Way of Spirit|6 page 5

ชีวิตภาวนา



ภาวนาคือเสี่ยง1


ตอนผมเป็นโนวิสในคณะเยซูอิต ในช่วงประชุมหมู่คณะ มีคนหนึ่งถามเจ้าคณะแขวงถึงปัญหาหนักที่ต้องท่านต้องพบเห็น คำตอบห้วนๆของคุณพ่อเจ้าคณะคือ “เยซูอิตไม่สวด”

สำหรับเราในนวกภาพ การไม่สวดเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อจบปีนวกภาพแล้ว ผมจึงมารู้ว่าการเรียกร้องด้านงานอภิบาลมักจะไปบดบังเวลาสำหรับการภาวนา ทำไมเวลาที่ใช้เพื่อสวด เพื่อการรำพึงจึงหาได้ยากนัก?

เรารู้ว่ามีหลายคนที่สวดภาวนา รู้ว่าในฐานะที่เป็นคริสตชนเราควรจะสวดภาวนาและเคยได้ยินว่าการภาวนาเปลี่ยนอะไรต่อมิอะไรได้ แต่เราหลายคนมีความขัดแย้งและสับสนเมื่อเราไปสวดภาวนา พระเจ้าทรงตอบคำภาวนาของเราจริงหรือไม่? พระเจ้าทรงฟังหรือสนใจว่าเราสวดอะไรแน่หรือ? ถ้าเราสวดอีกแบบหนึ่ง หรือสวดให้สม่ำเสมอด้วยความซื่อสัตย์มากขึ้น เราจะเป็นคนดีกว่านี้หรือไม่? การภาวนาของเราจะทำให้โลกนี้เป็นสถานที่น่าอยู่มากกว่านี้ได้ไหม? ในสมัยเราที่คนมักจะเน้นการกระทำเป็นหลัก เราควรจะใช้เวลาเพื่อรับใช้คนจนหรือทำอะไรสักอย่างสำหรับคนขัดสนจะไม่ดีกว่าหรือ? พระเจ้าน่าจะทรงพอพระทัยที่เห็นเราทำอะไร “ที่คุ้มค่า” แทนที่จะนั่งคิดไตร่ตรองความคิดวกวนไปมาในหัวของเราหรือเปล่า? และเมื่อเจาะลึกเข้าไปในการภาวนา เราอาจจะถามตัวเราว่า “การสวดได้ผลจริงหรือไม่? การภาวนาบันดาลให้เกิดอะไรขึ้นจริงหรือเปล่า?”


เราน่าจะก้าวเลยคำถามเหล่านี้ไปและมาสำนึกด้วยกันว่าการภาวนาคือการเสี่ยงอย่างหนึ่ง ไม่มีศาสตร์สำหรับการภาวนา เช่นเดียวกันเราไม่สามารถจะพิสูจน์คุณค่าและผลของความรักแท้ รวมทั้งการดำเนินชีวิตด้วยการรักและดูแลบุคคลที่เรารักวันแล้ววันเล่าได้ด้วยหลักวิชาการ เราไม่สามารถพิสูจน์คุณค่าของคำภาวนา หรือการให้ความสนใจพระเจ้าวันแล้ววันเล่าได้ ถ้าเราสามารถพิสูจน์คุณค่าของคำภาวนาทางวิทยาศาสตร์ได้ มันก็คงไม่ใช่คำภาวนาแล้ว การภาวนาเป็นการเสี่ยงเพราะเป็นเรื่องของทั้งชีวิต เป็นเรื่องของความเชื่อที่เปลี่ยนแปลงชีวิต คำว่า “เชื่อ” (believe) เป็นคำที่มาจากภาษาเยอรมัน “belieben” ซึ่งแปลว่า “เป็นที่รัก” การภาวนาจึงเป็นการเสี่ยงที่เกี่ยวกับการรัก


สาเหตุใหญ่ของการการที่เราไม่อยากจะสวดหรือขัดขืนที่จะสวดคือความกลัวว่าพระเจ้าจะตอบคำภาวนาของเราหรือไม่ เรากลัวว่าพระเจ้าจะไม่จริงจังกับการภาวนาของเรา ในเวลาเดียวกันเราก็กลัวว่าพระเจ้าจะจริงจังกับเรา อย่างที่เราจริงจังกับตัวเราเองและจริงจังกับคนที่เรารัก การภาวนาเป็นการเสี่ยงเพราะพระเจ้าทรงเรียกเราให้กลับใจและให้เปลี่ยนแปลงชีวิตตนเองอยู่เสมอ สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อไร เมื่อนั้นก็เริ่มการผจญภัย


การเป็นคาทอลิกคือการสำนึกถึงที่เราได้รับเรียกไปสู่การเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงตัวเราให้เป็นบุคคลที่มีความจริงเกี่ยวแห่งพระเจ้าเป็นที่ตั้ง เพื่อให้สมจริงตามพระสัญญาที่ว่า “ทรงมาเพื่อให้เราร่วมส่วนในพระธรรมชาติพระเจ้า” (2 ปต 1,4) การเปลี่ยนแปลงตัวเราเองเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเปลี่ยนแปลงจักรวาล เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์มนุษย์และสิ่งสร้างทั้งมวล (รม 8,21) ให้เป็นพระอาณาจักรพระเจ้า ณ ที่ซึ่งพระเจ้าจะทรงเป็นทุกสิ่งสำหรับทุกคน (1คร 15,28) ในตอนแรกของเอกสารวาติกัน “Lumen Gentium” ซึ่งเป็นเอกสารยิ่งใหญ่ของสังคายนาวาติกันที่ 2 ที่มีการบรรยายว่าพระศาสนจักรเป็นอะไรและควรจะเป็นอะไร อีกทั้งระบุว่าศาสนาคาทอลิกคืออะไร ตามแผนการของพระเจ้า “ยกย่องศักดิ์ศรีชายและหญิงด้วยการร่วมมีส่วนชีวิตพระเจ้าของพระองค์เอง” (LG 2) และนี่ไม่ใช่เป็นความคิดเห็นรุนแรง หรือไม่ถูกต้องตามหลักศาสนา หรือเรื่องเพี้ยนๆ ของชีวิตจิตเยซูอิต ย้อนหลังกลับไปในช่วงแรกของพระศาสนจักร น.อาธานาซีอุสได้พูดเรื่องเดียวกันที่ผมกำลังพูดอยู่นี้ “พระบุตรพระเจ้าทรงกลับเป็นมนุษย์เพื่อเราจะได้กลับเป็นพระเจ้า” (หนังสือคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก ข้อ 460) การภาวนาทำให้เราสำนึกและถือเป็นพันธะที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเราให้เป็นพระคริสตเจ้า การเสี่ยงจึงมาจากการที่ไม่ยอมร่วมมือในการเปลี่ยนแปลงนี้ นอกนั้นก็ยังเป็นการเสี่ยงที่จะต้องยอมต่อการเปลี่ยนแปลง ด้วยการยอมรับสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราเป็นและให้ดำเนินชีวิตตามแผนการของพระองค์


การภาวนาคือสัมพันธภาพ


การภาวนาทุกรูปแบบคือความสัมพันธ์ เราสัมพันธ์กับพระเจ้าด้วยการภาวนา พระเจ้าผู้ทรงรักเราอย่างไหลหลง อย่างหนักแน่นมั่นคง และอย่างท้าทาย เมื่อเรามีความสัมพันธ์กับใครที่เรารัก เรามักจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเรา พ่อแม่ที่รักลูกมักจะต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงในหลายรูปแบบ ลูกชายหรือลูกสาวที่รักแม่หรือพ่อวัยชรา ต้องพบกับชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่คาดคิด การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเรียกร้องให้เรารักอย่างลึกซึ้งและอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น การรู้ถึงความยากจนสุดโต่งในอัฟริกาสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในผู้ที่ภาวนาได้ รวมทั้งการรณรงค์ของ Bono และ ONE ที่จะขจัดรากแก้วของความยากจน (www.one.org) เมื่อเราสวดเราเสี่ยงกับการเปลี่ยนแปลงและการถูกเปลี่ยน การภาวนาอาจจะช่วยเราให้รู้สึกว่าเราต้องเปลี่ยน การภาวนาอาจจะช่วยเราเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ เปลี่ยนจากการเสพติดไปสู่ความสัมพันธ์กับปัญหาสังคม การภาวนาอาจจะช่วยเราให้ยินดีทำบางสิงบางอย่างเพื่อพระเจ้าและผู้อื่นที่เราไม่เคยคาดคิดว่าจะทำ


การภาวนาคือสัมพันธภาพเพราะเราสัมพันธ์กับพระเจ้าทั้งในระดับส่วนตัวและระดับความเป็นจริงอันเดียวกัน เราไม่สวดคนเดียว จะมีตัวเราและใครบางคนร่วมสวดกับเราด้วยเสมอและในทุกรูปแบบ ทันทีที่เราพยายามจะสวด พระเจ้าก็ทรงตอบรับความพยายามของเราแล้ว การภาวนาจึงไม่ใช่การแข่งขันหรือกิจกรรมเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย การพยายามสวดก็เป็นการมีชัยแล้ว การภาวนาคล้ายกับการมีเพศสัมพันธ์ การตีลูกเบสบอล หรือการฝึกเครื่องดนตรี (แม้จะหนวกหู) มากกว่าจะคล้ายการได้เลื่อนขั้น การบรรลุเป้าหมาย หรือการฝึกฝนความชำนาญ การภาวนาเป็นเหมือนการลอยตัวอยู่บนผิวน้ำมากกว่าเป็นการพายเรื่ออย่างหนักหน่วงเพื่อไปถึงที่ใดหนึ่ง การภาวนาคือ “การปล่อยตัวไป” มากกว่าจะ “ยึดติด” การภาวนาคือการเดินทางไปถึงที่นั่นในขณะที่ยังต้องเดินทางต่อไป การภาวนาคือการปล่อยให้ชีวิตของเราประสานกันอย่างกลมกลืน การภาวนาคือการทำให้ชีวิตและความรักของเราอยู่ในร่องในรอย การภาวนาคือการอัญเชิญพระเจ้าให้มาจัดแจงความรักและชีวิตของเรา


เราทุกคนถูกสร้างให้เหมือนพระเจ้า ผู้สวดภาวนาจะรู้ความจริงนี้ดี การที่จะสำนึกและร่วมมือในการทำให้ตนเองเป็นเหมือนพระเจ้าเป็นงานที่ต้องออกแรงทำ การภาวนาที่แท้จริงคือการทำงาน เป็นชีวิตที่ต้องเคารพกฎเกณฑ์ดังที่ศาสนาคาทอลิกมีกฎเกณฑ์ เรามาพบว่าความบรรเทาใจไม่อยู่ที่ความสะดวกสบาย ความทุกข์ยากไม่ใช่ความขัดแย้งเสมอไป การมีวินัยกับการภาวนาเป็นสิ่งสำคัญและเป็นประโยชน์เช่นเดียวกับการออกกำลังกายเพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ยิ่งเรามีความสมบูรณ์ด้านชีวิตจิต เราก็ยิ่งจะสามารถพบเห็นพระเจ้าในชีวิตของเราได้ การภาวนาจึงเป็นความพยายามที่จะมีประสบการณ์ของพระเจ้า การภาวนาคือการให้ความสำคัญแก่ความสัมพันธ์แห่งชีวิตกับตัวเราเอง กับผู้อื่น และกับพระเจ้า ความสัมพันธ์กับพระเจ้าทำให้ความพันธ์กับตัวเราเองและผู้อื่นเป็นไปได้ เมื่อเราให้ความสำคัญแก่ความสัมพันธ์กับพระเจ้า เราจะได้ยินเสียงกระซิบแห่งการประทับอยู่ของพระเจ้าในความสัมพันธ์แห่งชีวิตเรา เราพูดกับพระเจ้าในการภาวนาและพระวาจาของพระเจ้าตรัสตอบในชีวิตเรา


การภาวนาคือการให้ความสำคัญแก่สิ่งที่แท้จริง การภาวนาจึงไม่ใช่การพบพระเจ้าในสิ่งต่างๆ แต่มีอะไรมากกว่านั้น กล่าวคือ การภาวนาคือการพบพระเจ้าในความจริงต่างๆ ความจริงที่เคยเป็น ที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันและในอนาคต ความสำนึกว่าพระเจ้ามีวิธีการของพระองค์ที่จะทำให้เราเป็นเหมือนพระองค์จะช่วยให้เราเห็นพระองค์ได้ชัดเจนในการเลือกแต่ละอย่างของเรา


ในระดับศีลธรรม การภาวนานำเราไปสู่ปรีชาญาณและการเลือกที่ถูกต้อง เมื่อผมยังเป็นเด็ก ในช่วงฤดูหนาว คุณแม่มักจะให้ผมใส่ชุดกันหิมะหนาเทอะทะเหมือนรูปโฆษณายางมิเชลิน คุณแม่ปล่อยให้ผม พี่น้องและสุนัขออกไปนอกบ้าน เมื่อมาอยู่กลางหิมะ ผมจะเก็บหิมะเย็นๆมากิน คุณแม่ก็จะตะโกนว่า “ริคกี อย่ากินหิมะสีเหลือง” การสวดภาวนาคือการเรียนรู้ว่าอะไรคือ “หิมะเหลือง” อะไรไม่ใช่ รู้ว่าสิ่งใดไม่ดีสำหรับเราและเป็นอุปสรรคในการกลับกลายเป็นพระคริสตเจ้า สำหรับคนที่จริงจังกับการภาวนา ชีวิตกลายเป็นการฝึกฝนในการวินิจฉัยสิ่งที่เราเราต้องการอย่างแท้จริงและลึกซึ้งในพระเจ้า ความปรารถนาที่ศักดิ์สิทธิ์นี้ช่วยเผยแสดงพระประสงค์ของพระเจ้าให้แก่เรา พร้อมกันนั้น การภาวนาเป็นสื่อกลางของพระหรรษทานที่จะช่วยเราในการเลือกสิ่งที่เราปรารถนาอยู่ลึกๆและช่วยทำให้เราเลือกได้อย่างถูกต้อง


การภาวนา เมื่อมีการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและอย่างซื่อสัตย์ จะกลายเป็นหัวใจแห่งชีวิตประจำวันของเรา ช่วยเราให้ทำตามแผนและมีสมาธิ การภาวนา แม้จะสวดเป็นระยะและรีบเร่ง มีคุณค่ามหาศาล Annie Lamott ซึ่งเป็นหนึ่งในนักเขียนเกี่ยวกับการภาวนากล่าวว่ามีบทสวดสองบทที่ดีที่สุด นั่นคือ “ขอบพระคุณ” และ “โปรดช่วยด้วยเถิดพระเจ้า”


วิธีภาวนา


การภาวนาไม่จำเป็นต้องประดิษฐ์ประดอย แต่น่าจะเป็นดังลำธารที่นำเราผ่านจากชีวิตไปสู่ชีวิตนิรันดร มีวิธีสวดหลายแบบ สวดขอ (ซึ่งมักจะเป็นคำภาวนาที่สวดมากกว่าหมด) พิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณประจำวัน การทำวัตร การอ่านหนังสือศรัทธา การอ่านพระคัมภีร์อย่างเป็นระบบ การอ่านพระวาจาวันอาทิตย์ล่วงหน้า สายประคำ การนมัสการศีลมหาสนิท เหล่านี้ล้วนเป็นกิจศรัทธาที่มีการภาวนาเป็นศูนย์กลางและเป็นวิธีภาวนาที่มีคุณค่า หลายคนชอบการภาวนาเป็นกลุ่ม จงเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่เห็นดี ไม่มีใครจะฝืนสวดภาวนาที่น่าเบื่อหน่ายและลำบากได้ การสร้างประสบการณ์ภาวนาด้วยวิธีการที่ใช้จินตนาการสร้างแรงบันดาลใจ ดูภาพยนตร์สักเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า เขียนจดหมายถึงใครสักคนในขณะที่อยู่ในบรรยากาศภาวนา สนทนากับพระจิตเจ้า วาดรูปพระเจ้า อย่าลืมว่า จินตนาการเป็นพื้นที่ที่เราสามารถสร้างประสบการณ์ที่ลึกซึ้งกับพระเจ้าได้ การพิศเพ่งเหตุการณ์ในพระวรสารแบบที่น.อิญาซิโอสอนเป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้จินตนาการเพื่อสวดภาวนา



คำแนะนำในการภาวนา


มีหลายคนได้เดินในเส้นทางผ่านป่าแห่งการภาวนามาแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องคิดค้นเส้นทางใหม่ สำหรับผู้เริ่มต้น “เก้าอี้นวมบำเพ็ญจิต” ของ Mark Thibodeaux นักบวชเยซูอิตเป็นหนังสือที่ดีมากเล่มหนึ่ง การเสนองานเขียนด้านภาวนาของเยซูอิตอาจจะทำให้ดูเป็นการโฆษณาธุรกิจของครอบครัว แต่ใครที่เคยได้สัมผัสชีวิตจิตที่อิสระและทำให้ชีวิตจิตเป็นอิสระของ Tony DeMello นักบวชเยซูอิตต่างเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นหนังสือที่ควรอ่านและนำมารำพึงเป็นอย่างยิ่ง หนังสือชื่อ “Everything Belongs” ของ Richard Rohr นักบวชฟรังซิสกันก็เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งเกี่ยวกับการภาวนาที่ดีมากเท่าที่ผมเคยอ่านมา Rohr ให้แนวทางคนในศตวรรษที่ 21 ว่าการสวดภาวนาคืออะไรและควรสวดอย่างไร “The Cloud of Unknowing” เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งเกี่ยวกับการภาวนาและเป็นแรงบันดาลใจให้แก่รูปแบบการภาวนาแบบฤษีตรัปปิสต์ หนังสือ “Traveling Mercies” ของ Annie Lamott ครอบคลุมไปเกือบทุกอย่าง ตั้งแต่การภาวนาไปจนถึงการเป็นพ่อแม่ วินัยในการกิน ฯลฯ หนังสือ Spirituality of Imperfection” ของ Kurtz และ Ketcham เป็นหนังสือล้ำค่ามากเล่มหนึ่ง นอกนั้นก็มีหนังสือดีๆเกี่ยวกับการภาวนาให้เลือกได้อีกมากมาย นิตยสารก็มี อาทิ America” และ Commonweal” เป็นแหล่งข้อมูลและแนวทางสำหรับเนื้อหาฝ่ายจิต ในอินเตอร์เน็ ซึ่งหนุ่มสาวหลายคนใช้เวลาเพื่ออ่านข้อมูลข่าวสาร มีหลาย websites อาทิ ของเยซูอิตแห่งไอร์แลนด์ www.sacredspace.ie ที่ให้แนวทางและข้อแนะนำเกี่ยวกับการสวดภาวนา


การภาวนาก่อให้เกิดอะไรบ้าง?

การภาวนาที่แท้จริงและมั่นคงช่วยเปลี่ยนแปลงความปรารถนาต่างๆของเรา เมื่อเราอยากได้สิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ เราก็มีความสัมพันธ์ที่ดีงามกับพระองค์ และนั่นคือประสบการณ์แห่งความเที่ยงธรรมในระดับบุคคล การภาวนาต่อเนื่องช่วยนำเราไปสู่เป้าหมายที่การเข้าเงียบแบบอิญาซีโอมุ่งถึง การภาวนาจะช่วยเราให้เป็นอิสระจาก อิสระเพื่อ และอิสระที่จะอยู่กับ นำไปสู่การเป็นอิสระจากทุกสิ่งที่กีดกันเราไม่ให้กลายเป็นพระคริสตเจ้า อิสระจากการเสพติดกับความผิดพลาดต่างๆ อิสระเพื่อรับใช้และมีความสัมพันธ์ถูกต้องในทุกระดับ ซึ่งดำเนินไปในความเที่ยงธรรมแห่งสังคมสำหรับทุกคน อิสระที่จะอยู่กับพระเจ้า ที่จะเป็นอย่างที่พระจิตเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงเราให้เป็นพระคริสตเจ้าทำให้เราเป็นอิสระที่จะเป็นตัวเราในความลึกซึ้ง ในความสัตย์จริงในความสัมพันธ์กับผู้อื่น การภาวนาที่แท้จริงเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งและเป็นการบำเพ็ญจิตทุกวัน ไม่ใช่เป็นเวทย์มนต์หรือพระหรรษทานผิวเผิน

การภาวนาจะไม่สามารถก่อให้เกิดอะไรขึ้นถ้าเราไม่ยอมสวดภาวนา ผมไปออกกำลังกายสามครั้งต่อสัปดาห์ ปีละครั้ง ผลที่เกิดขึ้นกับร่างกายนั้นย่อมจะเห็นได้ชัด พันธะในการภาวนาอย่างสม่ำเสมอ หนักแน่น เป็นความความพยายามที่คุ้มค่ามาก แต่เราจะไม่มีวันรู้ได้จนกว่าเราจะเริ่มสวด นั่นหมายความว่า เราต้องเดินหน้าไปและพร้อมจะเผชิญกับความเสี่ยง เมื่อนั้นเราก็จะสามารถกระตุ้นให้คนอื่นให้สวดภาวนาด้วยตัวอย่างของเรา .



























1 Rich Malloy SJ อาจารย์ที่ St. Joseph’s University, Pennsylvania