Way of Spirit|5 page 0

บรรณาธิการ


ปีแห่งการแพร่ธรรมผ่านมาแล้วหลายเดือน พร้อมกับความสำนึกแห่งการบอกเล่าเรื่องราวของพระเยซูเจ้าให้ทุกคนทราบและกิจกรรมที่ได้จัดและจะจัดขึ้นในระดับต่างๆ ซึ่งแต่ละอย่างก็ช่วยตอกย้ำหน้าที่ของการประกาศข่าวดีที่พระเยซูเจ้าทรงสั่งศิษย์ของพระองค์ “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง” (มก 16,15) พร้อมกันนั้น พระองค์ก็ทรงรับรองว่า พระองค์จะทรงร่วมกับเราในการประกาศข่าวดีและฤทธิ์อำนาจของพระองค์จะช่วยให้การประกาศข่าวดีของเรามีประสิทธิผล “บรรดาศิษย์ก็แยกย้ายกันออกไปเทศนาสั่งสอนทั่วทุกแห่งหน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำงานร่วมกับเขา และทรงรับรองคำสั่งสอนโดยอัศจรรย์ที่ติดตามมา” (มก 16,20)


เพื่อจะสามารถประกาศข่าวดีได้ คนที่ประกาศข่าวดีต้องมีข่าวดีจะประกาศ


ตั้งแต่รับศีลล้างบาป เราแต่ละคนได้รับข่าวดีที่พระเยซูเจ้าทรงนำมาให้ เริ่มจากข่าวดีของการที่พระเจ้าทรงโปรดให้เราเป็นลูกของพระองค์ บท “ข้าแต่พระบิดา” บทแรกที่พ่อแม่และพ่อแม่

ทูนหัวสวดในแท่นและสวดในนามของเรา เป็นการประกาศอย่างทางการว่า ข่าวดีนี้ได้เริ่มเป็นจริงในชีวิตของเราแล้ว พระเจ้าทรงโปรดให้เราเป็นลูกของพระองค์ พร้อมกันนั้นก็ประทานอภิสิทธิ์ให้เราได้รับทุกอย่างที่มาจาก “การที่พระเจ้าทรงเป็นบิดา” ของเรา เริ่มต้นจากศักดิ์ศรีแห่งการเป็นลูกของพระเจ้า ซึ่งทำให้ศักดิ์ศรี “มนุษย์” ของเราถูกยกระดับขึ้นไปสู่ศักดิ์ศรี “พระเจ้า” ในตัวเราแต่ละคนจึงมีสองมิติที่แยกกันไม่ออก กล่าวคือ มิติมนุษย์และมิติพระเจ้าแล้วนั้น อภิสิทธิ์อื่นๆ ก็ตามมา ความรักความเอาใจใส่ดูแล “อย่ากังวลและกล่าวว่า ‘เราจะกินอะไร หรือจะดื่มอะไร หรือเราจะนุ่งห่มอะไร’...พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการทุกสิ่งเหล่านี้” (มธ 6,31-32) ความสนิทใกล้ชิด ...พระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งจะประทานบำเหน็จให้ท่าน” (มธ 6,6) พระหรรษทาน พระพร ...พระบิดาของท่าน

ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการอะไร ก่อนที่ท่านจะขอเสียอีก” (มธ 6,8)... ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าทรงดูแลเราลงไปในรายละเอียดมากกว่าที่เรารู้เกี่ยวกับตัวเราเองเสียอีก ...ผมทุกเส้นบนศีรษะของท่านถูกนับไว้หมดแล้ว” (มธ 10,30)


ความเป็นบิดาของพระเจ้ายังยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ให้สูงส่งขึ้นด้วย จากความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนกลายเป็นความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับน้องด้วยสายสัมพันธ์แห่งความรักที่สูงส่งกว่าความสัมพันธ์แห่งเลือดเนื้อ เพราะเป็นความสัมพันธ์แห่งความรักที่มีพระเจ้าเป็นแกนและเป็นพลัง ...พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดาจะเสด็จพร้อมกับเรามาหาเขา จะทรงพำนักอยู่ในเขา” (ยน 1414,23) โดยมีแบบอย่างและคำสอนของพระเยซูเจ้าเป็นแนวทาง “นี่คือบทบัญญัติของเรา ให้ท่านทั้งหลายรักกันเหมือนดังที่เรารักท่าน ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย” (ยน 15,12-13)


เมื่อทรงโปรดให้เรามีบุญได้เป็นบุตรของพระองค์โดยทางการไถ่กู้ของพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระองค์แล้ว พระเจ้าทรงประสงค์ให้ความเป็นบุตรที่เริ่มจากชีวิตในโลกนี้ต่อเนื่องไปถึงชีวิตหน้า ...พระประสงค์ของพระบิดาของเราก็คือ ทุกคนที่เห็นพระบุตรแล้วเชื่อในพระบุตรจะมีชีวิตนิรันดร...” (ยน 6,40) ณ ที่ซึ่ง ความเป็นบิดาที่พระเจ้าทรงมีต่อเราจะพบกับความเต็มเปี่ยมและความสมบูรณ์


นี่คือข่าวดีและเป็นข่าวดีที่ต้องประกาศ


เพื่อประกาศข่าวดีอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ประกาศจะต้องทำให้ข่าวดีนี้กลับกลายเป็นชีวิตของตนก่อนอื่นหมด


ในยุคที่ให้คุณค่าแก่วัฒนธรรมบริโภคนิยม ตัวอย่างสินค้าคือตัวแปรสำคัญแห่งความน่าเชื่อถือ การโฆษณาจะไม่ได้ผลหากไร้ซึ่ง “ตัวอย่าง” สินค้าที่สอดคล้องกับคุณภาพที่นำเสนอในทำนองเดียวกัน การประกาศข่าวดีในบริบทเช่นนี้ต้องมี “ตัวอย่าง” ที่ทำให้ข่าวดีที่ประกาศมีความน่าเชื่อถือด้วย อย่างที่เรามักจะพูดว่า “ประจักษ์พยาน” นั่นเอง


เมื่อผู้ประกาศข่าวดียอมให้ข่าวดีเปลี่ยนวิสัยทัศน์ พฤติกรรม การมอง การตัดสิน ตลอดจนความสัมพันธ์ต่อตนเองและผู้อื่น การประกาศข่าวดีจึงแทบจะไม่ต้องป่าวประกาศ เพราะชีวิตและพฤติกรรมประกาศได้ดีกว่าคำพูดเป็นไหนๆ เริ่มจากการที่ชีวิตและพฤติกรรมของผู้ประกาศยืนยันชัดเจนว่า ข่าวดีนั้นดีจริง เพราะสามารถทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้น ก็ในเมื่อเขาตระหนักในสารของข่าวดีว่าเขามีศักดิ์ศรีแห่งการเป็นบุตรของพระเจ้า ชีวิตของเขาจึงต้องดำเนินไปตามศักดิ์ศรีนั้น ในเวลาเดียวกันก็เกิดศักยภาพที่จะพัฒนาตนเองขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าชีวิตที่ดำเนินอยู่ยังไม่ได้เป็นชีวิตแห่งการเป็นบุตรของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ ในเวลาเดียวกัน เมื่อสำนึกว่าคนอื่นก็เป็นบุตรของพระเจ้าด้วย ท่าทีและการปฏิบัติต่อผู้อื่นก็ย่อมเปลี่ยนไป ที่เคยมองคนอื่นเฉพาะสิ่งที่เห็นภายนอก ก็จะเริ่มมองลึกเข้าไปในแก่นแห่งศักดิ์ศรีของการเป็นบุตรของพระเจ้า


การที่ผู้ประกาศยอมให้ข่าวดีเปลี่ยนชีวิตและพฤติกรรมของตนยังเป็นการบอกย้ำให้เห็นเป็นรูปธรรมว่า ข่าวดีของพระเยซูเจ้าเป็นข่าวดีที่เป็นไปได้ บ่อยครั้งที่หลายคนอ่านพระวรสารหรือได้ยินพูดเกี่ยวกับคำสอนของพระเยซูเจ้า ก็มักจะพูดในทำนองว่า เป็นคำสอนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ แต่ก็คงยากจะปฏิบัติให้เป็นจริงเป็นจังได้ ดูจะเป็นอุดมการณ์ที่สวยหรู แต่ก็สูงส่งเกินเอื้อม... การประกาศข่าวดีจึงต้องเริ่มด้วยการคำนึงในสองประเด็นี้ กล่าวคือ จะประกาศอะไรและประกาศอย่างไรจึงจะทำให้เกิดความตระหนักว่าสิ่งที่ประกาศนั้นนำไปยึดถือและปฏิบัติได้ ไม่ใช่เป็นแค่อุดมการณ์ ไม่ใช่เป็นเรื่องสูงส่งเกินที่จะเป็นจริงได้ ฉะนั้น หากว่าชีวิตและพฤติกรรมของผู้ประกาศไม่สอดคล้องกับข่าวดีที่ประกาศ หรือแย่ไปกว่านั้น ตรงข้ามกับข่าวดีที่ประกาศ การประกาศข่าวดีนั้นไม่เพียงแต่ล้มเหลวเท่านั้น แต่เป็นการตอกย้ำให้คนรู้ว่าข่าวดีนั้นดีเกินเป็นจริงอย่างที่คิดกัน จะว่าไปแล้ว การประกาศข่าวดีต้องเริ่มจากประกาศให้แก่ตัวผู้ประกาศเป็นอันดับแรก


เพื่อประกาศข่าวดีสำหรับคนยุคนี้ต้องทำให้เห็นว่าข่าวดีที่ประกาศมีคุณค่าตั้งแต่ในปัจจุบันนี้แล้ว


ในยุคที่ให้เน้นความรวดเร็วและฉับไว สิ่งใดที่รวดเร็วและให้ผลทันตาเห็นคนก็มักจะถือกันว่าเป็นของดี มีคุณภาพ มีคุณค่า... เด็กและวัยรุ่นยุคนี้จึงไม่ชอบการรอคอยและความคาดหวัง การจะอบรมให้ขยันขันแข็งและมีความพากเพียรเพื่อหวังผลในภายหน้านั้นยากที่เด็กและวัยรุ่นยุคนี้จะเข้าใจ ยอมรับหรือตระหนัก การบอกให้รอเวลาและวัยที่เหมาะสมสำหรับเรื่องที่สำคัญของชีวิต เด็กและวัยรุ่นก็ยังไม่เห็นความจำเป็น ฯลฯ อย่าว่าแต่เด็กและวัยรุ่นเลย คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วก็ยังติดอยู่กับกระแสความรวดเร็วและฉับไวไม่น้อยไปกว่ากัน การประกาศข่าวดีในยุคนี้จึงต้องคำนึงถึงกระแสนี้ด้วยเพื่อจะทำให้การประกาศมีประสิทธิผล การที่เน้นแค่ว่าผลของข่าวดีนั้นเราจะได้รับในชีวิตหน้า ข่าวดีที่ประกาศก็อาจจะตกกระแสไปอย่างน่าเสียดาย เพราะผลของข่าวดีไม่ทันตาเห็น ดังนั้น การประกาศข่าวดีต้องทำให้เห็นว่าข่าวนี้ดีสำหรับยุคนี้และส่งผลให้ตั้งแต่เวลานี้ ในชีวิตนี้ ไปถึงชีวิตหน้า ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวดีนี้ไม่เคยตกยุค ล้าสมัย แต่เป็นปัจจุบันในทุกประเด็น ดังนั้น เพื่อประกาศข่าวดีในยุคนี้จำต้องเปลี่ยนวิธีการและปรับยุทธศาสตร์โดยคำนึงถึงต้วแปรต่างๆในบริบทของสังคมปัจจุบันด้วย


ในยุคที่มีตัวเลือกให้เลือกมากมาย ทั้งในแง่วิถีชีวิต อุปโภคบริโภค แหล่งความรู้และวิชาการ ฯลฯ และตัวเลือกแต่ละตัวเน้นเสนอในรูปแบบที่โน้มน้าวให้ตัดตัวเลือกอื่นไป โดยอ้างว่า ตัวเลือกที่เสนอให้นี้คือตัวเลือกเดียวเท่านั้น ทั้งในแง่คุณภาพ ราคา ปริมาณ และความคุ้มค่า การเสนอตัวเลือกแต่ละตัวจึงต้องมีวิธีการและยุทธศาสตร์ที่จะนำไปสู่ความมีชัยเหนือคู่แข่ง ในสถานการณ์เช่นนี้ การประกาศข่าวดีในยุคนี้ต้องคำนึงถึงประเด็นนี้ด้วยเพื่อจะทำให้การประกาศข่าวดีมีประสิทธิภาพและเป็นตัวเลือกที่มีคุณภาพ มีคุณค่า และน่าดึงดูดใจ การที่จะคิดว่าวิธีการและยุทธศาสตร์ที่กล่าวมาเป็นเรื่องของการเสนอตัวเลือกด้านสินค้า วัตถุ สิ่งของ แต่การประกาศข่าวดีเป็นเรื่องของจิตใจนั้น คงเป็นความคิดที่ไม่กว้างพอ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ให้ความสนใจแก่ด้านจิตใจเพราะมัวแต่หมกมุ่นกับด้านร่างกายและวัตถุนี่แหละ นอกนั้น ข่าวดีของพระเจ้าไม่ใช่ข่าวดีที่เน้นเฉพาะด้านจิตใจอย่างเดียว แต่เป็นข่าวดีที่มุ่งถึงมนุษย์ในรูปแบบบูรณาการ ซึ่งสามารถเสนอเป็นตัวเลือกแห่งคุณค่าที่ดีกว่าได้ในทุกด้าน


จิตวิสัย 5 มีบทความที่ชี้แนวทางการประกาศข่าวดี โดยเน้นบุคคลเป้าหมายที่เยาวชน ภายใต้หัวข้อ “อภิบาลเยาวชน” จะว่าไปแล้ว ถึงแม้ว่าการประกาศข่าวดีจะต้องมุ่งถึงทุกคน แต่เยาวชนในยุคนี้ต้องการข่าวดี “จริงๆ” มากกว่ายุคใด เพราะทุกวันนี้ มีการเสนอข่าวดีให้เยาวชนหลากหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบก็อวดอ้างว่าสิ่งนำเสนอเป็นข่าวดีสำหรับวัยรุ่นยุคใหม่ แล้วที่อ้างว่าเป็นข่าวดีก็มักจะกลายเป็นข่าวร้ายที่ทำให้วัยรุ่นต้องสับสน ต้องเสียหาย...มากต่อมาก


นอกจากนี้แล้ว ก็มีบทความต่อเนื่องและบทความอื่นๆ เพื่อเสริมความคิดและการไตร่ตรองของท่านผู้อ่านตามเป้าหมายของจิตวิสัย


บาทหลวงบรรจง สันติสุขนิรันดร์ sdb

บรรณาธิการ


หมายเหต-โดยหลักจรรยาบรรณแล้ว ผมจะอ้างอิงชื่อผู้แต่งข้อความ หรือบทความที่นำมาแปลและลงในจิตวิสัยเสมอ ยกเว้นข้อความหรือ

บทความใดที่ผมเขียนเอง - ..