Deep Thoughts|51

ความสุข


คริสต์มาสและปีใหม่เป็นเทศกาลแห่งความสุขสันต์หรรษา มีการมอบความสุขให้แก่กันและกันหลากหลายรูปแบบ

....อวยพรให้มีความสุขบ้าง

....มอบความสุขให้บ้าง

....แบ่งปันความสุขบ้าง

อย่างหนึ่งมีหนึ่งช่วงเวลาในรอบปี ที่คนหันมามองรอบตัวและสนใจความสุขของคนรอบข้างอย่างจริงจัง

และในขณะที่ให้ความสุขแก่ผู้อื่น ตนเองก็พลอยได้รับความสุขด้วย

อย่างที่มีคนพูดไว้ว่า การให้ความสุขนั้นเหมือนกับการพรมน้ำหอมให้ผู้อื่น ในขณะที่คน

อื่นได้รับกลิ่นหอมชื่นของมัน คนที่พรมให้ก็พลอยได้รับหยาดน้ำหอมที่กระเซ็นมาโดนตัวด้วย

เพราะธรรมชาติของความสุขนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ใครจะครอบครองไว้ได้คนเดียว ทุกครั้งที่มีความสุขเกิดขึ้น จะต้องมีมากกว่าหนึ่งคนที่ได้รับความสุขนั้น ๆ

เพราะคนที่ให้ความสุขกลายเป็นผู้รับความสุข และผู้รับความสุขกลายเป็นผู้ให้ความสุขในเวลาเดียวกัน

จึงไม่มีใครมีความสุขแท้จริงคนเดียวได้

อย่างน้อย ๆ ยามมีความสุข คนเราก็อดไม่ได้ที่จะให้ใครบางคนรับรู้รับฟัง ยิ่งมีคนรับรู้มาก ก็ดูเหมือนว่าความสุขนั้น ๆ ยิ่งใหญ่ขึ้น และนั่นคือวงจรของความสุข เกิดขึ้นมาแล้วต้องแผ่ขยายออกไปกระทบคนรอบข้างแล้วสะท้อนกลับมายังจุดเริ่มต้น

ความสุข กับ การให้ จึงเป็นสิ่งคู่กันอย่างแยกไม่ออก การที่คิดจะเก็บความสุขไว้เพียงคนเดียว ก็เป็นการทำลายความสุขนั้นไป

เพียงแค่คิดไม่อยากให้ใครมีความสุขเช่นตน ก็เกิดความทุกข์ขึ้นมาแล้ว...ทุกข์ที่กลัวคนอื่นจะได้รับความสุขนั้น ๆ

ไม่ต้องพูดถึงความพยายามที่กีดกัน กลั่นแกล้งไม่ให้คนอื่นมีความสุข เพียงแค่คิดจิตใจก็หมดความสุขไปแล้ว

แล้วก็กลายเป็นความทุกข์มหันต์ หากคนที่ตนพยายามกีดกั้นมีความสุขขึ้นมา

จริง ๆ แล้ว คนเราเพียงแค่ไม่มีความทุกข์ก็เป็นสุขได้แล้ว

หากแต่ว่า คนมักจะคิดว่าความสุขคือการได้มาซึ่งสิ่งที่อยากได้จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ เลยรู้สึกว่าไม่มีความสุขยามที่ไม่ได้อะไรสักอย่าง ทั้งๆ ที่สามารถเป็นสุขได้แม้ไม่มีอะไร

หรือแม้ในความทุกข์ก็มีความสุขได้ เพราะสุขและทุกข์นั้นไม่มีเส้นแบ่งกั้น เหมือนกับไม่มีเส้นแบ่งแยกระหว่างการให้และการรับ

ในขณะที่มีความสุขก็มีความทุกข์ได้ และขณะที่มีความทุกข์ก็สามารถมีความสุขได้เช่นกัน

ไม่จริงหรือที่ว่า ยามคนเรามีความสุขก็ร้องไห้ และยามเรามีความทุกข์ก็ร้องไห้


มีคนพูดไว้อย่างน่าคิดว่า ความสุขนั้นเหมือนผีเสื้อ

ยิ่งเราพยายามวิ่งตามไล่ล่า มันก็ยิ่งบินหนีไปไกล

แต่ลองนั่งอยู่เฉย ๆ มันจะบินวนเวียนมาเกาะไหล่เกาะหัวเราเอง

จริงๆ แล้ว ความสุขอยู่ในตัวเรานั่นแหละ เพียงแต่คิดของเราไปเองว่า ความสุขอยู่ที่นั่น ความสุขอยู่ในสิ่งของชิ้นน้า

พอได้มาแล้ว ดูจะเป็นสุขเพิ่มพูนขึ้นมาเหลือประมาณ ทั้งๆ ที่ความรู้สึกเป็นสุขนั้นอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว

สิ่งภายนอกเพียงแค่สะกิดให้ความรู้สึกเป็นสุขมันหลุดลอยออกมาจากภายในตัวเรา จนเรารู้สึกอิ่มเอมหรรษา

พอเบื่อหน่ายจำเจกันสิ่งนั้น ความรู้สึกเป็นสุขก็พลอยจืดจางไปด้วย แล้วกระบวนการไล่ล่าหาความสุขก็เริ่มต้นขึ้นใหม่ ครั้งแล้วครั้งเล่า...จากคนนี้ไปคนนั้น จากสิ่งนี้ไปสิ่งโน้น...

ต่อเมื่อคนเรารู้จักเข้าไปสัมผัสกับความรู้สึกเป็นสุขที่อยู่ลึกเข้าไปภายในตัวตนนั่นแหละ สิ่งของภายนอกจึงจะดูหมดความหมายไป

เพราะสิ่งของทุกอย่างมีไว้เพียงเพื่อประโยชน์ใช้สอย ไม่ใช่เพื่อบันดาลความสุข

เหตุว่าความสุขนั้นบริสุทธิ์ผุดผ่องและยิ่งใหญ่เกินกว่าจะคลุกคลีเกาะติดกับสิ่งของใดๆ

จึงไม่มีสิ่งใดในตัวมันเองสามารถให้ความสุขแท้จริงได้เลย คนเรามักจะอวยพรกันให้มีความสุข ขอให้อวยพรกันให้สุขจริงเสียทีเถอะนะ.