Stimulating Thoughts|4

ของฝากท้ายรถ


เขียนทีไร ต้องโยงไปถึงการขับรถทุกที

ทำไงได้ ก็ทุกวันนี้ เห็นแต่พูดเรื่องของรถที่

เพิ่มจำนวนขึ้นและช่องทางเดินรถที่แคบไปทุกวันพร้อมทั้งความพยายามที่จะหาทางทำอย่างไรจึงจะให้รถจำนวนมากลงไปวิ่งในเส้นทางแคบๆ ได้โดยไม่ต้องเฉี่ยวหรือชนกัน

เปิดหนังสือพิมพ์ก็มีแต่ข่าวโครงการแก้ปัญหาจราจร เปิดโทรทัศน์ก็เห็นออกมาเสนอแนวจัดโครงการเดินรถสาธารณะ ฟังวิทยุก็มีแต่การรายงานเส้นทางไหนควรจะเลี่ยงหากอยากจะไปให้ถึงบ้าน...

แล้วอย่างนี้จะไม่ให้คิดถึงเรื่องรถเรื่องถนนได้อย่างไร

ขับรถ นอกจากจะฟังวิทยุเป็นเพื่อนแล้ว ยังใช้สายตาอ่านโน่นอ่านนี่ไปเรื่อยเปื่อย โดยเฉพาะที่มีเขียนติดอยู่ท้ายรถคันข้างหน้า

มือใหม่หัดขับ...ลูกชายคนโปรด...รักแท้มีหนึ่งเดียว แต่โรเนียวได้หลายครั้ง...

ข้อความธรรมดาๆ เขียนติดไว้เพียงเพื่อมีอะไรติด แต่หลายครั้งก็เจอข้อความน่าอ่านน่าคิด ไม่น้อยครั้งก็เจอข้อความกินใจเลยตั้งใจอ่านและจดจำไว้เป็นอาหารสมอง

จนกลายเป็นนิสัย ขับรถไปตาก็หาอ่านอะไรที่เขียนท้ายรถคันหน้าไป

วันหนึ่ง ขับตามรถบรรทุก และเหลือบไปเห็นข้อความเขียนตัวเล็กๆ ไว้ที่กระบะท้าย จึงเร่งความเร็วให้ทันตามการเรียกร้องของความมักรู้มักเห็น

พอเข้าไปถึงระยะพอจะอ่านออกก็เห็นข้อความ “กูว่าแล้วมึงต้องอ่าน”


แม้จะต้องหน้าแตกและผิดหวังเป็นบางครั้งแต่ก็คุ้มค่ากับความพยายาม เพราะมีอะไรอ่าน มีอะไรคิด ดีกว่าจะต้องมากลุ้มกับรถติด อย่างประโยคติดท้ายรถคันหนึ่ง

สังคมเลว เพราะคนดีท้อแท้”

ตอนแรกที่อ่าน ก็คิดจะแก้ต่าง “สังคมเลวเพราะมีคนไม่ดีเยอะต่างหาก”

แต่คิดอีกที มันก็จริงอย่างที่เขียนไว้

คนชอบมองสังคมเป็นเรื่องของคนอื่นมากกว่าของตน

และหากตนไม่ได้ก่อความชั่ว สร้างความเลว ก็ถือว่าหมดหน้าที่แล้ว

พอเกิดความชั่วขึ้นก็โทษคนทำ พอเกิดความเลวก็โทษคนก่อความเลว แต่น่าอยู่เพราะมีความดีความงามต่างหาก

มองจากแง่นี้ คนดีน่าจะผนึกกำลังกันสร้างความดี จนคนชั่วรู้สึกนอกที่นอกทาง

เหมือนบ้านไหนสะอาดสะอ้านจะทิ้งอะไรให้เลอะเทอะแม้แต่น้อยนิด ก็ให้รู้สึกกระอักกระอ่วนจนทำไม่ลง

แต่บ้านไหนสกปรก จะเพิ่มความสกปรกขึ้นมาอีกนิดก็ไม่เห็นจะเป็นไร

ที่ไหนมีการพูดจาไพเราะ เรียบร้อย น่าฟัง จะพูดคำหยาบสักคำมันเป็นเรื่องน่ารังเกียจ ขยะแขยง

แต่ที่ไหนพูดจาสกปรก หยาบคาย ลามกจกเปรต จะพูดคำหยาบสักร้อยคำ ก็ไม่มีใครรู้สึก

ที่ไหนไม่มีการฉ้อราษฎร์บังหลวง การจะยักยอกสักสิบยี่สิบบาท ก็ให้รู้สึกระอายตนเอง

แต่ที่ไหนมีการฉ้อโกงกินดะตั้งแต่ถนนยันสะพานลอย อิฐหินดินทรายก็ไม่เว้น การจะทุจริตยกผลประโยชน์ของรัฐให้ตนเองสักสิบล้านยี่สิบล้านก็ไม่รู้สึก แถมยังพูดหน้าตาเฉยว่า เป็นเรื่องธรรมดา แบบเรื่องเด็กเส้นอย่างไรอย่างนั้น

ทุกวันนี้ สังคมปล่อยให้คนชั่วเป็นตัวลิขิตชะตากรรมให้ราวกับว่าสังคมจะน่าอยู่หรือไม่น่าอยู่ขึ้นอยู่กับคนชั่วจะเมตตา

หากคนชั่วไม่ทำชั่ว ก็ถือว่าเป็นบุญไป แต่หากคนชั่วก่อความเลวขึ้นมาก็ถือว่าเป็นกรรม

จนวันหนึ่งๆ คิดแต่จะให้รอดตัวมาได้อย่างเดียว...

ขับรถออกจากบ้าน หากไม่ถูกสิบล้อเมายาม้าขยี้ติดพวงมาลัยก็ดีแล้ว

ลูกสาวออกจากบ้าน กลับมาไม่ถูกข่มขืน หรือหลอกไปขายก็หายห่วงได้แล้ว

บ้านช่องไม่ถูกงัด ถูกเผา ก็นอนตาหลับแล้ว

ซื้อขายไม่ถูกเขาโกง ไม่ถูกเขาหลอก ก็ใช้ได้แล้ว

ขึ้นรถเมล์ไม่ถูกเขาลวนลาม หรือล้วงกระเป๋า หรือถูกเหวี่ยง

ลงไปวัดพื้นรถ เพราะคนขับเคยใฝ่ฝันอยากจะขับรถแข่ง ก็ถือว่าปลอดภัยแล้ว


คงจะถึงเวลาแล้ว ที่จริงมันน่าจะถึงเวลานานมาแล้ว ที่จะต้องบอกตัวเองว่า

สังคมน่าอยู่ได้ ขึ้นอยู่กับคนดีที่ช่วยกันลิขิต.