Deep Thoughts|35

เสียดาย


วันเวลาช่างผ่านไปรวดเร็ว จนแทบจะทำงานทำการกันไม่ทัน

ไม่ใช่เป็นเพราะเวลาสั้นลง หากแต่สิ่งที่ต้องทำมีมากขึ้น...มากกว่าสมัยก่อน

การเดินทางก็ต้องใช้เวลามากกว่าแต่ก่อน ทั้งๆ ที่ยานพาหนะทันสมัยกว่าเป็นไหนๆ

แม้แต่การจะออกจากบ้าน ก็ยังต้องใช้เวลามากกว่า ไหนจะต้องแต้มแต่งใบหน้า ไหนจะต้องพิถีพิถันเรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย...

กรทานข้าวในบ้านนอกบ้านก็เช่นกัน ต้องใช้เวลามากขึ้น เพราะไม่เน้นแค่กินให้อิ่ม แต่กินให้อร่อย มีรสชาติ มีบรรยากาศ

ในเมื่อเวลามีเท่าเดิม แต่กิจกรรมต่างๆ เพิ่มขึ้น เลยให้ความรู้สึกว่าเวลาสั้นลง

และเมื่อกิจกรรมมีมากขึ้นทุกที จึงไม่อาจจะทำทุกอย่างที่ควรจะทำในวันหนึ่งๆ ได้หมด...บางอย่างจึงต้องข้ามไป ทั้งๆ ที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าอย่างอื่นๆ

เวลาสำหรับหลับนอนพักผ่อน ถูกเจียดไปทำอย่างอื่น

เวลาสำหรับภาวนาคิดถึงพระ ถูกเบียดไปเพื่อทำอย่างอื่น

เวลาที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันฉันพ่อแม่ลูก ก็ต้องสละเพื่ออย่างอื่น

เวลาสำหรับจะอยู่กับตนเอง ก็ยิ่งไม่เหลือให้พบหน้าพบตาตนเองในส่วนลึกๆ...ความรู้สึก แรงจูงใจ เป้าหมาย...

เฉพาะคนที่รู้จักจัดลับคุณค่าของกิจกรรมที่ต้องทำ ทั้งในความสำคัญและแก่นสาร จึงจะสามารถสร้างคุณภาพให้แก่ชีวิตแต่ละวันได้

ไม่เช่นนั้น แต่ละวันที่จบสิ้นลงไป จะนำมาซึ่งความรู้สึกเสียดาย...สิ่งที่น่าจะทำไม่ได้ทำ กลับไปทำสิ่งไร้สาระหาคุณค่าไม่ได้

เหมือนกับสูญเสียวันนั้นไป อย่างไรอย่างนั้น

แล้วก็ลงเอยเหมือนวิกฤติด้านเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญกันอยู่ทุกวันนี้

เบื้องหลังของความรู้สึกหลากหลายนั้น มีความรู้สึกอันหนึ่งเหมือนกัน นั่นคือ เสียดายที่ไม่ได้ให้คุณค่าแก่สิ่งที่กำลังสูญเสียไป

ก่อนหน้านี้ เงินทองใช้จ่ายกันไม่อั้น เพียงเพราะมีจึงต้องใช้... ใช้ไปกับสิ่งที่ไม่มีคุณค่าหาประโยชน์ไม่ได้ เพียงแค่ให้ได้สะใจ

เวลานี้ที่ต้องขาดมือลง จึงเริ่มเห็นคุณค่า...ถึงขนาด “คนเคยรวย” ต้องนำสมบัติอันฟุ่มเฟือยมาเร่ขาย

ก่อนนี้สิ่งของ ทรัพยากรธรรมชาติ มีมากมายก่ายกองจนพูดกันติดปาก “ทรัพย์สินในน้ำ”...ก็เลยใช้กันแบบทิ้งๆ ขว้างๆ นำมาผลาญ ไม่เห็นไม่คำนึงคุณค่า


เวลานี้ดินก็แทบจะหาไม่ได้ น้ำก็แห้งขอดไปทั่วหัวระแหง... เดือดร้อนแม้ที่อยู่อาศัยและสิ่งจำเป็นพื้นฐาน

ยิ่งเมื่อมีวิสัยทัศน์ที่แคบ ก็ย่อมจะมองได้ไกลไม่เกินปลายจมูก

มีกินมีใช้เดี๋ยวนี้ ก็กินก็ใช้อย่างไม่บันยะบันยัง ไม่คิดจะเผื่อชนรุ่นลูกรุ่นหลาน

บวกกับปรัชญาชีวิตที่ว่า “วันนี้อยู่ พรุ่งนี้ไม่แน่นอน” เลยต้องรีบกอบโกยความสุข ความสนุกสนานให้สุดเหวี่ยง...วันนี้มีกินมันให้เต็มที่ พรุ่งนี้ไม่มีค่อยอด...

ชีวิตความเป็นอยู่ของหลายๆ คน ก็อิ่มหมีพีมันต้นเดือน แล้วก็อดอยากปากแห้งไปจนชนปลายเดือน...อย่างนี้ทุกเดือนๆ

ไม่ต้องพูดถึงบางคน ทำงานตัวเป็นเกลียวมาทั้งเดือน ปลายเดือนก็ได้ชื่นชมกับเงินค่าจ้าง จากน้ำพักน้ำแรงเพียงแค่ปะเดี๋ยวประด๋าว ก่อนที่เงินจะเปลี่ยนมือไปให้เจ้าหนี้

เหน็ดเหนื่อย สูญเสียพลังไป เพียงเพื่อรับเงินและส่งต่อไปให้คนอื่นใช้


มาถึงปลายปีแต่ละปี คงต้องมานั่งบวกลบคุณหารกันให้ถี่ถ้วน

หนึ่งปีที่ผ่านไป ได้หรือสูญเสียอะไรไปบ้าง

วันเวลาที่ผ่านไป ใช้ทำกิจกรรมที่ทรงไว้ซึ่งคุณค่า หรือผลาญไปอย่างไร้ประโยชน์

สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ ทุกคนคงจะพูดเหมือนๆ กันว่า “หากจะย้อนเวลากลับไปได้ ฉันคงไม่เสียเวลากับเรื่องเหล่านี้อย่างแน่นอน ฉันน่าจะใช้เวลาเพื่อทำสิ่งนั้นสิ่งนี้...”

คำตัดพ้อเหล่านี้พูดไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะอดีตคืออดีต

แต่หากนำมาเป็นข้อตั้งใจและใช้ทำแผนการดำเนินชีวิตในปีใหม่... อย่างน้อยๆ ก็จะช่วยกู้ความสูญเสียที่ผ่านมาได้ไม่น้อย.