีการเลือก เมื่อไม่มีการเลือกก็ไม่มีความรัก ผมจึงทำใจปล่อยเลยตามเลยและคิดว่า หากเธอรักเราจริงเธอก็คงเลือกเราอยู่แล้ว แต่ถ้าเธอไม่รักเรา แม้จะบังคับหรือขอร้องเธอไม่ให้สนใจคนอื่น เราก็ไม่ได้ใจของเธออยู่ดี... คิดอย่างนี้แล้วผมก็ทำใจได้ แต่ก็ไม่วายเป็นทุกข์...อาจจะเป็นเพราะผมรักเธอมากไปหรือเปล่าก็ไม่รู้...”



หรืออาจจะเป็นเพราะคุณคิดครอบครองเธอมากเกินไปก็ได้ จริงๆ แล้ว รักน่าจะเป็นอิสระ เมื่อใดที่ความรักเป็นการครอบครอง ความรักนั้นมีตัณหา เมื่อมีตัณหาก็เกิดความทุกข์หากไม่สามารถจะครอบครองได้” ผมเห็นของผมอย่างนี้

แต่นั่นเป็นวิสัยของความรักไม่ใช่หรือ? เมื่อเรารักกันเราก็เป็นของกันและกัน” เพื่อนแย้ง

ฟังดูเหมือนคนเป็นสิ่งของ รักกันก็ต้องเป็นเจ้าข้าวเจ้าของกัน... ที่บอกว่าเรารักกันเราก็เป็นของกันและกันนั้นมันให้ความรู้สึกไม่ดีเลย จริงๆ แล้วความรักไม่มุ่งเป็นเจ้าของแต่มุ่งที่จะให้ เพราะนั่นคือธรรมชาติของความรัก รักใครก็อยากจะให้เค้าทุกอย่าง แม้ชีวิตก็ไม่คิดเสียดาย ดังนั้นพูดว่า “ฉันรักเธอ” จึงเท่ากับพูดว่า “ฉันให้เธอ” นั่นเอง เรารักกันและกันจึงน่าจะเป็น “ฉันให้เธอ เธอให้ฉัน” มากกว่าจะเป็น “เธอเป็นของฉัน ฉันเป็นของเธอ”

ที่จริงแล้ว การให้ไม่ก่อให้เกิดทุกข์ ตรงข้ามมีแต่นำความสุขความยินดี และแม้ว่าการให้นั้นต้องมีการเสียสละ การเสียสละก็ไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกขาด แต่กลับให้รู้สึกอิ่มเอม การครอบครองต่างหากที่นำความทุกข์ ทันทีที่ต้องสูญเสียแม้เล็กน้อยก็เกิดความรู้สึกขาด และความขาดก่อให้เกิดความทุกข์ แม้แต่ความคิดว่าจะต้องสูญเสีย ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้สูญเสียอะไร ก็ก่อให้เกิดความทุกข์มหันต์แล้ว

ในเมื่อรักกันีการเน้นการ “เป็นเจ้าของ” มากกว่า “การให้” การเลยมุ่งแต่จะเป็นเจ้าข้าวเจ้าของและนั้นการหึงหวงก็ตามมา ความระแวง ความสงสัย ความไม่ไว้วางใจกัน ...ความทุกข์ก็เกิดขึ้น เพียงแค่ความคิดว่าจะต้องสูญเสียเขาไปก็เหมือนกับตกนรกทั้งเป็นแล้ว ก็เลยต้องสร้างมาตรการร้อยแปดเพื่อประกันความมั่นใจ บ้างก็ต้องตั้งกฎตั้งข้อห้ามที่ต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด บ้างก็เรียกร้องให้ได้เสียก่อนจะแต่งเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ บ้างก็มาถึงขั้นเด็ดขาด “ถ้าฉันไม่ได้เธอ คนอื่นก็ไม่ต้องได้เธอด้วยเหมือนกัน” โศกนาฏกรรมที่เป็นข่าวคราวมีให้เห็นกันออกบ่อย”

ผมว่าคุณไม่เคยแล้วนะ ทำไมรู้เกี่ยวกับความรักดีกว่าผมอีก” เพื่อนผมเปรยเสียงอ่อยๆ

ไม่รู้ซี แต่ส่วนตัวผมคิดว่ารักไม่น่าจะต้องทุกข์ ที่ทุข์ก็เพราะไม่รู้จักรักต่างหาก คุณว่ามั้ย”*














ความเสื่อมในความเจริญ


เห็นภาพข่าวสงครามที่กำลังเกิดขึ้นทนที่ต่างๆ แล้ว ทำให้หดหู่สังเวชใจ

คนตายนอนตามถนน ขณะที่คนเป็นเดินผ่านไปมาด้วยสีหน้าหวาดวิตกอย่างเห็นได้ชัด

คนที่ได้รับบาดเจ็บถูกลำเลียงไปรับการรักษาพยาบาล เนื้อตัวเต็มด้วยเลือดและฝุ่น

ครอบครัวที่หอบหิ้วทรัพย์สมบัติไม่กี่ชิ้นอพยพเป็นแถว ฝ่าแดดฝ่าฝนหนีตาย

คนแก่และเด็กที่ผ่ายผอม นอนหมดเรี่ยวแรงไม่มีกำลังแม้จะยกถ้วยยกชามขึ้นรับอาหาร

บ้านเมืองที่พังยับเยิน ไม่เหลือริ้วรอยแห่งชีวิต

ที่เคยผาสุกและมั่งคั่ง


หากเป็นแค่ภาพข่าวประวัติศาสตร์สงคราม ก็พอทำเนาแต่นี่เป็นภาพปัจจุบัน กำลังเกิดขึ้น ในโลกอารยธรรมใบนี้

โลกที่กำลังเจริญ พัฒนา ก้าวหน้า สุดขีด

มันจึงเป็นภาพที่ขัดกันอย่างน่าเกลียด ชวนให้สยดสยอง

ก่อนนี้ มนุษย์ทำสงครามเพื่อแย่งที่อยู่ที่กิน แต่เดี๋ยวนี้ทำสงครามเพื่อแย่งความเป็นใหญ่

สงครามเพื่อรักษาไว้ซึ่งความเป็นมหาอำนาจ

ก่อนนี้ มนุษย์ทำสงครามกับชนชาติอื่นที่มารุกราน แต่เดี๋ยวนี้ทำสงครามเข่นฆ่ากันเอง เพียงเพื่อแย่งผลประโยชน์ของคนบางคน บางกลุ่ม

ก่อนนี้ มนุษย์ทำสงครามและจบสงครามพร้อมกับการยอมแพ้ การเจรจา แต่เดี๋ยวนี้ทำสงครามเพื่อล้างเผ่าพันธุ์

สงครามจึงไม่มีวันหมดสิ้น สงครามอาวุธ สงครามจิตวิทยา สงครามเย็น...


เคยมีการพูดกันติดปากว่า หากรักสงบต้องเตรียมพร้อมรบ

นอกจากพูดติดปาก ยังทำกันเป็นเรื่องเป็นราว

แต่ละแห่งมุ่งสะสมอาวุธร้ายแรง ตั้งแต่ปืนไปจนเครื่องบินรบโดยไม่เข้าใจว่า ยิ่งมีอาวุธร้ายแรงอยู่ในครอบครองเท่าไร ยิ่งจะมีความมั่นคงและความสงบ

แต่ไม่เคยฉุกคิดว่า ยิ่งมีอาวุธในครอบครองมากเท่าไร ความพร้อมจะรบราฆ่าฟันยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น

เหมือนนักเลงหัวไม้ ยิ่งพกอาวุธยิ่งเหิมเกริม กล้าได้กล้าเสียก่อเรื่องทะเลาะวิวาทได้ทุกเวลา


ในเมื่อทุกประเทศต่างมุ่งสะสมอาวุธร้ายไว้ การผลิตอาวุธก็ดูจะไม่มีวันจบสิ้น

มีการพัฒนาสมรรถภาพ รัศมีการทำลาย ประสิทธิภาพของการเข่นฆ่า ความร้ายแรงของผลที่ตามมา...

มันเป็นการพัฒนาที่ควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีอื่นๆ เคียงบ่าเคียงไหล่ หรือบ่อยครั้งก็ล้ำหน้าไปไกล

ขณะที่มีการพัฒนาความอยู่ดีกินดีของมนุษย์ ก็มีการพัฒนาการทำลายเข่นฆ่ามนุษย์ไปพร้อมๆกัน

ในเมื่อมีการพัฒนาและทุ่มทุนมหาศาล จำต้องมีการกอบโกยผลกำไรคืนมา ธุรกิจนั้นๆ จึงจะอยู่ได้ฉันใด

ในเมื่อมีการพัฒนาและทุ่มทุนทางด้านอาวุธ จำต้องมีการมุ่งผลกำไรคืนมาฉันนั้น

ทว่า มันเป็นการคือกำไรบนซากศพ บนการทำลาย บนการสูญเสีย บนความพินาศ

และนี่คือสาเหตุของสงครามจะไม่มีวันสิ้นสุดไปจากโลกนี้ ตราบใดที่ยังมีธุรกิจอาวุธสงครามอยู่

จะพัฒนาอาวุธแต่ละชิ้นได้ ต้องมีการทดสอบ ต้องมีสงครามจะขายอาวุธที่พัฒนาและผลิตออกมาได้ ต้องมีสนามรบรองรับถ้าไม่มีสงคราม สนามรบ ผู้รับประโยชน์จากอาวุธสงครามก็พยายามทำให้เกิดขึ้นให้ได้

ประเภทเสี้ยมเขาให้ชนกัน หรือจับแพะชนแกะเหยื่อไร้ความผิดก็ต้องสังเวยชีวิตต่อไป อย่างไม่มีวันจบสิ้นเพียงเพื่อผลประโยชน์มหาศาลให้แก่ใครบางคน ประเทศบางประเทศ


สงครามจะไม่มีวันเกิดขึ้นหากคนประกาศสงครามมีลูกเป็นทหารอยู่” เป็นคำพูดที่น่าคิด

แต่จะมีแม่ทัพหรือหัวหน้ากี่คน ผู้ผลิตอาวุธกี่รายที่จะคิดเช่นนี้บ้าง

จะคิดก็แค่ “ชีวิตคนอื่น ผลประโยชน์ของข้า”

สงคราม การเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การอพยพ ความหิวโหย...ก็คงต้องมีต่อไป




ใครเป็นของใคร?

ข่าวคราวเรื่องเพชรซาอุฯ ดูจะบานปลาย และเพิ่มความโหดเหี้ยมขึ้นเรื่อยๆ

มันน่าเศร้า เมื่อมาคิดว่า ชีวิตคนหลายคนต้องมาสังเวยเพราะหินมีค่าไม่กี่เม็ด

คนมักพูดว่า ฉันเป็นเจ้าของเงิน ทรัพย์สิน สมบัติ...

แต่จริงๆ แล้ว บ่อยครั้ง เงิน ทรัพย์สิน สมบัติ ต่างหากที่เป็นเจ้าของคน

และทุกครั้งที่ทุกสิ่งเหล่านี้เป็นเจ้าของคน มันมักเป็นเจ้าของที่เหี้ยมโหด ไม่เคยปราณีใคร

มันจะสั่งให้คนทำทุกอย่าง เพียงเพื่อได้มันมา

มันบังคับให้พี่น้องคลานตามกันมา ฆ่ากันเพียงเพื่อมรดกก้อนหนึ่ง

มันสั่งให้พ่อขายได้แม้กระทั่งลูกสาว เพียงเพื่อได้เงินและของเข้าบ้านไม่กี่อย่าง

มันทำให้ครอบครัวต้องแตกแยก เพียงเพื่อผลประโยชน์ที่มันจะหยิบยื่นให้อย่างสองอย่าง

มันสั่งให้ลูกฆ่าพ่อแม่ เพียงเพื่อชิงมรดกก่อนที่จะต้องแบ่งกับใครต่อใคร

มันทำให้คนทุจริต ผิดจรรยาบรรณ เพื่อจะได้มันมาอย่างไม่ถูกต้อง

มันทำให้หลายคนต้องการอุดมการณ์ เพียงเพื่อจะได้มันสักพักสองพัก

มันทำให้คนที่เคยเป็นเพื่อนตายกันมาตลอด ต้องกลายเป็นคู่แข่งและศัตรูที่ต้องทำลายล้างผลาญ

มันทำให้หญิงสาวต้องขายพรหมจรรย์ที่พึงหวงแหน เพียงเพื่อได้มันมาอย่างง่ายๆ

มันทำให้พ่อแม่หลายคนขโมยเวลาที่ลูกควรได้รับ เพียงเพื่อได้มันมามากขึ้น

มันทำให้สามีภรรยายอมแตกหัก ทิ้งขว้างลูกไว้ตามยถากรรม เพราะเห็นแก่มัน


สิ่งของ เงินทอง มีไว้เพื่อใช้ ไม่ใช่มีไว้เพื่อครอบครอง

ในเมื่อชีวิตในโลกนี้ เป็นแค่ทางผ่าน การใช้สิ่งของ เงินทอง จึงเป็นสิ่งถูกต้อง แต่การคิดจะครอบครองนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะชีวิตอนิจจังสังขารไม่เที่ยง

สิ่งของ เงินทอง วันนี้เราใช้ วันหน้าคนอื่นใช้ต่อ

เราไป มันยังคงอยู่ต่อ แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าครอบครองมันได้อย่างไร

ตราบใดที่เงินทองสิ่งของใช้อยู่ที่มือ เรายังเป็นนายเหนือมัน และใช้มันตามใจเรา

แต่เมื่อใดที่สิ่งของเงินทองไม่อยู่ที่มือ และเข้าไปอยู่ในใจ เมื่อนั้นสิ่งของจะเป็นนายเรา และต้องใช้ตามใจมัน

และเมื่อมันเป็นนาย มันเป็นนายที่เหี้ยมโหด ไม่เคยเมตตาใคร

ตราบใดที่เงินทองข้าวของอยู่ที่มือ มันก็สามารถเปลี่ยนแปรจากมือเราไปสู่มือเพื่อนพี่น้องที่ขัดสนได้ง่าย

แต่เมื่อใดที่มันเข้าไปอยู่ในใจแล้ว มันยากที่จะผ่านจากมือเราไปถึงมือผู้อื่น และทุกครั้งที่จำใจต้องให้มันผ่านไป ความเสียดาย ความอาลัย ความรู้สึกขาด พลันเกิดขึ้นและคอยกัดกินใจอย่างไม่มีสิ้นสุด

ตราบใดที่สิ่งของเงินทองอยู่ที่ปลายมือ มันง่ายจะแบ่งปัน จุนเจือ ถือว่ามีก็แบ่งกันกินแบ่งกันใช้

แต่เมื่อใดมันเข้าไปอยู่ในใจแล้ว มันยากที่จะปล่อยมันหลุดไป และทุกครั้งที่มีอันต้องหลุดหายไป ก็ให้รู้สึกดังว่าส่วนหนึ่งของใจต้องถูกตัดขาดไป อย่างไรอย่างนั้น

ตราบใดที่สิ่งของเงินทองอยู่ที่ปลายมือ มันสามารถเป็นประโยชน์ให้ได้ทั้งคนมีและคนไม่มี

แต่เมื่อใดมันเข้าไปในใจแล้ว ประโยชน์อย่างเดียวที่เหลือคือ ตัวข้า

ตราบใดที่สิ่งของเงินทองอยู่ที่ปลายมือ ใจให้รู้สึกกว้างดังมหาสมุทร

แต่เมื่อใดมันเข้าไปในใจแล้ว มือเอาแต่กำแน่นอย่างเดียว ใจก็แคบลงถนัด

ตราบใดที่สิ่งของเงินทองยังอยู่ที่มือ คนยังเป็นคนทั้งครบ

แต่เมื่อใดมันเข้าไปในใจแล้ว เมื่อนั้นคนกลายเป็นสิ่งของเงินทอง อย่างที่ฝรั่งเขาพูดไว้อย่างคมคายว่า บอกฉันหน่อยว่าคุณรักอะไร แล้วฉันจะบอกได้เลว่าคุณเป็นอะไร...

ตราบใดที่สิ่งของเงินทองอยู่ที่มือ เมื่อมีเกินกินเกินใช้มันให้รู้สึกล้นมือ มีมากไป

แต่เมื่อใดที่มันเข้าไปในใจแล้ว เมื่อนั้นยิ่งมีมันมากเท่าไรยิ่งรู้สึกว่ายังมีไม่พอ

เพราะ ความร่ำรวยนั้นเหมือนทะเล ยิ่งดื่มกินเข้าไปเท่าไรยิ่งจะกระหายมากขึ้น*


















รักแรกพบ?

ไม่น้อยคนยังเชื่อใน “รักแรกพบ”

ทันทีที่เห็นกัน ก็เกอดอาการ “ปิ๊ง”... ถูกชะตา ต้องใจ ชอบ รัก...

บางรายก็ลงเอยด้วย Happy Ending... สร้างชีวิตคู่ สร้างครอบครัว และอยู่กันอย่างเป็นสุข

ก็เลยปักใจเชื่อกันนักกันหนาว่า มี “รักแรกพบ”


มีอีกไม่น้อยเหมือนกัน ที่เชื่อใน “รักแรกพบ”

แต่ก็เป็นเพียงแค่การ “ปิ๊ง” และ รักตอนแรกที่พบ คบกันสักพักก็มีอันต้องเลิกรากันไป พร้อมกับความรู้สึกผิดหวัง...นึกว่าจะเป็นอย่างที่เราคิด แต่ที่ไหนได้...

รักประเภทนี้จึงสั้น สั้นพอๆ กับคำว่า “ปิ๊ง” อย่างไรอย่างนั้น

แล้วก็เที่ยว “ปิ๊ง” กันไปเรื่อย เดี๋ยวคนนั้น เดี๋ยวคนนี้

เพราะ ความรักใดที่เริ่มง่ายๆ ในเวลาอันสั้น มักจะจบง่ายๆ และในเวลาอันสั้นเช่นกัน

แต่ความรักใดที่ค่อยเริ่ม สานขึ้นมาอย่างช้าๆ และสุกหง่อมพร้อมกับเวลา ย่อมเป็นความรักยืนนาน และลึกล้ำ

เวลา และ ความรัก จึงเป็นของคู่กัน

รักต้องการเวลา เพื่อเรียนรู้จักกันและกัน ไม่ใช่เพียงแค่หน้าตารูปร่าง

เพราะรักไม่อยู่แค่ความพึงพอใจในรูปร่างหน้าตาภายนอกอย่างเดียว แต่เข้าลึกไปถึงใจ

จนกระทั่งว่า แม้หน้าตา สังขารจะเปลี่ยนแปลงไป แต่จิตใจยังคงยึดมั่นหนึ่งเดียว

รักต้องมีเวลา เพื่ออยู่เป็นเพื่อน ให้ความใกล้ชิดอบอุ่น

เพราะนั่นคือธรรมชาติของความรัก รักเรียกร้องความใกล้ชิด สนิทสัมพันธ์

ใจเรียกร้องให้กายใกล้กัน ให้ความรู้สึกอบอุ่น กระชับใจให้แน่นแฟ้นมากขึ้น

ฝรั่งจึงพูดว่า Out of sight, out of mind หรือไกลตา ไม่ช้าก็ไกลใจ

รักต้องให้เวลา ทุกครั้งที่ต้องการ

เพราะให้เวลา คือ ให้ความสำคัญ... คุณสำคัญที่สุดสำหรับฉัน

ให้สิ่งของมันง่ายกว่าการให้เวลา เพราะให้เวลาคือให้ตัวคุณทั้งหมด...ที่นั่น

รักต้องใช้เวลา เพื่อศึกษาเรียนรู้กันและกัน

เรียนรู้วิชา เรียนรู้สิ่งของ มีวันที่จะจบสิ้น รู้แจ้ง

แต่คนและจิตใจคน เป็นหนังสือที่ไม่มีบทสุดท้าย มีแต่ปกหน้าแต่ไม่มีปกหลัง จะอ่านจะเรียนรู้อย่างไรก็ไม่มีวันรู้ทะลุปรุโปร่ง

เมื่อใดที่เลิกเรียนรู้ หรืออ้างว่าไม่มีอะไรจะเรียนรู้อีกแล้ว เมื่อนั้นความรักก็ถึงจุดสิ้นสุด


รักต้องโพ้นเวลา ไม่มีเวลาสำหรับความรัก เพราะรักกันก็คือรักโดยไม่มีเวลา

ความรักต้องต่อเนื่องอย่างไม่มีการแบ่งแยกช่วงเวลา ตอนนี้รัก ตอนนี้ไม่รัก ตอนนี้ทำเพื่อรัก ตอนนี้ไม่ได้ทำเพื่อรัก ตอนนี้น่ารัก ตอนนี้ไม่น่ารัก

ความรัก รักเสมอ แม้วันเวลาจะผ่านพ้นจากชั่วโมงเป็นวัน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี แต่ความรักมีแต่รัก รักมากขึ้น รักเสมอ รักไม่รู้หน่าย


ถ้าจะพูดแล้ว “รักแรกพบ” ยังพูดไม่ถูกนัก

คนเรารักคนที่อยากรักมานานแล้ว แต่รักในใจ ในความคิด ในความฝัน... ฉันชอบผู้ชาย/ผู้หญิงแบบนี้ นิสัยอย่างนี้ รูปร่างหน้าตาแบบนี้ ทัศนะอย่างนี้... อย่างที่มักจะพูดกันว่าบุคคลในอุดมการณ์ หรือจะพูดภาษาวัยรุ่น คนตามสเป๊ค

แล้ววันนั้นมาเห็นบุคคลในอุดมการณ์ เป็นตัวเป็นตน ก็เลยสมหวัง ชื่นชอบ ถูกชะตา รักชอบ

ไม่ใช่ว่าจะเริ่มรักเริ่มชอบตอนนั้น แต่รักมานานแล้วและเพิ่งจะพบต่างหาก

ถ้าจะพูดให้ถูกแล้ว น่าจะเป็น “รักเพิ่งพบ” มากกว่า

ฟังดูแล้ว ให้ความหมายกับคำว่า “รัก” ได้ดีกวา และยืดยาวนานกว่ากันเยอะเลย*


















วัยที่เคยหวานชื่น

โลกสวยด้วยเยาวชน” คือ ชื่อการชุมนุมเยาวชนครั้งที่ 4 ของสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

ฟังแล้วให้ความรู้สึกดีๆ สดชื่น สดใส งดงาม น่ารัก สมกับวัยนี้

วัยที่ธรรมชาติเอื้ออำนวยให้มีความสนุกสนาน ร่าเริง ก่อนที่เริ่มรับภาระแห่งชีวิต

คนส่วนมากหวนกลับไปสู่ความทรงจำแห่งวัยเด็กแล้วให้รู้สึกมีความสุข มีความสดชื่นหรรษา แล้วก็อดไม่ได้ที่แอบถอนหายใจด้วยความเสียดาย

วัยที่ไม่ต้องเป็นกังวลด้วยเรื่องใด เพราะมีพ่อแม่เป็นกังวลให้หมด

วัยที่ยังไม่ต้องรับผิดชอบ คนอื่นรับผิดชอบให้แทน

วัยที่อบอุ่นด้วยไอรักละการดูแล

วัยที่เพื่อนทุกคนเท่าเทียมกันหมด

วัยที่มองอะไรก็งดงาม สดใส ชวนให้ฝันใฝ่

วัยที่บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา มองโลกแง่ดี

โลกเลยพลอยสดสวย เริงร่า มีชีวิตชีวาด้วยเยาวชนน้อยใหญ่

คิดถึงเยาวชนที น่าจะถือเป็นหน้าที่ร่วมกัน ในอันที่จะคืนความเป็นเยาวชนให้แก่เยาวชน

ทุกวันนี้ มีแนวโน้มจะฉกชิงวัยเด็กไปจากเด็กอย่างร้ายกาจ แทบจะไม่รู้ตัว

เด็กหลายคน ไม่ทันจะได้เป็นเด็ก ก็ต้องเป็นผู้ใหญ่ด้วยความจำเป็นและจนใจ

ต้องทำมาหากินเฉกเช่นผู้ใหญ่ วันหนึ่งๆ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่มีเวลาสนุกสนานประสาเด็ก

ต้องทำหน้าที่แทนพ่อแม่ รับผิดชอบเลี้ยงดูน้องๆ แทบจะไม่เหลือความเป็นเด็กให้เห็น

ต้องเข้าสู่ธุรกิจที่แม้ผู้ใหญ่ทำก็ยังผิดศีลธรรมและจรรยาบรรณ

ต้องหมกมุ่นกับอบายมุข ที่ผู้ใหญ่จัดหามาเสนอให้ในทุกรูปทุกแบบ

ต้องรับผิดชอบชีวิตเอง ตะลอนๆ ไป เพียงเพื่ออยู่รอดไปวันๆ

ต้องมีประสบการณ์เกินวัยที่ผู้ใหญ่ใช้สื่อมวลชนยุแหย่ ตั้งแต่เหล้า บุหรี่ ยาเสพติด ไปจนเพศ

ต้องขายแรงงาน ทำงานหนักเท่าผู้ใหญ่ แต่ค่าจ้างแรงงานได้รับน้อยกว่า

ต้องแต่งเนื้อแต่งตัวตามที่ผู้ใหญ่ในวงการแฟชั่นกำหนดให้ แทบไม่มีสิทธิ์ได้เลือก

ต้องขายร่างน้อยๆ เพียงเพื่อแลกกับเงินที่ผู้ใหญ่ไร้มนุษยธรรมหยิบยื่นให้ชั่วครั้งชั่วคราว

นอกจากจะถูกช่วงชิงความเป็นเด็กไปแล้ว ยังต้องรีบเร่งเป็นผู้ใหญ่ก่อนจะสิ้นวัยเด็กเสียอีก

ต้องมารับรู้เรื่องความขัดแย้ง การทะเลาะเบาะแว้ง และการใช้ความรุนแรงของพ่อแม่

ต้องมารับรู้ความรักจืดจาง ถึงขั้นแตกหักของพ่อแม่ อย่างช่วยอะไรไม่ได้

ต้องมารับรู้ความไม่ซื่อสัตย์ของพ่อที่เที่ยวมีบ้านเล็กบ้านใหญ่ ของแม่ที่ให้ความสนใจนอกบ้านมากกว่าในบ้าน

ต้องมาเรียนรู้ดูแลตนเอง ยามมีปัญหาหรือยามเหงาขาดความรักและความอบอุ่น

และอื่นๆ อีกมาก มากเกินกว่าหัวใจน้อยๆ ของเด็กจะรับได้

มาช่วยกันคืนความเป็นเด็กให้แก่เด็ก ความเป็นเยาวชนให้แก่เยาวชนกันเถอะครับ

เพราะนั้นคือสิทธิของเขาที่ธรรมชาติมอบให้ตามขั้นตอนพัฒนาการของมนุษย์

ขั้นตอนซึ่งหากกระโดดข้ามแล้ว ผลกระทบจะมีไปชั่วชีวิต

เคารพในสิทธิของเด็กในการเป็นเด็กรวมถึงการไม่เร่งรัดให้เด็กเป็นผู้ใหญ่ก่อนเวลา ราวกับว่าวัยเด็กเป็นวัยบกพร่อง ที่ต้องรีบๆ ผ่าน

การชอบแต่งตัวและวาดหน้าวาดตาเด็กให้เป็นผู้ใหญ่ ใช่จะน่ารักก็เปล่า

ทั้งๆ ที่ธรรมชาติให้ความน่ารักแก่วัยไว้อย่างเหลือเฟือแล้ว การกระทำดังกล่าวรังแต่จะทำให้เกิดความแก่สารพัด...แก่ก่อนวัย แก่แดดแก่ลม

หากผู้ใหญ่ฉุกคิดสักนิดว่า ตนก็เคยเป็นเด็กมาก่อน การกระทำต่อเด็กคงจะดีกว่านี้ มีความเข้าใจเด็กมากกว่านี้ เห็นอกเห็นใจเด็กมากกว่านี้

และโลกใบนี้ ก็จะสวยด้วยเยาวชน จริงด้วย*















อีกแล้ว

เงียบไปนาน เริ่มจะเป็นข่าวเป็นคราวขึ้นมาอีกแล้ว

ก็ซัดดัม ฮุสเซน แห่งอิรัก ที่กำลังตกเป็นข่าว สร้างความเสียขวัญให้แก่โลก

อยู่ดีๆ ก็เคลื่อนทัพครั้งใหญ่เข้าประชิดพรมแดนคูเวต ดังเสือหิวคืบคลานเข้าหาเหยื่อ

ทุกคนจับตามองการเคลื่อนไหวครั้งนี้ด้วยใจจดใจจ่อ เพราะหากมีอะไรเกิดขึ้น นั่นหมายถึงผลกระทบไปถึงทุกอย่าง ตั้งแต่ตลาดหุ้นไปจนถึงราคาข้าวของ

ยังมองไม่ออกเหมือนกันว่า ซัดดัมจะมาไม่ไหน และมีอะไรแอบแฝงอยู่ในเจตนา

แต่ที่มองเห็นได้ง่ายๆ ก็คือ คนไม่มีความสุขความสงบ ย่อมก่อความแตกร้าวและความวุ่นวายไปทั่ว

เพราะคนไม่มีความสุขความสงบ จะไม่ยอมให้ใครมีความสุขความสงบ

ประเภทฉันไม่มีความสุข คนอื่นก็ไม่ควรจะมีความสุขด้วย

แค่เห็นคนอื่นมีความสุข มันก็ก่อให้เกิดความทุกข์แล้ว... ทุกข์ที่ไม่มีความสุข และทุกข์ที่ทำไมคนอื่นเขามีความสุขได้

ความสุขของคนอื่นกลายเป็นความทุกข์สำหรับตน ความสำเร็จของคนอื่นกลายเป็นความล้มเหลว ความสนุกสนานร่าเริงของคนอื่นกลายเป็นความเศร้าของตน

ทั้งๆ ที่ไม่มีใครไปก่อให้เกิด

และคนประเภทนี้มีให้เห็นทั่วไปในสังคม

เห็นครอบครัวเขามีความสุข รักใคร่กลมเกลียว จะต้องหาเรื่องทำให้แตกแยก

เห็นเขามีชื่อเสียง จะต้องหาทางทำลายป้ายร้ายป้ายสีให้มัวหมอง

เห็นเขามีความสำเร็จ จะต้องกลั่นแกล้งกีดขวาง เลื่อยขาเก้าอี้

เห็นบ้านเรือนเขาสวยงามน่าอยู่ จะต้องหาทางทำให้เสียหาย

เห็นไม้ดอกไม้ผลบ้านเขางาม จะต้องหาทางทำลายแกล้งทึ้งแกล้งถอน

เห็นรถยนต์เขาสวย จะต้องหาทางขูดขีดให้เกิดริ้วเกิดรอย

หากทำได้สำเร็จ จะรู้สึกสะใจ ไม่เพราะมีความสุข แต่รู้สึกมีทุกข์น้อยลง ทุกข์ที่เกิดจากการไม่สามารถเป็นและมีเหมือนคนอื่น

ให้มันต้องโดนเจออย่างฉันบ้าง เรื่องอะไรฉันจะต้องโดนคนเดียว”

และหากทำลายภายนอกไม่ได้ ก็จะทำลายภายในใจ...อิจฉาริษยา สาปแช่ง พูดร้ายป้ายสี


หากวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมทุกวันนี้ จะเห็นว่าส่วนมากมาจากสัญชาตญาณดิบลึกๆ อันนี้


ตั้งแต่การเข่นฆ่าทำลายไปถึงการปล้นสะดมฉกชิงวิ่งราว การชิงดีชิงเด่นไปถึงการทะเลาะวิวาท

จากในวงศาคณาญาติ ไปถึงระดับชาติ ระดับโลก

ทุกอย่างเริ่มต้นจากใจคุณนั่นแหละ

ก่อนที่คุณจะทะเลาะกับคนอื่น คุณเริ่มทะเลาะกับตัวคุณก่อนแล้ว

ก่อนจะตีหน้าบึ้งหน้าบูด คุณเริ่มหน้าบูดบึ้งกับตัวคุณก่อนแล้ว

ก่อนจะเกลียดชังคนอื่น คุณเริ่มเกลียดตัวคุณเองก่อนแล้ว

ก่อนคิดรังเกียจข้อบกพร่องคนอืน คุณเริ่มยอมรับข้อบกพร่องในตัวคุณไม่ได้ก่อนแล้ว

คงไม่ผิดที่มีคนเคยพูดไว้ว่า “ความรักต้องเริ่มจากที่บ้าน”...เริ่มจากตัวคุณ

ถ้าคุณรักตัวคุณถูกต้อง คุณจะรู้จักรักคนอื่น แต่ถ้ารักตัวคุณเองผิด คุณก็จะปฏิบัติผิดต่อผู้อื่น

โบราณจึงไม่สอนบอกว่า “จงรักผู้อื่น เหมือนรักตนเอง”

ถ้าซัดดัม ฮุสเซน รักตัวเองถูกต้องกว่านี้ โลกคงไม่ต้องผวาครั้งแล้วครั้งเล่า แบบนี้แน่*




จะสร้างหรือเสก

คนทุกวันนี้ ต้องการความสุขแบบเสก ไม่ใช่แบบสร้าง” พระพิพิธธรรมสุนทรเขียน

ผมอ่านดูแล้ว เห็นสัจธรรมหลายอย่าง

ในยุคแห่งความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี ทุกสิ่งได้มาดุจเนรมิต

ความรวดเร็วทันใจ คือ กุญแจแห่งการแข่งขันในสังคมบริโภคนิยม

ตั้งแต่อาหารการกิน ประเภทฟ้าสต์ฟูด ไปถึงเครื่องมือเครื่องใช้

กล้องถ่ายรูปปัญญาอ่อน อย่างที่หลายคนเรียก ก็เป็นหนึ่งตัวอย่างแห่งการพัฒนานำไปสู่การประหยัดเวลา แต่ผลที่ออกมาไม่แพ้กล้องถ่ายรูปสมัยก่อนที่ต้องใช้ฝีมือและความชำนาญที่สั่งสมในกาลเวลา

ที่จริง ถ้าจะให้ถูกแล้ว น่าจะเรียกว่ากล้องไฮเทค สำหรับคนปัญญาอ่อนใช้มากกว่า

เครื่องวิทยุ โทรทัศน์ ที่แข่งอวดสรรพคุณแบบเปิดปุ๊บติดปั๊บ แถมไม่ต้องลุกไปเปลี่ยนช่องสถานีให้รำคาญ ตอกย้ำค่านิยมว่า ของดีต้องรวดเร็วและทันใจ

แม้แต่ผลิตภัณฑ์ที่เป็นงานฝีมือ ก็เปลี่ยนการผลิตออกมาเป็นชุด ในเวลาอันรวดเร็ว

ก่อนนี้ ขันเงินแต่ละใบ กว่าจะบรรจงเคาะตบแต่งลวดลายงดงามอย่างมีคุณค่า ต้องใช้เวลาและความพากเพียร

แต่เดี๋ยวนี้ในเวลาเท่าๆ กัน จำนวนที่ผลิตออกมาต่างกันลิบลับ แม้จะงดงามประณีตน้อยกว่า

กับข้าวกับปลา ก่อนนี้ต้องตำเครื่องแกง ขูดมะพร้าว เตรียมผักเตรียมปลา แต่เดี๋ยวนี้เป็นชุดๆ บรรจุกล่องโฟมวางขายในซุปเปอร์มาร์เกต ให้ซื้อหากลับไปใส่น้ำตั้งไฟไม่กี่อึดใจ ก็ได้กินสม

อยากแล้ว

ของเล่นเด็ก ก่อนนี้ต้องสร้างต้องทำกันขึ้นมาทีละชิ้นทีละอัน แต่เดี๋ยวนี้มีเงินบันดาลให้ได้มาแทบไม่ต้องออกแรงและความคิด

เกมส์ที่เล่นก็ต้องใช้ความรวดเร็ว เพื่อพิชิตชัยชนะ แทบไม่ต้องใช้ไหวพริบ

เหล่านี้ เป็นผลพวงจากการพัฒนา และรูปแบบชีวิตยุคนี้


หากเป็นแค่เรื่องของรูปแบบชีวิตการบริโภคที่ต้องแข่งกับเวลาก็ยังพอทำเนา

แต่นี่กลายเป็นรูปแบบของสิ่งที่เกี่ยวกับคุณค่าลึกๆ ในจิตใจมนุษย์ด้วย นี่สิน่าเป็นห่วง

ความสุข ไม่อยากจะใช้เวลาและความพยายามสร้าง แต่อยากจะได้ทันทีทันใด

ทุ่มเทซื้อหาความสุข ราวกับว่าความสุขเป็นแค่สินค้าชิ้นหนึ่ง

กว่าจะรู้ว่าความสุขที่ซื้อหามา เป็นแค่ความสุขผิวเผิน ชั่วครู่ชั่วยาม ก็ต้องเสียทั้งเวลาและเสียความรู้สึกไปมากต่อมาก

เพราะเที่ยวหาความสุขไปทั่ว แต่ความสุขแท้อยู่ในตัวกลับไม่คิดจะมอง

แล้วก็ลงเอยเหมือนเด็กเล่นไล่จับเงาตัวเอง กระโดดตะครุบเงา แต่เงาก็เคลื่อนหนีเรื่อยไป

เลี้ยงลูกก็อยากให้เติบโตพัฒนารวดเร็วทันใจ โดยไม่คำนึงว่า การพัฒนาด้านจิตใจต้องใช้เวลาบ่มฟักให้สุกทีละขั้นตอน

เลยเที่ยวเร่งร่างกายให้เติบโตด้วยอาหารเสริมสารพัด และเร่งรัดจิตใจให้เป็นผู้ใหญ่ข้ามวันข้ามคืน

ยังไม่ทันเป็นเด็กเต็มที่ ก็อยากให้เป็นผู้ใหญ่แล้ว

เลยเกิดพฤติกรรมและการกระทำแบบผู้ใหญ่ ในวัยเด็กที่ฟันน้ำนมยังไม่ทันหมดปาด

การภาวนาก็ไม่ละเว้น อยากให้ได้ทันทีทันใด

ทำราวพระเจ้าเป็นตู้ เอ ที เอ็ม ใส่บัตร กดรหัส เงินไหลออกมาทันใด

ภาวนาบทไหนที่สั้นและเป็นสูตรสำเร็จเพื่อจะได้สิ่งที่ขอ จะนิยมสวดพร้อมช่วยกันแพร่หลายจนดูจะเป็นคาถาอาคม มากกว่าคำภาวนา

วัดไหนมิสซาจบไว พระสงฆ์เทศน์สั้น จะแห่หันกันไป ถือเป็นการได้กำไรไปในตัวเสร็จสรรพ


ในเมื่อคนเลือก “การเสก” มากกว่า “การสร้าง” วันหนึ่งๆ ก็มีแต่พูด “ขอให้...”

ขอให้รวยซักที...ขอให้มีบ้าน...ขอให้มีรถยนต์...ขอให้ได้แฟน...ขอให้มีความสุข...ขอให้ได้กิน...ขอให้ได้เมา...ขอให้เรียนจบ...ขอให้งานทำ...ขอให้ได้บรรจุ...ขอให้ถูกรางวัลที่หนึ่ง ฯลฯ

แล้วก็ปล่อยให้โชคชะตานำพาไปตามบุญตามกรรม

ทั้งๆ ที่คนเป็นผู้กำหนดโชคชะตาให้ตนเองด้วย “การสร้าง” แท้ๆ*





























รถแท็กซี่

สิ่งที่ผมไม่ชอบ เวลาขับรถไปตามถนนในกรุงเทพฯ คือ ขับรถตามหลังรถแท็กซี่

เห็นเมื่อไร จะต้องพยายามแซงให้พ้น หรือเปลี่ยนเส้นทางวิ่ง

จะว่าผมมีอะไรผูกเจ็บเป็นการส่วนตัวกับคนขับแท็กซี่ก็เปล่า เพราะไม่เคยรู้จักมักคุ้นกับคนทำงานอาชีพนี้เลย

แม้บางครั้งต้องใช้การบริการแท็กซี่ และพูดคุยออกรสออกชาดกั บคนขับ แต่ก็เพียงทักทายถามทุกข์ถามสุขประสาคนร่วมชาติ

ที่ว่าไม่ชอบขับรถตามหลังรถแท็กซี่ จะพูดกันให้รัดกุมแล้ว ผมไม่ได้หมายถึงทุกคัน

เฉพาะรถแท็กซี่ที่ไม่มีผู้โดยสาร

คนขับจะขับไป ตามองหาผู้โดยสารข้างทางไป โดยไม่คำนึงว่า มีรถอะไรตามหลังมาบ้าง

ไม่คิดด้วยซ้ำว่า คนอื่นเขาต้องรีบไปรีบกลับ ขับไปเรื่อยเปื่อย

ตาจะอยู่นอกถนนมากกว่าในถนน เหลือบไปเห็นผู้โดยสารเมื่อไร ก็จะหยุดรถกระทันหัน ไม่คิดถึงคันหลังตามมา ที่คนขับต้องเหยียบเบรคตามจนตัวโยก

ใจหายใจคว่ำกับการต้องหยุดรถกรั้นชิดยังไม่พอ ยังต้องรอให้เขาพูดจาตกลงกันเป็นนานสองนาน ก่อนที่ออกรถต่อไปได้

และถ้าตกลงกันไม่ได้ ก็ต้องทำใจขับรถตามเรื่อยเปื่อยไปเหมือนเดิม พร้อมกับความรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ พร้อมจะหยุดรถได้ทุกเมื่อ

ช่างต่างไปจากคนขับรถแท็กซี่ที่มีผู้โดยสาร

คนขับจัรีบเร่ง รวดเร็ว แซงซ้ายแซงขวา จนบางครั้งน่าหวาดเสียว

แม้จะเป็นแท็กซี่หาเช้ากินค่ำด้วยกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

คันที่ไม่มีผู้โดยสาร ไม่มีจุดหมายปลายทางที่ชัดเจน วิ่งไปเรื่อยเปื่อยจอดนั่นแวะนี่ ขณะที่เผาผลาญเชื้อเพลิงไปอย่างมีคุณค่า

แม้บ่อยครั้งต้องทำใจเมื่อต้องขับรถตามหลังรถแท็กซี่ แต่ทำให้ผมเห็นสัจธรรมชีวิตหลายแง่หลายมุม

คนเราทุกวันนี้ ก็ไม่ผิดกับรถแท็กซี่นัก

บางคนมีชีวิตไปวันหนึ่งๆ โดยไม่มีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจน

วอกแวก แวะเวียน ไปเรื่อยๆ ตามรายทางชีวิต



เที่ยวมองหาเป้าหมายชีวิตที่นั่นที่นี่ โดยยังไม่รู้ว่า ต้องการอะไรแน่ๆ ในชีวิต

นอกจากจะไม่ก้าวเดินไปข้างหน้าแล้ว ยังกีดขวางเป็นอุปสรรคทำให้คนที่มีเป้าหมายชัดเจนต้องล่าช้าตามไปด้วย

ในเมื่อไร้ซึ่งเป้าหมาย พลังและศักยภาพในตัวหดหายไปทีละน้อย ความกระตือรือล้นก็เจือจางกลายเป็นความเรื่อยเปื่อย เช้าชามเย็นชาม

ชีวิตผลาญไปวันๆ อย่างไร้คุณค่า เห็นแล้วให้รู้สึกเสียดาย

ช่างต่างกับคนที่มีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจนแน่นอน

แม้กระทั่งการเดินการเหิรก็ยังเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

ชีวิตวันหนึ่งๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความหนักแน่น ไม่วอกแวก โลเล

พลังและศักยภาพทั้งหมดถูกนำมาและพัฒนาอย่างไม่รู้หมด

คนประเภทนี้ย่างเท้าก้าวเดินไปที่ไหน จะก่อให้เกิดความเลื่อนไหวไปรอบๆ ดุจดังพลังแฝงที่แผ่ซ่านออกมา

เพียงแค่อยู่ใกล้ชิด ก็ให้รู้สึกว่าชีวิตมีรสชาด ท้าทาย เรียกร้อง เชื้อเชิญ จนอดไม่ได้ที่จะเดินตามไปด้วย

หากทุกชีวิตมีเป้าหมายเด่นชัด สังคมคงน่าอยู่มากกว่านี้

เหมือนรถแท็กซี่มีผู้โดยสาร การจราจรคงคล่องขึ้นอีกนิด อุบัติเหตุน้อยลงอีกหน่อย แน่ๆ*















บัตรส่งความสุข

บัตรส่งความสุขคริสต์มาสและปีใหม่เริ่มทะยอยเข้ามาแล้ว

ทั้งๆ ที่ค่าส่งเพิ่มขึ้นมาเป็นใบละสองบาท แต่สำหรับคนมีใจผูกพันกัน ถือเป็นเรื่องเล็กน้อย เมื่อแลกกับไมตรีจิตและความปรารถนาดีที่ฝากไปใกล้ไกล

ขอให้มีแต่ความสุข ความทุกข์อย่ากล้ำกราย

แม้จะไกลกาย แต่ใจเคียงข้าง พร่ำย้ำพรให้สุขสมหวัง

แม้วันเวลาจะผ่านพ้นไปดังสายวารี แต่ใจนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

สุขมากๆ นะ เพื่อรัก...

และทำนองนี้อีกมากมาย

เลือกหาที่มีเขียนแต่งพิมพ์ไว้ในบัตรอวยพรแล้วบ้าง เขียนด้วยลายมือตามการชี้บอกของดวงใจบ้าง

รับแล้วให้รู้สึกดีใจ มีความสุข ที่ยังมีคนรัก ห่วงใย และคิดถึง แม้จะบอกกล่าวในเทศกาลนี้ปีละครั้ง ก็ยังดี

พ้นเทศกาลไป ความดีใจและความสุขก็เจือจางลง อย่างที่พูดๆ กัน ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา...

พร้อมกับความปรารถนาลึกๆ เออ...ถ้าเป็นจริงอย่างที่อวยพรกันมาก็ดีสินะ

ทว่าคำอวยพรยังคงเป็นแค่คำพูด เป็นแค่ลายลักษณ์อักษร...ไม่เคยได้สัมผัสจับต้อง ไม่เคยได้รู้สึกเป็นจริงเป็นจัง

บ่อยครั้งเสียอีก ที่มีช่องว่างกว้างใหญ่ ระหว่างชีวิตจริง กับพรมากมายที่ได้รับ

ช่างผิดกับบัตรอวยพรที่เขียนขึ้นมาเกือบสองพันปีแล้ว และแม้วันเวลาจะผ่านพ้นไปแต่พรนั้นยังคงสัมผัสแตะต้องได้ ยังรู้สึกได้

พรที่พระเจ้าทรงส่งให้มนุษย์ พระวจนาถทรงรับเอากายและประทับอยู่กับเรา

แม้จะเป็นแค่ประโยคสั้นๆ แต่เป็นพรยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์เคยได้รับ และยังคงมีการรื้อฟื้นความทรงจำกันทุกปี ตลอดเกือบสองพันปีที่ผ่านมาอย่างไม่รู้เบื่อรู้หน่าย

เพราะพรที่พระท่านทรงให้ ไม่อยู่แค่คำพูด ไม่เป็นเพียงลายลักษณ์อักษร แต่กลับกลายเป็นเลือดเนื้อ ให้เห็นและสัมผัสได้

คำพูดกลายเป็นชีวิต กลายเป็นการกระทำ หรือพรที่พระท่านทรงให้มนุษย์เรา

อวยพรให้มนุษย์เรามีความสุขและอยู่อย่างสันติ ท่านลงมาเป็นมนุษย์เพื่อร่วมชะตาและเสริมเติมแต่งให้ชีวิตให้สมบูรณ์เต็มเปี่ยมขึ้น

อวยพรให้มนุษย์มีความรัก ท่านลงมาสอนหนทางแห่งความรัก และยืนหยัดด้วยชีวิตว่า ไม่มีรักใดยิ่งใหญ่เท่ากับตายเพื่อคนรัก

อวยพรให้มีสุขภาพดีสุขภาพจิตสมบูรณ์ ท่านลงมารักษาคนเจ็บคนป่วย ประกาศบุญลาภด้านจิตใจ

อวยพรให้ได้รับแต่ความดี ท่านลงมาและมอบชีวิตเพื่อไถ่กู้มนุษย์ให้พ้นจากการเป็นทาสของบาปและความตาย

อวยพรให้มีพลังกายกำลังใจ ท่านลงมาอยู่เคียงข้าง ร่วมเดินไปตามเส้นทางชีวิตด้วยกันในฐานะเอมมานูเอล พระผู้ประทับอยู่กับเรา


ตราบใดที่คำอวยพร เป็นแค่คำพูดและลายลักษณ์อักษา มันก็เป็นอะไรที่ว่างเปล่า

แต่เมื่อใดคำพูดอวยพรกลับกลายเป็นเลือดเป็นเนื้อ เป็นตัวเป็นตน ตามเยี่ยงอย่างรหัสธรรมแห่งการรับเอากายของพระเจ้า เมื่อนั้นคือคำอวยพรที่แท้จริง เพราะสัมผัสได้ รู้สึกได้

ขอให้คุณมีความสุข และฉันจะทำทุกอย่างเพื่อให้คุณเป็นสุขจริง

ขอให้คุณโชคดี และฉันจะออกแรงทุ่มเทเพื่อให้คุณโชคดีให้ได้

ขอให้คุณสมหวัง และทุกสิ่งที่ฉันทำได้เพื่อสร้างความสมหวังให้คุณ ฉันจะทำสุดความสามารถ

ขอหี้วิตคุณมีแต่ความรัก และฉันจะเห็นคนแรกที่รักคุณด้วยชีวิตและการกระทำ

คำอวยพรทำนองนี้แหละ คือพรที่ได้รับแล้วให้รู้สึกอิ่มเอิบใจ

แม้คำพูดคำอวยพรจะไม่หยาดเยิ้มชวนให้รู้สึกโรแมนติก แต่ชีวิตและการกระทำงดงามและยิ่งใหญ่เกินกว่าบรรยาย

อวยพรกันแบบนี้ให้มากๆ เถอะครับ ชีวิตคงจะน่าอยู่ขึ้นมาก เริ่มจากที่บ้าน*











ชีวิตใหม่

ต้องยอมรับว่า ผมไม่ค่อยจะรู้เรื่องรู้ราวในวงการเสริมสวยมากนัก

แม้จะมีหลายคนทายทัก ทำไมหน้าจึงอ่อนกว่าวัย ใช้เครื่องสำอางค์อะไร

ผมก็ได้แต่ตอบด้วยจริงใจว่า ไม่เคยมีไม่เคยใช้

จะมีจะใช้ก็เพียงหลักง่ายๆ ของผมว่า หน้าจะอ่อนจะแก อยู่ที่ใจปั้นแต่ง

อยากจะอ่อนกว่าวัย ต้องทำใจให้เป็นหนุ่มเป็นสาว สดชื่น กระชุ่มกระชวย

ไม่ต้องเสียเงินเสียทองดึงยึด ตัดต่อ เสริมแต่ง ลอกขัด แบบกรรมวิธีสร้างเบบี้เฟสหรือหน้าทารกที่ฮือฮากันพักใหญ่ ดูดสตางค์ออกจากกระเป๋าคนอยากหน้าอ่อนมามากต่อมาก

ผู้สันทัดกรณีอธิบายให้ฟังว่า วิธีการทำเบบี้เฟสนั้นไม่ยาก เอาน้ำยาที่มีส่วนผสมของยางมะละกอทาหน้า

ยางมะละกอ ใครๆ ก็รู้ถึงสรรพคุณกันดี กัดผิวหนังได้ชะงัดนัก

ก็สมัยผมเป็นเด็ก ยังเห็นเขาใช้ยางมะละกอเพื่อกัดหูดหัวใหญ่ๆ ออกจากผิวหนังกัน

หลังจากผิวหยน้าโดนยางมะละกอที่ผสมอยู่ในน้ำยาทาหน้าครั้งสองครั้ง ผิวเก่าค่อยๆ ลอกออกมาผิวใหม่ ผิวอ่อนขึ้นมาแทน

แล้วนั้นต้องใช้เครื่องสำอางค์ชุดใหญ่ เพื่อบำรุงผิวอ่อนไว้ให้คงอยู่ พร้อมทั้งปกป้องจากแดดจากฝนไปในตัว

ดูจะยุ่งยากสิ้นเปลืองเงินทองมาก แต่ก็เป็นการลอกเลียนแบบกระบวนการธรรมชาติของร่างกาย... จะมีเซลล์ใหม่ เซลล์เก่าต้องตายไป จะมีเลือดใหม่ไหลเวียน เลือดเสียต้องถูกขับออกไป จะมีอากาศบริสุทธิ์ ปอดต้องฟอกอากาศเสียออกไป จะมีการหล่อเลี้ยง ร่างกายต้องขับถ่ายกากอาหารออกมา...

ร่างกายมีชีวิตและพัฒนาต่อไปได้เรื่อยๆ หากมีบางอย่างของร่างกายตายไป

มีการตายและมีการเกิดใหม่ขึ้นมาแทน อย่างไม่หยุดหย่อน

และไม่เพียงชีวิตฝ่ายร่างกายเท่านั้น ชีวิตฝ่ายจิตใจก็ทำนองเดียวกัน

คงเพราะเหตุนี้ นักบุญเปาโลจึงกล่าวสอนว่า มนุษย์เก่าที่เสียไปเพราะบาปต้องตายไป เพื่อให้มนุษย์ใหม่ที่พระเจ้าทรงนำมาให้มีชีวิตแทน

ปีใหม่ ชีวิตใหม่ มีการพูดกันให้ได้ยินบ่อยๆ

แต่ก็จะเป็นแค่คำพูดที่นิยมพูดๆ กัน หากยังไม่พร้อมจะเข้าสู่กระบวนการตายเพื่อเกิดใหม่

อยากจะเป็นคนดี ความชั่วในตัวต้องตายไป

อยากจะเป็นคนซื่อสัตย์ ความคดเคี้ยวในตัวต้องตายไป

อยากจะเป็นคนรู้จักรัก ความเห็นแก่ตัวและความมักได้ต้องตายไป

อยากจะเป็นคนบริสุทธิ์ สัญชาตญาณลามกต้องตายไป

อยากเป็นคนขยันขันแข็ง ความเกียจคร้านต้องตายไป

อยากเป็นคนประหยัด นิสัยฟุ้งเฟ้อหรูหราต้องตายไป

อยากเป็นคนรักเดียวใจเดียว ความเจ้าชู้ต้องตายไป

มองจากแง่นี้แล้ว พูดว่าปีใหม่ชีวิตใหม่ มันไม่ง่ายอย่างที่คิดๆ

และตราบใดที่ยังไม่พร้อมจะตาย ความดีก็เป็นแค่ผิวเผิน เดี๋ยวอยู่เดี๋ยวไป เดี๋ยวมีเดี๋ยวไม่มี

ดังผิวหน้าที่ยังม่พร้อมจะลอกผิวเก่าออก เพียงแค่เอาเครื่องสำองค์ทาทับไว้ ดูงามก็เฉพาะชั่วครู่ชั่วยาม

ถูกแดด ถูกฝน เครื่องสำองค์ลอก ผิวเก่าก็ยังขรุขระ มีร่องรอยย่นให้เห็นเหมือนเดิม

ฉันใดก็ฉันนั้น ความดีผิวเผิน เป็นความดีไม่คงทน โดนมรสุมเข้าหน่อยก็หลุดหายไปอย่างง่ายดาย คงเหลือให้เห็นแต่ความชั่วที่ฝังรากลึกอยู่

ผมอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าคนใช้ความพยายามปรุงแต่งจิตใจ สักครึ่งหนึ่งของความพยายามปรุงแต่งหน้าตา คนจิตใจงดงามจะมีให้พบเห็นในสังคมเรามากกว่าคนหน้าตาสวยงามอย่างเดียวเป็นแน่แท้*

















วันเด็กคือวันผู้ใหญ่

วันเด็กเวียนมาอีกครั้งหนึ่ง

แทบทุกหน่วยงานให้ความสนใจ มีการพูดถึงเด็ก จัดงานให้เด็ก สร้างความสนุกสนานให้เด็ก เปิดสถานที่ให้เด็กเข้าชม

แต่พอสิ้นวันเด็ก ความสนใจก็หายไป จนกระทั่งวันเด็กปีหน้าจะเวียนมาใหม่

ถ้าจะพูดกันแล้ว วันเด็กไม่ใช่วันสำหรับเด็ก แต่น่าจะเป็นวันสำหรับผู้ใหญ่ที่มาสร้างความสำนึกถึงวัยอันทรงคุณค่าของเด็ก และหาแนวทางเพื่อทำให้วัยนี้ได้เป็นวัยที่สมบูรณ์แบบที่สุดมากกว่า

มันง่ายที่จะทำให้วันเด็กเป็นวันสำหรับเด็ก

ตั้งแต่เช้าพูดถึงเด็ก จัดกิจกรรมให้เด็ก แจกของให้เด็ก นำเด็กเยี่ยมชม ให้เด็กขึ้นรถโดยสารฟรี...จนกระทั่งสิ้นสุดวัน

แล้วก็จบวันเด็ก แค่นั้น

แต่ยากที่จะทำให้วันเด็กเป็นของผู้ใหญ่ เพราะ

กิจกรรมไม่จัดแค่วันนี้ เพื่อเป็นการแสดงออกของการให้ชีวิต ให้เวลา ให้ความสนใจ เพื่อความดีของเด็กเสมอไป

นำเด็กเยี่ยมชมวันนี้ เพื่อบอกว่า ไม่ใช่วันนี้เท่านั้นที่พ่อแม่ ผู้ปกครอ ง ผู้ใหญ่จะไปไหนด้วยกัน แต่พร้อมจะเคียงข้างเด็กตราบใดที่เด็กยังต้องการ

ให้เด็กขึ้นรถฟรีวันนี้ เพื่อยืนหยัดว่าผู้ใหญ่พร้อมจะให้ทุกอย่างที่เด็กมีสิทธิ์ที่จะได้ โดยไม่ต้องมีเงื่อนไขต่อรอง

มองจากแง่นี้แล้ว วันเด็กไม่ใช่วันนี้วันเดียวอีกต่อไป


เด็กเป็นเหมือนเส้นผม ยิ่งมีน้อยยิ่งต้องบำรุงรักษาให้ดี

ทุกวันนี้ ครอบครัวส่วนมากเป็นครอบครัวเล็ก มีลูกคนสองคน

แต่ก็มีบ่นให้ได้ยินไม่ขาดว่า แค่คนสองคนก็ยังเลี้ยงไม่ได้ดี

ช่างผิดกับก่อนนี้ ครอบครัวใหญ่ แต่การเลี้ยงการอบรมได้ดีทุกคน

พ่อแม่บางคนโยนความผิดให้สภาพสังคมและเศรษฐกิจทุกวันนี้ บ้างก็โยนความรับผิดชอบให้รัฐ อีกบางคนก็โยนความผิดไปที่สื่อมวลชน...

แต่น้อยคนที่จะยอมรับว่าสาเหตุใหญ่อยู่ที่ตัวพ่อแม่เอง




จริงๆ แล้ว ความแตกต่างระหว่างพ่อแม่สมัยก่อนนี้อยู่ที่คำๆ เดียว “เวลา”...มีเวลาให้ลูกหรือไม่มีเวลาให้ลูก นั่นคือประเด็นสำคัญ

ในเมื่อการอบรมเด็กต้องการเวลาเพื่อการซึมซับ พ่อแม่ต้องให้เวลาและให้ความใกล้ชิด

เด็กเรียนรู้ความรัก จากความรักและความอบอุ่นที่พ่อแม่แสดงออก

เด็กเรียนรู้คุณธรรม จากพฤติกรรมของพ่อแม่

เด็กเรียนรู้ความขยันขันแข็ง จากการงานการอาชีพที่พ่อแม่ทำ

เด็กเรียนรู้ความซื่อสัตย์สุจริต จากการกระทำของพ่อแม่

เด็กเรียนรู้ความเชื่อและความศรัทธา จากการสวดและการไปวัดของพ่อแม่

พูดง่ายๆ เด็กเรียนรู้ชีวิต จากชีวิตของพ่อแม่ นั่นเอง


โดยธรรมชาติ เด็กเริ่มซึมซับนิสัยใจคอ อารมณ์ จากแม่ ตั้งแต่อยู่ในครรภ์แล้ว

แต่น้อยคนที่จะฉุกคิดว่า เด็กซึมซับความสำนึกเกี่ยวกับพระเจ้าจากตัวแม่ตั้งแต่ในครรภ์แล้วเช่นกัน

หรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง พระเจ้ามีบทบาทและมีความสำคัญแค่ไหนในชีวิตแม่ เด็กก็จะซึมซับไว้ ก่อนที่ถือกำเนิดมาด้วยซ้ำ

การปลูกฝังความศรัทธาในพระเจ้าและในศาสนาที่รอไปเริ่มตอนที่เด็กจะเรียนคำสอนอาจจะช้าไปแล้ว

เพราะการอบรมเด็ก ต้องเริ่มทำก่อนที่เด็กจะเกิดอย่างน้อยยี่สิบปี จึงได้ผล*












ครูแอ๊ด

ผมรู้จักกับ “ครูแอ๊ด” โดยบังเอิญ

ตั้งแต่นั้นมาก็ติดต่อพูดคุย ถามทุกข์สุขเป็นครั้งคราว แต่ใช้ผลผลิตของครูแอ๊ดอย่างสม่ำเสมอ

ยาสระผมสูตรลับผสมมะกรูดกับว่านหางจระเข้

เส้นผมที่บาง ทิ้งระยะห่างกันอย่างไม่ต้องเบียดเสียดให้แออัด แถมหวีง่าย ก็เริ่มหนาตาขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

ที่จริงแล้ว ผมเองไม่มีปัญหาเรื่องเส้นผมที่กลัวความสูงแล้วร่วงหล่นลงมา เพราะถือจิตตารมณ์การปล่อยวางของมหาบุรุษโยบที่ว่า “พระเจ้าท่านทรงให้มา พระเจ้าท่านทรงเอาคืนไป...”

แต่เพื่อนๆ ผมสิครับ มีปัญหากับเส้นผมของผมเอามากๆ

ท่าทางจะเครียดกับงาน ผมบางไปมาก อีกหน่อยไม่ต้องซื้อหวีแน่ๆ”

ใช้เบอร์กามอตดูหน่อยเป็นไร ปล่อยไว้อย่างนี้เสียบุคลิกหมดเลย”

หงอกแต่มีให้หวี ดีกว่าดำขลับแต่แทบไม่มีให้หวีนะ จะบอกให้”

ถ้าเป็นบ้านเรานะ จะเริ่มมองหาวิกผมสำรองเอาไว้ มันยังไงอยู่ เคยเห็นมีผมแล้วจู่ๆ ก็ไม่เห็นอีก...ไม่รู้จะจำกันได้ไหมนี่ อาจจะทำใจไม่ได้อีกต่างหาก”

เห็นเค้าว่า ใบว่านหางจระเข้ปอกเปลือกแล้วทาทิ้งไว้ข้ามคืนช่วยให้ผมดกได้ ลองมั้ย จะหามาให้ฟรีเลย ปลูกให้ก็ได้”

เลยกลายเป็นว่า เพื่อนๆ กังวลกันมากเข้า ทำให้ผมต้องกังวลขึ้นมาจนได้

ผมรู้จักครูแอ๊ดวันที่ครูแอ๊ดติดต่อมาทางโทรศัพท์อยากจะพาเด็กๆ ออกจากกรุงเทพฯ ไปสัมผัสบรรยากาศอันอบอุ่นที่จริงใจแห่งมิตรไมตรี และความสดชื่นของธรรมชาติชานเมือง ผมก็รีบตกปากรับคำ เพราะเด็กๆ ที่ครูแอ๊ดดูแลอยู่นั้นเป็น “เด็กมีปัญหา”

จริงๆ แล้ว ผมว่าไม่ถูกนักที่จะใช้คำว่า “เด็กมีปัญหา” ฟังดูแล้วราวกับว่าเด็กเป็นตัวสร้างปัญหาขึ้นมาเอง ทั้งๆ ที่เด็กยังไม่รู้เรื่องรู้ราว และเป็นคนอื่นแท้ๆ ที่ทำให้เด็กต้องมีปัญหาขึ้นมา

เลยทุกครั้งที่พูดว่า “เด็กมีปัญหา” ก็ให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นเด็กไม่ดี น่ารังเกียจ ตัวปัญหา

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เด็กเป็นตัวรองรับปัญหาที่พ่อแม่ ผู้ปกครอง ผู้ใหญ่ สร้างขึ้นมาซะส่วนมาก

เด็กกำพร้าต้องตกเป็นภาระให้สังคม เพราะพ่อแม่มีปัญหากันแล้วทิ้งขว้าง

เด็กเร่ร่อนซุกหัวนอนตามถนน ตามสะพาน เพราะพ่อแม่มีปัญหาหย่าร้างกันแล้วปัดความรับผิดชอบ


เด็กถูกบังคับให้ขายแรงงาน ขายบริการ เพราะพ่อแม่สร้างหนี้สินแล้วโยนให้ลูก

เด็กใจแตก เพราะผู้ใหญ่คอยป้อนการบันเทิง เสนอสิ่งยั่วยวนให้ เพื่อกอบโกยกำไรแต่อย่างเดียว

เด็กก้าวร้าว รุนแรง เพราะพ่อแม่มีปัญหาแล้วลงไม้ลงมือทุบตีชกต่อยกันให้เห็นตำตา

เด็กถูกทำทารุณกรรม เพราะผู้ใหญ่ไม่มีทางออก เลยไปลงกับเด็ก เห็นเด็กไม่มีทางสู้

และนี่คือเด็กกลุ่มนั้นของครูแอ๊ด เด็กที่คนพันเรียกว่า “เด็กมีปัญหา”

ตอนแรกๆ ที่เข้ามาทำงานกับพวกเขา ก็มาเช้าเย็นกลับ” ครูแอ๊ดเล่า “พอตกเย็นเด็กๆ พากันเศร้า ร้องไห้ ไม่อยากให้กลับ บางคนก็เข้ามากอดไว้แน่นไม่ยอมให้ไป ปากก็พร่ำวิงวอน แม่แอ๊ดอย่าไป แม่แอ๊ดอยู่กับหนูที่นี่เถอะ... ได้ยินแล้วสงสารจับใจ เวลาเดียวกันก็เห็นว่าพวกเขาขาดความอบอุ่น ขาดคนที่ให้ความรักและความใกล้ชิด เลยตัดสินใจย้ายไปพักอยู่ที่ศูนย์ ก็เห็นว่าอะไรต่ออะไรเปลี่ยนไป เด็กยิ้มแย้ม หัวเราะ...ส่วนที่บ้านก็ถามอยู่เรื่อยๆ นี่กลับบ้านไม่ถูกแล้วหรือไง... แต่ก็คิดว่าสำหรับเด็กๆ เหล่านี้ที่ขาดความรักความอบอุ่น การจะมาแล้วไปมันช่วยอะไรเค้าไม่ได้มาก จะช่วยได้หากอยู่กับเค้า ให้เวลาและสนใจเค้า แม้จะทำแทนพ่อแม่เค้าไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ให้อะไรที่พ่อแม่เค้าไม่เคยให้หรือไม่สามารถให้ได้ แอ๊ดเลยเป็นแม่ของเด็กๆ ไปโดยปริยาย...”

วันครูปีนี้ จะมีครูสักกี่คนที่คิดหรือทำอย่างครูแอ๊ดบ้างหนอ?*

















ความงามที่แท้จริง

ปีนี้มีการประกาศให้เป็น “ปีสยามเมืองยิ้ม”

มีความพยายามจะรณรงค์ให้ชื่อเสียงดั้งเดิมของเมืองไทยกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง

กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มจริงใจที่เลือนลางหายไปอย่างน่าเสียดาย

รอยยิ้มที่มีให้เห็นเวลาไปไหนมาไหน ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักมักจี่กันมาก่อน

รอยยิ้มที่เป็นการทักทาย ส่งความปรารถนาดีให้กัน โดยไม่ต้องพูดจาว่าความ

รอยยิ้มที่เป็นภาษาสากล สื่อถึงกันโดยไม่ต้องเข้าถึงภาษาและวัฒนธรรม

รอยยิ้มที่เป็นของขวัญชิ้นงาม ที่มอบให้กันโดยไม่คิดสนนราคาค่างวด

มันน่าเสียดายที่รอยยิ้มค่อยๆ ตีวงแคบเข้ามา จากสากลมาเป็นแค่เฉพาะตัว

แล้วก็ยิ้มให้เฉพาะคนรู้จัก จะเที่ยวยิ้มไปทั่วแบบก่อนนี้ไม่ได้

เผลอๆ คนที่พบเห็นจะคิดว่าบ้า หรือไม่ก็ส่อเจตนาร้ายแอบแฝง

และแม้คนที่รู้จัก ใช่จะยิ้มได้เหมือนกันทุกคนก็หาไม่ ยิ้มจริงใจแค่เพื่อนซี้กันจริงๆ ไม่กี่คน นอกนั้นต้องยิ้มอย่างสงวนท่าที เพียงเพื่อไม่ให้มันน่าเกลียด

เดี๋ยวนี้นอกจากต้องฝึกยิ้มแล้ว ยังต้องฝึกหยุดยิ้มได้อย่างกระทันหันและในทันท่วงที

เดินผ่านคนที่รู้จัก ยิ้มให้แล้วต้องรีบหุบยิ้ม เดี๋ยวคนที่เดินตามมาจะเข้าใจผิด ทึกทักเอาว่ายิ้มให้

มันง่ายที่จะยิ้ม แต่ยากที่จะหุบยิ้มอย่างฉับพลัน และยากที่สุดที่จะต้องเปลี่ยนจากยิ้มเป็นหน้าบึ้งอย่างทันทีทันใด

และเนื่องจากเป็นอะไรที่ยากและต้องเมื่อยกับกล้ามเนื้อบนใบหน้าที่ต้องทำงานหนัก คนจึงเลือกตีหน้าบึ้งไว้เลย แถมปลอดภัยอีกต่างหากสำหรับสภาพสังคมปัจจุบัน

มันสื่อได้ชัดเจนเมื่อออกจากบ้านว่า โลกของใครโลกของมัน ไม่ต้องมายุ่งแหละเป็นดี

มันบอกให้รู้เป็นนัยว่า ไม่เล่นด้วยนะ อย่าคิดอะไรอื่น

มันฟ้องชัดเจนว่า ต่างคนต่างมีปัญหาต้องแก้ ภาระต้องแบก อย่ามาเพิ่มให้มากไปกว่านี้

พอกลับเข้าบ้านที ก็ให้รู้สึกเมื่อยไปทั้งหน้า เพราะต้องเกร็งต้องฝืนอยู่ตลอดเวลา

และนี่คือสาเหตุที่ “สยามเมืองยิ้ม” กลายเป็นอดีต เหลือไว้แต่ความทรงจำ เพียงมีจารึกในประวัติศาสตร์ว่า “ประเทศไทย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกขนานนามว่า สยามเมืองยิ้ม...”

ทุกคนมีความงาม และความงามบนใบหน้าคือรอยยิ้ม เฉกเช่นดอกไม้ที่เป็นความงามของต้นไม้ใบหญ้า

แม้หน้าไม่สวยดูไม่หล่อ แต่รอยยิ้มบันดาลความงามและความน่ารักขึ้นมาได้อย่างน่าทึ่ง


เวทีประกวดประชันฉม เขาไม่เรียกว่าเวทีประกวดนางสวย แต่เรียกกันติดปากว่า เวทีประกวดนางงาม เพราะตัดสินกันไม่ใช่ด้วยใบหน้าสวย แต่รอยยิ้มงดงาม รวมทั้งอากัปกิริยาและท่วงที ไหวพริบ

แต่ละปีมีเข้าประกวดกันแน่นจนต้องคัดกันหลายรอบ และดูงามกันทุกคนจนยากแก่การตัดสิน

ก็เพราะแต่ละคนขึ้นไปเดินยิ้ม ยืนยิ้ม นั่งยิ้ม ชวนให้เจริญหูเจริญตา พาให้สดชื่นอีกต่างหาก

ใช่ว่าสาวงามเหล่านี้จะงามเลิศไปกว่าคนอื่นๆ ที่ไม่ได้ขึ้นไปปรักวดบนเวที ก็เปล่า แต่จะต่างก็อยู่ที่ยิ้มหรือไม่ยิ้มมากกว่า

บ่อยครั้งเสียอีกที่มีพูดกันให้ได้ยินว่า งามอย่างนี้ขึ้นเวทีประกวดได้สบาย

ในบ้าน รอยยิ้มราคาถูกกว่าไฟฟ้า แต่ให้ความสว่างกว่าแสงไฟฟ้าเป็นไหนๆ” อเล็กซันโดร บลาเซตตี เขียนไว้

เพราะแม้บ้านจะสว่างไสวด้วยแสงไฟ แต่ขาดรอยยิ้ม ก็เหมือนมืดมน ชวนให้หดหู่

แม้วันจะสดใสแดดจ้า แต่คนไร้รอยยิ้ม ก็เหมือนมีเมฆหมอกปกคลุม ชวนให้เศร้าซึม

มาร่วมมือกัน คืนรอยยิ้มให้ใบหน้า คืนรอยยิ้มให้ครอบครัว คืนรอยยิ้มให้สังคม คืนรอยยิ้มให้ประเทศชาติ...สยามเมืองยิ้ม กันเถอะครับ*

















ควันหลงวันความรัก

ยังไม่ทันจะเข้าเดือนกุมภาพันธ์ดีนัก ก็มีการพูดเรื่องความรักกันแล้ว

แล้วสัญลักษณ์ของความรัก...หัวใจ ดอกไม้บัตร...สีแดงสด ก็มีให้เห็นตามห้างสรรพสินค้าและร้านรวง จนลายตา

มีให้เลือกซื้อหาทุกระดับราคา แล้วแต่จะรักมากรักน้อย

แต่ความรักแท้นั้นเหมือนผี มีคนพูดกล่าวขวัญกันมาก แต่มีน้อยคนที่เคยเห็นจริงๆ

มีแต่พูดกันว่า รักแท้คืออะไร แถมพรรณนาเปรียบเปรยเสียหยาดเยิ้ม ชวนให้ถวิลหา แต่ในความเป็นจริงต้องผิดหวัง ขมขื่น เจ็บปวด จนขนาดเสียผู้เสียคนมามากต่อมาก

กี่คนที่ต้องปวดร้าว ก็เพราะ “รักคุณนะ”

บางคนต้องเสียอนาคต ก็เพราะ “รักเธอเท่าชีวิต”

อีกบางคนต้องขมขื่นจนต้องขยาดคำว่า “รัก” ก็เพราะ “รักคุณคนเดียว”

บ้างต้องเสียเนื้อเสียตัว ก็เพราะ “รักคุณจริงๆ”

ไม่น้อยคนหมดอาลัยตายอยาก ดับชีวิตไป ก็เพราะ “รักคุณอย่างไม่เปลี่ยนแปลง”

จริงๆ แล้วความรักนั้นยิ่งใหญ่กว่าคำพูด จะพูดแค่ไหนก็ไม่สามารถบรรยายความรักครบถ้วนทุกแง่ทุกมุมได้

เพราะความรักคือชีวิต จึงต้องสื่อออกมาทั้งชีวิต หน้าตา รอยยิ้ม สายตา ท่าที การสัมผัส ความใกล้ชิด...

บ่อยครั้งเสียอีก ความรักเรียกร้องความเงียบ เพื่อจะได้สื่อตัวเองออกมาตรงไปถึงใจ

เลยทำให้หลายคนที่ใช้แค่หูรับรู้คำพูดเกี่ยวกับความรัก และไม่รู้จักใช้ใจ ก็มักจะถูกหลอกเพราะวาจาแท้ ๆ

และหากรักจริงและรักมาก ผู้ที่ถูกรักจะรับรู้ได้เอง โดยไม่ต้องเฝ้าพูดตอกย้ำ

บ่อยครั้ง การที่ต้องพูดตอกย้ำก็เป็นเพราะคนรักยังไม่แน่ใจในความรักที่มี...จึงไม่ใช่พูดเพื่อสร้างความตระหนักใจให้อีกฝ่ายหนึ่งแต่เพื่อความมั่นใจของตนเองต่างหาก

ที่แย่ไปกว่านั้น ในเมื่อความรักไม่มีหรือจืดจางลงไป จึงต้องหาคำพูดมาปกปิดซุกซ่อนความจริง เมื่อนั้นสิ่งที่พูดออกมาแต่ละประโยคแต่ละคำเป็นแค่การโกหกปลิ้นปล้อนหลอกลวงนั่นเอง


เคยพูดกัน ความรักทำให้คนตาบอด แต่จริงๆ แล้ว ความรักทำให้สายตายาวต่างหาก เพราะยิ่งห่างเหินห่างไกลกันไปเท่าไรก็ยิ่งเห็นข้อบกพร่อง

ใจที่หมดรัก มักหาเหตุผลเพื่อเลิกรัก และจะหาข้อแก้ตัวได้ง่ายมากมายก่ายกอง

ก่อนนี้ดูอะไรก็งามไปหมด เดี๋ยวนี้ขัดหูขัดตา พาให้รำคาญอย่างบอกไม่ถูก

ก่อนนี้ข้อบกพร่องก็มองดูน่ารัก เก๋ไปอีกแบบ เดี๋ยวนี้แม้ข้อดีก็กลายเป็นข้อพร่องเหลือทน

ก่อนนี้น้ำข้าวยังอร่อยกินได้กินดี แต่เดี๋ยวนี้หูฉลามก็ให้พะอืดพะอมอยากจะอาเจียน

ก่อนนี้ช้าเท่าไหร่ก็รอได้ไม่เคยบ่น แต่เดี๋ยวนี้ตรงเวลาก็ยังน่ารำคาญ

ก่อนนี้แทบจะไม่ยอมให้ทำอะไร ทุกอย่างประเคนให้โดยไม่ต้องบอก แต่เดี๋ยวนี้นิดหน่อยก็ต่อว่าไม่มีมือมีเท้าหรือไง


ความรักนั้นเหมือนมิตรภาพ เริ่มต้นง่าย แต่ยากที่จะรักษา

ทะนุถนอมประคับประคองให้ตลอดรอดฝั่ง

คนเลยเลือกจะรักแค่ตอนเริ่ม ในขณะที่ความรู้สึกคุกรุ่น แต่พอเย็นลงก็เลิกรากันไป

ทั้งๆ ที่มันสวนทางกับธรรมชาติของความรักแท้ที่เริ่มแล้วไม่มีวันจบ

วันแห่งความรักคงต้องพูดเกี่ยวกับความรักให้น้อยลง ตราบใดที่ยังไม่รักแท้

เพราะความรักนั้นสูงส่งเกินกว่าที่จะเอามาพูดกันเล่นๆ ประสาหัวเบาให้มัวหมอง

ปล่อยให้ความรักแท้พูดออกมาเอง จะซึ้งกว่าเป็นไหนๆ













ผมรู้จัก “คำฝอย” ก็ตอนที่เพื่อนแนะให้ลอง

ใช้ชงดื่มลดไขมันในเส้นเลือด ทำให้เลือดลมดี แถมลดความอ้วนได้ผลชะงัด

ไม่แนะนำอย่างเดียวเพื่อนบอกให้ดูหุ่นเป็นใบประกันคุณภาพเสร็จสรรพ

ผมต้องยกเพื่อนคนนี้ให้เป็นอาจารย์ เพราะแกรู้เรื่องการโภชนาการโดยไม่ต้องเรียนรู้

สามารถบอกได้ละเอียดว่าอาหารชนิดไหนมีอะไรดี อะไรต้องระวัง อะไรควรเลือก

จนคุยกับแกทีไร ให้รู้สึกทานอาหารอร่อยน้อยลงไปทุกที

เลยทำให้เข้าใจว่า ทำไมหลายคนไม่ยอมไปรับการตรวจสุขภาพ ก็เพราะตรวจเสร็จต้องอดนั่น งดนี่ กินยาหาหมอเป็นระยะ อย่างไรอย่างนั้น...

คล้ายจะถือคติว่า ยอมเป็นโรคอย่างมีสุข ดีกว่าไร้โรคอย่างทุกข์ยาก

แล้วก็ลงเอยเป็นปรัชญาชีวิต “กินกินเข้าไปเถอะ ตราบใดที่ยังกินได้ ต่อไปจะกินไม่ได้แล้วค่อยอด”

อาหารเป็นปัจจัยพื้นฐานของทุกสิ่งที่มีชีวิต หรือจะพูดแบบชาวบ้านพูด กินเพื่อให้อยู่รอด

สัตว์ต่างๆ กินเพื่ออยู่ อิ่มแล้วก็เลิกกิน และไม่สนใจจนกว่าจะหิวอีกครั้ง

แต่คนไม่ใช่เช่นนั้น หลายคนกลับชอบอยู่เพื่อกิน อิ่มแล้วยังกินได้เรื่อยๆ จนไม่มีโอกาสรู้สึกหิว

ปากกับท้องที่เคยสมพงษ์กัน ต้องมาขัดแย้งกันโดยปริยาย

กินเน้นอร่อยปาก มากกว่าสบายท้อง

1 แม้ท้องเต็มแน่นจนอึดอัด แต่ปากยังอยากอร่อยไม่มีสิ้นสุด

▲back to top

ก็เลยกินอร่อยปาก แต่ลำบากท้อง

รสชาดจึงสำคัญมากกว่าประโยชน์ จนโรคกระเพาะถามหามากต่อมาก

แถมกินเข้าไปเพลิน จนต้องกระเสือกกระสนหาทางรีดไขมัน พึ่งหมอพึ่งยาลดความอ้วน

การกินเลยกลายเป็นค่านิยม โดยมีร้านอาหารตั้งแต่ระดับยองยองเหลาไปถึงสวนอาหารภัตตาคารริมน้ำคอยรองรับให้บริการทุกขนาดกระเป๋าสตางค์

ร้านอาหารเปิดใหม่ที่ไหน ไกลเท่าไร ก็จะแห่กันไปให้ได้

แม้หลายครั้งจะต้องผิดหวังราคาคุย แต่สบายใจที่ได้มาพิสูจน์ด้วยตนเองว่าไม่อร่อยปากอย่างที่เล่าลือจริงๆ ด้วย

ไม่น้อยครั้งที่ต้องด้นดั้นไปเสาะหาความอร่อยปากเสียไกล กลับมายังไม่ถึงบ้านก็หิวอีกแล้ว ต้องแวะฝากท้องกับร้านข้าวต้มโต้รุ่งข้างทาง ซึ่งก็อิ่มท้องไม่แพ้กัน

ก็เพราะกินอร่อยไม่ใช่กินอิ่มนี่แหละ ทำให้ชักหน้าไม่ถึงหลัง ต้องลำบากลำบนหารายได้พิเศษเพิ่ม จนแทบต้องเสียสุขภาพจิตสุขภาพกาย ของตนเองและของคนรอบข้าง

ค่านิยมการกินยังส่งผลกระทบไปถึงด้านต่างๆ ของชีวิต ทั้งปัจเจกสังคม

ในเมื่อกินแค่อร่อยลิ้น วัตถุดิบที่ใช้นำมาเตรียมอาหารส่วนหนึ่งต้องเสียไปโดยไร้ประโยชน์

ในขณะที่หลายคน เพื่อจะกินแค่ให้อิ่มท้อง ยังหาไม่ได้

หลายคนมีกินจนเหลือเฟือ ขณะที่อีกหลายคนกินมื้ออดมื้อ

เด็กในครอบครัวที่มีอันจะกินต้องขอร้อง “แม่ฮะ หนูขอไม่กินอีกได้ไหม?” ในขณะที่เด็กในครอบครัวอื่นๆ ต้องร้องขอ “แม่ฮะ ขอกินอีกนิดได้ไหม?”

เมื่อกินเพื่ออร่อยปาก ก็กินแบบทิ้งๆ ขว้างๆ ในขณะที่คนกินเพื่ออิ่มท้องต้องคุ้ยเขี่ยขยะหาเศษอาหารยาท้องไปวันๆ


เทศการมหาพรต น่าจะเป็นช่วงเวลามาคืนความสมพงษ์ให้แก่ปากแล้ท้อง อย่างที่พระท่านได้ทรงกำหนดไว้เมื่อสร้างมนุษย์ และสรรพสิ่งสรรพสัตว์ในโลกใบนี้

การจำศีลอดอาหารที่พระศาสนจักรกำหนดให้ทำในเทศกาลนี้ คงจะมีจุดหมายนี้รวมอยู่ด้วย กล่าวคือ มาสร้างค่านิยมการกินให้ถูกต้องเสียใหม่

นอกจากจะส่งผลดีให้ทั้งในแง่ปัจเจกและแง่สังคมแล้ว

ปัญหา “สุขปาก วิบากท้อง” ก็คงจะลดลงเป็นแน่แท้*

















2 ครบรอบวันเกิดอีกที

▲back to top

ผมโทรศัพท์หาพ่อกับแม่แต่เช้า มีความในใจจะบอกท่านก่อนใครอื่น

มีคนรับสาย ผมทักทาย และก็ขอพูดสายผู้ที่ผมตั้งใจไว้

สวัสดีครับ คุณพ่อคุณแม่ วันนี้วันครบรอบวันเกิดผม อยากจะโทรศัพท์มาขอบคุณ” ผมรีบพูดความในใจ ก่อนจะมีการพูดแทรก

อยากจะขอบคุณสำหรับชีวิต ความรักและการเลี้ยงดูที่คุณพ่อคุณแม่กรุณาผมมาตั้งแต่วันแรกของวันนี้”


ทุกปี ถึงวันครบรอบวันเกิด ผมจะทำเช่นนี้เป็นสิ่งแรกตั้งแต่เช้า

เพื่อนๆ จะโทรศัพท์กันมาส่งความสุขวันครบรอบวันเกิด บ้างก็จะมาพูดด้วยตัวเอง บ้างก็ส่งมาในรูปบัตรแถมเสียงเพลงให้เห็นและได้ยิน

ใครต่อใครแสดงความยินดีกับผมได้ทุกปี ก็เพราะสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ได้ทำให้ผมก่อนผมจะลืมตามาดูตะวันเกือบปี

ความรักที่คุณพ่อคุณแม่มีต่อกัน คือจุดเริ่มต้นของผม

เก้าเดือนเต็มที่คุณแม่ต้องแบกภาระเพิ่ม ดูแลผมด้วยการดูแลตัวท่านเอง

อาหารที่จะทานก็ต้องคิดเผื่อผมตัวน้อยๆ จะเลือกรสถูกปากท่านอย่างเดียวไม่ได้

ทำอะไรก็ต้องกังวล เกรงจะเกิดผลกระทบกับชีวิตผมที่อาศัยอยู่ในตัว ราวกับพยาธิในลำไส้

เดินเหิรก็ต้องระแวดระวัง อย่าให้เกิดการล้มการกระแทก ทำเหมือนกับผมเป็นไข่ในหิน

หมั่นดูแลสุขภาพให้ดีเป็นพิเศษ แม้ตัวท่านจะแข็งแรงเยี่ยงชาวนาที่กร้านแดดกร้านฝนมาโดยตลอด แต่ตัวผมสิเปราะบาง อะไรนิดอะไรหน่อยก็ย่ำแย่ได้ทุกเวลา

คอยควบคุมอารมณ์ไว้ จะโกรธจะโมโห จะเศร้าจะเสียใจ ก็ต้องอดกลั้นอดทน เกรงว่าจะส่งผลไปถึงอารมณ์ผมด้วย

ตลอดเก้าเดือน ชีวิตท่านก็คือชีวิตผม ชีวิตผมก็คือชีวิตท่าน

แม้จะเจ็บปวดและทรมาน ตอนผมแยกร่างออกมาในระบบการคลอดแบบสมัยก่อนแล้ว ท่านก็ยังต้องลำบากลำบนต่ออีก

ไหนจะต้องอยู่ไฟ ขณะที่พ่อเฝ้าเขี่ยถ่านให้ลุกร้อนพอเหมาะ คอยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้แม่เพราะเหงื่อไคลที่ไหลย้อยอย่างกับอยู่ห้องซาวน่า คอยต้มน้ำไว้ผสมยาบำรุงกำลังที่พอจะซื้อหามาได้ในราคาไม่แพงนัก ไหนจะต้องคอยกังวลกับผมที่นอนไม่ห่างออกไปและแหกปากร้องเรียกความสนใจไม่ขาดระยะ ไม่คิดจะเกรงอกเกรงใจใครอีกต่างหาก

แล้วกว่าผมจะช่วยตัวน้อยๆ ของผมเองได้ พ่อแม่ต้องคอยทำแทนผมหมดแทบทุกอย่างโดยผมได้ร้องขอ หรือคอยย้ำบอก

ครบรอบวันเกิดทีไร ผมอดไม่ได้ที่จะย้อนประวัติศาสตร์ตัวผมเองกลับไปสู่ประวัติศาสตร์ของเรา พ่อแม่ลูก แล้วความรู้สึกอยากจะขอบคุณก็ตามมาจนต้องรีบโทรศัพท์

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตอนตีหนึ่ง ปลุกเขาให้งัวเงียตื่นขึ้นมา

สวัสดีลูกแม่ วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดลูกนะ” เสียงดังมาตามสาย

โธ่แม่ วันเกิดผมใช่ แต่แม่ไม่น่าจะปลุกผมตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีหนึ่งอย่างนี้ก็ได้นี่นา” ลูกชายครวญเสียงอู้อี้

แล้วทีวันนั้นที่ลูกคลอดออกมา ลูกทำให้แม่ต้องตื่นตอนตีหนึ่งแล้วตาสว่างจนรุ่งเช้าแม่ยังไม่ต่อว่าสักคำเลย สุขสันต์วันครบรอบวันเกิดนะลูก” เสียงต่อว่าแกมขบขันก่อนจะวางสาย


คนเรา หากหมั่นหวนกลับไปที่จุดเริ่มต้นชีวิต จุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของตนที่ผ่านมาจนถึงตรงนี้

คงจะรักชีวิตของตนและของผู้อื่น เมื่อเห็นความรักและความทะนุถนอมที่พ่อแม่ทุ่มเทให้มาแต่อ้อนแต่ออก จะฆ่าจะแกง ตนเองและผู้อื่น ก็คงต้องคิดหนัก

คงเห็นคุณค่าของชีวิตของตนและผู้อื่น เมื่อคิดว่าพ่อแม่เคยถือว่ามีคุณค่ามากกว่าชีวิตของท่านเอง จะทำลายตนเองหรือใคร แม้เพียงแค่คิดก็คงทำไม่ลง

คงต้องดูแลชีวิตของตนและผู้อื่น เมื่อมองว่าพ่อแม่เฝ้าดูแลมาแบบริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม จะปล่อยเนื้อปล่อยตัว ก็คงไม่กล้า


วันครบรอบวันเกิดที เป็นการรื้อฟื้นความรักและความกตัญญูต่อพ่อแม่ที

พ่อแม่ท่านเลี้ยงลูกมาสี่-ห้า-สิบเอ็ด-สิบสองคนได้ แล้วลูกๆ จะดูแลท่านแค่สองคนจะไม่ได้เชียวหรือ

มันน่าเศร้าที่ลูกหลายคนทำไม่ได้... คงต้องเปลี่ยนรูปแบบการฉลองวันครบรอบวันเกิดกันใหม่เสียแล้ว ผมว่า*







เต็มหรือไม่เต็มบาท


เขาเดินคนเดียวเลียบถนนที่รถแล่นขวักไขว่ไม่ได้สนใจกับรถราที่ผ่านไปผ่านมาแม้แต่น้อยหน้าตาเขายิ้มแย้มแจ่มใส ผิดกับหน้าตาคนที่ผ่านเขาไป จนหลายคนอดหันไปมองเขาไม่ได้

ตาเขาจดอยู่กับถนน ราวกับถนนทั้งสายมีเขาเดินอยู่คนเดียว

นานๆ จะหันไปมองรอบๆ ตัว แล้วก็พูดพึมพำก่อนที่จะหัวเราะชอบใจ

ผมเผ้ายุ่งเหยิงยาวหงิกงอ เหมือนกับเจ้าของไม่คิดจะดูแล

หน้าตามอมแมมด้วยคราบเหงื่อแห้งกรังเป็นทาง เห็นได้ชัดเจน

พวงมาลัยพลาสติกสองสามพวงห้อยคอย่างกับนักมวย นักร้อง

เสื้อแขนสั้นที่คงเคยแดงสด ชายขาดเป็นทางสีซีดสกปรกเลอะเทอะ

กางเกงขายาวสีคล้ำมันเลื่อมเพราะไม่เคยถูกน้ำถูกสบู่

ดูสารรูปเขาแล้ว มันช่างขัดกับใบหน้าที่ระรื่น ยิ้มแย้ม ไม่ทุกข์ไม่ร้อนด้วยอะไรทั้งสิ้น


ผมผ่านเขาไปนานแล้ว แต่ยังอดครุ่นคิด แอบอิจฉาเขาไม่ได้คนดูว่าเขาโชคร้าย เกิดมาไม่เต็มบาท แต่ผมกลับมองว่าเขาโชคดีไม่ต้องมานั่งกลัดกลุ้มทุกข์ระทมอย่างใครๆ

ในขณะที่คนอื่น ๆ มีอดีตและมีอนาคต เขามีแต่ปัจจุบัน เดี๋ยวนี้เวลานี้เท่านั้น

และก็เพราะมีอดีตและอนาคตนี่เอง ทำให้คนเราต้องทุกข์ ต้องเศร้า ต้องกลุ้ม ต้องกังวล

แม้จะสุขอยู่ในปัจจุบัน ความผิดหวังและความล้มเหลวในอดีตคอยหลอกหลอน กัดกินใจ

แม้จะอยู่สบายเดี๋ยวนี้ แต่ความกังวลถึงอนาคตอันไม่แน่นอนทำให้ความสบายต้องเจือด้วยความทุกข์ล่วงหน้า

แม้สมรักตอนนี้ แต่ความผิดหวังรักในอดีต ทำให้ไม่กล้าคิดจะสมหวังได้เต็มที่

แม้จะมั่งมีเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่สิ่งที่มีวันนี้อาจจะมีอันต้องสูญหายในอนาคตได้ทุกเมื่อ

เช่นนี้ ในความสุขมีความทุกข์เจือปนอยู่ในความมั่นคงมีความแปรปรวนที่แฝงอยู่ ในความสำเร็จมีความล้มเหลวที่แอบอยู่ ในความสบายใจมีความกลุ่มที่แทรกขึ้นมาเป็นระยะ

จนไม่มีใครอาจจะพูดได้เต็มปากเต็มคำว่ามีความสุขเต็มที่ มีความมั่นคงแน่นอน มีความสำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย มีความสบายใจไร้กังวล

ก็เพราะมีอดีตและมีอนาคตนี่แหละ ที่คนเราทุกข์ย้อนหลังและเศร้าล่วงหน้าได้จนหลายคนต้องสูญเสียสุขภาพกายสุขภาพจิตไปอย่างน่าเสียดาย

ทั้งๆ ที่สุขภาพดี แต่ก็ไม่วายกังวลด้วยโรคภัยไข้เจ็บที่อาจจะมาเยี่ยมกราย

ทั้งๆ ที่อุ้มลูกน้อยน่ารักอยู่ในมือ แต่ก็ไม่วายถอนหายใจเป็นห่วงเป็นใยเมื่อลูกจะเติบโต และต้องฟันฝ่ามรสุมชีวิต

ทั้งๆ ที่มีกินอิ่มปากอิ่มท้อง แต่ก็ไม่วายรู้สึกหิวขึ้นมาลึกๆ เมื่อคิดว่าสิ่งที่กินอยู่กำลังจะหมดไป

บางคนแค่รับรู้ว่ามีอาการของโรคที่รักษาไม่หาย ก็ด่วนชิงตายก่อนที่โรคจะสำแดงอาการด้วยซ้ำ

คงจะมีแต่คนแบบเขา คนที่ผมเห็นเดินริมถนน ที่หัวเราะยิ้ม ร่าเริง มีความสุข โดยไม่มีอะไรเจือปนแอบแฝง

เพราะเขามีแต่ปัจจุบัน และอยู่แค่เดี๋ยวนี้ เวลานี้แต่ผมก็ยังเชื่อว่านอกจากคนแบบเขาแล้ว ราท่านที่มีอดีตและอนาคต ก็สามารถจะทำได้เช่นกัน หากพยายามดำเนินชีวิตปัจจุบัน เดี๋ยวนี้และเวลานี้ให้ดีที่สุด

ฝรั่งพูดกันว่า จะมีประโยชน์อะไรมานั่งร้องไห้กับนมที่หกไปแล้ว เพราะแม้นจะร้องไห้จนน้ำตาเป็นเลือด ก็ไม่อาจจะเปลี่ยนอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วได้

ทำนองเดียวกัน จะได้ประโยชน์อะไรที่จะกังวลถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดมีแต่ปัจจุบันเท่านั้นที่ยังอยู่ในมือ ที่สามารถเปลี่ยน สามารถดัดแปลง สามารถทำให้ดีที่สุด

คิดแล้วก็อดคิดต่อไม่ได้ว่าบางครั้ง ทำตัวไม่เต็มบาทบ้างก็ไม่เลวเหมือนกัน

ที่จริง ก็มีทำให้เห็นกันหลายรูปแบบอยู่แล้วคนกินเหล้าเพื่อให้เมาจนลืมอดีต ลืมอนาคต มีความสุขประเดี๋ยวประด๋าว ไม่ต้องสนใจอะไร

คนใช้ยาเสพติด ดมกาว เพื่อให้หลุดออกจากอดีตและอนาคตเหลือเพียงความว่างเปล่า ไม่ทุกข์ไม่ร้อน

คนใช้ยานอนหลับเพื่อจะได้หลับใหลไม่ต้องคิดอะไรให้กลุ้มหน้ากลุ้มหลัง

ก็เพราะพยายามเต็มบาทกันอยู่นี่แหละ เลยต้องเป็นอย่างที่เห็นๆ กันอยู่นี้















3 ต้นยาง

▲back to top

ผมแทบไม่เชื่อสายตา เมื่อยืนมองต้นยางใหญ่สามสี่ต้นภายในบริเวณบ้านพระสงฆ์เกือบใจกลางเมืองอุบลราชธานี

แต่ละต้นสูงชะลูดจนเมื่อยคอ

มันนานมาแล้วที่ผมไม่ได้เห็นต้นยางชนิดนี้ นานเท่าๆ กับช่วงระยะเวลาระหว่างวัยเด็กกับวัยปัจจุบันของผม

ตอนนั้นผมเห็นต้นยางชนิดนี้ขึ้นอยู่ทั่วไปหมด จนแทบจะไม่ได้สนใจ

จะสนใจก็ตอนที่ลูกของมันร่วงหล่นลงมา ดูแล้วยังกับฝูงแมลงปอยักษ์ที่บินโฉบเฉี่ยวลงมาตามสายลม

เราเด็กๆ ต่างวิ่งไล่เก็บกันเป็นกอบเป็นกำไว้เล่น

ก็ลูกของมันมีใบสองใบติดอยู่ด้านบน ตอนปลายใบจะงอออกด้านนอกและแยกจากกันพองาม

เมื่อลูกร่วงหล่นลงมา ใบทั้งสองที่ติดอยู่ทำหน้าที่คล้ายใบพัด หมุนรอบตัว ตัดกับสายลม ทำให้แต่ละลูกปลิวว่อนไปไกล

คงเป็นธรรมชาติของการขยายพันธุ์ของต้นยางชนิดนี้

ในเมื่อแต่ละต้นสูงใหญ่ การจะให้ลูกของมันตกลงมาและงอกงามเป็นต้นใหม่ขึ้นมาใกล้ต้นเก่า คงต้องมีการเบียดกันเพื่อแย่งแสงแดดแสงตะวัน ต้นก็คงจะเรียวลีบ

และหากมีลมช่วยเป็นใจ ลูกยางก็จะปลิวไปไกล ไกลจนลืมแหล่งที่มาได้เหมือนกัน

ป่าจึงเต็มด้วยต้นยาง ยืนตระหง่าน ท้าแดดท้าฝน ห่างกันไปเป็นระยะ สร้างความชุ่มชื้นให้ดิน และดึงดูดฝนให้ตกตามฤดูกาลมาหลายร้อยหลายพันปี

จนกระทั่งมนุษย์มากด้วยความโลภและมักง่าย เลื่อยโค่นลงมาขายอย่างไม่เกรงใจธรรมชาติแม้แต่สักนิด

เพราะเหตุนี้เองที่ทำให้ผมยืนตะลึงอยู่นานสองนาน ที่ยังเห็นต้นยางตั้งเป็นตระหง่านที่นั่น

แล้วก็อดรู้สึกเศร้าไม่ได้ เมื่อมาคิดว่า ต่อไปเด็กๆ จะมีโอกาสเห็นต้นยางใหญ่ๆ อย่างนี้อีกหรือเปล่า

หรือจะเห็นก็เพียงภาพถ่ายหรือภาพวาดของมัน

เด็กๆ จะมีโอกาสเก็บลูกยาง แล้วขึ้นบนบ้าน หรือปีนป่ายต้นไม้ให้สูง เพื่อปล่อยลูกยางลงมาแข่งกันว่าของใครจะปลิวไปไกลกว่ากันอีกหรือเปล่าหนอ

เด็กสมัยนี้เล่นเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ แต่สมัยผมใช้ลูกยางนี้เป็นเฮลิคอปเตอร์สนุกไม่แพ้กัน แถมไม่ต้องเสียสตุ้งสตางค์ซื้ออีกต่างหาก


3.1

▲back to top

3.1.1 ผมเก็บลูกยางกลับมาสองสามลูก เพื่อฟื้นความทรงจำแห่งวัยเด็ก

▲back to top

3.1.2 เวลาเดียวกันก็อดคิดไม่ได้ว่า ธรรมชาติเป็นแบบอย่างสำหรับมนุษย์ในหลายเรื่อง

▲back to top

มนุษย์เป็นมนุษย์สมบูรณ์หากกลับไปสู่ธรรมชาติ และร่วมเป็นหนึ่งกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน

แต่เมื่อมนุษย์ทำลายธรรมชาติเสียเกือบหมด ความเป็นมนุษย์ก็ลดน้อยถอยลง

ตั้งแต่แรกเริ่ม มนุษย์กับธรรมชาติอยู่คู่เคียงกันมาโดยตลอด

แต่พอมนุษย์ห่างเหินธรรมชาติไป สิ่งดีงามในตัวมนุษย์ก็พลอยสูญหายไปทีละน้อย

แค่มองดูแง่ที่ธรรมชาติเอื้อเฟื้อต่อกัน...ต้นไม้ให้ผลให้ดอกแก่สิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่เอื้อประโยชน์แก่กันและกัน...ก็เห็นถึงความงดงามแห่งการให้การรับที่สมดุลย์และกลมกลืน

แต่มนุษย์นี่สิ ตั้งแต่แยกตนออกจากธรรมชาติ พร้อมกับอ้างว่าเพื่อก้าวสู่ความศิวิไล กลับตกต่ำกว่าธรรมชาติในหลายอย่าง

ทั้งๆ ที่ธรรมชาติรอบข้างมีแต่ให้โดยไม่เรียกร้องตอบแทน มนุษย์เอาแต่กอบโกย และไม่คิดจะให้

ทั้งๆ ที่ธรรมชาติเอื้อเฟื้อต่อกันและกัน มนุษย์กลับอยู่แบบตัวใครตัวมัน

ทั้งๆ ที่ธรรมชาติเคารพในกฎเกณฑ์ มนุษย์นอกจากจะฝ่าฝืนกฎธรรมชาติแล้ว ยังตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาของใครของมันอีก

ทั้งๆ ที่ธรรมชาติใจกว้างไปไกลตัว แต่มนุษย์กลับหมกมุ่นอยู่แค่ตัวและรอบๆ ตัวเอง

แล้วยังมาอวดอ้างอีกว่า นี่คือความศิวิไล นี่คืออารยธรรม นี่คือความก้าวหน้า

ทว่า มนุษย์กับธรรมชาติต้องอยู่ด้วยกัน ความขัดแย้งลึกๆ ภายในมนุษย์จึงทำให้มนุษย์เริ่มหันกลับสู่ธรรมชาติ

สุดสัปดาห์ที วันหยุดที ทุกคนต่างพากันรีบรุดแข่งกันออกจากเมือง เพื่อไปสัมผัสกับธรรมชาติตามป่าเขาลำเนาไพร หรือไม่ก็ตามหาดชายทะเล

น่าเสียดาย หลายคนกลับไปสู่ธรรมชาติ แต่ไม่คิดจะเรียนรู้จากธรรมชาติเลย

คงต้องมายืนดูต้นยางใหญ่ที่กลางเมืองอุบลฯ กับผมสักครั้งสองครั้งและแหละ*





เล่นไม้กระดก


เด็กๆ มีอะไรให้เล่น ก็สนุกได้ ไม่เรื่องมาก ตุ๊กตาตัวหนึ่ง ชุดหม้อข้าวหม้อแกงชุดหนึ่งยางจักรยานเก่าๆ เส้นหนึ่ง ฯลฯ ก็เพียงพอสำหรับสนุกสนานเพลิดเพลินได้ทั้งวัน

ในหลายอย่างหลายชนิดที่ผมเคยเล่นมา มีเครื่องเล่นอย่างหนึ่งที่ชอบเล่นมากคือ ไม้กระดกสมัยผมยังเป็นเด็ก มักจะทำด้วยแผ่นกระดานหนา มีแกนและฐานไม้เป็นตัวรองรับตรงกลางแผ่นเลือกเพื่อนที่มีน้ำหนักและรูปร่างพอๆ กัน นั่งคนละข้าง ผลัดกันขึ้น ผลัดกันลง

อยากจะแกล้งเพื่อน ก็นั่งกดกระดานไว้ให้เพื่อนลอยอยู่กลางอากาศสักพักใหญ่ จนเพื่อนเริ่มกลัวนั่นแหละ จึงค่อยปล่อยลงมา

บางครั้งนึกอยากจะแกล้งกันให้แรง เมื่อเพื่อนลอยอยู่ก็ลุกออกจากไม้กระดกเสียเฉยๆ เพื่อนก็หล่นลงมาพร้อมกับไม้กระดาน ก้นกระแทกพื้นระบมไปวันสองวัน

เด็กก็ยังเป็นเด็กวันยังค่ำ เล่นสนุกกัน แกล้งกัน ทะเลาะกันโกรธกัน แต่ก็ยังเป็นเพื่อนกันได้เสมอ

ตอนเช้าแทบจะฟาดปากกัน ตอนเย็นก็กอดคอไปดูหนังกลางแปลงด้วยกันแล้ว


ไม้กระดานยังมีให้เห็นบ้างตามโรงเรียนอนุบาล หรือตามสนามเด็กเล่น แต่มีเด็กไปเล่นไม่มากที่เล่นกันจะเป็นผู้ใหญ่เสียส่วนมาก เล่นกันโดยไม่จำเป็นเฉือนกันในทุกด้าน

ประเภทใครดีใครอยู่ ใครใหญ่ใครครอบครอง ใครเร็วใครได้ใครฉลาดใครชนะ ซ้ำร้ายเพื่อดีต้องทำให้อีกฝ่ายร้าย เพื่อใหญ่ต้องหาทางทำให้อีกฝ่ายเล็ก เพื่อเร็วต้องวางแผนให้อีกฝ่ายช้า เพื่อฉลาดต้องใช้กลยุทธ์ให้อีกฝ่ายโง่

มันจึงไม่ใช่การแข่งขันกันอย่างเดียวแต่เป็นการหักล้างทำลายกันไปในตัว

การเล่นไม้กระดกจึงเป็นเกมที่เล่นกันทั้งวันจะมีผลงานได้ ต้องกดคนอื่นๆ ให้ต่ำไว้จะเลื่อนตำแหน่งได้ ต้องเหยียบคู่แข่งไว้ไม่ให้ได้ผุดได้เกิดจะมีหน้ามีตาได้ ต้องป้ายร้ายป้ายสีคนอื่นให้เละจะเป็นใหญ่ได้ ต้องเหยียบคนอื่นเป็นบันไดก้าวขึ้นไปจะร่ำรวยได้ต้องหาทางฉกชิงฉ้อโกงให้คนอื่นสิ้นเนื้อประดาตัวจะสำเร็จได้ต้องสร้างความล้มเหลวให้แก่ทุกคนที่อยู่ในแวดวงจะเป็นรัฐบาลได้ ต้องสาดโคลนพรรคอื่นให้มัวหมองจะสวยจะหล่อได้ ต้องเที่ยววิพากษ์วิจารณ์หน้าตาคนอื่นเช้ายันเย็น

แล้วก็เล่นไม่กระดกกันทุกแห่ง ทุกเวลา ทุกสถานการณ์เล่นไม้กระดกสนุกหากรู้จักผลัดกันลง แต่ที่เล่นกันในสังคมมีแต่จะแย่งกันขึ้น และไม่ยอมลงมา ไม่ว่าอ้างมนุษยธรรม สิทธิมนุษยชนเพื่อนร่วมโลก ความซื่อสัตย์ ความจริงใจ น้ำใจความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ศีลธรรม...

แล้วจากไม้กระดก ก็เปลี่ยนไปเป็นเกมที่ขี่หลังเสือถ้าจะมาดูกันสักนิด ก็จะเห็นว่า ไม่กระดกเป็นการละเล่นของคนที่ขาดความมั่นใจในตนเองและคุณค่าที่ตนเองมี

คนประเภทนี้จึงไม่ค่อยชอบมองตนเอง แต่เที่ยวไปมองคนอื่นๆ แล้วก็มาเปรียบเทียบเปรียบเปรย

คนอิจฉาตาร้อน ไม่ใช่คนที่ไม่มีอะไรดี แต่เป็นคนที่เที่ยวไปมองคนอื่น จนลืมเห็นความดีความสามารถในตนเอง

อย่างที่ฝรั่งเขามักจะพูดกันว่า ผลไม้ของเพื่อนบ้านใหญ่และอร่อยกว่าผลไม้บ้านตนเอง สนามหญ้าเพื่อนบ้านเขียวกว่าสนามหญ้าบ้านตนเอง

เลยต้องคอยทำลายให้ของคนอื่นเขาเสียหาย จะได้ไม่ต้องรู้สึกทุกข์ใจเริ่มด้วยคำพูด หนักๆ ก็ลงไม้ลงมือ หรือไม่ก็ว่าจ้างให้คนอื่นทำ

การโกหกมดเท็จ การใส่ความ การปั้นน้ำเป็นตัว จึงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนประเภทนี้

การมอง การตัดสิน ก็พลอยเปลี่ยนไปด้วย

เห็นความสุขของผู้อื่น กลายเป็นความทุกข์ของตนเห็นความสำเร็จของคนอื่น กลายเป็นความล้มเหลวของตนเห็นความสำเร็จของคนอื่น กลายเป็นความล้มเหลวของตนเห็นความก้าวหน้าของคนอื่นกลายเป็นการถอยหลังเข้าคลองของตน

เด็กๆ เล่นไม้กระดกดูน่ารัก แต่ผู้ใหญ่ที่เล่นไม้กระดกแบบนี้น่ากลัวเอามากๆ




















ที่มาของเรื่องร้อนๆ


บรรยากาศการเมืองร้อนระอุขึ้นทุกวันแม้ดินฟ้าอากาศจะร้อนจัดในช่วงนี้ แต่ก็ยังพอทนเมื่อเทียบกับอุณหภูมิในการเมือง จนหลายคนอดรู้สึกหวั่นใจไม่ได้

วันหนึ่งๆ ก็มีแต่เรื่องชวนให้วิตก... เรื่องที่ดิน เรื่องขัดแย้ง เรื่องม็อบ... ไม่รู้ว่ารัฐบาลจะเอาเวลาที่ไหนมาพัฒนาประเทศชาติ

แค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ปัญหารัฐบาล ปัญหาพรรค ก็ยังหืดขึ้นคอแล้วทุกคนมีแต่พูดป่าวๆ ว่าทำเพราะรักประเทศชาติ แต่การกระทำมันฟ้องว่าไม่ใช่

รักผลประโยชน์ตนเอง ผลประโยชน์พรรคซะส่วนใหญ่พอถูกเลือกเข้ามาต่างก็แก่งแย่งกอบโกย ถึงโกยให้เต็มที่

ก่อนนี้ถือว่าทรัพยากรธรรมชาติเป็นสิ่งมีค่า ใช้เท่าที่จำเป็นเหลือเก็บไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ใช้ต่อไป

แต่เดี๋ยวนี้นอกจากจะใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสุรุ่ยสุร่ายแล้ว ใช้ไม่หมดแล้วยังทำลายให้หมดเสียอีก


หากนักการเมืองคิดว่า เข้ามาเป็นนักการเมืองทั้งที น่าจะทำอะไรให้แก่ประเทศชาติบ้างเมืองไทยคงพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้แล้ว

หากพลเมืองทุกคนจะคิดว่า เกิดมาทั้งทีน่าจะทำอะไรให้แก่แผ่นดินที่อาศัยอยู่บ้าง ธรรมชาติและทรัพยากรก็ยังคงมีเหลือกินเหลือใช้

หากทุกคนในครอบครัวคิดว่า เกิดมาในครอบครัวเดียวกันน่าจะทำอะไรให้แก่ครอบครัวบ้าง ปัญหาครอบครัวคงจะน้อยกว่านี้มาก

แต่เพราะคิดอย่างเดียวว่า ฉันจะได้อะไรบ้าง นี่สิทุกอย่างเลยเห็นอย่างที่เป็นๆ กันอยู่นี่แหละร้อนกันไปหมด





4 นี่หรือชีวิต

▲back to top

ร้อนปีนี้ทั้งร้อนระอุ และ ร้อนแรง

เดินกลางแดด ให้รู้สึกเหมือนกับว่าดวงอาทิตย์ต่ำลงมาทุกที

ความร้อนทะลุเสื้อผ้าทำให้ผิวหนังร้อนผ่าวราวกับเดินผ่านไฟกองใหญ่

ใบไม้ต้นหญ้าหงิกงอทำท่าจะตายเสียเดี๋ยวนั้น

ลมที่พัดโชยมาเป็นครั้งเป็นคราวก็เพียงแค่กระพือความร้อน หาได้นำความเย็นสดชื่นมาให้แม้แต่น้อยไม่

นั่นคือความร้อนระอุที่นำไปสู่ความร้อนแรงจนดูทุกอย่างจะรุ่มร้อนไปหมด

คนหงุดหงิด อารมณ์เสียด้วยเรื่องเล็กน้อย

อะไรนิดอะไรหน่อยถึงกลับลงไม้ลงมือ ทำร้ายและทำลายชีวิตกันอย่างไม่น่าเชื่อ

จนทำให้อดคิดไม่ได้ว่า เดี๋ยวนี้ชีวิตคนช่างไร้คุณค่าราคาตกต่ำถึงขนาดนี้แล้วหรือนี่

เพียงแค่คำพูดไม่เข้าหูก็ฆ่าทิ้งแล้ว ทั้งๆ ที่นั่งร่วมวงกินเหล้ามาทุกวัน

เพียงแค่ขับรถแซงปาดหน้าก็บันดาลโทสะควักปืนยิงกันกลางถนนแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีเรื่องมีราวกันมาก่อน

เพียงแค่ระแวงว่าจะมีชู้ก็ชิงฆ่าทิ้ง ทั้งๆ ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาหลายร้อนหลายหนาว

เพียงแค่กลัวว่าจะต้องพรากจากลุกก็ฆ่าลุกได้อย่างเลือดเย็น ทั้งๆ ที่เลี้ยงดูทะนุถนอมชนิดยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม

เพียงแค่ปัญหาแก้ไม่ตกก็ด่วนตัดช่องน้อยแต่พอตัวหนีปัญหาไปอย่างง่ายๆ ทั้งๆ ที่กว่าจะโตขนาดนี้พ่อแม่ต้องเลี้ยงดูประคับประคองมาแทบเป็นแทบตาย

อากาศร้อนแต่ใจสงบเย็นก็ยังพอทน

แต่นี่อากาศร้อนแล้วใจยังร้อนรุ่มและร้อนแรงอีก ชีวิตนี้จึงดูเหลือทน

สังคมทุกวันนี้ทุกอย่างชวนให้ชีวิตเครียดไปหมด

ตั้งแต่การต้องดิ้นรนเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง...อาหารการกินราคาถีบตัวสูงขึ้นทุกวัน

ต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอด...อากาศเป็นพิษ อาหารมีสารเจือปน ดินฟ้าอากาศแปรปรวนแห้งแล้ง งานกรหาทำได้ยาก

ต้องแข่งขันกับทุกอย่าง แม้กระทั่งกับตนเอง...แข่งกับเวลา แข่งกับเรี่ยวแรงที่มีอยู่ แข่งด้านธุรกิจ แข่งด้านการศึกษา

ต้องรีบเร่งไปเสียทุกอย่าง...รีบไปทำงาน รีบไปเรียน รีบไปธุระ รีบกลับบ้าน

ความเครียดเกิดขึ้นมาจากการดิ้นรน การต่อสู้ การแข่งขัน การรีบเร่งยังไม่พอ ยังต้องเครียดกับการพ่ายแพ้อีก

ดิ้นรนเพื่อปากท้อง แต่ก็ยังต้องหิวแบบกินมื้ออดสองมื้อ

ต่อสู้เพื่อความอยู่รอด แต่ต้องตายผ่อนส่งอย่างเลี่ยงไม่ได้

แข่งขันกับทุกอย่าง แต่ต้องแพ้บารมี แพ้เส้นสาย

รีบเร่งเสียทุกอย่าง แต่ต้องมาติดหนับกับจราจรที่เดินยังเร็วกว่านั่งรถ

เวลาที่มีน้อยอยู่แล้ว ยังต้องน้อยลงไปอีก

เพียงแค่ประชุมหนึ่งชั่วโมง ต้องใช้เวลาเดินทางสองชั่วโมงไปสองชั่วโมงกลับ

จะนัดกับใครต้องเผื่อเวลากันเหนียวสักชั่วโมงสองชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ

หลายคนปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เป็นตัวกำหนดชีวิต เลยรู้สึกระอา เบื่อหน่าย ท้อแท้ สิ้นหวัง

ก็เลยมีให้เห็นเป็นข่าวคราวกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน

แต่คนที่รู้จักลอยตัวเหนือสิ่งเหล่านี้ สามารถมีสุขภาพจิตดี ชีวิตแจ่มใส

ชีวิตเป็นดังกระจกเงา ถ้าคุณยิ้มให้ ภาพที่สะท้อนออกมาน่ารักน่าดู

แต่ถ้าคุณทำหน้าบึ้งให้ ภาพที่ออกมาน่าเกลียดน่ากลัว ชวนให้หดหู่

น่าเสียดายสำหรับหลายคนที่ยังเชื่อว่าชีวิตนี้เป็นพรหมที่ลิขิต ก็เลยปล่อยไปตามยถากรรม

ชีวิตเลยหดหู่ น่ากลัว น่าเบื่อหน่าย อย่างที่เรียกๆ กันว่าชีวิตบัดซบ

แต่จริงๆ แล้ว ชีวิตแต่ละชีวิตเป็นตัวเราที่ลิขิต จะสุขจะทุกข์ขึ้นอยู่กับตัวเรา

ถ้าคุณรักชีวิต ชีวิตก็ตอบรักคุณ และคุณจะได้ทุกอย่างจากชีวิต

ชีวิตอื่นๆ ก็พลอยมีความยินดีและความสุขกับชีวิตคุณด้วย

เมื่อคุณเกิดมาคุณร้องไห้ ขณะที่คนอื่นๆ มีความยินดี

จงดำเนินชีวิตอย่างที่ว่า เมื่อคุณตายคนอื่นพากันร้องไห้ขณะที่คุณมีความสุข

จะเป็นเช่นนี้ได้ คงต้องยิ้มให้แก่ชีวิตบ่อยๆ เสียแล้ว*











5 ตัวจริงตัวปลอม

▲back to top

เพื่อนรุ่นพี่ผมคนนี้แปลกกว่าทุกคนที่ผมเคยคบมา

เห็นหน้าครั้งแรก ให้รู้สึกกลัวเกรง ไม่คิดจะเสวนาด้วย

หน้าตาแววดุท่าทีเฉยเมยไม่ยินดียินร้ายกับใคร บวกกับรูปร่างค่อนข้างเจ้าเนื้อ ใครพบเห็นคงอยากจะเลี่ยงไปให้ห่างไว้ก่อน

ความเป็นคนขี้อายไม่ชอบออกหน้าออกตา ทำให้หลายคนเห็นเป็นคนหยิ่ง

ต่อเมื่อรู้จักมักคุ้น ธาตุแท้ที่งดงาม เริ่มเปิดเผยออกมาทีละอย่างสองอย่าง

ภาพลักษณ์เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เป็นคนละคน

ใบหน้าที่เฉยเมย มีรอยยิ้มจริงใจที่เปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะสนุกสนาน แม้เรื่องขบขันเพียงเล็กน้อย

ท่าทีดุดันเปลี่ยนเป็นกุลีกุจอต้อนรับขับสู้ เลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำ ดูแลทุกข์สุข ยิ่งกว่าเป็นญาติ

ท่าทางเอียงอายหายไม่มีให้เห็นวี่แววเมื่อเริ่มพูด คุยออกรสออกชาดได้ทุกเรื่อง ชนิดลืมวันลืมเวลาได้เลย

จนบางครั้งอดสงสัยไม่ได้ว่ากำลังพูดคุยกับคนเดียวกัน

บุคลิกและนิสัยใจคอต่างกันลิบลับในบุคคลคนเดียว


ทว่า ทุกคน จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว จะมากหรือน้อย ต่างก็มีลักษณะเช่นเดียวกันกับเพื่อนผมคนนี้

บางคนเมื่อแรกพบดูดี น่ารัก แต่พอคบกันนานเข้ากลับเป็นคนน่ารังเกียจ

บางคนเมื่อแรกพบดูน่ากลัว น่าเกรงขาม แต่พอคบกันจริงๆ เป็นคนน่ารัก เป็นกันเอง

บางคนเมื่อแรกเจอดูหยิ่ง แต่พอรู้จักกลายเป็นคนง่ายๆ

ในแต่ละคนจึงมีทั้งตัวจริงและตัวปลอมที่คนอื่นต้องใช้เวลาเพื่อค้นหาและแยกแยะออกมา

และคนที่รีบร้อน เร่งรัดตัดสิน มักจะไม่ค่อยพบกับตัวจริงของใครได้เลย

เพราะวันหนึ่งๆ เรามักจะเอาตัวปลอมของเราไปไหนมาไหน แล้วแต่สถานการณ์พาไป

ถ้าอยากให้เป็นที่ดึงดูดใจ ชื่นชอบ รักใคร่ ก็จะทำท่าทีน่ารัก หน้าตายิ้มแย้ม แววตามีเสน่ห์

ถ้าไม่อยากให้ใครเข้ามายุ่งย่าม ก็จะตีหน้าดุ แกมหยิ่ง ท่าทีเฉยเมย

ถ้าไม่อยากให้ใครรู้ว่าหวาดกลัว ก็จะทำท่าเข้มแข็งไว้เชิง

ถ้าไม่อยากให้ใครรู้ว่าอายเขิน ก็จะทำทีกล้าพูดกล้าแสดงออกจนเกินพอ

มันเป็นกลไกแห่งการป้องกันตัวอย่างหนึ่งที่คนเรามักใช้กัน

ใช้กันมากจนบ่อยครั้งลืมตัว นึกว่าตัวปลอมเป็นตัวจริง และตัวจริงเป็นตัวปลอม

แล้วก็แสดงออกมาอย่างนั้น สร้างความฉงนให้แก่คนรอบข้างและแก่ตัวเอง

คนเรารู้จักกันดี ต่อเมื่อมีความเป็นมิตร

ความสนิทสนม ความไว้เนื้อเชื่อใจ ความผูกพัน การยอมรับกัน...เป็นบรรยากาศที่เอื้อให้ตัวจริงของแต่ละคนแสดงออกมา

ยิ่งรักใคร่ ชอบพอกันมากเท่าไร ความรู้สึกต้องคอยปกป้องตัวเองก็ยิ่งน้อยลง

ตัวจริงก็เด่นชัดออกมาได้ อย่างที่เป็น

ในสังคมที่มีความเป็นมิตรน้อยลง อย่างในสังคมเราทุกวันนี้ การจะรู้จักตัวจริงของกันและกันย่อมจะน้อยลงไปเรื่อย

ตัวปลอมจึงมีให้เห็นกันเกลื่อนกลาด ตั้งแต่เริ่มออกจากบ้านจนกระทั่งกลับเข้าบ้าน

ในเมื่อตัวจริงมองกันยาก เลยหันมามองแค่สิ่งภายนอก...หน้าตา รูปร่าง เสื้อผ้า เครื่องประดับ...

แล้วก็เดาเอาว่า คบได้หรือไม่ได้ ไว้ใจได้หรือไม่ได้

พร้อมกับทำใจลึกๆ ว่า อาจจะมีการพลิกล๊อกได้ทุกเวลา

คบกับไปต้องคอยระแวงกันไป คุมเชิงกันไป จับตาอย่าได้เผลอ

จำนวนคนที่รู้จักตัวจริงกันก็ลดน้อยถอยลง

ไม่ต้องแปลกใจ ชีวิตคนเราทุกวันนี้มีความเครียดสูง

ไหนจะต้องเครียดกับค่าครองชีพ ปัญหาการงาน ปัญหาการเล่าเรียน ฯลฯ แล้ว ยังต้องมาคอยระแวงแจกับบุคคลรอบข้างอีก

จนที่สุดต้องคบหากันเฉพาะไม่กี่คนในครอบครัว วันหนึ่งๆ ก็คลุกคลีกันอยู่แค่นั้น

จนกว่าจะช่วยกันเอาตัวจริงออกมารู้จักกันให้มากกว่านี้*












6 ปลายทางรัก

▲back to top

คบกับเพื่อนผมคนนี้แล้ว ผมรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย

ก็คบกันมานานหลายปี รู้ใจกันดี มีอะไรถึงกัน ไม่ว่าเรื่องสุขเรื่องทุกข์

ความอึดอัดใจที่ว่า ไม่ใช่เพราะนิสัยไม่ดีอย่างใดอย่างหนึ่งของเพื่อน

เพราะหากจะคบกันแล้ว เพื่อนก็ยังคงเป็นเพื่อนทั้งในนิสัยดีและนิสัยเสียอยู่นั่นแหละ

แต่อึดอัดใจเพราะนิสัยดีเกินไปของเพื่อนต่างหาก

เพื่อนผมคนนี้แกชอบให้ และมีความสุขจริงๆ กับการให้

ให้ในสิ่งที่ผมขอ และแม้ในสิ่งที่ผมไม่คิดขอหรือคิดจะได้

และหากผมปฏิเสธ แกก็จะเศร้าออกนอกหน้า ต่อว่าต่อขานอีกต่างหาก

ไอ้ผมมันเป้นคนขี้เกรงใจ พอเจออย่างนี้ก็อดจะรู้สึกอึดอัดใจลึกๆ ไม่ได้

ความอึดอัดใจผมมากกว่านั้น เมื่อเพื่อนไม่ยอมให้ผมให้อะไรบ้างเลย

เอาอะไรไปให้แต่ละครั้ง เป็นต้องถูกต่อว่าต่อขาน...เสียเงินเสียทองทำไม

ผมเข้าใจเพื่อนคนนี้ดี แกรักและห่วงใยผม ก็เลยมีความสุขกับการให้

แต่ก็อดคิดน้อยใจไม่ได้ว่า ผมเองก็รักและห่วงใยแก อยากจะมีความสุขกับการให้ด้วยเหมือนกัน


มีการพูดกันว่า รักคือการให้

แต่เมื่ออ่านความรู้สึกของผมแล้ว ผมคิดว่ารักคือการให้และการรับ

ใช่ ธรรมชาติของความรักคือการให้ ให้ได้ทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิต

แต่ถ้าสองคนที่รักใคร่กัน มีคนเดียวที่ผูกขาดการให้และมีความสุขกับการให้

อีกคนหนึ่งก็คงไม่มีโอกาสได้รัก เพราะรักต้องคอยรักอยู่ตลอดเวลา

อาจจะมีความสุขในการรับ แต่ก็ยังไม่สุขเต็มที่หากยังไม่ได้ให้บ้าง

แม้ในสังคมที่มีความเห็นแก่ตัวแบบทุกวันนี้ การรับจะดูง่ายกว่าการให้

แต่ในธรรมชาติของมนุษย์ที่เกิดมาเพื่อรัก การให้จะง่ายกว่าการรับเป็นไหนๆ

ในเมื่อการให้นำความสุขมาให้แก่ผู้ให้ ทุกคนก็พยายามจะได้มาซึ่งความสุขนี้...เป็นผู้ให้ และไม่คิดจะเป็นผู้รับบ้าง

หากความรักมุ่งถึงความสุขของคนที่รักกัน การรู้จักให้และรู้จักรับจึงเป็นการมอบความสุขให้แก่กันและกันตลอดเวลา


ในเมื่อถือว่าความรักคือการให้ หลายคนก็เลยคิดแต่ให้อย่างเดียว และไม่เคยคิดว่าควรจะให้อะไรหรือให้อย่างไร

ก็เลยคิดเองเสร็จสรรพว่าเขาน่าจะได้อย่างนั้นอย่างนี้ คงชอบนั่นชอบนี่

และไม่เคยดูความชอบและความต้องการแท้ๆ ของคนที่รับเลย

บ่อยครั้งจึงให้สิ่งที่คนรับไม่ต้องการ หรือไม่ชอบ

พ่อแม่บางคนมีความสุขในการแต่งตัวลูกด้วยเสื้อผ้าสีสันและรูปแบบที่ตนเองชอบ ทั้งๆ ที่ตัวลูกเองอาจจะไม่ชอบ

หรือพ่อแม่บางคนให้ลูกเรียนสายวิชาที่ตนเองชอบ แต่ตัวลูกไม่ชอบหรือเรียนไม่ไหว

บางคนหาซื้อของที่ตนอยากมีอยากให้แฟนใช้ ทั้งๆ ที่ไม่ตรงกับรสนิยมของแฟน

บางคนคิดหาสิ่งของเครื่องใช้และเสื้อผ้าไปแจกคนยากไร้ ทั้งๆ ที่เขาเหล่านั้นต้องการข้าว

สารกรอกหม้อกินแก้หิว ฯลฯ


ในเมื่อผูกขาดการให้และมีความสุขกับการให้ ก็เลยทำให้รักคนอื่นตามที่ตนต้องการจะรักมากกว่าจะรักอย่างที่คนอื่นต้องการให้รัก

การรักใครอย่างที่ตนเองต้องการจะรักมันง่าย แต่รักเขาอย่างที่เขาต้องการให้รักนี่สิ ยาก

ก็เลยหลายครั้งที่บอกว่ารักเขา แต่จริงๆ แล้วก็กำลังรักตัวเองอยู่นั่นแหละ

...รักเขาแล้วตัวเองมีความสุข ให้เขาแล้วตัวเองมีความสุข ช่วยเขาแล้วตัวเองมีความสุข...

คงต้องถามตนเองบ่อยๆ เสียแล้วว่า ที่ว่ารักเขาน่ะ รักเขาหรือรักตัวฉันเองแน่ๆ

หากปลายทางของความรัก ยังวกวนเข้ามาหาตัวผู้รัก ก็คงไม่อาจจะเรียกว่ารักได้ไม่เต็มปากเต็มคำนัก

แต่เมื่อใดความรักออกจากตัวผู้รัก และไปเป็นตัวเป็นตนอยู่ในคนที่เขารัก

เมื่อนั้นคือความรักที่แท้จริง

โดยไม่ต้องเอ่ยคำว่า “รัก” ด้วยซ้ำ*









สิทธิอันสูงส่ง


ชักจะยุ่งกันใหญ่แล้ว การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้ผู้สมัครมุ่งเพียงอย่างเดียว จะเข้าไปในสภาอันทรงเกียรติให้ได้ แม้ด้วยวิธีการอันไร้เกียรติ

ย้ายพรรค ย้ายอุดมการณ์ เป็นว่าเล่น จนแทบจะไม่เหลือจุดยืนในการเข้าไปรับใช้บ้านเมืองเพียงแค่ขอให้ได้ถูกเลือกเข้าไป พรรคไหนก็ได้ ฝ่ายไหนก็เอา นโยบายอะไรก็ไม่เกี่ยง

พอสอบได้ ก็เข้าไปนั่งในสภาเป็นใบ้ ยกมือตามใบสั่ง...เพียงเพื่อรักษาสถานภาพไปวันๆยิ่งประเภททำตัวเป็นสินค้าให้ประมูลราคาเข้าพรรคนั้นพรรคนี้ ก็อดหดหู่ใจแทนไม่ได้

ถ้าพร้อมจะยอมให้ถูกซื้อขายก่อนเข้าสภา เข้าไปแล้วก็คงพร้อมจะขายประเทศชาติได้อย่างไม่คิดจะลังเลเหมือนกันขนาดขายตัวเองได้ แล้วจะขายประเทศชาติไม่ได้ให้มันรู้ไปซื้อตัวกันเองแล้วยังไม่พอ ยังซื้อคนมีสิทธิเลือกอย่างไม่คิดละอายใจ

ซื้อเสียงไปก็กดเครื่องคิดเลขไปลงทุนแล้วต้องชักทุนคืนให้คุ้มการเมืองสำหรับหลายคนจึงเป็นแค่ธุรกิจ ที่มีเม็ดเงินสะพัดทั้งทุนและกำไรผลได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมนั่นมหาศาลจนบดบังอุดมการณ์เสียสิ้น

วันหนึ่งๆ ก็คิดแต่ธุรกิจ แล้วจะมีเวลาและสมองเหลือเพื่อการพัฒนาบ้านเมืองได้อีกหรือฝ่ายที่เป็นรัฐบาลก็พยายามรักษาผลประโยชน์ฝ่ายตนไว้ทุกวิถีทาง ฝ่ายค้านก็คอยจ้องจะล้มรัฐบาลเพื่อเข้าไปกอบโกยผลประโยชน์กับเขาบ้าง

จนลูกเล็กเด็กแดงก็พลอยเข้าใจไปว่า ฝ่ายค้านมีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือคอยล้มรัฐบาลแค่จะจับเลขที่สมัครยังต้องแห่แหนกันไปบวงสรวงพระนั่นเทพนี่เพื่อได้เลขเด็ดเลขนำโชค

ราวกับการเมืองเป็นเรื่องโชคเรื่องลาง แทนที่จะเป็นเรื่องของความรู้ ทักษะ ความเชี่ยวชาญพอเข้าไปบริหารก็ว่ากันไปตามดวง ไร้ซึ่งหลักการและหลักเกณฑ์ เล่นการเมืองกันไปวันๆทั้งๆ ที่รู้แก่ใจว่าพระและเทพท่านช่วยเฉพาะคนดีมีศีลธรรมก็ยังดาหน้าเข้าไปกราบไหว้บวงสรวงอย่างไม่คิดละอายใจตนซื้อคะแนนซื้อเสียงยังไม่พอ ยังคิดจะซื้อเจ้าด้วยเสร็จสรรพ

การเมืองสกปรกเละเทะจะโทษนักการเมืองฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกคนไม่ดี คนไม่มีอุดมการณ์ เข้าไปบริหารบ้านเมืองก็เพราะมีคนเลือกเข้าไป

นักการเมืองยอมให้ถูกซื้อ แต่คนมีสิทธิเลือกก็ไม่น้อยหน้ายอมให้ถูกซื้อไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

สิทธิแห่งการเลือกคนเข้าไปบริหารเพื่อความดีและการพัฒนาประเทศชาติเป็นสิทธิสูงส่งที่พลเมืองแต่ละคนพึงใช้ด้วยความหวงแหนและภาคภูมิใจ

แต่ต้องมาเสียความสูงส่งและความภาคภูมิใจนี้ไป เพียงเพื่อแลกกับเงินสามร้อยห้าร้อยกี่คนจะคิดบ้างว่า ขณะที่ได้รับเงินสามร้อยห้าร้อย ตนกำลังทำให้ประเทศชาติต้องสูญเสียผลประโยชน์ไปสามพันล้าน ห้าร้อยล้าน หรือมากกว่านั้น เมื่อนักการเมืองที่ต้องซื้อคะแนนเสียงเข้าไปชักทุนคืนทุกรูปแบบ

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งกี่คนที่เลือกนักการเมืองเพียงแค่ด้วยความเสน่หา ไม่มองผลงานหรือความสามารถแม้แต่น้อยนิดเลือกตั้งผู้แทนราษฎรจึงไม่ผิดกับการเลือกดาราคนโปรดขอให้ได้กอด ได้หอมแก้มสักฟอดสองฟอดก็พร้อมจะเทคะแนนให้อย่างไม่อั้น

แฟนหมัดมวยก็มีตัวเลือกอยู่ในใจก่อนเข้าไปหย่อนบัตรในคูหามานานแล้วเลือกเข้าไปแล้วไม่ผิดหวัง ขยันจัดมวยฟรีให้ดูแทบทุกเดือนคราวนี้จัดจังหวัดนี้ คราวหน้าจัดจังหวัดโน้นที่จะเข้าไปบริหารบ้านเมืองเป็นไม่เป็น ไม่สำคัญที่เขียนมานี้ไม่ใช่ว่าเมืองเราจะหานักการเมืองที่ดีและมีอุดมการณ์จนล้นหัวใจไม่ได้แล้วก็เปล่า

แต่โอกาสของนักการเมืองที่ดีเหล่านี้มีน้อยเมื่อเทียบกับนักการเมืองน้ำเน่าจึงไม่ค่อยได้เข้าไปนั่งบริหารและช่วยพัฒนาประเทศชาติเพื่อความอยู่ดีกินดีมีสุขของพลเมือง

ที่ถูกเลือกเข้าไปเป็นน้ำดีก็มีจำนวนน้อยนิด จนไม่อาจจะทานแรงน้ำเน่าได้ ต้องเลิกราและท้อแท้ออกไปการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรคราวนี้เป็นโอกาสพิสูจน์ท่านผู้อ่านอีกครั้งหนึ่ง

ท่านจะเลือกอย่างไร เพื่อให้สิทธิอันสูงส่งแห่งการเป็นพลเมืองของท่านให้ท่านภาคภูมิใจและประเทศชาติได้รับประโยชน์?


7 ทำอย่างไร

▲back to top

คนงานสามคนกำลังง่วนอยู่กับการผสมปูนใกล้ๆ กับโบสถ์หลังใหม่ที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

ชายคนหนึ่งเดินผ่านมา หยุดยืนดูครู่ใหญ่ ก่อนจะถามด้วยความมักรู้มักเห็นว่า

กำลังทำอะไรกันอยู่หรือครับ?”

ผสมปูนครับ” คนงานคนแรกตอบ

เตรียมปูนให้ช่างฉาบครับ” คนที่สองตอบ

กำลังสร้างโบสถ์อยู่ครับ” คนที่สามตอบ น้ำเสียงส่อความภาคภูมิใจ


สามคนทำงานเดียวกัน ทำเหมือนกัน แต่ก็ไม่เหมือนกัน

วิสัยทัศน์ของแต่ละคนทำให้งานที่กำลังทำด้วยกันมีเป้าหมายต่างกันลิบลับ

มันเป็นเรื่องของการมองเลยสิ่งที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน ไปถึงภาพรวมของชีวิตมนุษย์เรา

จริงๆ แล้ว ชีวิตของแต่ละคนเป็นชีวิตหนึ่งเดียวที่ต่อเนื่องไปในกาลเวลา

แม้ว่ากาลเวลาจะแบ่งชีวิตมนุษย์เป็นช่วงๆ...ช่วงวัยเด็ก วัยรุ่น วัยหนุ่มสาว วัยชรา...แต่ก็เป็นชีวิตเดียวกันที่ไหลไปตามกาลเวลาดังน้ำในแม่น้ำที่ไหลไปสู่ปากน้ำ

แม้สถานที่จะเปลี่ยนไปพร้อมกับรูปแบบชีวิตที่ต้องปรับตาม แต่ก็เป็นชีวิตเดียวกันที่ดำเนินต่อไปอย่างไม่ขาดสาย

ทว่ามนุษย์มักจะแยกชีวิตออกเป็นช่วงๆ ไปตามกาลเวลาและสถานที่ จึงทำให้แต่ละช่วงเวลาขาดการต่อเนื่องไปสู่ภาพรวมแห่งชีวิตทั้งครบ

ช่วงวัยเด็กก็จดจ่ออยู่แค่ความเป็นเด็ก ไม่คิดไกลไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่

ช่วงวัยรุ่นก็สนใจแต่สิ่งที่วัยนี้เสนอให้ ไม่มองไปสู่วัยหนุ่มสาวที่ต้องรับผิดชอบสร้างฐานะ

ช่วงหนุ่มสาวก็เพลินกับชีวิต จนลืมคิดถึงวัยชรา

ช่วงมีชีวิตอยู่ก็พะวงกับเรื่องภพนี้ ไม่คิดจะเตรียมเพื่อภพหน้า

ชีวิตที่เป็นหนึ่งเดียวและต่อเนื่องจึงถูกตัดทอนออกเป็นช่วงๆ อยู่ช่วงไหนก็จดจ่ออยู่แค่ช่วงนั้นเท่านั้น

เมื่อถูกถามว่า “กำลังทำอะไรอยู่?” คำตอบก็จะตอบเป็นแค่ “กำลังผสมปูนอยู่” นั่นเอง

แล้วปรัชญาชีวิตก็ต้องคล้อยตามคำตอบ อย่างช่วยไม่ได้

ตอนนี้มีโอกาสสนุก ก็สนุกมันให้เต็มฟัดเต็มเหวี่ยง พรุ่งนี้อาจจะไม่มีโอกาสแล้ว”

มีกินก็กินมันให้เต็มอิ่ม ต่อไปไม่มีกินแล้วค่อยอด”

มีเงินก็ใช้จ่ายมันให้สะใจ ไม่มีแล้วค่อยว่ากัน”


มีเรี่ยวแรงอยู่ก็เที่ยวให้เต็มที่ โทรมแล้วค่อยอยู่เหย้าเฝ้าเรือน”

ยังหนุ่มยังสาวเพลิดเพลินให้สุดๆ แก่ตัวแล้วค่อยเข้าวัดเข้าวา”


เฉพาะคนที่รู้จักมองแต่ละช่วงชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของภาพรวมของชีวิตทั้งครบเท่านั้น ที่จะมองเห็นเป้าหมายแต่ละช่วงเวลาได้ชัดเจน

เมื่อถูกถามว่า “กำลังทำอะไรอยู่?” ก็จะมีคำตอบพร้อมสรรพ “กำลังสร้างโบสถ์อยู่”

นักเรียนที่กำลังเรียนอยู่คงตอบ “กำลังสร้างอนาคตที่ดีและรุ่งเรือง”

ครูบาอาจารย์ที่กำลังสอนหนังสืออยู่คงตอบ “กำลังสร้างคนและพลเมืองดีให้แก่ประเทศชาติ”

สามีที่กำลังทำงานอยู่คงตอบ “กำลังสร้างความอยู่ดีกินดีให้แก่ครอบครัว”

ภรรยาที่กำลังทำครัวอยู่คงตอบ “กำลังเลี้ยงดูครอบครัวให้มีความสุขและสุขภาพสมบูรณ์”

ข้าราชการที่กำลังทำงานอยู่คงตอบ “กำลังพัฒนาประเทศชาติให้เป็นเลิศ”

คนที่กำลังกวาดถนนอยู่คงตอบ “กำลังทำให้โลกนี้ไร้ขยะมูลฝอย บ้านเมืองน่าอยู่น่าอาศัย”

แพทย์และพยาบาลที่กำลังรักษาคนไข้อยู่คงตอบ “กำลังขจัดโรคภัยไข้เจ็บ ให้โลกนี้ปลอดเชื้อโรคทุกชนิด”

ตำรวจที่กำลังตระเวณตรวจตาพื้นที่คงอยู่ “กำลังธำรงไว้ซึ่งความสุจริตยุติธรรมให้แก่พลเมือง”

ทุกคนที่มีกำลังดำเนินชีวิตอยู่คงตอบ “กำลังสร้างชีวิตหน้าด้วยชีวิตนี้”

ทุกสิ่งที่มนุษย์กำลังทำอยู่ จะให้จบอยู่ที่การกระทำนั้นๆ ประเภททำสักแต่ว่าทำ หรือแค่ไปสู่จุดหมายที่สูงส่งและเต็มเปี่ยมมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ในการทำสิ่งนั้นๆ

หากวิสัยทัศน์ในการกระทำของฉัน ของคุณ ของเรา เป็นการร่วมมือกับพระเจ้าในการสร้างเสริมเติมแต่งโลกใบนี้ให้ครบครันยิ่งขึ้นวันแล้ววันเล่า ทุกสิ่งที่กระทำย่อมมีศักดิ์ศรีสมกับการกระทำของมนุษย์อย่างแท้จริง*








8 เมื่อไรจะพอ?

▲back to top

ระยะนี้ข่าวคราวการปล้น การจี้ มีให้เห็นในหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยขึ้น

ส่วนใหญ่จะเป็นการกระทำที่อุกอาจ ไม่คิดกลัวเกรงกฎหมาย ราวกับบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป

บางรายที่ถูกจับได้ก็ไม่มีทีท่าจะหวาดหวั่น หรือแม้เงาแห่งความสำนึกผิด

คนทำผิดที่โฉบฉวยโอกาส รอทีเผลอ แล้วทำ ก็ยังน่ากลัวอยู่แล้ว สาอะไรกับคนทำผิดที่กล้าทำผิดอย่างไม่คิดจะเกรงใครหน้าไหนทั้งนั้น จะน่ากลัวกว่าขนาดไหน

เพราะคนที่ทำผิดโดยรู้ว่าทำผิด อย่างน้อยก็ยังมีความเป็นคนเหลืออยู่

แต่คนที่ทำผิดแล้วทำราวกับว่าเป็นเรื่องธรรมดาหรือเป็นเรื่องทำได้ตามใจชอบ ก็คงเหลือแต่สัญชาตญาณที่ชี้นำไปเท่านั้นเอง

คนที่ฉกชิงวิ่งราวก็ใช่ว่าจะเป็นคนยากคนจน ก็เปล่า

แต่มักจะเป็นคนที่มียังไม่พอ และอยากได้มาด้วยทางลัด

คนอื่นๆ เขาขยันขันแข็งทำมาหากินด้วยความสุจริต เพียรออมเพียรเก็บ จากร้อยเป็นพัน จากพันเป็นหมื่นเป็นแสน

กว่าจะมีจะใช้ได้ขนาดนั้นก็ต้องสละทั้งเวลาและแรงกายแรงใจ

แล้ววันดีคืนดีก็มีคนที่ไม่ขยันขันแข็งทำมาหากิน เพียรอดเพียรเก็บ มาฉกชิงไปอย่างหน้าด้านๆ


สังคมไทยทุกวันนี้มีคนจนในความหมายของคำว่า “ยากจน” ไม่มาก

แต่คนไทยส่วนมากจนในความหมายที่เปลี่ยนไป กล่าวคือ จนคือ “มีไม่พอ”

สังคมบริโภคนิยมได้นำความยากจนแบบใหม่นี้มาพร้อมๆ กับสิ่งของเพื่อการบริโภคอย่างเหลือกินเหลือใช้

ในสังคมแบบนี้ การกินจึงไม่ใช่กินเพื่ออิ่ม แต่กินเพื่ออร่อยปาก

ในเมื่ออาหารการกินมีบริการมีขายจนเหลือเฟือ การกินจึงมี“การเลือก”เข้ามาเป็นตัวแปรด้วยทุกครั้ง

ทั้งๆ ที่กินแต่ละครั้งเพื่ออิ่มท้อง มีเรี่ยวมีแรง สุขภาพสมบูรณ์ แต่ก็สามารถเลือกอิ่มได้แบบแพงหรือไม่แพง ด้วยบรรยากาศหรูหราฟู่ฟ่าหรือชนิดยองยองเหลา ในร้านอาหารที่มีชื่อติดตามกระจกท้ายรถยี่ห้อแพงๆ หรือจากรถเข็นริมทาง

ในสังคมแบบนี้ สิ่งของเครื่องใช้มีไว้ไม่ใช่เพื่อความจำเป็น แต่มีไว้เพื่อความหรูหราและใช้วัดความร่ำรวยมั่งมี



รถยนต์ไม่ใช่เป็นแค่พาหนะอย่างเดียว แต่เป็นหน้าเป็นตา บ่งบอกฐานะและระดับคนขับไปในตัว

คนจึงชอบขับรถหรู ยี่ห้อดัง ออกมาจอดแช่เรียงรายอวดกันอยู่ตามท้องถนนให้การจราจรติดขัดอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้

เสื้อผ้าที่สวมใส่ใช่จะเพื่อปกปิดตบแต่งร่างกายอย่างเดียวก็เปล่า

แต่แต่งไว้อวดรสนิยม ยี่ห้อ สนนราคา ความทันสมัยทันแฟชั่นเสร็จสรพ

ทุกวันนี้จึงไม่สนใจ “กิน” “แต่งตัว” “ใช้” “มี” เพราะสังคมบริโภคนิยมเป็นธุระให้หมดแล้ว แต่ไปสนใจ กิน แต่งตัว ใช้ มี “อย่างไร” เสียมากกว่า

คำว่า “อย่างไร” จึงกลายเป็นดัชนีที่ชี้บอกชีวิตความเป็นอยู่ทั้งหมด


มันให้รู้สึกเศร้าเมื่ออ่านพาดหัวข่าวว่า “สยช.เปรี้ยง! สาวเหนือยากรวย ที่มาโสเภณี”

ความยากจนขัดสน ยังมีวิธีแก้ไขได้ด้วยการจัดหาให้มีกินมีใช้

แต่ความอยากรวยนี่สิ แก้อย่างไรก็ไม่ตก เพราะไม่มีใครสามารถลากเส้นบ่งบอกได้ว่า แค่นี้ก็รวยแล้ว

เพราะธาตุแท้ของคนแล้ว มีเท่าไรไม่รู้จักพอ ยิ่งมีก็ยิ่งอยากจะมีมากขึ้น

และพร้อมจะแลกกับคุณค่าทุกอย่าง แม้ศีลธรรมและศักดิ์ศรี อย่างไม่นึกเสียดายแม้แต่น้อยนิด

วันดีคืนดี ถ้าเห็นพาดหัวข่าวว่า “ปล้นกันเพราะอยากรวย” ก็คงไม่ต้องแปลก

หากไม่ยอมใช้คำว่า “พอ” ในการมี การกิน การใช้ การจ่าย...กันบ้าง*








หมวยรถไฟ


เข้าเมืองจีนครั้งนั้น ผมประทับใจหลายอย่างทันทีที่รถไฟขบวนยาวแล่นหันหลังให้ฮ่องกงแผ่นดินกว้างใหญ่ของจีนเปิดอ้าอยู่ต่อหน้า เขียวขจีด้วยต้นไม้เล็กใหญ่และทุ่นนากว้างยาวราวกับพรมเขียวปูไปสุดหูสุดตา

แม้ประชากรจะมาก แต่เนื้อที่ทำกินมีมากมายเหลือเฟือรูปร่างออกจะเจ้าเนื้อ แก้มแดงเรื่อๆ ของคนจีนส่วนใหญ่ที่พบเห็นบ่งบอกให้รู้ว่าอาหารการกินนั้นสมบูรณ์แต่ละสถานีที่ผ่านมา มีทั้งคนขึ้นและคนลงรถไฟ แออัดยัดเยียดอย่างกับเทศกาลสงกรานต์บ้านเรา

กลุ่มแม่ค้าขายผักหาบผลิตผลต้นสวยใบงามเขียวสด รอรถไฟมุ่งสู่ฮ่องกง ตลอดขาประจำขณะที่คนกลับจากฮ่องกงขนข้าวของที่หาซื้อกลับมาวางกันระเกะระกะอย่างกับย้ายบ้าน

แม้จะมีความโกลาหล สับสนวุ่นวายด้วยผู้โดยสารและคนรับจ้างขนสัมภาระ แต่ในตู้รถไฟที่ผมนั่งอยู่พร้อมกับผู้โดยสารอื่นๆสงบเรียบร้อย

แต่ละคนนั่งตามหมายเลขที่นั่งอย่างเป็นระเบียบ บอกให้รู้เป็นนัยว่า คนจีนมีวินัยและเคารพดกฏเกณฑ์ทั้งตู้โดยสารมีเจ้าหน้าที่ดูแลเพียงคนเดียว สาววัย 20 เศษหน้าหมวย เสื้อขาว กระโปรงดำ ท่าทางกระฉับกระเฉงเธอทำหน้าที่เป็นพนักงานต้อนรับ ให้ที่นั่งผู้โดยสารตามหมายเลข มีสัมภาระรุงรังก็ช่วยยกช่วยขนให้เสร็จสรรพพอรถไฟเริ่มเคลื่อนตัวออกจากสถานี เธอก็เดินตรวจตราความเรียบร้อย จัดสัมภาระให้เข้าที่เหนือที่นั่งแต่ละที่

แล้วก็ถือไม้กวาดพื้นตั้งแต่หัวจรดท้ายผู้โดยสารด้วยความละเอียดลออกวาดเสร็จก็หายตัวออกไปสักพักใหญ่ แล้วก็กลับมาพร้อมกับรถเข็นคนพอเหมาะเพื่อให้บริการขายอาหารและเครื่องดื่ม

ข้าวหน้าเป็ด หน้าหมู มีผักต้มต้นใหญ่ๆ วางเรียงไว้อยู่ข้างบนบรรจุในกล่องโฟมใหญ่ขาวสะอาดดูน่ากิน ราคาสมน้ำสมเนื้อจนอดสมเพชข้าวที่ขายบนรถไฟบ้านเราไม่ได้

สำหรับเครื่องดื่ม ถ้าเป็นเครื่องดื่มธรรมดาก็ขายเป็นแก้ว แต่ถ้าเป็นชาชนิดดีของจีน ซื้อถุงเดียวเติมน้ำร้อนได้ตลอดทาง

คล้ายจะบอกว่า มาเมืองจีนทั้งที ไม่ดื่มชาจีนแล้วจะดื่มอะไรอีกผู้โดยสารอิ่มหนำสำราญแล้ว เธอก็เดินเก็บกล่อง ขวดพลาสติกไปไว้ที่เก็บขยะนอกผู้โดยสาร แล้วก็กลับมาพร้อมกับไม้กวาดเพื่อดูแลความสะอาดของพื้นอีกรอบหนึ่ง

รถไฟจอดที่สถานีที เธอก็จะรีบลงไปให้การต้อนรับผู้โดยสารท่าทางทะมัดทะแมงเสมอต้นเสมอปลายพอรถไฟเคลื่อนที่ เธอก็ถือกาน้ำร้อนเดินเติมน้ำให้ทุกคนที่ดื่มชาเธอกลับมาอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับรถเข็นคันเดิมที่เต็มไปด้วยขนมแห้ง ของที่ระลึก สมุดแสตมป์ ผ้าพันคอทอด้วยผ้าไหม ฯลฯ เพื่อจำหน่ายผู้โดยสารด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แววตาเชื้อเชิญให้ซื้อ


ผมลงรถไฟไปนานแล้ว แต่ยังอดคิดต่อไม่ได้ว่า เมืองจีนใช้คนคุ้มจริงๆคนเดียวทำงานได้หลายอย่าง ทรัพยากรบุคคลจึงมีมากเพื่อการพัฒนาประเทศชาติ

แล้วก็อดมองย้อนกลับมาเมืองไทยไม่ได้คนจีนคนเดียวทำให้หลายงาน คนไทยหลายคนทำแค่งานเดียวคงจะเป็นที่จุดนี้ด้วยหรือเปล่าที่การพัฒนาประเทศจึงต่างกันมากเช่นนี้

ถ้าจะดูกันจริงๆ แล้ว เมืองไทยใช้คนเปลืองเอามากๆในระบบงานราชการ เจ้าหน้าที่มีจำนวนมากกว่าปริมาณของงาน วันหนึ่งๆ ก็ทำงานกันแบบเช้าชามเย็นชาม มีเวลากันเหลือเฟือห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง พนักงานขายมีมากกว่าผู้ซื้อ จนหลายคนไม่กล้าเดินเข้า

สร้างทาง สร้างถนน คนทำมากกว่างาน จึงมักจะมีให้เห็นบ่อยๆ สามคนทำ หกคนนั่งดูบ้านหลังหนึ่ง เพียงเพื่อทำงานสำหรับเจ้าของบ้านสามสี่คนก็มีเงินจ้างซะอย่าง แถมเป็นการช่วยให้คนมีงานทำด้วยผู้อ่านหลายคนคงค้านผมก็ยอมรับคำค้านโดยดุษฎี แต่ก็อดนึกเสียดายไม่ได้อยู่ดีจนทุกวันนี้ ผมก็ยังนึกถึงหมวยประจำรถไฟจีนขบวนนั้นอยู่















อารยธรรม

ตั้งแต่ผมกลับจากบ้านนอกครั้งนั้นแล้ว ผมต้องคิดหนักว่าอะไรแน่คืออารยธรรม

แม้จะเป็นหมู่บ้านใหญ่ แต่ชาวบ้านรู้จักมักคุ้นกันราวกับเป็นญาติ

บ้านแต่ละหลังใหญ่เล็กตามอัตภาพ ตั้งเรียงรายเป็นทิวแถว ชิดขอบซ้ายขวาถนนที่ซอยตัดเป็นระเบียบ

รั้วไม้เตี้ยๆ ทรงเดียวกันหมด เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกขอบเขตมากกว่าจะใช้ป้องกันบ้าน

คนเนผ่านไปมาเห็นคนในบ้าน คนในบ้านเห็นคนผ่านไปมา พร้อมกับร้องทักทายถามทุกข์สุขกันสนิทสนม

จะแว้บเข้ามานั่นคุย ขอกินหมากสักคำ หรือจะนั่งดูรายการโทรทัศน์สักเรื่องสองเรื่องก็ไม่ว่ากัน

ออกจากบ้านไปธุระที่ไหน ก็แค่งับประตูบ้านไว้ ฝากคนบ้านใกล้เรือนเคียงช่วยดูแลเป็นธุระให้หายห่วง

เช้ามืดก็พากันจูงวัวจูงควาย หาบสัมภาระไปนา สายหน่อยเด็กนักเรียนตัวเล็กตัวใหญ่หอบหิ้วหนังสือมุ่งไปโรงเรียน ทิ้งให้หมู่บ้านแทบจะร้างคน หากไม่มีคนเฒ่าคนแก่ที่ “เกษียณนา” ช่วยเดินไปมาดูแลบ้านเรือนให้

จนตกเย็นนั่นแหละ หมู่บ้านเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อผู้คนทะยอยกันกลับจากนา หุงหาเตรียมกับข้าวกับปลา แล้วก็นั่งร่วมวงกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย ไม่ลืมที่จะร้องเรียกคนรู้จักที่ผ่านไปมาให้ทานข้าวด้วยกัน ประสาคนมีน้ำใจ

ไฟบ้านดับไปทีละบ้านสองบ้าน พร้อมกับเสียงพูดคุยหัวเราะกระเซ้าเย้าแหย่ค่อยๆ เงียบลง จนกระทั่งหมู่บ้านเข้าสู่นิทราในสายลมเคล้ากลิ่นทุ่งนาที่พัดโชยพอให้เย็นกายเย็นใจ ท่ามกลางบรรยากาศที่สงบเงียบและไร้ซึ่งมลภาวะใดๆ

ใบหน้าท่าทีของชาวบ้านจึงดูแจ่มใส แม้จะส่อแววกร้านแดดกร้านฝน แต่ปราศจากริ้วรอยแห่งความหวาดกังวล การดิ้นรนต่อสู้หรือการแข่งขัน แบบที่เห็นบนใบหน้าและแววตาของคนในเมือง

อัธยาศัยไมตรี ความเป็นพี่เป็นน้อง ความมีน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อบอวลอยู่ในบรรยากาศของหมู่บ้าน จนทำให้คนที่มาจากเมืองต้องรู้สึกอึดอัด เหมือนคนไม่ได้อาบน้ำเข้าไปคลุกคลีกับคที่อาบน้ำปะแป้งแล้ว อย่างไรอย่างนั้น

ข้าวของเครื่องใช้เครื่องครัวทิ้งไว้ที่เถียงนา ไม่มีใครเฝ้าก็ไม่กังวล ปลาร้าพริกกระเทียมมะนาววางไว้อย่างไรก็อยู่อย่างนั้นข้ามวันข้ามคืน

แม้แต่ไก่ไทยขนาดกำลังปิ้งกำลังแกงเป็นฝูง หรือความไถนาตัวใหญ่ ไม่ต้องต้นไปต้อนกลับ ก็ไม่เคยหาย

ต้นไผ่ปลูกไว้ยาวเป็นทิวแถวมีหน่อแทงขึ้นรับหน้าฝนเต็มไปหมด ก็ไม่ต้องล้อมรั้วกั้นเขต

ก็ไม่มีใครลักขโมยหรอก อยากได้ก็ขอกันกินขอกันใช้ จะซื้อะขายก็ไม่ว่ากัน” ชาวบ้านชี้แจงเมื่อเห็นสีหน้ากังขาของผม

ผมจากหมู่บ้านมาด้วยหัวใจเบิกบาน หลังจากได้สัมผัสกับบรรยากาศบริสุทธิ์ แจ่มใส งดงาม อบอุ่น ที่ไม่ค่อยจะได้สัมผัสมานานแสนนานแล้ว

มันเป็นบรรยากาศที่ผมได้พบกับธรรมชาติลึกๆ ของความเป็นมนุษย์ ที่ถูกบดบังด้วยวัตถุนิยม บริโภคนิยม จนทำให้ความเป็นพี่เป็นน้อง ความเอื้ออาทร ความมีน้ำใจ ต้องหดหายไปจนแทบไม่เหลือหรอ อย่างที่เห็นกันในสังคมเมืองทั่วไป

พร้อมกันนั้น ในหัวใจที่กำลังเบิกบานก็มีคำถามที่ผุดขึ้นมา “อะไรแน่คืออารยธรรม หรือความศิวิไลซ์?”

มันหมายถึงการพัฒนาด้านวัตถุ หรือด้านเทคโนโลยี ชนิดสุดโต่ง จนแทบไม่ได้ให้ความสนใจด้านจิตใจหรือเปล่า?

มันหมายถึงความก้าวหน้าที่ทำให้คนต้องแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น เอารัดเอาเปรียบ ห้ำหั่นกันในชั้นเชิงและไหวพริบ จแทบไม่ได้มองกันในฐานะเพื่อนพี่น้องร่วมโลกหรือเปล่า?

เมื่อมองสังคมเมืองแล้วย้อนกลับไปมองสังคมหมู่บ้านที่ผมเพิ่งจากมา ผมอดไม่ได้ที่คิดออกมาดังๆ ว่า ผมเพิ่งออกจากแดนศิวิไลซ์มา*









สิทธิของใคร?

ผมว่าจะไม่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว แต่ก็อดออกความคิดเห็นไม่ได้

ในเมื่อดูรูปการแล้ว เรื่องนี้คงจะบานปลายไปเรื่อยๆ ส่งผลกระทบไปทุกระดับ

แม้จะอ้างแบบข้างๆ คูๆ ว่า เป็นเรื่องส่วนตัว แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น

ท่านผู้อ่านที่ติดตามข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ คงจะเห็นว่าในช่วงนี้มีดาราหลายคนหันมาเอาดีทางถ่ายภาพนู้ด

ข่าวแต่ละครั้งที่ออกมา ยังประโยชน์ให้แก่สองฝ่ายนี้อย่างแน่นอน

ฝ่ายตัวดารา ข่าวเป็นการโฆษณาขายสินค้าโดยไม่ต้องเสียค่าโสหุ้ย

ฝ่ายหนังสือพิมพ์ ได้ข่าวมาลงตีพิมพ์ชวนให้คนซื้อหา เพิ่มยอดขาย

ในเมื่อเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน ประเภทน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ทั้งสองฝ่ายคงผนึกกันเหนียวแน่น โดยไม่ไปสนใจกับจรรยาบรณแม้แต่น้อย

มันเป็นความเปื้อนหมองสำหรับวงการดารา เมื่อหมดน้ำยาในความสามารถทางด้านแสดง ก็หันมาหาจุดขายในเรื่องที่ไม่น่าจะเอ่ยถึงในวงการบันเทิงด้วยซ้ำ

มองให้ลึกแล้ว มันเป็นเฮือกสุดท้ายในความสิ้นหวังของคนที่ไม่เห็นคุณค่าของตนเอง นอกจากสังขารที่พอจะทำเงินให้ก้อนสองก้อน ก่อนที่จะหมดราคาค่างวด รวมทั้งชื่อเสียงและศักดิ์ศรีที่เคยปลุกปั้นขึ้นมา

ก็น่าเห็นใจอยู่เหมือนกันที่ดาราบ้านเราเป็นกันง่ายๆ เพียงแค่ข้ามวันข้ามคืน จึงมีมากเกินความต้องการ จนแทบจะไม่กล้าเลือกบทบาทแสดง

มาตรฐานการเป็นดาราอยู่แค่หน้าตา เทสท์หน้ากล้องขึ้นก็เป็นดาราได้แล้ว ดาราจึงมีมากขึ้นทุกวัน

มีดาวรุ่งมาก ดาวร่วงก็ย่อมจะมากตามด้วย เมื่อคำนึงถึงตลาดภาพยนตร์บ้านเรา


มันเป็นความมัวหมองสำหรับวัฒนธรรมไทย ที่มีการสืบสานคุณค่าที่ดีงามต่อกันมาหลายชั่วอายุคน

เพียงแค่อ้างคุณค่าด้านศิลปะเพื่อถ่ายภาพนู้ดคงฟังไม่ขึ้น เพราะแต่เด็กอมมือก็ยังรู้ว่าคนเป็นนางแบบไม่มีคำว่าศิลปะในหัวขณะโพสท่าแม้แต่น้อยนิด

คนถ่ายภาพก็เถอะ จะมีสักคนไหมที่จะคิดถึงศิลปะในความหมายแท้จริงของมันขณะกดชัตเตอร์สวาปามสัขารที่อยู่ต่อหน้า

มันแล้วแต่คนมองนะ อยากจะมองให้เป็นศิลปะหรือลามก” คำชี้แจงแบบปัสวะให้พ้นตัวทั้งของนางแบบและคนว่าจ้างจัดทำ โยนความรับผิดชอบไปให้คนอื่นหน้าตาเฉย ทั้งๆ ที่ตนเองเป็นต้นเหตุ

ในเมื่อวัฒนธรรมอันดีงามเป็นมรดกอันล้ำค่าของคนไทยทุกคน การกระทำที่สร้าความเสื่อมเสียหายให้แก่มรดกอันงดงามนี้ ก็เป็นการทำผิดต่อคนไทยแต่ละคน อย่างเลี่ยงไม่ได้


ร่างกายเป็นของฉัน ฉันมีสิทธิจะทำกับมันอย่างไรก็ได้” เป็นคำแก้ตัวแบบขุ่นๆ อีกอย่างหนึ่งที่ใช้อ้างกันนักหนา

แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิทธิของแต่ละคนจะเป็นสิทธิที่ถูกต้องได้ หากสิทธินั้นไม่ไปทำลายสิทธิของผู้อื่น

จะอ้างเพียงอย่างเดียวว่ามีสิทธิจะเปิดเผยส่วนของร่างกาย แต่ไปทำลายสิทธิของผู้อื่นที่จะรักษาวัฒนธรรมและศีลธรรมอันดีงาม ก็ย่อมเป็นการสิทธิอย่างไม่ถูกต้องเหมือนกัน

ร่างกายเป็นของแต่ละคนก็จริง แต่ความเป็นผู้หญิงไม่ใช่เป็นของคนใดคนหนึ่ง ทว่าเป็นสมบัติของสตรีทุกคน

หากการใช้สรีระร่างกายของผู้หญิง ที่ไปขัดกับศักดิ์ศรีของสตรีแล้ว การกระทำนั้นๆ ถือได้ว่าเป็นการกระทำผิดต่อผู้หญิงทุกคน

ดาราแก้ผ้า ผู้หญิงขายหน้า เด็กๆ ช้ำ” ข้อเขียนของครูตุ้ม มูลนิธิสร้างสรรค์เด็กที่บ่งบอกความเป็นห่วงและวิตกกังวล ยืนยันสัจธรรมนี้ที่คนมักะมองข้าม

บทความนี้คงจะช่วยอะไรไม่ได้มาก ในเมื่อกระแสเงินมันแรงกว่ากระแสความดี

เพียงแค่ต้องการจะเรียกร้องสิทธิของท่านผู้อ่านและของผมเอง สิทธิที่กำลังถูกย่ำยีอันเนื่องมาจากบางคนที่ใช้สิทธิของเขาอย่างผิดๆ

และอยากจะร้องบอกผู้หญิงทุกคนว่า ศักดิ์ศรีของท่านกำลังถูกย่ำยีอย่างไม่น่าให้อภัย

ท่านจะอยู่นิ่งเฉยและปล่อยเลยตามเลยได้อีกหรือ?*










ปรบมือข้างเดียวไม่ดัง

เป็นเรื่องน่าสลด ที่เด็กละวัยรุ่นไทยจำนวนมากอนาคตต้องดับวูบลง วัยสดชื่นของชีวิตอย่างน่าเสียดาย

ยาเสพติดประเภทต่างๆ กำลังหันเป้าหมายมายังกลุ่มผู้บริโภคไร้เดียงสาเหล่านี้ จนแทบจะผูกขาด

ระบาดเข้าไปแม้กระทั่งในโรงเรียน

แล้วก็สร้างความเป็นทาสในรูปแบบใหม่ ที่โหดเหี้ยมไปกว่าทาสสมัยก่อน

เพราะเป็นทาสกด้วยความสมัครใจ เพราะด้อยประสบการณ์ เพราะความมักรู้มักเห็น เพราะความอยากลอง เพราะความต้องการยอมรับ เพราะความต้องการเป็นเลิศ เพราะหมดทางแก้ไขปัญหา

ผู้สันทัดกรณีชี้ว่า ต้นเหตุใหญ่ที่ทำให้เด็กและวัยรุ่นหันไปหาความเป็นทาสดังกล่าว คือภูมิหลังของครอบครัว

เด็กด้อยประสบการณ์ เพราะไม่ได้อยู่กับพ่อแม่หรือพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ จึงต้องดิ้นรนขวนขวาย ลองผิดลองถูกไปแทบทุกเรื่อง

อิทธิพลของเพื่อนจึงมีมากถึงขนาดเห็นเพื่อนสำคัญกว่าพ่อแม่ แค่เป็นที่ยอมรับของเพื่อนก็พร้อมจะทำทุกอย่าง ไม่คิดจะคำนึงความผิดความถูก ควรหรือไม่ควร

ส่วนที่มุมานะเล่าเรียนศึกษาเพื่ออนาคต ก็ยังไม่วายมีคนมาแนะของดีใช้แล้วเรียนทนไม่เหนื่อยไม่เพลีย

แล้วจากปัญหาหนึ่งก็นำไปสู่อีกปัญหาหนึ่ง เป็นวัฏจักร จนไม่เห็นหนทางออก

คนส่วนมากที่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับมฤตยูดำตัวนี้ที่กำลังบ่อนทำลายสังคมเรา ก็มักจะโยนความผิดไปที่ผู้ผลิตผู้จำหน่าย

บ้างก็ถึงขนาดสาปแช่งให้ตกนรกหมกไหม้ ไม่ได้ผุดได้เกิด

แล้วก็ไม่เคยพลิกไปมองอีกด้านหนึ่งของเหรียญ

การจำหน่ายจะมีได้หากมีการซื้อขาย ยิ่งมีการซื้อหามาก การจำหน่ายกะเพิ่มขึ้น

เช่นเดียวกับการผลิตและการบริโภค

เพราะแม้จะมีการผลิตและการจำหน่ายมาก แต่หากไม่มีการซื้อหาบริโภค การผลิตและการจำหน่ายก็มีอันต้องลดน้อยถอยลงอย่างเลี่ยงไม่ได้

เพียงแค่มาโทษการผลิตและการจำหน่ายฝ่ายเดียว ก็ยังไม่ถูกต้องไปทั้งหมด

ทั้งๆ ที่สิ่งเสพติดก่อนหน้านี้ก็มีขายมีซื้อกัน แต่ก็ไม่มากอย่างทุกวันนี้

ในอดีต โรงสูบฝิ่นมีให้เห็นทั่วไป และไม่ผิดกฎหมาย แต่ก็ไม่เห็นมีความวิตกว่าคนทั้งชาติจะติดฝิ่นงอมแงม

เพราะคนที่ต้องการบริโภคฝิ่นมีแค่จำนวนน้อย เมื่อเทียบกับประชากรคนไทยโดยทั่วไป

การผลิตการขายก็เลยต้องจำกัดอยู่แค่นั้น

ทำไมการผลิตและการขายยาเสพติดประเภทต่างๆ จึงมีมากขึ้นจนน่าวิตกอย่างที่เห็นทุกวันนี้?

เป็นเพราะมีผู้ผลิตผู้ขายมากขึ้น หรือเป็นเพราะมีผู้ซื้อผู้บริโภคมากขึ้น?

และถ้าเป็นเพราะมีผู้ซื้อหาบริโภคมากขึ้น ก็ต้องถามกันต่ออีกว่า ทำไมคนจึงต้องซื้อหาและบริโภคยาเสพติดประเภทต่างๆ มากขึ้น?

ผู้มีหน้าที่บริหารประเทศ ก็ต้องถามตนเองว่า มีอะไรที่เป็นสาเหตุให้ประชาชนต้องบริโภคยาเสพติดมากขึ้น

ลึกๆ มีปัญหาสังคม ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ ปัญหาค่าครองชีพเป็นปัจจัยอยู่หรือเปล่า?

ผู้ที่เป็นพ่อแม่ผู้ปกครอง ก็ต้องถามตนเอว่า มีอะไรที่เป็นเหตุให้ลูกหลานต้องหันไปเสพยาฆ่าผ่อนส่งและดับอนาคตมากขึ้นทุกวัน

เบื้องหลังเป็นเพราะเด็กต้องเผชิญกับปัญหาครอบครัว ขาดความรักความอบอุ่น มีพ่อแม่ก็เหมือนไม่มีหรือเปล่า?

ผู้เป็นครูบาอาจารย์ ก็ต้องถามตนเองว่า มีอะไรที่ทำให้นักเรียนหันไปพึ่งยาเสพติให้โทษรุนแรงขึ้นทุกวัน แม้ในสถานเล่าเรียนศึกษา

สาเหตุเป็นเพราะในโรงเรียนมีแต่เน้นความรู้แต่ไม่มีการอบรมจริยธรรม หรือครูบาอาจารย์ขาดความสนใจติดตามพฤติกรรมของนักเรียนหรือเปล่า?

และแม้แต่ผู้ใหญ่ทางศาสนาก็คงต้องถามคำถามเช่นเดียวกัน

การจะล่าจับผู้ผลิตและจำหน่ายยาเสพติดให้โทษก็คงไม่ได้ผลอะไร ตราบใดที่ยังไม่เข้าไปแก้ปัญหาที่ตัวผู้ซื้อผู้บริโภค ผมว่า*













เกาไม่ถูกจุด

ทุกครั้งที่เห็นความพยายามรณรงค์ป้องกันโรคเอดส์ ผมอดรู้สึกหดหู่ใจไม่ได้

มาตรการแต่ละอย่างที่เสนอ ล้วนแต่มุ่งแก้ปลายเหตุมากกว่าที่ต้นเหตุ

มีแต่การพูดการเตือนให้ป้องกันตัวด้วยการใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์

แต่ไม่เคยมีการแนะการสอนให้หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ที่ผิดๆ ซึ่งนอกจากจะผิดศีลธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามแล้ว ยังเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคเกิดภัยอีกด้วย

จนทำให้ดูเหมือนว่า ต้นเหตุการแพร่ระบาดของเอดส์อยู่ที่การไม่รู้จักใช้ถุงยางอนามัยมาก

กว่าอยู่ที่การทำผิดศีลผิดข้อห้ามเกี่ยวกับเรื่องเพศ

คนเลยมองดูว่าความชั่วอยู่ที่ติดเอดส์ และไม่ได้ฉุกคิดว่ามันอยู่ที่การใช้เพศในทางที่ผิด

จึงไม่แปลกที่คนทุกวันนี้ดูจะกลัวติดเอดส์มากกว่าจะผิดศีลธรรม

แนวทางการป้องกันโรคเอดส์แบบนี้ เป็นการสร้างทัศนคติขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อยในสังคมทุกวันนี้ว่า เพศสัมพันธ์ไมว่ารูปแบบใดเป็นเรื่องธรรมดา แต่เอดส์ต่างหากเป็นเรื่องร้ายแรงที่ต้องให้ความสนใจและสร้างมาตรการต่อสู้ป้องกัน

เห็นได้จากการรณรงค์ป้องกันโรคเอดส์บางจังหวัดทางภาคเหนือ ที่เป็นข่าวเป็นคราวเมื่อเร็วๆ นี้

มีการเสนอให้ผู้บริหารโรงเรียนและสถาบันการศึกษาเตือนนักเรียน-นักศึกษา ถึงการมีเพศ

สัมพันธ์ที่ปลอดภัย

พร้อมทั้งยืนยันว่า สังคมเรามาถึงจุดเปลี่ยนแปลงและต้องยอมรับการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานในระหว่างเยาวชนและวัยรุ่น เพื่อจะได้ช่วยพวกเขาจากเอดส์

ราวกับจะพูดเป็นนัยว่า การมีเพศสัมพันธ์ของเด็กและวัยรุ่นเป็นเรื่องธรรมดา แต่การเสี่ยงต่อการติดเอดส์เป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่ต้องวิตกกังวล


การแก้ปัญหาแบบสุกเอาเผากิน แทนที่จะช่วยแก้ปัญหา กลับสร้างปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นอีก

แก้ปัญหาเอดส์ด้วยการใช้ถุงยางอนามัย แต่กลับทำให้ศีลธรรมเสื่อม

และยิ่งถ้าเป็นการมุ่งแก้ปัญหาที่ปลายเหตุอย่างเดียวก็กลายเป็นการมองข้ามต้นเหตุหรือไม่ก็เป็นการยอมรับต้นเหตุไปโดยปริยาย

เอดส์นอกจากจะเป็นโรคร้ายที่น่าหวาดกลัวแล้ว ยังเป็นตัวดัชนีบอกความเสื่อมของจิตใจคนอีกด้วย

เพศที่เคยเป็นสิ่งมีศักดิ์ศรีและบทบาทควรยกย่อง กลับถูกมองจากแง่การบริโภคเพียงอย่างเดียว


ก็เลยกลายเป็นสิ่งที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้ ไม่ผิดกับหมูเห็ดเป็ดไก่หรืออาภรณ์เครื่องใช้ไม้สอย

นึกอยากจะบริโภคก็ว่ากันไป โดยไม่คำนึงถึงวัย ความพร้อม ความถูกต้อง กาลเทศะ กฎ

เกณฑ์ข้อห้าม

ยิ่งบริโภคก็ยิ่งหมกมุ่น จนกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้

แล้วก็เอามาเป็นตัววัดความสัมพันธ์ แม้กระทั่งความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา จนหลายครั้งไปบดบังความรักและการมอบตนในชีวิตแต่งงานไปจนหมดสิ้น


เคยมีการสัมมนาครั้งหนึ่งที่พูดถึงการใช้ธรรมะเพื่อป้องกันเอดส์ แต่ก็เห็นเป็นข่าวอยู่ครั้งแรกและครั้งเดียว

ทั้งๆ ที่เป็นการแก้ปัญหาได้ตรงประเด็นกว่าหมด

แม้จะเป็นวิธีที่ไม่ได้ผลทันตาเห็น แต่ก็มีประสิทธิภาพ เพราะไม่เพียงป้องกันเอดส์เท่านั้น ทว่ารักษาไว้ซึ่งศีลธรรมอันดีงาม อันเป็นคุณค่าสูงส่งกว่าโรคภัยไข้เจ็บเป็นไหนๆ

การปลูกฝังศีลธรรมและคุณค่าของเพศ จึงเป็นความเร่งด่วนเพื่อปกป้องและรักษาเด็ก-เยาวชนของชาติให้พ้นจากเอดส์

มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะพ้นเอดส์ แต่ก็ไร้ซึ่งศีลธรรมและวัฒนธรรมอันดีงาม?*




















เหนือฟ้า

ข่าวที่สร้างความฮือฮาในช่วงที่ผ่านมาทำให้หลายคนต้องเปลี่ยนความคิด

เทวรูปดื่มนมเริ่มต้นจากอินเดียแผ่ขยายไปอย่างรวดเร็วข้ามน้ำข้ามทะเล

คนแห่แหนกันไปถวายน้ำนม ป้อนท่านทีละช้อนสองช้อน ในขณะที่นมหายไปจากช้อนอย่างน่าพิศวงต่อหน้าต่อตา

คนมักรู้มักเห็นกรูกันไปจดจ้อง ตาลุกวาว ใจอดจะโอนเอนเชื่อตามไปมาได้

แม้จะมีการยืนยันจากผู้รอบรู้ว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่น้ำนมไหลจากปากของเทวรูปไปตามลำคอและซึมชุ่มฉ่ำอยู่ที่เสื้อผ้าซึ่งท่านสวมใส่อยู่

แถมยากแก่การสังเกตเนื่องจากสีผิวของเทวรูปกลมกลืนกับสีน้ำนม

นอกนั้นเทวรูปส่วนใหญ่ที่ดื่มน้ำนมมักจะเป็นรูปที่ตั้งอยู่ต่ำๆ ยากสำหรับคนที่ยืนอยู่จะเห็นอะไรที่เกิดขึ้นใต้คางท่าน

แต่คนก็ยังถือเป็นเรื่องอัศจรรย์ แปลกประหลาด น่าเชื่อถือ

ในขณะที่อีกหลายคนถือเป็นเรื่องงมงายไร้สาระสำหรับยุคโลกาภิวัฒน์

เหตุการณ์ครั้งนี้ เบื้องหน้าเบื้องหลังจะเป็นอย่างไรก็คงต้องให้ผู้สันทัดกรณีศึกษาหาคำ

อธิบายกันต่อไป

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นชัดเจนคือ เหตุการณ์นี้และเหตุการณ์ทำนองนี้ ชี้บอกสิ่งหนึ่งที่แน่นอน

โลกาภิวัฒน์คือความเจริญก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และด้านวัตถุ ไม่สามารถหยุดยั้ง ทำลายความรู้สึกลึกๆ อย่างหนึ่งของมนุษย์ได้ นั่นคือ ความรู้สึกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า

มันเป็นดังธรรมชาติส่วนหนึ่งของมนุษย์ที่สำนึกว่าเหนือมนุษย์มีอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งแม้จะพิสูจน์ตามหลักการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไม่ได้ แต่ก็รู้แน่แก่ใจว่ามีแนนอน

บางครั้งเขาอาจจะยืนผงาดประกาศก้องว่ามนุษย์นี่แหละคือสิ่งสูงสุดที่มี

แต่ภายในส่วนลึกของใจเขามีเสียงค้านแม้จะแผ่วเบา พร้อมทั้งตอกย้ำหนักแน่นว่ายังมีอะไรที่อยู่เหนือมนุษย์แน่นอน

ดีไม่ดีการประกาศก้องนั้น เป็นแค่ความพยายามอันไร้ผลที่กลบเสียงจากส่วนลึกของจิตใจเขานั่นเอง

ภายนอกดูเหมือนว่ามนุษย์มีทุกสิ่งทุกอย่างที่ช่วยประกันความมั่นใจให้แก่ชีวิตเขาได้

ทว่า เขาอดไม่ได้ที่จะเสาะหาที่พึ่งทางใจ ซึ่งวัตถุสิ่งของที่เขามีไม่อาจจะให้ได้

เขาอาจจะเชี่ยวชาญ ฉลาดหลักแหลม รอบรู้ ทำงานทำการได้สารพัดอย่าง

แต่ทุกครั้งเขาไม่วายที่จะแอบอธิษฐานในใจเพื่อขอให้ทำได้สำเร็จสมปรารถนา หรือไม่ก็ลงทุนเซ่นไหว้ฤทธิ์อำนาจที่เหนือความสามารถ และความเชี่ยวชาญของเขาขึ้นไปให้ช่วยเสริมให้อีกแรง

แล้วจึงกระทำไปด้วยความอบอุ่นมั่นใจ

ครั้นจะเหมาเอาว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความโง่เขลา งมงาย ก็คงไม่ถูก

แต่น่าจะเรียกว่าเป็นความฉลาด รอบคอบ เสียอีก


มันน่าเสียดายที่ความรู้สึกแห่งธรรมชาติมนุษย์อันนี้ไม่ได้รับการสนับสนุน ส่งเสริม และปลูกฝังให้ชนรุ่นใหม่

โดยอ้างกันข้างๆ คูๆ ว่า ในยุคแห่งการพัฒนาและความก้าวหน้าสุดขีดในทุกด้านนี้ การยังมาให้ความสนใจในเรื่องนี้มันนอกที่และเหลวไหล เหมือนเรื่องราวของซานตาครอสฉันใดฉันนั้น

เลยชนรุ่นใหม่ เยาวชนและเด็กๆ มองไม่เห็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวใจอย่างอื่น นอกจากตัวเองและวัตถุสิ่งของที่มี

ความไม่แน่นอนและความสิ้นหวังจึงมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของพวกเรา จนต้องหาทางออกที่ผิดๆ กันอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้

การจะมาชี้หน้าโทษว่าพวกเขาสำหรับปัญหาต่างๆ คงไม่ถูกต้องยุติธรรม

พ่อแม่ผู้ปกครองผู้ใหญ่ครูบาอาจารย์คงต้องมายอมรับด้วยความจริงใจว่า เป็นพวกเขาเองนั่นแหละที่ได้ทำลายความรู้สึกลึกๆ ในจิตใจของเด็กเกี่ยวกับพระเกี่ยวกับจ้าว ด้วยการไม่สนใจเสียเองบ้าง ด้วยการพูดจากลบเกลื่อนชวนให้เขวบ้าง ด้วยการไม่ปฏิบัติบ้าง ฯลฯ

ก็เพียงคิดกันง่ายๆ ว่า เด็กที่ไม่เคยสัมผัสกับความรักแท้ของพ่อแม่ จะเข้าใจและเห็นถึงความรักของพระเจ้าได้อย่างไร

พ่อที่เกรี้ยวกราด รุนแรง ไม่มีเหตุผล ไร้ความรับผิดชอบ และโหดร้ายทารุณกับลูกๆ คงไม่ช่วยให้ลูกสวดบท “ข้าแต่พระบิดา” ได้อย่างเต็มปากเต็มคำแน่นอน

คนทิ้งพระ ไม่ใช่พระหรอกที่เสียหาย แต่เป็นคนต่างหากที่ต้องรับกรรม*









ที่สนามบินวันนั้น


เป็นธรรมดาของการเดินทาง ที่จะต้องเหน็ดเหนื่อยและกังวลจะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับการเดินทางแต่ละอย่างและระยะทางใกล้ไกล

แต่ครั้งนี้ ผมยอมรับว่ารู้สึกเหน็ดเหนื่อยและกังวลเอามากๆ อุตส่าห์รีบร้อนออกจากที่พัก ให้ไปถึงสนามบินก่อนเครื่องบินจะออกสองชั่วโมง เผื่อเวลาสำหรับการตรวจตั๋ว สำรองที่นั่ง จัดแจงเอกสาร ฯลฯ

คนเดินทางเดินกันพลุกพล่านบริเวณห้องขาออก หิ้ว ลาก จูง สัมภาระชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ให้ลายตาไปหมด สัจธรรมที่ว่า ชีวิตคือการเดินทาง เห็นได้เป็นรูปธรรมกันที่สนามบิน สถานีรถไฟ สถานีขนส่งช่วยเพิ่มความตระหนักให้ทุกครั้งคนละทิศคนละทาง คนละจุดหมาย แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ความมุ่งมั่นจะเดินทาง แม้จะลำบาก ออกจะทุลักทุเลสำหรับหลายคน

แต่ละการเดินทางคือการพรากจาก เพื่อพบปะ ก่อนที่จะพรากจากกันไปอีกคนไปรับ คนไปส่ง แม้ดูจะต่างพวกกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วก็พวกเดียวกันนั่นแหละขณะที่ไปรับใจก็เตรียมสำหรับการพรากจากครั้งต่อไป และขณะที่ไปส่งใจก็ยังหวังสำหรับการพบครั้งหน้าเพราะชีวิตนอกจากเป็นการเดินทางแล้ว ยังเป็นการพบการพราก การพรากการพบ

การร้องไห้และการหัวเราะจึงเป็นรสชาติของชีวิตที่ทำให้มันไม่จืดชืด

ผมรู้สึกเหนื่อยและกังวลขึ้นมาทันทีทันใดเมื่อเหลือบไปเห็นแผ่นป้ายบอกว่า สายเครื่องบินที่จะเดินทางมีการล่าช้ามาจากต้นทาง ทำให้ต้องเลื่อนเวลาออกไปอีก 5 ชั่วโมงครึ่งเหนื่อยใจที่ต้องรอกังวลเกี่ยวกับคนที่จะต้องไปรับที่ปลายทางแม้จะเดินทางหลายครั้งหลายครา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นห้องพักผู้โดยสารละเอียดทุกซอกทุกมุมนั่งเมื่อยก็ลุกเดินดูโน่นดูนี่ แล้วก็ดูนี่ดูโน่นวนเข้าออกร้านปลอดภาษีทุกร้านที่มี จนแทบจะจำราคาสิ่งของที่วางขายกันเกลื่อนกลาดได้หมด

แล้วก็มานั่งดูเครื่องบินที่ขึ้นลง ที่จอดรับผู้โดยสารและสัมภาระ ลำแล้วลำเล่าอดฉงนไม่ได้ว่า เครื่องบินลำออกใหญ่โต ทำไมจึงบินร่อนขึ้นลงยังกับเครื่องบินกระดาษที่เคยพับเล่นในวัยเด็ก

ทั้งๆ ที่ตัวเครื่องเองก็หนักเป็นตันๆ แถมผู้โดยสารเป็นร้อยๆ แล้วก็สัมภาระ อาหารเครื่องดื่มฯลฯ ต่อเมื่อมองตามเครื่องบินที่โผขึ้นไปในอากาศ จึงเห็นในสัจธรรม

เครื่องบินเมื่อจอดที่ลานบิน ดูใหญ่โตมโหฬาร แต่พอบินขึ้นท้องฟ้ากลับดูเล็กไปถนัด เทียบกับท้องฟ้ากว้างใหญ่สุดหูสุดตา

ยิ่งบินสูงขึ้นเท่าไร ยิ่งเห็นเล็กลงไป จนหายไปจากสายตาในที่สุดไม่ผิดอะไรกับมนุษย์ ที่มองตนเองยิ่งใหญ่บารมีล้นพ้น จนอดไม่ได้ที่จะยกย่องว่ายิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดกระทั่งลืมตน เที่ยวอวดอ้างศักดา ท้าทายไม่เว้นหน้าอินทร์หน้าพรหม แต่พอมองไปรอบตัว มองขึ้นเบื้องบน ก็จะเห็นว่ามนุษย์เป็นแค่สิ่งน้อยนิดในจักรวาล

มันน่าเสียดายที่หลายคนไม่รู้จักมองอะไรอื่น นอกจากมองแค่ตนเองแล้วก็คิดว่าทำได้ทุกอย่าง สามารถบันดาลได้ทุกสิ่ง ไม่ต้องพึ่งไม่ต้องง้อใครหน้าไหนทั้งนั้น

ช่างมองอะไรแคบๆ และลืมไปว่า ที่ทำได้หลายต่อหลายอย่างนั้น มีผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าตนช่วยเหลือค้ำจุนอยู่ตลอดเวลาดุจเครื่องบินลำใหญ่ที่เต็มด้วยพลังไอพ่น คงไม่มีวันสามารถโผบินขึ้นฟ้าได้ หากไม่มีท้องฟ้ากว้างใหญ่รองรับ ประคับประคองค้ำจุนให้ลอยตัวอยู่

คนประเภทนี้น่าจะจับมานั่งรอที่สนามบินดูเครื่องบินขึ้นลงสักครึ่งวันจะได้เห็นสัจธรรมอย่างที่ผมเห็นในวันนั้นบ้าง

บางครั้ง การนั่งรอก็มีประโยชน์เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคแห่งการรีบเร่งของเรานี้























นักฝัน

ผมติดตามพิธีฝังศพของอดีตนายรัฐมนตรีอิสราเอล ยีตซ์ฮัก ราบิน ทางโทรทัศน์วันนั้นด้วยหัวใจหดหู่

ผู้นำประเทศที่ได้รับเชิญให้ขึ้นกล่าวคำไว้อาลัย ต่างยกย่อง “บุรุษแห่งสันติภาพ” ด้วยเสียงสั่นเครือ

ภาพโทรทัศน์ซึ่งจับยู่ที่สีหน้าคนร่วมพิธีทำให้เห็นบรรยากาศของขณะนั้นได้อย่างชัดเจน

มันเป็นความปวดร้าว ความสูญเสีย ความอาลัยอาวรณ์ ความโศกเศร้า...ต่อการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของบุคคลผู้หนึ่งที่เป็นนักฝันยิ่งใหญ่

ตลอดชีวิต เขาทำทุกอย่างเพื่อจะได้มาซึ่งสันติภาพและความผาสุกของชนชาติที่เขารักและหวงแหน

เขาทุ่มเทชีวิตเป็นทหารเพื่อปกป้องประเทศชาติจากการรุกราน

แล้วก็หันมาเป็นนักการเมือง ร่วมอุดมการณ์ในการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญเคียงบ่าเคียงไหล่กับประเทศระดับนำของโลก

เมื่อได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี เขาก็เริ่มฝันอยากให้ดินแดนที่ชนชาติของเขาตั้งรกรากอยู่ได้มีสันติภาพถาวร

มันเป็นความฝันยิ่งใหญ่ ใหญ่เกินกว่าจะเป็นจริง เมื่อมองย้อนหลังไปเกือบห้าสิบปีที่ผ่านมาที่ประเทศของเขาต้องทำสงครามเพื่อความอยู่รอดและอิสรภาพมาอย่างต่อเนื่อง

ความฝันนั้นที่เขาเองเคยพูดออกมา “อยากจะให้ลูกหลานของเรามีชีวิตอยู่อย่างผาสุกโดยไม่ต้องทำสงครามอีกต่อไป”

เฉพาะความฝันที่เลยตนเองไปเท่านั้น ที่เป็นความฝันแท้จริง ยิ่งใหญ่ และคู่ควรกับศักดิ์ศรีของความเป็นคน

เพราะความฝันแบบนี้ไม่จบสิ้นลงพร้อมกับความตายของคนฝัน แต่มีการสานต่อกันไปจากชนรุ่นหนึ่งไปยังชนอีกรุ่นหนึ่ง

กระสุนปืนคร่าได้แค่ชีวิต แต่หยุดยั้งความฝันไม่ได้

และในวันที่ร่างของเขาถูกฝัง ทุกคนที่อยู่ที่นั่นและที่อื่นๆ คงได้ยืนยันว่าจะสานต่อความฝันของเขาให้เป็นความจริงให้ได้


มีคนพูดไว้อย่างคมคายว่า “ถ้าอยากให้ฝันเป็นจริง จงตื่นขึ้นมาสิ”

ราบินไม่ได้เอาแต่ฝัน เขาลงมือ เขาทุ่มเท เขาเจรจา เขาเดินทาง...เขาตื่นขึ้นรับการท้าทายทุกอย่าง เพียงเพื่อให้ฝัของเขาเป็นความจริงขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย

หลายคนเช่นเขา มีความฝันอันสูงส่ง แต่ไม่ยอมตื่นขึ้นมาเพื่อให้ฝันเป็นจริง

เพราะนั่นหมายถึงการออกแรง การพยายาม การเสียสละ การควักเนื้อ

ความฝันก็เลยเป็นแค่ความฝันจริงๆ ด้วย เผลอๆ ตื่นขึ้นมาแล้วยังจำไม่ได้ว่าฝันอะไรไว้ เพราะฝันเฟื่องไว้หลายเรื่อง

ทุกคนเป็นนักฝัน แต่มีน้อยคนที่ตื่นขึ้นมาให้ฝันเป็นจริง


ความฝันหากหยุดอยู่แค่ตัวคนฝัน มันก็ตายพร้อมกับคนฝัน

แต่หากความฝันเลยตัวคนฝันไป มันจะต่อเนื่องไปสู่ความเป็นจริง หากคนฝันพร้อมจะตายเพื่อความฝันนั้น

ราบินฝันถึงสันติภาพสำหรับลูกหลานเหลน แต่พอความฝันเริ่มจะเป็นจริง เขาก็ต้องจ่ายด้วยชีวิตเขาเอง

คืนนั้นเขายืนร้องเพลงสันติภาพพร้อมกับคนนับแสน พอร้องเพลงสันติภาพด้วยเสียงเสร็จ เขาก็ต้องร้องมันต่อไปด้วยเลือดและความตาย

ความฝันบางอย่างราคาแพงเกินกว่าที่จะจ่ายด้วยเงินทอง หากแต่ต้องจ่ายด้วยชีวิต

ทุกคนที่ฝันสำหรับผู้อื่น มักจะต้องจ่ายมันด้วยชีวิตเสมอ

ประวัติศาสตร์โลกที่ผ่านมายืนยันความจริงนี้อย่างเด่นชัด

น่าเสียดายที่หลายคนโดยตำแหน่งบทบาทหน้าที่น่าจะเป็นนักฝันสำหรับผู้อื่น แต่กลับคิดจะฝันสำหรับตนเองฝ่ายเดียว

นักการเมือง พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ พระสงฆ์ นักบวช ข้าราชการ ฯลฯ

ความฝันจึงต้องตายไป ในขณะที่คนฝันอยู่ดีมีสุข เฉพาะตัว*











สิ่งน่ากลัว


อาสัญกรรมของอดีตนายกรัฐมนตรีอิสราเอล ยิตซ์ฮักราบิน สร้างความสะเทือนใจไปทั่วโลก

มันเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้ที่รักสันติภาพ และอยากจะเห็นโลกใบนี้ไร้ซึ่งความเกลียดชัง การทะเลาะวิวาท สงคราม การหักล้างทำลาย

ในส่วนลึกของจิตใจของมนุษย์ทุกคนมีความต้องการสันติ ความกลมกลืน ความเป็นพี่ เป็นน้อง ความสงบสุข

สงครามแต่ละครั้งที่ผ่านมา ไม่ได้ทำร้ายร่างกายและจิตใจของผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น แต่ทำร้ายจิตใจของมนุษย์ทุกคนด้วย

เพียงแค่คิดถึงจิตใจของเด็กๆ ที่ต้องรับรู้ถึงความโหดร้าย ทารุณ การเข่นฆ่าทำลาย จะใกล้หรือไกลตัว พลอยต้องซึมซับสิ่งเหล่านี้เข้าไปวันแล้ววันเล่าจนทำให้เกิดความคิดว่า สิ่งเหล่านี้เป็นปกติของวิสัยมนุษย์แล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ทำกันได้ ไม่แปลกหรือไม่ผิดอะไร หรือแย่ไปกว่านั้น เป็นสิ่งที่ต้องทำ

ปืนและอาวุธจึงเป็นของเล่นอย่างหนึ่ง ไม่ต่างไปจากตุ๊กตาหรือหม้อข้าวหม้อแกงไม่ต้องมองไปให้ไกลตัว เพียงแค่ข่าวคราวที่เห็นในหน้าหนังสือพิมพ์หรือที่จอโทรทัศน์ ที่เน้นเสนอข่าวร้ายต่างๆ ในรายละเอียดถี่ยิบให้เห็นทุกวันในบ้านเมืองเรา

ก็น่าวิตกกว่าสิ่งเหล่านี้ที่ซึมซับเข้าไปวันแล้ววันเล่า จากที่เคยเป็นความผิดความชั่วจะกลายเป็นสิ่งธรรมดาไปและนี่คือสิ่งที่น่ากลัว การมองความชั่วเป็นเรื่องธรรมดามือปืนสังหารยิตซ์ฮัก ราบิน ประกาศก้องว่า เขาทำไปตามพระบัญชาพระเจ้า

มันเป็นคำยืนยันที่ขัดกับการกระทำอย่างน่าเกลียดไม่ผิดกับการจะพูดว่า ทำชั่วเพื่อความดีมันง่ายที่ดึงพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวกับการกระทำ อ้างถึงพระองค์ได้อย่างไม่ต้องเกรงกลัว เพราะพระเจ้าท่านไม่เคยโต้แย้งแต่การกระทำนั้นๆ มันฟ้องตัวมันเอง โดยพระเจ้าไม่ทรงต้องแถลงชี้แจงพระเจ้าผู้ทรงความดีบริสุทธิ์ จะทรงสั่งให้คนทำความชั่วอย่างนั้นได้อย่างไร?

แต่นั่นแหละ มีการอ้างเช่นนี้กันมาในอดีตจนถึงปัจจุบัน ในรูปแบบต่างกันไป

ฉันทำเพื่อพระ...

แล้วก็ทำสิ่งที่ฉันต้องการ ไม่คำนึงว่าจะผิดต่อความรักเพื่อนพี่น้องหรือไม่นี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า... แล้วก็บังคับให้ทุกคนทำตามความต้องการของตนเอง ไม่สนใจว่าจะกระทบใครบ้าง

ฉันทำเพื่อพระสิริมงคลของพระเจ้า...แล้วก็มานั่งภาคภูมิใจ โอ้อวดคุยโวผลงานที่ทำอย่างไม่รู้จบฉันทำเพื่อช่วยพระศาสนจักร...

แล้วก็กอบโกยผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตนเอง ร่ำรวยเป็นกอบเป็นกำประเภทหากินกับวัดถ้ากล้าอ้างถึงพระเจ้าเพื่อประโยชน์ที่แอบแฝงแล้ว การจะอ้างความดีอย่างอื่นก็ไม่แปลก

ฉันต้องทำเพราะรักนะ...

แล้วผลการกระทำที่ออกมาแต่ละอย่าง ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า รักฉัน หรือรักเธอ ฉันต้องทำโทษเพื่อความดีของเธอนะ...

ทำแล้วฉันสบายใจ เพราะได้ระบายอารมณ์ออกมาฉันจำต้องปฏิเสธเพื่อความดีของเธอ...

ทำแล้วรู้สึกสะใจลึกๆ ที่มีโอกาสได้แก้แค้นสำหรับความเจ็บใจที่คาค้างอยู่ฉันจำเป็นต้องทำเพราะหวังดีนะ...

แล้วปลายทางของการกระทำก็คือ ความหวังดีต่อตัวฉันเอง ฯลฯ


แม้จะอมพระพูด หากพูดอย่างหมายถึงอีกอย่าง ไม่เร็วก็ช้าการกระทำนั้นๆ ก็จะฟ้องตัวมันเองออกมาอย่างช่วยไม่ได้และนั่นคือการดึงของสูงให้ลงมาต่ำไม่ผิดกับการไหว้พระขอพรท่านก่อนทำชั่ว
























โทษให้ถูกคน

ฉาวโฉ่ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเรื่องเสียหายสำหรับประเทศไทย

ครั้งนี้ประดังเข้ามาติดๆ กัน จนตั้งตัวไม่ติด

หนังสือการ์ตูน “แบ๊ตแมน” ที่เปิดเผยความซ่อนเร้นของกระบวนการโสเภณีเด็ก พร้อมกับตัวเลขจำนวนเด็กและจำนวนเงินสะพัด จนทำให้ขึ้นทำเนียบรายได้หลักของประเทศ

มีการยื่นหนังสือประท้วงไปยังไม่ทันจะถึงตัวผู้เกี่ยวข้อง หนังสือ “คู่มือแหล่งบริการด้านเพศในเมืองไทย” พิมพ์ออกมาขายกันเกร่อทั่วญี่ปุ่น

เดือดร้อนผู้ปกป้องสิทธิและศักดิ์ศรีสตรีออกมาประนามและประท้วงกันจ้าละหวั่น

หนังสือทั้งสอเล่ม ตีพิมพ์กันคนละแห่ง แต่เนื้อหาสาระพูดถึงเรื่องเดียวกัน “โสเภณี”

มันเป็นการสะกิดแผลให้คนไทยส่วนใหญ่ต้องรู้สึกเจ็บและอับอายขายหน้าไม่น้อย

ทั้งๆ ที่ลึกลงไปในจิตใจ ต่างต้องยอมรับโดยดุษฎีว่ามันเป็นเรื่องจริง

เพราะมันไม่เรื่องอื้อฉาวครั้งแรก แต่ยืดเยื้อกันมาช้านานแล้ว

รัฐบาลทุกชุดที่เข้ามาบริหารประเทศมักจะเลือกเอาเรื่องนี้เป็นจุดขายและนโยบาย แต่ก็เป็นแค่ไฟไหม้ฟางแล้วก็เงียบหายไป ขณะที่ต้องสนใจดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด

ปัญหาที่เอามาแต่พูดแต่ถก มักจะเป็นปัญหาเรื้อรังและบานปลายไปเรื่อย


เรื่องราวเสื่อมเสียที่เกิดขึ้นแต่ละอย่างส่งผลกระทบให้คนดีมากกว่าคนที่เป็นตัวปัญหา

คนไทยส่วนใหญ่ต้องขายหน้าเพราะชื่อเสียงของประเทศต้องมัวหมอง แต่คนที่เกี่ยวข้องและร่ำรวยกับธุรกิจประเภทนี้กลับหน้าชื่นตาบาน

คนดีจึงต้องจ่ายแทนคนชั่วแทบในทุกเรื่อง

ผู้หญิงไทยกี่คนที่เดินทางไปต่างประเทศ ต้องถูกสอบถามอย่างหยาบคาย ราวกับว่าหญิงไทยทุกคนไปไหนต้องไปขายตัวที่นั่น

ไม่ต้องพูดถึงสายตาคนต่างชาติที่มองดูด้วยความเย้ยหยัน ดูถูกดูหมิ่น แทะโลม ทันทีที่รู้ว่าเป็นหญิงไทย

จนหลายคนแทบไม่อยากจะบอกใครต่อใครว่ามาจากเมืองไทย

อย่าว่าแต่เดินทางไปต่างประเทศเลย แม้แต่อยู่เมืองไทยเองก็เถอะ นักท่องเที่ยวที่ไม่คิดจะมาเที่ยวอย่างเดียวคิดเหมาเอาเองว่าหญิงไทยนั้นเหมือนกันไปหมด

แถมรัฐบาลยังจะรณรงค์ให้ยิ้มแย้ม มีอัธยาศัยไมตรีกับนักท่องเที่ยว ก็เลยยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปใหญ่


ในเมื่อเกิดความเสื่อมเสียสำหรับประเทศชาติ พลเมืองดีทุกคนถือเป็นหน้าที่จะต้องปกป้อง แก้ต่าง

แต่ก็ดูเหมือนจะพยายามเจาะรูในน้ำ

ในขณะที่ผู้รักศักดิ์ศรีของประเทศออกแรงกู้ชื่อเสียงที่ดีงามคืนมา ผู้รักเงินทองและผล

ประโยชน์กลับไม่เป็นทุกข์เป็นร้อน พร้อมจะทำลายทุกอย่าง เพียงแค่ให้ได้สิ่งที่ต้องการเท่านั้น

ผิดกับความพยายามโพทนาแก้ต่างว่าบ้านฉันสะอาดถูกสุขลักษณะ ในขณะที่ขยะมูลฝอยสิ่งปฏิกูลทะลักล้นหน้าต่างออกมาเกือบถึงถนน

พอมีคนพูดถึงความสกปรกในบ้านที ก็ออกมาแก้ต่างพัลวันที

อย่างไรก็อย่างนั้น เกือบทุกปัญหาที่บ้านเมืองเราต้องประสบ

ทุกหน่วยงานออกมาแถลงแก้ต่าง แต่ไม่คิดจะขจัดสิ่งเน่าเสียในสังคมไทย ที่เป็นตัวบ่อนทำลายศักดิ์ศรีของประเทศชาติ

เที่ยวไปว่าชาติโน้นชาตินี้ว่าคอยจ้องทำลายชื่อเสียง แต่จริงๆ แล้วก็เป็นคนไทยกันเองนั่นแหละที่เป็นตัวการ

ตัวเหม็นไม่อาบน้ำอาบท่า แล้วเที่ยวไปโทษคนอื่นว่าทำให้บรรยากาศรอบตัวไม่ชวนภิรมณ์

เป็นอย่างนี้แทบทุกเรื่อง

ชีวิตแต่งงานต้องมีปัญหาเพราะคนที่สามที่สี่ แต่จริงๆ แล้วเพราะเจ้าตัวผัวเมียมากกว่า

ชีวิตต้องเลวร้ายเพราะอบายมุขสื่อชั่วรอบข้าง แต่จริงๆ แล้วเพราะตัวเองนั่นแหละไม่รู้จักควบคุมตน

ไม่อยากไปวัดไปวาเพราะพ่อเจ้าวัดไม่ดี แต่จริงๆ แล้วตัวเองนั่นแหละที่เสื่อมศรัทธา

เที่ยวโทษว่าคนโน้นคนนี้ แต่ไม่เคยคิดจะโทษตนเองบ้างเลย

ลงเอยก็ไม่ผิดกับการพยายามเอาใบบัวปิดช้างตายทั้งตัวนั่นแหละ*











อยู่ที่ตัวคุณ


ปีใหม่เริ่มมาได้เกือบเดือนแล้ว แต่ความตื่นเต้นกับการรอคอยอะไรใหม่ๆ ดูจะยังไม่จาง

ตั้งแต่ระดับรัฐบาลที่เคยพูดเป็นนัยว่าจะมีอะไรเป็นของขวัญให้คนไทยได้ชื่นชอบจนถึงชาวบ้านเดินถนนที่ยังหวังเลขเด็ดไม่งวดนี้ก็งวดหน้า เผื่อลืมตาอ้าปากเสียทีปีนี้

เวลาผ่านพ้นไป จากทางรัฐบาลก็ยังไม่มีทีท่าราวกับยังไม่มีของขวัญจะห่อด้วยซ้ำฝ่ายเลขเด็ดจากเลขทะเบียนท้ายรถเกจิชื่อดังที่พลิกคว่ำและต้องเสาะหาซื้อมาเลือดตาแทบกระเด็นด้วยราคาสามสี่เท่าตัว ก็ผ่านไปไม่เฉียดแม้แต่เลขตัวเดียว

แถมด้วยข่าวลือโรงงานแถวระยองจะมีอันเป็นไป คนตายเป็นแสนทำให้มีการอพยพหนีตายกันเร่งด่วนโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแหล่งข้าวแหล่งน้ำต่อไปจะอยู่ที่ไหน

กระแสข่าวเหล่านี้และข่าวอื่นๆ ชวนให้รู้สึกว่าเดือนแรกของปีใหม่ดูจะไม่ให้ความหวังมากนัก

แม้แต่ในเรื่องความเป็นอยู่ฉันสามีภรรยาก็ทำท่าจะมีปัญหาไปด้วยข่าวบอกว่าปีใหม่นี้มีสตรีมีแนวโน้มจะนอกใจสามีกันมากขึ้นพร้อมกับชี้ต้นเหตุว่ามาจากสถานภาพและสถานการณ์ทำงานของสตรีที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป

แถมเจาะลึกเข้าไปในวงการครูและข้าราชการ ทำนองว่าเป้นกลุ่มที่มีแนวโน้มมากกว่าหมด

เดือดร้อนถึงผู้รับผิดชอบหน่วยงานต้องออกมาชี้แจงแถลงข่าวกันพัลวัน

ซึ่งถ้าจะคิดกันจริงๆ แล้ว ข่าวอย่างนี้ไม่น่าจะมีการตีพิมพ์ด้วยซ้ำ

นอกจากจะเป็นข่าวที่ไม่สร้างสรรค์แล้ว ยังจะเป็นการชี้นำอีกด้วยสำหรับหลายคนที่ไม่เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข่าวนี้อาจเป็นการเปิดหูเปิดตา ให้เห็นว่าเรื่องแบบนี้เป็นธรรมดาที่ทำกันได้

อีกหลายคนที่เริ่มคิด ข่าวนี้อาจจะเป็นไฟเขียว พร้อมกับสรุปเสร็จสรรพว่า ใครๆ เขาก็ทำกันทั้งนั้น บางคนที่ทำแล้ว ข่าวนี้อาจจะทำให้หมดความรู้สึกผิดถูกสิ้นความอับอาย เมื่อรู้ว่าคนอื่นๆ กำลังทำเรื่องเดียวกันแล้วก็วกเข้ามาที่จุดยืนแห่งการเรียกร้องสิทธิเท่าเทียมบุรุษในทุกเรื่อง

แม้กระทั่งว่า ถ้าผู้ชายนอกใจได้ ผู้หญิงก็มีสิทธิที่จะนอกใจได้เหมือนกันทำนองว่า เขาผิดได้ ฉันก็มีสิทธิผิดได้ต้นตอเรื่องนี้อยู่ที่ความเข้าใจผิดของคำว่า “สิทธิ” ความเข้าใจผิด นำไปสู่การใช้ “สิทธิ” แบบผิดๆ ในทุกเรื่องพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ..2525 ให้คำจำกัดความของคำ “สิทธิ” ว่า “อำนาจอันชอบธรรม”

เมื่อพลิกไปดูความหมายของคำว่า “ชอบธรรม” พจนานุกรมฉบับเดียวกันระบุว่า “ถูกตามหลักธรรม,ถูกตามนิตินัย”

หรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง “สิทธิ” คือการใช้อำนาจให้ถูกต้องหลักธรรมและกฎหมายนั่นเองแม้ในภาษาอังกฤษเอง คำว่าสิทธินั้นเขาใช้คำว่า “right” ซึ่งแปลว่า ถูกต้อง เที่ยงตรง บ่งบอกความหมายได้อย่างดี “สิทธิ” กับ “ความถูกต้อง” จึงแยกกันไม่ออก

สิทธิ” จึงมีไว้เพื่อทำความดีและความถูกต้อง ตามหลักธรรมและกฎหมายเท่านั้นการจะพูดพล่อยๆ “เขาฉ้อโกงฉันได้ ฉันก็มีสิทธิฉ้อโกงเขาได้เหมือนกัน “หรือ” เขาทำลายฉันได้ ฉันก็มีสิทธิทำลายเขาได้เหมือนกัน” หรือ “เขาชั่วได้ ฉันก็มีสิทธิชั่วได้เหมือนกัน” หรือ “เขาทุจริตกอบโกยได้ ฉันก็มีสิทธิกอบโกยได้เหมือนกัน” หรือ “เขาหนีงานได้ฉันก็มีสิทธิหนีงานได้เหมือนกัน” ฯลฯ นอกจากจะเป็นการพูดไม่ถูกต้องแล้ว ยังน่ากลัวมากสำหรับสังคมที่มีอารยธรรม


โดยส่วนตัวแล้ว ผมเห็นด้วยกับการเรียกร้องสิทธิและศักดิ์ศรีของสตรีแต่ขอให้เป็นการเรียกร้อง “สิทธิ” และ “ศักดิ์ศรี” ในความหมายแท้จริงของมัน

หากแม้ยืนกรานจะเรียกร้อง “สิทธิ” แบบผิดๆ “ศักดิ์ศรี” ที่พยายามจะเรียกร้องก็คงไม่มีเหลือให้ชื่นชอบและภาคภูมิใจเพราะศักดิ์ศรีคือ ความดี ความถูกต้อง เกียรติศักดิ์ซึ่งจะธำรงไว้ได้หากมีความหนักแน่น ไม่คล้อยไปตามกระแสข้างใด

















ตาร้อน


อดละเหี่ยใจไม่ได้เมื่อนักการเมือง “ผู้ทรงเกียรติ” ทะเลาะกันให้ประชาชนดูอีกแล้วจนดูเหมือนกับว่าอาหารจานโปรดของนักการเมืองบ้านเราคือเครื่องใน

ก็ชอบสาวไส้ประจานกันไปประจานกันมา แยกไม่ออกว่าอะไรเป็นเรื่องบ้านเมือง อะไรเป็นเรื่องส่วนตัว

การบ้านการเมืองกลายเป็นเรื่องเดียวกัน ผลเสียก็ตกอยู่ที่ชาวบ้านเป็นธรรมดาบางคนถึงกับบ่นให้ได้ยิน “มัวแต่ทะเลาะ จองล้างจองผลาญกันแล้วจะเอาเวลาไหนไปบริหารบ้านเมือง?”

อีกบางคนก็ให้ความเห็น “แทนที่จะคอยหักล้างทำลายกัน มาช่วยกันบริหาร บ้านเมืองเราคงจะพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้แล้ว”

ส่วนคนที่ทำใจได้ก็แต่เปรย “นี่ขนาดทะเลาะกันไม่ได้หยุดบ้านเมืองยังเจริญได้ขนาดนี้...”


มองดูเผินๆ การทะเลาะของนักการเมืองบ้านเราดูจะมีสาเหตุจากผลประโยชน์แต่พิจารณากันให้ถ่องแท้แล้ว มันเป็นเรื่องของความอิจฉาริษยากันมากกว่า

เพราะผลประโยชน์นั้น พอถูกเลือกเข้ามาเป็นนักการเมืองทุกคนก็ได้รับอยู่แล้ว มากบ้างน้อยบ้างมันเป็นเรื่องของการเห็นใครได้ดีกว่าตนเองไม่ได้... เขาได้เป็นรัฐบาล ฉันไม่ได้เป็น...เขามีผลงาน ฉันไม่มี...เขาได้รับการชมเชยชื่นชอบ ฉันไม่ได้...ฯลฯ

เห็นเขาได้ดีแล้วใจรุ่มร้อน หมดความสุข อย่างที่โบราณท่านว่าอิจฉาตาร้อนที่จริงแล้ว คนอิจฉาคือคนที่ไม่ยอมรับตนเองอย่างที่เป็นอย่างที่มี

การไม่ยอมรับนำไปสู่การไม่ชอบ ไม่ชอบตนเองอย่างที่เป็นและอย่างที่มี แต่กลับไปชอบสิ่งที่คนอื่นเป็นคนอื่นมียิ่งชอบสิ่งที่คนอื่นเป็นคนอื่นมีเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะเกลียดตัวเองในสิ่งที่ตนเป็นตนมีเท่านั้น

คนอิจฉาดูเหมือนจะเป็นคนที่รักแต่ตนเอง แต่จริงๆ แล้วเป็นคนที่เกลียดตนเองโดยไม่รู้ตัวทว่าโดยธรรมชาติแล้วคนเราต้องรักตนเองก่อนอื่นใด ในเมื่อมีอาการเกลียดตนเองขึ้นมาก็ต้องหาทางทำให้เกิดความรักตนเองขึ้นมาใหม่

คนอิจฉาจึงไม่เพียงแค่เห็นคนอื่นได้ดีแล้วไม่มีความสุขอย่างเดียว แต่คิดอยากให้สิ่งดีที่ตนแอบชื่นชอบในผู้อื่นนั้นต้องสูญสิ้นไปเพื่อจะได้เกลียดตัวเองน้อยลง

ลงมือทำด้วยตนเองบ้าง... ใช้คำพูดหักล้าง หาวิธีกลั่นแกล้งทำลายชื่อเสียงหรือสิ่งที่ดีนั้น...

เหลือบ่ากว่าแรงก็สาปแช่งบ้าง...ขอให้มีอันเป็นไป ขอให้โชคร้าย ขอให้หายนะ...พร้อมกันนั้นก็ไม่ลังเลที่จะโกหกคำโต เพื่อทำลายคนที่ตนแอบอิจฉาอยู่

มีคนกล่าวไว้ว่า “คนโกหกไม่เคยโกหกครั้งเดียว แต่จะโกหกเพื่อปกปิดการโกหกครั้งแล้วครั้งเล่า”

คนอิจฉาคือคนไม่มีความจริงใจกับตนเอง เพราะไม่ยอมรับความจริงที่ตนเป็นและมีพูดอีกนัยหนึ่ง เขาโกหกตัวเขาเองเป็นคนแรก ถ้าลองคนเราโกหกตนเองแล้ว การจะโกหกคนอื่นๆ ไม่ใช่เรื่องยาก แถมไม่รู้สึกว่าผิดอีกต่างหาก

ถ้ายังเป็นเด็ก การโกหกก็มักจะทำไปแบบน้ำขุ่นๆ จับโกหกได้ง่ายแต่ยิ่งโต การโกหกยิ่งแนบเนียน มีเหตุผล มีข้ออ้างอิงน่าเชื่อถือ...เพื่อชาติ เพื่อประชาชน เพื่อพระศาสนจักร เพื่อความดีส่วนรวม เพื่อความถูกต้อง ฯลฯ สารพัดที่จะสรรหา

พูดได้แทบไม่กะพริบตาส่อพิรุธ โกหกคำโตได้อย่างไม่สะทกสะท้าน


ตราบใดที่คนเราไม่ยอมรับตนเอง ความดีที่ตนมี พร้อมกับข้อจำกัดที่ไม่อาจจะเลี่ยงได้การยอมรับความดี ความสามารถ ความฉลาดหลักแหลม ความเก่ง ในคนอื่นนั้นทำได้ยาก

คนประเภทนี้ไม่เคยมองความดี ผลงาน ผลประโยชน์ที่สังคมพึงได้รับ แต่จะมองอย่างเดียวว่าใครเป็นคนทำ ใครเป็นคนได้รับการชมเชย ใครเป็นคนริเริ่ม ใครเป็นคนมีผลงาน...

และหากคำว่า “ใคร” ไม่หมายถึง “ตัวกู” ก็จะไม่ยอมให้เกิดความดี ผลงาน หรือผลประโยชน์นั้นๆ อย่างเด็ดขาด

น่าเสียดาย คนประเภทนี้ยังมีอีกมากในสังคม ในทุกระดับทุกฐานะ ทุกแวดวง

แล้วอย่างนี้เมื่อไรสังคมจะเจริญ ถามหน่อยเถอะ

















ภาษาความรัก

เจอเพื่อนผมวันก่อน ก็เพื่อนคนเดิมนั่นแหละครับ

ยังไม่ทันจะทักทายกันประสาคนนานๆ เจอกันที แกก็รีบชิงพูด

ช่วงนี้เขียนเรื่องหนักๆ ทั้งนั้นเลยนะ มีปัญหาอะไรเหรอ...” คราวนี้แกมาแปลก ผิดกับที่เคยพูดน้อย

ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร เพียงแต่เขียนไปตามสถานการณ์การบ้านการเมือง ประสาคนห่วงใย...” ผมชี้แจง

รู้สึกห่วงใยไปทุกเรื่องเลยนะ...คิดหรือจะช่วยอะไรได้” เพื่อนผมคนนี้เป็นคนตรง อย่างที่ผมเคยบอก

ก็อย่างน้อยๆ ช่วยให้คนคิดอะไรได้บ้าง แต่ต่อไปจะพยายามเขียนเรื่องเบาๆ...” ผมรวบรัดสรุป รู้ดีแก่ใจว่าเพื่อนผมคนนี้ไม่ชอบพูดเรื่องใดยืดยาวเกินความจำเป็น แม้คำสองคำ

พอเริ่มจะเขียนเรื่องเบาๆ บรรยากาศของเดือนกุมภาพันธ์ก็พาใจไปหยุดอยู่ที่วันวาเลนไทน์

เพียงนึกถึงชื่อ ก็ให้รู้สึกถึงความอบอุ่น ความวาบหวาน ความสดใส ความงดงาม...และอีกหลายๆ อย่างที่ยากจะร้องเรียงออกมาเป็นคำพูดหรือคำเขียนได้

ถ้าจะถามว่า หน้าตาของความรักเป็นอย่างไร ก็คงต้องมองไปที่แววตา ใบหน้า ท่าที ของคนที่กำลังอยู่ในความรัก

ถ้าจะถามต่อว่า รักแล้วรู้สึกอย่างไร ก็คงต้องตอบด้วยคำถามว่า “เคยรักหรือเปล่า?”

เพราะมีเพียงคนที่รักเท่านั้นที่รู้ว่ารักคืออะไรและรักแล้วรู้สึกอย่างไร

บรรยายไปอย่างไรก็ไม่มีวันสื่อออกมาได้ครบ เพราะสิ่งที่สื่อออกมาเป็นแค่เสี้ยวน้อยนิดของสิ่งที่อยู่ลึกๆ ภายใน ซึ่งหลุดพ้นภาษาไปอย่างสิ้นเชิง

ภาษาต่างๆ ของมนุษย์ช่วยสื่อสิ่งที่อยู่ภายในความคิดจิตใจของมนุษย์ออกมาได้หลายอย่าง แต่มีอีกมากอย่างที่ภาษาไม่สามารถสื่อออกมาได้หมดสิ้น

ไม่น้อยครั้งหลังจากที่พูด พูด พูด แล้วก็ยังต้องยอมรับว่า ยังพูดไม่ได้หมดอยู่ดี

และนี่คือขีดจำกัดของภาษา ของคำพูดจา แม้ภาษากายก็เถอะ

น่าเสียดายที่ความก้าวหน้าด้านการสื่อสาร ทำให้คนเราหันมาให้ความสนใจกับภาษา คำ

พูดคำจา แล้วก็หยุดอยู่แค่นั้น

คุณค่าหลายอย่างที่ไม่อาจจะสื่อออกมาเป็นภาษา เป็นคำพูดคำจาหรือคำเขียน จึงถูกมอง

ข้ามไปทีละเล็กทีละน้อย

คนจึงอ่านหนังสือออกเฉพาะตามตัวอักษร แต่ไม่เคยอ่านระหว่างบรรทัดอย่างที่ฝรั่งพูดๆ กัน

เพราะลายลักษณ์อักษรสื่อความนึกคิดก็จริง แต่เบื้องหลังความนึกคิดนั้นมีความรู้สึกต่างๆ ที่พัวพันกันอยู่อย่างแยกไม่ออก

คนฟังแค่สิ่งที่พูดจาสื่อสารออกมา แต่ไม่คิดจะฟังสิ่งที่อยู่เบื้องหลังคำพูดสิ่งที่อยากจะสื่อออกมาด้วย

คำพูดสี่ห้าประโยค แต่สิ่งที่อยากสื่อออกมามีมากกว่านั้นเป็นไหนๆ


วันวาเลนไทน์ทีก็มีการพูดถึงความรักกันที

พูดเป็นวาจาถ้อยคำบ้าง เขียนพรรณาเป็นลายลักษณ์อักษรบ้าง

แล้วก็มักจะลงเอยพูดถึงความรักแต่ไม่เคยเข้าไปถึงความรักกันสักที

ตราบใดที่ไม่เลิกพูดเลิกเขียนและปล่อยให้ความรักพูดออกมาตามภาษาของมันบ้าง ก็คงเห็นแค่ตัวอักษร ได้ยินแค่คำพูด แล้วก็หยุดอยู่แค่นั้น

เฉพาะคนที่รู้จักเห็นมากกว่าที่สายตาสัมผัส ได้ยินมากกว่าที่หูแว่วเสียง เข้าใจมากกว่าสิ่งที่สื่อออกมา จึงสามารถเข้าถึงความรักได้

เพราะความรักเป็นดังสายลม รู้สึกถึงพลังได้แต่มองไม่เห็นตัว

ความรักเป็นดังกลิ่น ที่สัมผัสได้แม้ไม่เห็นตัวตน

ความรักเป็นดังแสงสว่าง ที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างแจ่มแจ้งเจิดจ้าขึ้นมา แม้จะจับต้องตัวมันไม่ได้

เพราะเหตุนี้เอง ยอห์นจึงบอกว่า “พระเจ้าคือความรัก”

ทั้งๆ ที่เรามองไม่เห็นพระองค์ เราก็สามารถสัมผัสกับฤทธิ์อำนาจและความยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้

เฉกเช่นความรักนั้นเอง*













ปัญหาอยู่ที่เลือก


สมัยนี้มีปัญหาหลายอย่างที่ต้องปวดหัวคิดแก้ไข นอกจากปัญหาเรื่องทำมหากิน ที่อยู่อาศัย สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ฯลฯ ที่ต้องมานั่งถกนั่งแก้ไขแล้วยังต้องมีปัญหาเรื่องความอ้วนให้หนักใจอีก

มันเป็นปัญหาที่ตามสังคมบริโภคนิยมมาติดๆ แทบจะเป็นเงาตามตัวในเมื่อการกินการดื่มอุดมสมบูรณ์และกลับกลายเป็นคุณค่าอย่างหนึ่ง การอยู่ดีมีสุข ปัญหาน้ำหนักตัวเกินพอดี ทรวดทรงใหญ่เกินขนาด ไขมันในเส้นเลือดมีเกินปริมาณ เส้นเลือดอุดตัน... ก็ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

ยิ่งในสังคมไทยที่ความสะดวกด้านการบริโภคเป็นใจให้ด้วยแล้ว ใครๆ ก็มีสิทธิมีปัญหานี้ได้ทั้งนั้นประเทศไทยแม้ยังติดอยู่ในรายชื่อประเทศที่กำลังพัฒนา แต่เรื่องอาหารการกินนั้นล้ำหน้าประเทศที่พัฒนาแล้วแทบทุกประเทศก็ว่าได้

คนไทยกินได้ตั้งแต่ดินไปจนถึงอาหารจานละแสนไม่รวมถึงการกินป่า กินภูเขา กินเกาะ กินถนน กินงบ กินสนามบิน ฯลฯ ที่เป็นอาหารจานโปรดของนักการเมืองโดยเฉพาะ

นอกจากอาหารไทยแล้ว ยังมีอาหารต่างชาติไว้ให้ลิ้มชิมลองได้เอร็ดอร่อยโดยไม่ต้องเดินทางออกนอกประเทศแถมมีอาหารต่างชาติที่ซื้อหาบริโภคในประเทศต้นสังกัดไม่ได้อาทิ ขนมจีน ลอดช่องสิงคโปร์ เป็นต้นส่วนเรื่องเวลานั้นไม่ต้องห่วง มีอาหารจำหน่ายตลอด 24 ชั่วโมง อยากเมื่อไหร่มีให้กินเมื่อนั้น

ร้านอาหารปิด มีอาหารโต้รุ่ง ร้านโต้รุ่งปิด มีรถเข็นขาย รถเข็นเลิก ร้านอาหารเปิด... อย่างนี้ตลอดวันตลอดคืน

คนไทยจึงกินอาหารไม่เพราะ “หิว” แต่กินเพราะ “อยาก” หนักเข้าก็เริ่มจะแยกแยะไม่ออกว่าตอนไหน “หิว” ตอนไหน “อยาก”

หิว” กับ “อยาก” จึงกลายเป็นเรื่องเดียวกันเมื่อกินเพราะ “อยาก” ปริมาณอาหารที่กินเข้าไปจึงเกินความต้องการของร่างกาย

และนั่นคือที่มาของปัญหา จนต้องมีศูนย์ลดความอ้วนเปิดให้บริการเป็นดอกเห็ด เชือดเฉือนกันด้วยโฆษณาเด็ดๆ “ลดทันตาเห็น 5 กิโล ภายใน 2 อาทิตย์”เสียเงินกินแล้วยังต้องเสียเงินให้ผอมอีก เพราะคำว่า “อยาก” คำเดียวแท้ๆ

จริงๆ แล้ว การแก้ปัญหาต้องเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจคำพูดก่อนอื่นหมดในการบริโภคมีคำที่ใช้อยู่ 4 คำ ที่มักจะไปเป็นคู่ กล่าวคือ “หิว” คู่กับ “อิ่ม” และ “อยาก” คู่กับ “อร่อย”เมื่อ “หิว” ก็กินให้ “อิ่ม” แล้วก็พอแค่นั้น

แต่เมื่อ “อยาก” ก็จะกินให้ “อร่อย” ก็ยิ่ง “อยาก” กิน ไม่มีสิ้นสุด “หิว” กับ “อิ่ม” จึงเป็นเรื่องของท้อง ในขณะที่ “อยาก” กับ “อร่อย” เป็นเรื่องของปาก

การแก้ปัญหาจึงอยู่ที่การ “เลือก” จะใช้สองคำไหนเมื่อกิน...กินแล้วพอดีพอควร กินแล้วสุขภาพดีแข็งแรงสมบูรณ์

คุยเรื่องกินเรื่องปากเรื่องท้องแล้วก็อดจะคุยเรื่องถือศีลอดอาหารในเทศกาลมหาพรตไม่ได้ถ้าจะดูกันให้ถึงแก่นแล้ว เทศกาลมหาพรตก็เป็นเรื่องของการ “เลือก” เหมือนกันมันเป็นการเลือกระหว่าง “แนวทางพระเจ้า” และ “วิถีชีวิตของเรา”

ประวัติศาสตร์ส่วนตัวของเราแต่ละคนชี้บอกว่า บ่อยครั้งวิถีชีวิตเราไม่ตรงตามแนวทางพระเจ้า บางครั้งก็ขัดแย้งกันอย่างน่าเกลียด

มหาพรตจึงเป็นช่วงเวลาการเลือกที่เด็ดขาด และเบื้องหลังการเลือกแต่ละอย่างมี “การสละ” ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้และการ “สละ” คือการตายอย่างหนึ่ง

ถ้าฉันเลือกแนวทางพระเจ้า ฉันต้องสละแนวทางฉัน หันมาดำเนินชีวิตตามแนวทางที่พระองค์ทรงชี้บอกและสั่งสอนไว้

เพราะเหตุนี้เอง ตั้งแต่เริ่มต้นเทศกาลมหาพรต พระศาสนจักรจัดให้มีพิธีโรยเถ้าพร้อมกับเตือนว่า “จงกลับใจและเชื่อพระวรสาร”หรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง เลิกแนวทางของเราเสีย และหันไปยึดแนวทางที่พระเจ้าชี้บอกไว้ในพระวรสาร นั่นเอง

ขี้เถ้า” นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์แห่งการใช้โทษบาปแล้วน่าจะบ่งบอกถึงเศษร่างกายที่เหลือจากความตายด้วย... ตายจากทุกสิ่งที่ไม่ใช่แนวทางพระเจ้าในตัวเรา

ถ้าอยากจะหุ่นดีด้วย อร่อยปากด้วย ปัญหาก็ยังคาราคาซังศูนย์ลดความอ้วนก็ช่วยไม่ได้

ถ้าอยากดำเนินชีวิตตามแนวพระเจ้าด้วย ตามแนวของตนเองด้วย ปัญหาก็ยังคงยืดเยื้อไม่รู้จบ เทศกาลมหาพรตก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน















น่าจะคิดให้หนัก

รักแท้แพ้ใกล้ชิด”

ตอนแรกที่ได้ยิน ผมก็ไม่ได้สนใจเชื่อ

ใช่ ฟังดูดี คล้องจอง แต่ก็เท่านั้น

จนกระทั่งไปอ่านเรื่องนี้เข้า จึงเห็นจริงเห็นจัง

แฟนหนุ่มจำต้องจากแฟนสาว ด้นดั้นไปขุดทองต่างประเทศ

กะว่าทำงานหาเงินได้สักก้อนแล้วจะรีบกลับมาสู่ขอ เพื่อร่วมหอลงโรงกันให้สมกับที่รักกันมานาน

ความรักน่ะสุกหง่อมแล้ว ยังขาดก็แต่ปัจจัยที่จะช่วยสร้างความมั่นคงให้แก่ครอบครัวน้อยๆ ที่จะแจ้งเกิดในไม่ช้า

จากไปก็แต่กาย แต่ใจนั้นใกล้ชิด ยืนหยัดสัตย์ซื่อรักเดียวใจเดียว

จนกระทั่งหนึ่งปีผ่านไป หญิงสาวก็แต่งงาน...กับบุรุษไปรษณีย์หนุ่มที่มาส่งจดหมายให้ทุกวัน

วิถีชีวิตในสังคมทุกวันนี้ มีหลายอย่างต้องทำให้รักแท้ต้องพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า

เนื่องจากเป็นวิถีชีวิตที่รีบเร่ง แข่งกับเวลา แทบในทุกเรื่อง ความรักที่แสดงต่อกันจึงพลอยต้องเข้าไปสู่ในกระแสน้ำเชี่ยวนี้ด้วย

ความรักที่เคยลึกซึ้ง มีเวลาเป็นใจให้อย่างเหลือเฟือ เริ่มผิวเผิน ฉาบฉวย

เวลาที่จะอยู่ด้วยกันนั้นน้อยลงไปทุกทีๆ

และแม้จะมีเวลาอยู่ด้วยกัน ก็มักจะอยู่ในลักษณะจำยอม อึดอัด เครียด กังวล

อย่างนั่งรถไปมาด้วยกันตามท้องถนนที่รถติดหนึบด้วยการจราจรแบบบ้านเรา เป็นต้น

สำหรับผู้ใหญ่ที่ใช้เหตุใช้ผลมาเสริมเติมแต่งความรักที่มีต่อกัน ก็สามารถครองรักกันได้แม้สถานการณ์จะไม่เป็นใจนัก

แต่สำหรับเด็กๆ นี่สิ ความรักอยู่ในสิ่งที่เห็นและสัมผัสได้ มากกว่าเหตุและผล

คำพูดร้อยคำหมื่นคำที่พร่ำรัก ไร้ค่าหาความหมายไม่ได้ หากไม่เคยมีเวลาใกล้ชิด รับฟังสารทุกข์สุขดิบ อีกความสุขความสมหวัง หรือแม้เรื่องไร้สาระประสาเด็ก

ข้ออ้างร้อยแปดว่ารักแท้รักจริง แถมของเล่นราคาแพงที่ซื้อหามาประเคนให้ไม่ขาดระยะ ก็ไม่มีวันทำให้เชื่อใจสนิท หากเห็นหน้าเพียงแค่แว้บไปแว้บมาจนแทบจะจำไม่ได้

รักกันแต่นานๆ เห็นหน้าที ราวกับผีที่โผล่มาหลอกเป็นครั้งเป็นคราว ชวนให้ไม่แน่ใจและทำให้หวาดกลัวไม่แพ้โดนผีหลอก


จะต่างก็ตรงที่ว่าโดนผีหลอกยังน่ากลัวน้อยกว่าโดนรักหลอกเป็นไหนๆ

มันน่าเศร้า เมื่ออ่านหนังสือพิมพ์พบจดหมายของเด็กหญิงอายุแค่ 13 เขียนถามเกี่ยวกับเรื่องเพศเสียละเอียดยิบ

คำถามที่ละเอียดอ่อนประเภทนี้ก่อนนี้เคยมีพ่อแม่คอยตอบคอยให้ความกระจ่าง เดี๋ยวนี้ต้องพึ่งคนแปลกหน้า

มีปัญหาก่อนนี้พ่อแม่มีเวลาฟังมีเวลาแก้ไขให้ เดี๋ยวนี้ต้องพึ่งเพื่อน

เพราะเพื่อนและคนแปลกหน้ามีเวลาให้และพร้อมรับรู้รับฟังเสมอ ในขณะที่พ่อแม่ไม่มีให้

ปัญหาเล็กน้อย ดูไร้สาระในสายตาพ่อแม่ กลายเป็นปัญหาใหญ่เกินแก้ไขสำหรับเด็กที่ไร้ประสบการณ์ชีวิต

จนต้องตัดช่องน้อยแต่พอตัว เพียงเพื่อให้พ้นปัญหา พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ต่างก็รีบโยนความผิดให้กันและกัน ไม่ต่างกับปัดสวะให้พ้นตัว

...พ่อแม่ไม่สนใจลูกบ้าง ครูสร้างแรงกดดันให้เด็กบ้าง...


ปิดเทอมที เด็กยินดี แต่พ่อแม่หลายคนฝันร้าย

ลูกไม่ต้องไปเรียน แต่ตัวพ่อแม่ต้องไปทำงาน

ช่วงปิดเทอมยังพึ่งโรงเรียนได้ แต่เดี๋ยวนี้จะไปพึ่งใครดี

การเรียนพิเศษหน้าร้อน การไปเรียนภาษาต่างประเทศ การเข้าค่าย ฯลฯ กลายเป็นทางออกที่ได้ผลประโยชน์ทั้งสำหรับโรงเรียน ครู และพ่อแม่ แต่เด็กเป็นผู้เสียผลประโยชน์อย่างไม่มีทางเลือก

เรียนมาทั้งปีแล้ว ปิดเทอมก็ยังหอบสังขารหิ้วหนังสือมาเรียนอีก

แทบไม่มีเวลาพบปะหน้าตาพ่อแม่มาทั้งปีแล้ว ยังต้องมาพลัดพรากยามว่างเว้นจากการเรียนอีก

อย่างนี้แล้ว รักของพ่อแม่จะแท้แค่ไหน ก็ยังแพ้ใกล้ชิดอยู่ดี*









มลพิษฝ่ายจิต

To err is human, to forgive is God

ผมเคยอ่านจากหนังสือเล่นหนึ่งนานมาแล้ว แต่ยังจำได้แม่นยำ

พอจะแปลความเป็นภาษาไทยว่า “ความผิดพลาดคือวิสัยมนุษย์ การให้อภัยคืวิสัยพระเจ้า”

คนสมัยก่อนพูดกันติดปากว่า “สิบมือยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง”

ซึ่งเป็นการตอกย้ำความจริงที่ว่า มนุษย์ย่อมผิดพลาได้เสมอ แม้จะเชี่ยวชาญและเก่งกาจไหน ก็เถอะ

เพราะนั่นคือวิถีมนุษย์ปุถุชนไม่เว้นใคร

ในเมื่อความผิดพลาดเป็นวิสัยมนุษย์ การอภัยก็น่าจะเป็นวิสัยของมนุษย์ด้วย

ฉันอาจจะผิดพลาดขณะที่คุณถูกในเรื่องนี้ แต่คุณก็อาจจะผิดขณะที่ฉันถูกในเรื่องนั้นได้เหมือนกัน

คำ “ขอโทษ” กับคำ “ยกโทษให้” หรือ “ไม่เป็นไร” ก็น่าจะเป็นคำที่พูดออกมาง่ายๆ

เพราะในความเป็นจริงแล้ว วันหนึ่งๆ เดี๋ยวฉันต้องพูด “ขอโทษ” เดี๋ยวฉันก็ต้องพูด “ไม่เป็นไร” สลับกันไปหลายครั้งหลายหน

แต่คนกลับไม่ค่อยชอบพูดคำว่า “ไม่เป็นไร” หนักเข้าก็ไม่ยอมพูดแม้กระทั่งคำว่า “ขอโทษ” กันอีกแล้ว เพราะถือว่าคนเรามันผิดพลาดกันได้ทุกคนนั่นแหละ จะเอาอะไรกันนักกันหนา

และเมื่อคิดว่าไม่ต้อง “ขอโทษ” ก็เลยไม่นึกจะ “ยกโทษ”

พอคนอื่นมา “ขอโทษ” จึงไม่พร้อมจะ “ยกโทษ” ให้

คนเราพร้อมจะยกโทษให้ หากรู้ตัวว่าตนเองก็ต้องการให้คนอื่นยกโทษให้ตด้วยเหมือนกัน

มากกว่านั้น ยังต้องการให้พระเจ้าทรงยกโทษความผิดและบาป ที่กระทำแทบไม่ว่างเว้น

พระเยซูเจ้าจึงทรงสอนให้สวดขอการอภัยจากพระเจ้า ด้วยจิตใจที่พร้อมจะให้อภัยแก่คนอื่น

โปรดยกโทษผิดให้ข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้ายกให้ผู้อื่น”

โดยนัยแล้ว พระองค์ทรงต้องการจะบอกว่า หากต้องการให้พระเจ้าอภัยความผิดให้ ก็ต้องพร้อมจะให้อภัยความผิดที่คนอื่นทำเช่นกัน

ไม่มีความผิดใดที่เกิดขึ้นตามลำพัง หากแต่ต้องมีคนอื่นร่วมส่วนด้วยเสมอ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

ความผิดที่เกิดขึ้นในสังคมใดสังคมหนึ่ง ทุกคนอยู่ในสังคมมีส่วนร่วมด้วยเสมอ

อย่างน้อยที่สุด ทุกคนมีส่วนช่วยสร้างบรรยากาศและสถานการณ์ที่เป็นอยู่ไม่มากก็น้อย



วัยรุ่นใจแตก ไม่ใช่เพราะตัววัยรุ่นไม่รักดี แต่สภาพแวดล้อมที่เสื่อมด้วยสิ่งที่สื่อมวลชนป้อนให้ สถานเริงรมณ์ที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด และกำหมายที่เต็มด้วยช่องโหว่ให้หลบให้หลีกได้ตลอดเวลา

ความรุนแรงที่เกิดขึ้น เป็นผลพวงมาจากความเกลียดชัง ความเห็นแก่ตัว ความเอาแต่ได้ โดยไม่คิดถึงความถูกต้อง ที่ช่วยกันหว่านไว้เต็มบรรยากาศ

ความชั่วร้อยพันรูปแบบที่มีให้พบเห็นทุกวัน มาจากความเสื่อมด้านศีลธรรมคนในสังคมที่เน้นแค่วัตถุและบริโภคนิยม จนมองไม่เห็นคุณค่าอื่นที่น่าจะช่วยกันธำรงค์ส่งเสริม

และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งชี้บอกและตอกย้ำความจริงที่ว่า ไม่มีใครทำผิดลำพังตัวคนเดียว

ข่าวที่คนไทยไปเที่ยวที่ประเทศซาอุดิอาราบีย ขับรถไปติดไฟแดงและถูกรถคันหลังชนท้าย ศาลตัดสินให้คนไทยผิด โดยให้เหตุผลว่าถ้าคนไทยอยู่ที่เมืองไทยและไม่มาที่ประเทศซาอุดิอาราเบีย รถคันหลังก็คงจะไม่ชน

มันเป็นเหตุผลที่ดูน่าขำ แต่ก็บอกสัจธรรมที่ว่า ไม่มีใครทำผิดลำพังคนเดียว

หากคนเราจะนึกถึงสัจธรรมนี้บ้าง การให้อภัยความผิดที่เกิดขึ้นย่อมทำได้ง่าย

แต่หากยืนกรานว่า ฉันเป็นเหยื่อผู้ไร้มลทินของความผิดและความชั่วที่เกิดขึ้น เพราะฉันไม่เกี่ยวข้องกับความผิดความชั่วแม้แต่น้อนิด การให้อภัยย่อมทำได้ยากหรือทำไม่ได้เลย


ทุกความผิดที่เกิดขึ้น หากมีการให้อภัย ความผิดนั้นๆ ก็ถูกลบล้างไป

แต่หากไม่ได้รับการอภัย ความผิดนั้นก็ยังคงอยู่ และไปสั่งสมกับความผิดอื่นๆ ในสังคม จนกลายเป็นมลพิษฝ่ายจิตใจที่คอยบ่อนทำลายคนในสังคมนั้นๆ อย่างน่ากลัว

ทุกวันนี้มีการรณรงค์ให้ช่วยกันขจัดมลพิษในสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็มีการร่วมมือกันจริงจังในทุกฝ่าย เพื่อสุขภาพและความอยู่ดีมีสุขของคนในสังคม

น่าจะมีการรณรงค์ให้ช่วยกันขจัดมลพิษฝ่ายจิตใจ เพื่อสุขภาพจิตของคนด้วย

นอกจากจะช่วยกันทำความดีแล้ว การให้อภัยคือการขจัดขยะฝ่ายจิตที่แท้จริง

และนี่คือจุดหมายอีกอย่างหนึ่งของมหาพรต*








มืออาชีพ

เดี๋ยวนี้ผมดูละครโทรทัศน์น้อยลง

จะว่าไม่มีเวลาก็ไม่ใช่ เพราะพอจะเจียดเวลาให้รางวัลแก่ตนเองได้บ้าง

จะว่าไม่สนใจติดตามวงการโทรทัศน์บ้านเราก็ไม่เชิง เพราะโดยส่วนตัวแล้ว รายการโทรทัศน์เป็นดังกระจกเงาสะท้อนให้เห็นถึงความนึกคิด คุณค่าและรูปแบบของสังคม ที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ได้หยุด

เพียงแค่ห่างเหินไปเดือนสองเดือน กลับมาติดตามรายการอีกครั้งก็มีอะไรต้องแปลกใจ งุนงง และอดถามตัวเองไม่ได้ว่า “ตัวเราตกขอบไปแล้วหรืออย่างไร?”

แต่ที่ไม่ค่อยได้ดูเพราะเสียดายเวลามากกว่า

วงการโทรทัศน์บ้านเรานั้นมีเนื้อหาเหมือนๆ กันจะแตกต่างไปก็แค่คน...คนทำรายการ พิธีกร นักแสดง...

ละครโทรทัศน์ก็เรื่องเดิมๆ นำมาถ่ายทำซ้ำไปซ้ำมา ในขณที่ดาราเปลี่ยนหน้าไปแทบทุกเรื่อง จนจำชื่อจำเสียงกันไม่ทัน

พอจะเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตา ก็มันต้องร่ำลาวงการไปแล้ว

ดาราคนไหนขายดี ก็รับคิวถ่ายทำละครแทบไม่ทัน จนบางช่วงโทรทัศน์แทบทุกช่อง ถ่าย

ทอดละครคนละเรื่อง แต่ดารานำและดาราประกอบชุดเดียวกัน

เปิดละครช่องนี้แสดงบทดี น่ารัก เปลี่ยนไปช่องนั้นกำลังแสดงบทร้ายน่าชัง

จะว่าดาราเมืองไทยขาดแคลนก็ไม่เชิง เพราะมีดาราหน้าใหม่ผลัดเปลี่ยนเข้ามาในวงการไม่

ได้หยุด

จริงๆ แล้ว ขาดดาราที่มีความเป็นศิลปินในหัวใจ มากกว่า

ส่วนมากแล้วผ่านเข้ามาในวงการเพราะหน้าตาดีมีสายเลือดลูกครึ่ง มาขายหน้าขายตาได้เรื่องสองเรื่อง ตีบทแตกบ้างไม่แตกซะส่วนมาก แล้วก็ถอยออกมาในขณะที่ดาราคนอื่นขยับเข้าแทน เพราะไม่คิดจะเอาดีทาง “เต้นกินรำกิน” แบบที่พูดๆ กันสมัยก่อน...จับยึดเป็นอาชีพ

ต่างกับดาราค้างฟ้าที่มีให้เห็นในวงการ เชี่ยวทั้งการแสดงชาญทั้งการตีบทแตก แบบฝีมืออาชีพจริงๆ

ว่ากันแล้ว ดาราสองประเภทนี้ ใช่จะต่างกันที่ความเชี่ยวชาญ ก็เปล่า เพราะไม่มีใครเกิดมาเป็นดารา ต่างต้องเสริมต้องสร้างความเชี่ยวชาญกันขึ้นมาทั้งนั้น

จะว่ามีพรสวรรค์ต่างกันก็ไม่เชิง เพราะนอกจากพรสวรรค์แล้ว ทุกคนมี “พรแสวง” เหมือน

กันหมด

แต่ความแตกต่างอยู่ที่จะยึดการแสดงอาชีพหรือไม่ มากกว่า

ถ้าคิดจะยึดเป็นอาชีพ การทุ่มเท การขวนขวาย ความุมานะที่ปั้นความเป็นดาราขึ้นมาในตนเองให้เป็นที่ยอมรับของแฟนๆ นั้นมีความจริงจัง ชนิดเอาเป็นเอาตายก็ว่าได้

เพราะมันเป็นเรื่องของหม้อข้าวหม้อแกงเรื่องปากเรื่องท้อง เอาเล่นๆ ไม่ได้

ส่วนที่ไม่คิดจะยึดเป็นอาชีพ ก็มองการแสดงแค่ทางผ่าน เพื่อให้มีชื่อเสียงว่าได้เป็นดาราเป็นที่ฮือฮาพักสองพัก ในขณะที่หมายตาทางไปไว้เรียบร้อยแล้ว


จริงๆ แล้วความแตกต่างนี้ไม่อยู่แค่เรื่องของดาราในวงการบันเทิงเท่านั้น แต่ในทุกสาขาอาชีพ

...เป็นครูแค่เป็นทางผ่าน การสอนการให้ความรู้แก่ลูกศิษย์ลูกหาก็ทำไปอย่างไร้ซึ่ง “จิตวิญญาณครู”

...เป็นนักเรียนก็เรียนไปอย่างนั้น ไม่คิดจะกอบโกยวิชาหาความรู้เพราะพ่อแม่เตรียมไว้ให้หมดทุกอย่างแล้ว

...เข้าร่วมองค์กรต่างๆ ก็ทำไปตามใจฉัน ไม่คิดจะทุ่มเทกำลังกายกำลังใจเพราะถือว่าเป็นแค่งานอาสาใช่ว่าอาชีพ

...แต่งงานอยู่กินด้วยกันแล้วก็ยังไม่ทุ่มให้กันจนหมดตัวหมดหัวใจ ทำเผื่อหน้าเผื่อหลังราวกับจะบอกว่าหากแม้นจะไร้เธอชีวิตของฉันก็ยังอยู่ได้

...บวชแล้วก็ยังไม่คิดจะอุทิศชีวิตเพื่อพระโดยสิ้นเชิง ยังคงแบ่งใจเดี๋ยวตัวฉัน เดี๋ยวคน เดี๋ยวพระ

เหล่านี้และอื่นๆ ซึ่งล้วนชี้บอกสัจธรรมที่ว่า ทำอะไรหากไม่ทำ “อย่างอาชีพ” แล้ว การกระทำนั้นๆ ก็เป็นแค่ทางผ่าน เป็นแค่สมัครเล่น ผลก็คือชั่วไม่มีดีไม่ปรากฎ

หากเลือกมอบชีวิตให้ใคร แล้วตระหนักว่า “หากไม่มีคุณ ฉันมีชีวิตอยู่ไม่ได้”

หากทำงานชิ้นใดแล้วคิดว่า “หากทำไม่ดีทำไม่สำเร็จ ฉันเสร็จแน่เลย”

อย่างที่ฝรั่งเขาว่า “professionalหรือคนไทยพูดสั้นๆ ว่า มือโปร...ทำแบบอาชีพนั่นเอง*













สังคมไทยๆ


สังคมไทยดูจะป่วยหนักขึ้นทุกวัน อย่างเลี่ยงไม่ได้ ก็ในเมื่อต้นเหตุแต่ละอย่างของอาการป่วยนั้นไม่เคยได้รับการบำบัดเยียวยาให้หายขาดเสียที

มีแต่การพูดบรรยายอาการป่วยตลอดจนผลเสียที่เกิดขึ้น แล้วก็จบกันแค่นั้นบางทีก็ทำเป็นรักษาเยียวยา แต่ก็ไม่เด็ดขาดลูบหน้าปะจมูกกันไปพักหนึ่ง พอคนลืมก็เลิกทำการไปโดยปริยาย

และอย่างนี้ทุกเรื่อง อาการป่วยของสังคมก็มีแค่จะรุนแรงขึ้นทุกวัน จนบางอาการสุดจะเยียวยา ได้แต่ปล่อยเลยตามเลยให้เรื้อรังอยู่อย่างนั้นต่อไปอย่างช่วยไม่ได้

พอมีต่างชาติมาคุ้ยแคะเรื่องปัญหาโสเภณีเด็กก็มีการลงดาบกันทุกระดับ ออกกวาดล้างแบบพลิกดินพลิกหินทุกก้อนด้วยมาตรการเฉียบขาด พร้อมผลงานให้เห็นแทบทุกวัน

แล้วก็ค่อยๆ เงียบหายไป ในขณะที่โสเภณีเด็กยังมีล้นเมืองพอมีเรื่องมีราวเกิดขึ้นในสถานเริงรมย์ ก็มีคำสั่งเข้มงวดเวลาเปิดเวลาปิด ควบคุมอายุคนเข้าออกอย่างเคร่งครัด พร้อมกับผลงานสั่งปิดที่นั่นที่นี่ตีพิมพ์ในหน้าหนังสือพิมพ์ให้เกรียวกราวแล้วก็เช่นกัน ทุกอย่างค่อยๆ กลับไปสู่สภาพเดิมเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

พอมีหลักฐานการทำแท้งเถื่อนตีพิมพ์หราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ ก็มีคำสั่งฟ้าฟาดให้ขจัดคลินิกทำแท้งเถื่อนอย่างเอาเป็นเอาตาย พร้อมกับผลงานบุกจับที่นั่นที่นี่ให้เห็นอยู่พักใหญ่

แล้วก็ลงเอยเหมือนนิยายน้ำเน่าเช่นเคย การฆ่า “มารหัวขน” ยังคงมีต่อไปอย่างไม่กลัวฟ้ากลัวดิน พอมีข่าวคราวการแพร่หลายของยาม้ายาเสพติดอย่างน่าเป็นห่วง ก็มีคำสั่งให้จัดการกับคนผลิตและจำหน่ายด้วยมาตรการรุนแรง พร้อมด้วยผลงานการจับออกมาสู่สายตาประชาชน

แถมยังมีการจัดเรียงเม็ดยาเป็นตัวอักษร “ยาม้า” ตัวใหญ่ๆ ให้อ่านได้ชัดเจนเต็มตา กลัวผลงานจะไม่เด่นชัด

ผมพยายามจะคิดหาเหตุผลของงานศิลปะที่สร้างขึ้นมาจากเม็ดยาม้าเรียงเป็นอักษรนี้ แต่ก็จนแล้วจนรอด ยังคิดไม่ออก

อาจจะเป็นนโยบายฝึกฝนความเชี่ยวชาญด้านอักษรศิลป์อย่างหนึ่งก็ได้ เพราะที่จะเรียงเม็ดยาม้าให้เป็นคำขึ้นมา คงต้องใช้เวลาและความมุมานะพอดู

เอามาเรียงถ่ายรูปทำข่าวแล้ว ยาม้าที่จับได้เป็นแสนเป็นด้านเม็ดไปลงเอยที่ไหน ไม่มีใครรู้

พอมีข่าวคราวพวกคลั่งยาม้าก่อคดีสยองขวัญติดๆ กันหลายวัน ก็มีคำสั่งให้เปลี่ยนชื่อ “ยาม้า” เป็น “ยาบ้า” ทันที

ราวกับว่า การเปลี่ยนชื่อเป็นการแก้ปัญหาได้อย่างฉมังหาได้ฉุกคิดกันสักนิดว่า คำว่า “บ้า” บ่งบอกถึง “เสียสติวิกลจริต สติฟั่นเฟือน” แล้วจะไปเอาเรื่องทางกฎหมายกับคนประเภทนี้ได้หรือ?


ดูจะแปลกสำหรับการแก้ปัญหาแบบนี้ แต่ก็มีทำให้เห็นกันมากมายหลายด้านในสังคมทุกวันนี้

ก็เพราะการเปลี่ยนชื่อนี่แหละ ที่ทำให้บาปบุญคุณโทษพลอยหายสิ้นไปด้วย

คริสตังจึงไม่คิดหรือรู้สึกว่าจำเป็นต้องไปแก้บาป จะหาบาปแต่ละอย่างเพื่อแก้ทั้งทีก็แสนจะยากเย็น

เมื่อใดที่ไม่เรียกบาปตามชื่อของมัน บาปก็จะเปลี่ยนไปความชั่วกลายเป็นความไม่ชั่ว บาปก็ไม่เป็นบาป

ความมักรู้มักเห็น เปลี่ยนชื่อเป็น ความรู้รอบตัว แต่งตัวอนาจาร ก็เปลี่ยนชื่อเป็น มีอะไรดีจะอวดมีเพศก่อนแต่งงาน ก็เปลี่ยนเป็น การทดสอบความเหมาะสม ความจองหอง เปลี่ยนชื่อเป็น ความเป็นตัวของตัวเอง การหย่อนยาน เปลี่ยนชื่อเป็น การรู้จัดยืดหยุ่น การคดโกง เปลี่ยนชื่อเป็น ไหวพริบเชิงธุรกิจ ความฟุ้งเฟ้อ เปลี่ยนชื่อเป็น การให้รางวัลตัวเอง การเสียสัตย์ เปลี่ยนชื่อเป็น เพื่อประเทศชาติ เพียงแค่เปลี่ยนชื่อยาม้าคงแก้ปัญหาไม่ได้ เปลี่ยนชื่อบาปก็ไม่อาจจะทำให้บาปเปลี่ยนไปได้เช่นกัน

จะเปลี่ยนก็จิตใจคนที่ทำชั่วให้ด้านไม่รู้สึกกระดากหรือละอายอีกต่อไป

และนี่คืออาการป่วยหนักของสังคมทุกวันนี้ ที่ต้องรับการรักษาด้วยความเร่งด่วน

อาการนี้หายเมื่อไร อาการป่วยอื่นๆ ในสังคมก็จะหายตามไปด้วยโดยปริยาย


















ผักชีโรยหน้า

นายกรัฐมนตรีมีนโยบายให้ส่งเสริมสินค้าไทย

แล้วก็แจกเนคไทไหมไทยให้คณะรัฐมนตรีผูกกันคนละเส้น...เส้นละสองหมื่น

ซึ่งดูรัฐบาลแต่ละท่านจะภูมิอกภูมิใจออกนอกหน้า เที่ยวยกเนคไทอวดผู้สื่อข่าวยังกับเด็กได้ของเล่นใหม่

น่าจะคิดกันสักนิดว่าสินค้าไทยนั่น่ะไม่มีแค่เนคไทไหมอย่างเดียว แต่มีอีกมากอย่าง

ผูกเนคไทไหมไทยแล้วดื่มไวน์จากฝรั่งเศสแทนน้ำ มันก็ดูไม่เข้าท่า

ผูกเนคไทไหมไทยแล้วเที่ยวสั่งเครื่องใช้จากนอก แม้กระทั่งกลอนประตูบ้านยังต้องสั่งมาจากอิตาลี ชวนให้ขำ

ผูกเนคไทไหมไทยแล้วแต่เฟอร์นิเจอร์ทั้งตัวซื้อมาจากต่างประเทศทั้งนั้น ตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูตลก

อย่างนี้ส่งเสริมกันไปเถอะ ยังไงก็ส่งเสริมกันไม่ขึ้น

นอกนั้น บอกให้ช่วยกันส่งเสริมสินค้าไทย แล้วทำให้ดูเป็นตัวอย่างผูกเนคไทไหมเส้นละหมื่นสองหมื่น ชาวบ้านตาสีตาสาหน้าไหนจะมีปัญญาซื้อมาใช้

อดถามไม่ได้เหมือนกันว่า ทำไมไม่ใช้สิ่งผลิตของไทยที่ราคาซื้อหากันได้เพื่อเป็นตัวอย่างให้ชาวบ้านตาดำๆ เห็นว่า ของไทยนั้นน่ะมีระดับ ขนาดนายกและรัฐมนตรียังซื้อหามาใช้แบบไม่เคอะเขินเลย

อย่างนี้สิเรียกว่าส่งเสริมสินค้าไทยกันจริง

ก็อย่างว่านั่นแหละ นักการเมืองก็ยังคงเป็นนักการเมืองอยู่วันยันค่ำ ทำอะไรก็การเมืองไปหมด ไม่มีความจริงจังกับความจริงใจกันเลย

แล้วก็อดคิดไปถึงการส่งเสริมวัฒนธรรมไม่ได้

มีปีส่งเสริมวัฒนธรรมไทย โดยจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อการนี้ตั้งแต่ต้นปียันปลายปี

จบปีส่งเสริมวัฒนธรรมไทยแล้ว วัฒนธรรมไทยก็ถูกกลืนจากวัฒนธรรมตกต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ก็การส่งเสริมวัฒนธรรมไทยที่จัดทำกันนั้น มักจะเน้นแค่เรื่องแต่งกายบ้าง ดนตรีบ้าง การละเล่นบ้าง...

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว วัฒนธรรมไทยไม่ได้อยู่ที่เสื้อผ้า ดนตรี หรือการละเล่น...แต่อยู่ในรูปแบบของการดำเนินชีวิต การแสดงออก กิริยามารยาท ทัศนคติ มโนทัศน์ ปฏิสัมพันธ์...ของชนชาติไทยที่ส่งทอดสืบต่อกันมาเป็นมรดกต่างหาก

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.. 2525 มีการอธิบายคำว่า “วัฒนธรรม” ว่า

สิ่งที่ทำให้เจริญงอกงามแก่หมู่คณะ, วิถีชีวิตของหมู่คณะ”


ในพระราชบัญญัติวัฒนธรรม พุทธศักราช 2485 หมายถึง “ลักษณะที่แสดงออกถึงความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความกลมเกลียวก้าวหน้าของชาติ และศีลธรรมอันดีงามของประชาชน”

การส่งเสริมวัฒนธรรมไทยจึงน่าจะเป็นการส่งเสริมวิถีชีวิตไทยๆ ที่มีความเป็นพี่เป็นน้อง มีความเอื้ออาทรต่อกัน รู้จักแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ มีความโอบอ้อมอารี...

แม้แต่ภาษาที่ใช้สืบต่อกันมายังคงสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมไทยในด้านนี้

จะเรียกกันทักทายกันก็ใช้สรรพนาม...พี่ น้อง ปู่ ย่า น้า อา...ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นญาติกันสักหน่อย

เพราะถือกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า เกิดมาบนผืนแผ่นดินเดียวกัน ก็เป็นพี่น้องเป็นญาติเป็นโยมกันโดยปริยาย

ก็เลยเรียกกันเป็นพี่เป็นน้องเป็นน้าเป็นอาเป็นป้าเป็นลุง...ได้อย่างไม่กระดากปาก

น่าเสียดายที่ทุกวันนี้สรรพนามที่เรียกกันนั้นคงเหลือแค่คำพูด หรือไม่ก็เลิกใช้กันไป แล้วหันมาใช้สรรพนาม “ไอ” “ยู” ถ้ากระเดียดไปทางยุโรป หรือไม่ก็ “อั๊ว” “ลื้อ” หากชอบเทียวไปเทียวมาแถวสำเพ็งบ่อยๆ

หนักเข้าก็เปลี่ยน “พี่” เป็น “เพ่” ให้เสียวสันหลังเล่นก็มี

วิถีหญิงสาวในวัฒนธรรมไทยเคยดูนิ่มนวล จริตจะกร้านมีก็เพียงพองาม รักนวลสงวนตัวจนน่าทะนุถนอม จะนั่งยืนจะเดินจะเหิรดูไหลลื่นอ่อนช้อยงดงามไปทุกอิริยิบท...

ผิดกับที่เป็นกันทุกวันนี้ ถ้าไม่กะเปิ๊บกะป่บก็ยังไม่ถือว่าได้ระดับ

ก่อนนี้หญิงมักหลบสายตายามมีชายจ้องมอง แต่เดี๋ยวนี้ชายกลับต้องหลบสายตายามต้องเดินสวนทางกับวัยรุ่นสาวเรียงหน้ากันมาเต็มทางเดินส่งเสียงเอ็ตโรอย่างไม่เกรงใจใคร...


จะส่งเสริมอะไรกันที ก็น่าจะส่งเสริมกันให้จริงถึงแก่น

เพียงแค่ทำแบบผักชีโรยหน้า มันดูน่าขันมากกว่าน่าเชื่อถือ*










(ปากกา) คอแร้ง


ผมว่าจะเขียนเรื่องอยู่แล้วทีเดียว ก็พอดีหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ของวันที่ 20 สิงหาคม 2539 ตีพิมพ์ข่าวว่า

ศูนย์บริโภคสื่อมวลชนได้มีจดหมายร้องเรียนสมาคมผู้สื่อข่าวแห่งประเทศไทยให้ตักเตือนหนังสือพิมพ์รายวันสี่ฉบับที่มีการเขียนข่าวอาชญากรรมละเอียดยิบจนเห็นภาพพจน์

พร้อมกันนี้ก็มีสหพันธ์นักศึกษาแห่งประเทศไทย มูลนิธิเพื่อนหญิง และกลุ่มอาจารย์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาฯ รังสิต และเกริก ร่วมเรียกร้องในจดหมายดังกล่าวด้วย...”

จากการสอบปากคำเด็กชายวัย 13 ปี ที่ก่อคดีข่มขืนและฆ่าเด็กหญิงวัย 5 ขวบ เด็กให้การว่าที่ทำลงไปเพราะดูวิดีโอลามก และอ่านรายละเอียดของข่าวคดีอื่นที่มีการบรรยายไว้อย่างละเอียดในหน้าหนังสือพิมพ์!

นี่คือสิ่งที่ผมกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมาโดยตลอด ในฐานะคนขีดๆ เขียนๆ คนหนึ่งหนังสือพิมพ์รายวันบ้านเมืองเราขาดจรรยาบรรณตั้งแต่ระดับบนลงมาระดับผู้สื่อข่าว

เพราะให้ความสนใจข่าวร้าย ข่าวเลว ข่าวชั่วกันเสียเหลือเกิน

ราวกับว่าทำมาหากินอยู่กับความวิบัติและความโชคร้ายของคน กับความชั่วความเลวทราม

พอมีเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นทีเป็นจ้องจับมาเป็นจุดขาย... ตีพิมพ์ 3 วัน 5 วัน 10 วัน ต่อเนื่องพร้อมกับรายละเอียดยิบอย่างกับอยู่ในเหตุการณ์

ตั้งแต่สภาพร่างกาย อวัยวะ รอยฟกซ้ำ บาดแผล รอยขีดข่วนไปจนกระทั่งสีของเสื้อผ้าทั้งชั้นนอกชั้นใน

แค่นั้นยังไม่พอ เมื่อมีการสารภาพและทำแผน ก็จะมีรายละเอียดขั้นตอน วิธีการ ออกมาตีพิมพ์ระลอกหนึ่ง พร้อมภาพประกอบทุกแง่ทุกมุม

อ่านข่าวประเภทนี้แล้วแทบไม่ต้องใช้จินตนาการเลย เพราะปรุงแต่งมาให้พร้อมสรรพ

แถมมีสันดานดิบของคนเขียนข่าวเข้าไปช่วยเพิ่มรสชาติสีสันให้ด้วยแล้ว อ่านไปก็เห็นภาพเหมือนกำลังอยู่ในสถานที่นั้นๆเอง

อย่างนี้ไม่น่าจะเรียกว่าเสนอข่าวแล้วแต่น่าจะเป็นการบรรยายอาชญากรรมมากกว่า

วันดีคืนดีมีการตีพิมพ์ข่าวกวาดล้างสิ่งลามกอนาจาร เนื่องจากสิ่งเหล่านี้บ่อนทำลายศีลธรรมอันดีงาม และทำร้ายจิตใจของผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชน

แต่จะมีใครฉุกคิดบ้างไหมว่า การเขียนข่าวอาชญากรรมบางข่าวเช้าข่ายลามกอนาจาร มีประสิทธิภาพของการบ่อนทำลายไม่แพ้กัน หรืออาจจะร้ายแรงกว่าด้วยซ้ำ

สื่อลามกอนาจารแม้จะมีผู้นิยมบริโภค แต่ก็ไม่มากและค่อนข้างจำกัดประเภทบุคคล เพราะในตัวมันเองก็ก่อให้เกิดการต่อต้านในใจสำหรับผู้มีจิตใจสูงอยู่แล้ว

การแพร่หลายก็กระทำไปด้วยความยากลำบาก หลบๆ ซ่อนๆ แต่หนังสือพิมพ์รายวันนี่สิ ตกในมือของทุกคนและแพร่หลายกันได้อย่างกว้างขวาง

เอาไปเอามาเลยกลายเป็นสื่อลามกอนาจารถูกกฎหมายไปโดยปริยาย

นอกจากจะผิดศีลธรรมอันดีงามแล้ว การเขียนข่าวอาชญากรรมประเภทนี้ยังเป็นการผิดต่อสิทธิส่วนบุคคลด้วย

สิทธิในเกียรติและศักดิ์ศรี สิทธิในการปกป้องสิ่งพึงสงวน...

แม้ผู้ตกเป็นข่าวจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ก็พึงได้รับความเคารพในสิทธิ เกียรติ และศักดิ์ศรีเช่นกัน

ทว่าข่าวที่เขียนแต่ละข่าวเห็นได้ชัดว่า ผู้เขียนไม่คำนึงถึงเรื่องนี้เลย แม้แต่น้อยนิด กลับถือว่าผู้ตกเป็นข่าวกลายเป็นสมบัติสาธารณะที่จะเขียนประจานขายได้ทุกอย่าง แม้แต่เรื่องละเอียดอ่อนที่พึงสงวนปกปิด

อย่างนี้จะไม่เรียกว่าโชคร้ายซ้ำสองได้อีกหรือ

โชคร้ายเพราะตกเป็นข่าวหนึ่งโชคร้ายเพราะถูกประจานอย่างไม่เหลือหรอสอง

ส่วนตัวผมเลิกอ่านหนังสือพิมพ์รายวันประเภทนี้มานานแล้วจะเลือกอ่านก็หนังสือภาษาอังกฤษไม่ใช่เพราะเห่อภาษาต่างประเทศ แต่เพราะเบื่อที่จะต้องเจอกับนักข่าวที่ใช้ (ปากกา)คอแร้งเขียนข่าวขายอย่างไร้จรรยาบรรณ

ไม่ต่างกับนกแร้งที่จิก ทึ้ง กินซากศพเป็นอาหาร

ไม่ใช่ว่าหนังสือพิมพ์ที่ผมอ่านจะไม่มีการตีพิมพ์ข่าวอาชญากรรม แต่การเสนอข่าวมักจะกระทำไปด้วยใจเป็นกลาง ตรงไปตรงมา รัดกุม เคารพความรู้สึกของทั้งผู้อ่านและผู้ตกเป็นข่าว

จริงๆ แล้ว คนเราต้องการจะรู้ก็เพียงข่าวคราวของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมเท่านั้น

ส่วนที่ต้องการจะรู้รายละเอียดทุกแง่ทุกมุมของข่าวอาชญากรรม ก็คงจะเป็นประเภทจิตใจโอนเอนไปทางนี้อยู่แล้วหรือไม่ก็ประเภทซาดิสม์ มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนมากกว่า

คุณชอบอ่านข่าวประเภทใด คุณก็ฟ้องตัวเองออกมาอย่างนั้น ผมว่า









สูตรสำเร็จ

ยุคนี้จะเรียกว่า “ยุคสำเร็จรูป” ก็คงจะไม่ผิดนัก

ทุกอย่างมีสูตรสำเร็จ ที่ประกันการยอมรับ ทั้งในด้านมาตรฐานและความสำเร็จ

และใครก็ตามที่ทำตามสูตรนี้ครบ ก็ถือได้ว่าเป็นบุคคลน่ายกย่องในทุกระดับ

นักธุรกิจถือได้ว่ามีความสำเร็จหากมีเงินล้านฝากในธนาคาร มีบ้านหรู มีรถเบนซ์หรือเทียบเท่าทั้งในคุณภาพและสนนราคา เข้าออกสนามกอล์ฟได้อย่างไม่เคอะเขิน มีเรือยอร์ชไว้พักผ่อนวันสุดสัปดาห์...

นักการเมืองถือว่าได้ระดับหากได้รับเลือก เข้าร่วมรัฐบา เป็นรัฐมนตรี จัดมวยชิงแชมป์บ่อยๆ ให้สัมภาษณ์ออกโทรทัศน์ได้ทุกเรื่อง...

นักศึกษาถือว่าบรรลุเป้าหมายหากจบจากโรงเรียนมีชื่อเสียง สอบเข้ามหาวิทยาลัยรัฐได้ ต่อด้วยปริญญาโท เอก จากต่างประเทศ...

เมื่อมีสูตรสำเร็จเป็นตัวกำหนด การที่ยังได้มาซึ่งทุกอย่างเหล่านี้ ก็ถือกันว่ายังไม่ได้รับความสำเร็จ... หนักเข้าเลยเหมาว่าเป็นความล้มเหลวไปก็มากต่อมาก

ทั้งๆ ที่ชีวิตเท่าที่เป็นอยู่ก็มีครบในปัจจัยเพื่ออยู่ได้อย่างเป็นสุข

ความทุกข์ก็เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะขาดปัจจุย แต่ยังมีไม่พอตามสูตรที่ตั้งเป้าไว้

แล้วลงเอยเป็นตนเองที่สร้างความทุกข์ขึ้นมา ทั้งๆ ที่ความสุขรายเรียงอยู่รอบข้าง

เมื่อมีสูตรสำเร็จเป็นตัวกำหนด การที่จะได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ ก็พร้อมที่จะใช้ทุกวิธีการ ทั้งเทพทั้งมาร ไม่คำนึงความผิดความถูก ความยุติธรรม สิทธิ หน้าที่...

พอได้มาครบทุกอย่าง ก็ใช่ว่าจะมีความสุขสมหวัง กลับต้องระแวดระวัง หวาดผวาลูกปืน ไปไหนมาไหนก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ มีคนล้อมหน้าล้อมหลังเป็นเกราะมนุษย์ราวกับนักโทษประหาร

ต่อเมื่อคนเราแต่ละคนกล้าที่จะกำหนดสูตรสำเร็จเองนั่นแหละ ความสเร็จสมหวังก็ดูไม่เกินเอื้อม

ก็คนเราจะมีมาตรฐานของความอิ่มเหมือนกันทุกคนได้เมื่อไร

เพราะความอิ่มนั้นขึ้นอยู่กับโครงสร้างของกระเพาะของแต่ละคน

การจะกำหนดว่าเพื่อจะอิ่มท้องทุกคนต้องกินอาหารชนิดนั้นชนิดนี้ จำนวนเท่านั้นเท่านี้ ย่อมจะเป็นเรื่องฝืนธรรมชาติ และดูน่าขัน

อย่างมากก็แค่สามารถกำหนดประเภทของสารอาหารที่ต้องกินเพื่อให้มีสุขภาพดี

จริงๆ แล้ว คนต่างจังหวัดทะลักเข้ามาในกรุงเทพฯ ไม่ใช่เพราะขัดสน...ไม่มีอะไรจะกิน หรือไม่มีบ้านพักอาศัย




แต่อพยพกันเข้ามาไม่หยุดจนจำนวนคนต่างจังหวัดจะมากกว่าคนกรุงเทพฯ อยู่แล้ว ก็เพราะสูตรสำเร็จนี่แหละ ที่โพทนากันทางโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ ปากต่อปาก...จนกระทั่งว่าบ้านที่เคยอยู่สุขสบายกลับร้อนขึ้นมาเฉยๆ ข้าวที่เคยกินอร่อยกลับรสชาดกร่อยไปถนัด เครื่องใช้ไม้สอยที่เคยใช้คล่องมือกลับไร้ประสิทธิภาพทันตาเห็น

ยามกายหิว อะไรอย่างสองอย่างก็ทำให้มันอิ่มได้ แต่ยามใจหิวนี่สิเท่าไรๆ ก็ไม่มีวันพอ ไม่ต่างกับตะกร้าไม่มีก้น

มีคนพูดว่า นักธุรกิจคือคนต่างจังหวัดที่เข้ามาดิ้นรนบากบั่นในกรุงเพื่อจะได้มีเงินสำหรับออกไปพักผ่อนต่างจังหวัด

นั่นก็เป็นสูตรสำเร็จอีกอย่าง ที่กำหนดกันขึ้นมา

คนเรานี่ก็แปลก ปากก็บอกว่ารักตัว แต่ก็หาเรื่องมาเกลียดชังตัวไม่ได้หยุด

อยากให้ตนมีสุข แต่ก็หาความทุกข์มาใส่ตนทั้งกายทั้งใจ

อยากให้ตนมีสุขภาพดี แต่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวกินเหล้าเมายา ฆ่าผ่อนส่งตัวเองไปวันแล้ววันเล่า...ด้วยความรู้ตัวเต็มใจ

อยากให้ตนสบาย แต่ก็เที่ยวสรรหาเสื้อผ้ารัดรูปรัดทรงมาใส่ให้เดินเหินลุกนั่งต้องลำบากลำบน แทบจะพิกลพิการก็ยอมเพื่อความเท่

รักหน้ารักตา แต่เฝ้าทรมานใบหน้าได้ทุกวัน ตั้งแต่ละเลงเครื่องสำอางค์ไปถึงวาดหน้าเขียนคิ้ว จนแทบจะไม่เหลือร่องรอยใบหน้าเก่าให้จำได้

อยากได้ความสบายใจ แต่ก็เต็มใจทำบาปทำกรรมให้จิตใจมัวหมอง ไม่เว้นแม้แต่อบายมุขข้อเล็กข้อน้อย

อยากได้ความสุข แต่เที่ยวไล่ล่าตามสูตรสำเร็จ ลำบากตรากตรำ พอมีครบทุกอย่างก็หมดเรี่ยวแรงหรือร่างกายเจ็บป่วยเกินกว่าจะเสวยความสุขได้แล้ว

คิดให้ลึกซึ้งสักนิด ก็คงจะอดปลงไม่ได้...มนุษย์หนอมนุษย์*








แล้วแต่จะมอง (1)

ยุคเรานี้มีการพูดถึง “การล่มสลาย” ของหลายอย่าง

หนึ่งในหลายอย่างนี้คือการลมสลายของครอบครัวไทย

มีทั้งล่มสลายตามความหมายของคำ และล่มสลายในพฤตินัย

คำว่า “ล่ม” หมายถึงการทรงตัวไม่อยู่ เอียงจนตะแคงหรือคว่ำ เช่น เรือล่ม หรือหมายถึงทำอะไรไม่สำเร็จ ไม่รอดฝั่ง

คำว่า “สลาย” หมายถึงแตกพัง ทลาย ทะลาย

ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางภาษาไทย ก็ได้แต่คิดตามประสาของผมว่า เมื่อพูดถึงคำว่า “ล่มสลาย” น่าจะหมายถึงอาการของสองคำนี้รวมกัน

ดังนั้น เมื่อพูดถึงการล่มสลายของชีวิตครอบครัวตามนัยแห่งคำแล้ว ก็หมายถึงครอบครัวที่ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ ไปด้วยกันไม่สำเร็จ แล้วก็แตกแยกพังทลายไม่เหลือหรอ

พ่อไปทาง แม่ไปทาง ลูกไปทาง... หมดสิ้นคำว่าครอบครัว

นอกนั้นก็มีการล่มสลายในพฤตินัยของชีวิตครอบครัว

แม้ยังจะอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว แต่ความรักต่อกันนั้นล่มสลายไปแล้ว

ทนอยู่ด้วยกันไปเพราะพันธะบางอย่าง เพราะฐานะด้านสังคม เพราะแรงกดดันจากผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ...

ทั้งๆ ที่ความรักที่มีต่อกันพยุงไว้ไม่อยู่และพังทลายไปนานแล้ว


เมื่อเห็นแนวโน้มของการล่มสลายของชีวิตครอบครัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มมีการศึกษาหาสาเหตุที่มาที่ไปเป็นการใหญ่โต

แล้วก็แจงรายการที่น่าจะเป็นตัวการก่อให้เกิดการล่มสลายเป็นบัญชียาวยืด

พร้อมกันนั้นก็เสนอรูปแบบกรแก้ปัญหาต่างๆ นานา แล้วแต่จะมองสาเหตุจากมุมมองใด

ผมมองของผมว่าในเมื่อคนเราแต่งงานและสร้างครอบครัวขึ้นมาเพราะความรักที่มีต่อกัน ก็น่าจะจากมุมมองความรักนี่แหละ

ผมคงไม่พูดถึงการแต่งงานที่ทำไปเพราะเหตุผลอื่น เพราะการแต่งงานประเภทนี้น่าจะเรียกว่าแต่งกับผลประโยชน์มากกว่าจะแต่งกับคน

ในเมื่อการแต่งงานเริ่มต้นเพราะความรัก ดำเนินไปเพื่อรัก มุ่งไปสู่ความรัก การล่มสลายของชีวิตแต่งงานก็เกิดจากการล่มสลายของความรักนั่นเอง

มักจะมีการพูดกันเสมอว่า เมื่อความรักของทั้งสองสุกหง่อมแล้วก็แต่งงานอยู่กินด้วยกัน

ทำให้เกิดความเข้าใจว่า การแต่งงานเป็นผลพวงจากความรักที่เต็มเปี่ยมสมบูรณ์แล้ว และไม่เคยฉุกคิดกันบ้างว่า ความรักเป็นผลพวงจากการแต่งงานด้วย

ราวกับจะบอกเป็นนัยว่า ทะเบียนสมรสเป็นปริญญาบัตรของความรัก

ปริญญาบัตรเป็นใบประกาศว่าบุคคลที่รับได้จบหลักสูตรการเรียนการศึกษาสาขาวิชานั้นๆ แล้วโดยสมบูรณ์

ทะเบียนสมรสเลยเป็นใบประกาศว่าบุคคลทั้งสองจบหลักสูตรความรักแล้วโดยสมบูรณ์

แล้วก็ลงเอยเหมือนผลไม้ที่สุกหง่อมที่คนจ้องแต่จะเด็ดมากินหรือไม่ก็ปล่อยให้ล่วงหล่นลงมาโคนต้น

แต่งงานกันไปแล้วก็มุ่งกอบโกยความสุข กินผลไม้ความรักที่สุกหง่อมกันอย่างตะกละตะกราม พอเอียนก็ปล่อยให้ร่วงหล่นเรี่ยราดอย่างไม่ใยดี

ถ้าไม่ได้กินตามคาดหวังก็มีการเรียกร้องสิทธิ ต่อรอง ข่มขู่ ประท้วง ประชด...หนักเข้าก็ลงไม้ลงมือ

แต่ของเอร็ดอร่อยขนาดไหนกินบ่อยๆ ซ้ำซาก ไม่ช้าก็เอียน

ความล่มสลายของชีวิตการแต่งงานก็ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะตั้งหลักกันว่าการแต่งงานเป็นผลพวงจากความรักแต่อย่างเดียว

ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ความรักเป็นผลพวงของการแต่งงานด้วย

ต้นดอกรักที่ลงเมล็ด เฝ้าเอาใจใส่รดน้ำพรวนดินในช่วงคบหากันเป็นแฟน จนแตกกอเป็นลำต้นเมื่อตกลงยินยอมแต่งงานร่วมีวิตกันแล้ว ยังต้องดูแลรดน้ำพรวนดินด้วยความหวงแหนอาใจใส่ต่อไปและยิ่งวันยิ่งมากขึ้น จนแตกดอกออกผลในชีวิตน้อยๆ ที่ลืมตาขึ้นมาเป็นสมาชิกในครอบครัวแห่งความรัก

ในช่วงคบหาเป็นแฟนกัน ความรักที่มีต่อกันและกันเป็นแค่ “การเลือก” ...รักก็ได้ ไม่รักก็ได้ รักมากรักน้อย หรือแม้จะเลิกรักก็เป็นเรื่องของความพอใจ

แต่เมื่อแต่งงานแล้ว ความรักที่มีต่อกันกลับเป็น “พันธะ”... ต้องรักอย่างเดียว และรักสุดหัวใจ เสมอไป

และนี่คือความรักที่เป็นผลพวงจากการแต่งงาน

อยากให้คุณใคร่ครวญดูว่าคุณควรจะเป็นแบบใด












แล้วแต่จะมอง (2)

พูดถึงความรัก ส่วนใหญ่ก็มักจะนึกถึงความรักที่มีการพรรณาไว้อย่างเพราะพริ้งในบทเพลงบ้าง บทกวีบ้าง...

แล้วก็เข้าใจกันว่า นั่นคือทั้งหมดของความรัก

พอรักใครสักคน ก็เฝ้าแต่จะสอดส่องตรวจตราดูว่า ได้สิ่งที่มีการพรรณาไว้แล้วหรือยัง อะไรบ้าง และอะไรอีกที่ยังไม่ได้...

ดูแล้วไม่ต่างกับการซื้อหาสิ่งของ ซื้อมาแล้วต้องตรวจสอบดูว่าใช้ได้ประโยชน์จริงตามที่มีการโฆษณาเอาไว้หรือไม่

ตรวจสอบอย่างละเอียดทุกขึ้นตอน จนพอใจนั่นแหละ จึงถือว่าซื้อหามาแล้วคุ้มค่า

ไม่เช่นนั้นก็จะโวยวาย นำกลับไปคืนร้านพร้อมต่อว่าต่อขาน แล้วก็เรียกร้องเอาเงินคืนหรือไม่ก็เปลี่ยนชิ้นใหม่แทนชิ้นเก่า

คนพรรค์นี้รักแล้วต้องได้ทุกอย่างตามที่มีการพรรณษไว้ พอไม่ได้ตามนั้นก็ผิดหวังโวยวาย ต่อว่าต่อขาน เลิกรากันไป แล้วก็หันไปหารักใหม่ พร้อมกับปลอบใจตัวเองไป...คงยังไม่พบรักแท้ คงไม่ใช่เนื้อคู่ ลองมองหาดูใหม่...

ลองมองความรักกันแบบนี้ ก็คงต้องผิดหวังตั้งแต่เริ่มรักแล้ว...และคงจะไม่มีวันพบรักแท้ได้เลย

หลายคนเลยได้แต่หลงรักกับคำพรรณาของความรักแทนที่จะรักคนที่มีเลือดมีเนื้อ

และนี่คือที่มาของการล่มสลายของความรักในชีวิตคู่

จริงๆ แล้วไม่มีสูตรสำเร็จของความรัก เพราะความรักไม่ใช่เป้าหมายหรือเส้นชัย

แต่ทว่าความรักเป็นจุดปล่อย จุดเริ่มต้น เริ่มต้นอยู่เรื่อยไป...

ความรักจึงต้องก่อต้องสร้างขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่แสดงออกมาในท่าที การกระทำ...แต่ละอย่าง ทีละอย่าง

...ความละเอียดอ่อน รอยยิ้ม ความเอื้ออาทร การดูแลเอาใจใส่ ความคิดถึง ความห่วงใย การเอาใจเขามาใส่ใจเรา การปกป้อง พึ่งพาได้ทุกเมื่อ ความทะนุถนอม ความสนใจ ความเข้าใจ การอภัย การคืนดี ความเสียสละ การยินยอม การเคารพ รับฟัง ให้-รับ อดทน การสัมผัส กอด จูบ...

แต่ละอย่างและทุกอย่าง ไม่ใช่เพียงครั้งเดียวจบ แต่ต้องเริ่มใหม่ ครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างไม่มีจบสิ้น

เพราะเหล่านี้คือโฉมหน้าต่างๆ ของความรัก



ร่างกายของคนเรามีเซลล์ที่ตายไปนาทีละ 300 ล้านเซลล์ แต่ถูกแทนที่จากการแบ่งเซลล์ของเซลล์ที่ยังมีชีวิตอยู่...ทำให้ร่างกายมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างปกติสุข

ความรักเพื่อจะอยู่ได้ จำต้องมีการสร้างเสริมขึ้นมาด้วยท่าทีและการกระทำแห่งความรักจำนวนนับไม่ถ้วน เพื่อไปทดแทนท่าทีและการกระทำที่ผิดต่อความรักที่เกิดจากการกระทบกระทั่งประสาทลิ้นกับฟันในการร่วมชีวิตอยู่ด้วยกัน...ทุกนาที ทุกชั่วโมง ทุกวัน

สำหรับความรัก การไม่รักก็ถือเป็นความผิดมหันต์แล้ว อย่าว่าแต่การทำผิดต่อความรักเลย

เพราะโดยธรรมชาติของความรักแล้ว มันเป็นดังพลังผลักดันออกจากตัวมันเอง ที่ต้องคอยหล่อเลี้ยงด้วยเชื้อเพลิง

เฉกเช่นแสงสว่างที่ให้ความสว่างออกไปจากตนเอง โดยต้องมีเชื้อเพลิงหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา

...แสงแดดมีเชื้อเพลิงจากดวงอาทิตย์ แสงเทียนเทียนจากการเผาไหม้และการหลอมละลายของเทียนไข แสงไฟฟ้าจากการแปลงพลังไฟฟ้าจากโรงผลิต แสงตะเกียงจากการเผาไหม้ของไส้ตะเกียงและน้ำมัน...

เชื้อเพลิงที่หล่อเลี้ยงความรักคือความรู้สึก ท่าทีและการกระทำ... แห่งความรัก ที่ให้พลังผลักดันแก่ความรักมากกว่าแสงสว่างเป็นไหนๆ

ความรักใดไม่มีพลังพอที่จะหลุดพ้นไปจากตนเอง ความรักนั้นก็เป็นแค่ความเห็นแก่ตัวที่แฝงตัวไว้มิดชิดแบนเนียนเบื้องหลังคำว่า “รัก”

ไม่สมจะเรียกว่ารักด้วยซ้ำ อย่างมากก็เรียกได้แค่ว่า “รักคุด” เท่านั้นเอง

เมื่อใดที่ยอมรับกันว่า ความรักในอุดมคติที่นักเขียนนิยายแต่งขึ้นมาจากจินตนาการ บ่อยครั้งแทบจะไม่มีอะไรใกล้เคียงกับชีวิตจริงเลย

เมื่อนั้นการล่มสลายของความรักก็จะลดน้อยลง*