Deep Thoughts|32

แล้วแต่ใคร?


ใครก็ต้องสลดใจ เมื่ออ่านพบข่าวประเภทนี้ในหน้าหนังสือพิมพ์

กลุ่มนักเรียนชาย ป. 1 รุมข่มขืนเพื่อนหญิงร่วมชั้น”

คนที่เป็นพ่อเป็นแม่คงต้องผวาอีกแล้ว เพราะแม้ยังอยู่ในวัยขนาดนี้ลูกก็ไม่ปลอดภัยเสียแล้ว

ก่อนนี้มีข่าวคราวผู้ใหญ่ใจชั่วข่มขืนเด็ก

มันน่าหวาดกลัว แต่ก็ยังดูไกลตัว หากเตือนลูกให้ระวังคนแปลกหน้า

แต่เดี๋ยวนี้ แม้แต่เพื่อนวัยเดียวกัน เรียนอยู่ด้วยกันแท้ๆ ก็ยังต้องกลัวไว้ก่อน

อย่าว่าแต่สมาธิในการเรียนรู้ต้องมีอันลดน้อยถอยลง เพราะต้องหวาดวิตก คอยระแวงกันแล้ว

การเติบโตพัฒนาของเด็กเองก็พลอยต้องได้รับผลกระทบไปด้วย

เพราะวัยนี้น่าจะเป็นวัยที่ไร้กังวล มีแต่ความสดชื่นหรรษาสนุกสนาน

ก่อนนี้ส่งลูกถึงโรงเรียนได้ พ่อแม่ผู้ปกครองก็โล่งอก

ภายในรั้วโรงเรียน ภายใต้การสอดส่องของยามหน้าประตู เด็กๆ มีความปลอดภัย

แต่เดี๋ยวนี้ในรั้วโรงเรียนนั่นเองแหละ อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้

...การข่มขืน การล่วงเกินทางเพศ การเบี่ยงเบน ยาเสพติด อบายมุข...

เกิดเรื่องเป็นข่าวที ก็ลนลานวิเคราะห็หาสาเหตุที

พูดกันได้วันสองวัน แล้วปล่อยให้เงียบหายไป ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

รู้ว่าเด็กใจแตกเพราะสื่อลามกแพร่ระบาด แต่ก็ไม่กล้าแตะต้องตัวที่มาของปัญหาให้จริงจังเด็ดขาดสักที

รู้ว่าเด็กติดยากันงอมแงมเพราะซื้อหาได้ง่ายเหมือนซื้อลูกอม แต่ก็ไม่เคยจัดการกับแหล่งผลิตให้สิ้นซากสักที

แล้วทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับยถากรรม...เหมือนเดิม


ทั้งๆ ที่สื่อลามกมีกันมากมายก่ายกองแล้ว แต่รายการโทรทัศน์บ้านเราดูเหมือนจะเห็นว่ายังไม่เพียงพอ

ละครโทรทัศน์แทบทุกเรื่อง จึงมาเน้นจุดขายที่ “เลิฟซีน”

เนื้อเรื่องก็เดิมๆ เปลี่ยนดาราตัวแสดงไปมาก็เท่านั้น เลยต้องมาขายเรื่องพรรค์นี้

แสดงกันให้เห็นจะจะ ยืดเวลาได้นานๆ... โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของผู้ชมเลยแม้แต่น้อยนิด

แถมยังมีการโฆษณาในหนังสือพิมพ์ตามหน้าบันเทิง

...นางเอกใจถึง ตีบทเลิฟซีนแตกกระจาย...

...นางเอกเกรง กว่าจะถ่ายทำเลิฟซีนได้ต้องหมดไปหลายเทค...

...นางเอกบอกไม่หนักใจเลิฟซีน พระเอกสอนให้หมด...

ซึ่งแต่ละอย่าง ก็มุ่งเพียงให้ผู้ชมมักรู้มักเห็น ให้การติดตาม...ตามครรลองแบบธุรกิจมาก่อน

ทั้งๆ ที่ในวัฒนธรรมไทย แม้จะรักจะชื่นชอบกัน แต่การแสดงออกนั้นมีความพอ

เหมาะพองาม ไม่ให้ประเจิดประเจ้อ ไม่ให้เป็นที่รู้เห็นแก่คนอื่น

ทั้งนี้ เพราะความรักและความชื่นชอบนั้นบริสุทธิ์ ลึกซึ้ง และเต็มตื้นอยู่ในหัวใจ

จนกระทั่งว่า ท่าทางเพียงเล็กน้อย สายตาที่เหลือบมอง คำพูดคำจาที่นิ่มนวล...ก็ดูจะมากเกินพอที่จะสื่อความในใจให้แก่กันและกันแล้ว

จะแสดงความรักลึกซึ้งกันทีก็กระทำกันเป็นส่วนตัวสองต่อสอง มิดชิด บ่งบอกเป็นนัยถึงความรักผูกขาดที่มีต่อกันและกัน ซึ่งไม่ควรที่จะมีใครอื่นแทรกแซงหรือแม้จะมาเห็นมารู้ด้วยซ้ำ

เมื่อต้องมาพบเห็นสิ่งเหล่านี้ในจอโทรทัศน์ คงต้องรู้สึกอึดอัดรันทดใจไปตามๆ กัน

เพราะมันเป็นการนำสิ่งที่งดงาม สูงส่ง มาประจานให้แปดเปื้อนมัวหมองอย่างไม่มียางอาย

พร้อมกันนั้นก็กระพือตัณหาให้พวกจิตใจต่ำ ชี้ทางให้ผู้ไร้เดียงสา... จนเกิดเหตุการณ์ไม่ดีงามขึ้นมาในสังคม ให้ต้องหวาดวิตกกันทุกวี่ทุกวัน


ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราท่านจะเปลี่ยนจากผู้บริโภคสื่อแบบ “แล้วแตเขา” มาเป็นผู้บริโภคสื่อแบบ “แล้วแต่เรา” กันเสียที ?.